แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - story

หน้า: 1 ... 8 9 [10] 11 12 ... 536
136
พ่อแม่เด็ก 3 เดือน ร้องเรียน รพ.ดัง ใน จ.นนทบุรี รักษาช้า - ไม่ใส่ใจ รอนานกว่า 6 ชั่วโมง หลังลูกมีอาการผิดปกติ หายใจแรง รพ.จับตรวจ ช่วยปั๊มหัวใจ แต่ช่วยไม่ได้ จนเด็กเสียชีวิต
วันนี้ (16 ม.ค.2567) ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล ฝั่งตรงข้ามทำเนียบรัฐบาล ทางอธิวัฒน์ สิริกังวาลวงศ์ ผู้ก่อตั้งเพจ "กล้าที่จะก้าว" ได้พาผู้ปกครอง ของ ด.ญ. วัย 3 เดือนเศษ ซึ่งเสียชีวิตใน โรงพยาบาลรัฐชื่อดังแห่งหนึ่ง ใน จ.นนทบุรี มาร้องเรียนที่ศูนย์ฯ โดยมี นายกองตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำรองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับเรื่อง

นายอธิวัฒน์ ระบุว่า การยื่นเรื่องวันนี้ เนื่องจากต้องการให้ฝ่ายเกี่ยวข้องตรวจสอบการทำหน้าที่ของโรงพยาบาลที่เกิดเหตุ ว่าเหตุใด จึงปล่อยระยะเวลาการรอคอย การรักษานานกว่า 6 ชั่วโมง ถึงจะนำเด็กเข้าไปตรวจสภาพร่างกาย และเช็กค่าออกซิเจน ซึ่งการนำมาร้องเรียนวันนี้ ยังพบว่าโรงพยาบาลแห่งนี้ ถูกประชาชนร้องเรียนผ่านทางเพจอีกกว่า 200 เรื่องที่มีผู้มาแสดงความคิดเห็นต่อระบบการรักษา จึงอยากให้ฝ่ายเกี่ยวข้องตรวจสอบ

ขณะที่ น.ส.วารินทร์ มารดาของเด็กวัย 3 ขวบเศษ ที่เสียชีวิต ได้ร้องขอให้ตรวจสอบการทำหน้าที่ของโรงพยาบาล และปรับปรุงแก้ไขระบบการให้บริการของประชาชนของโรงพยาบาล เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงเช่นนี้ กับลูกคนอื่น หรือ ผู้ป่วยคนอื่นอีก เนื่องจากที่ผ่านมา ได้ดูแลลูกเป็นอย่างดี รวมถึงเชื่อมั่นใจโรงพยาบาล เพราะเป็นโรงพยาบาลใหญ่ และช่วงตั้งครรภ์ ยังได้ฝากท้องไว้ที่โรงพยาบาลนี้ รวมถึงช่วงผ่าคลอดด้วย

มารดาเด็ก เล่าว่า เมื่อวันที่ 9 ม.ค.2567 ลูกสาวมีอาการผิดปกติ คือ ดูดนมได้น้อยลง และไม่ดูดนม จึงพาไปรักษาที่โรงพยาบาลแห่งแรก ใน อ.บางบัวทอง โดยแจ้งแพทย์ว่าลูกหายใจแรง จนซี่โครงยุบผิดปกติ แพทย์ชี้แจงว่า ตรวจละเอียดไม่ได้ เพราะไม่มีประวัติเด็ก พร้อมแนะนำว่า ถ้าต้องการตรวจละเอียด ให้พาไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลชื่อดังในนนทบุรี ทางครอบครัว จึงตัดสินใจพาลูกกลับบ้านก่อนวันนั้น เพราะเห็นว่าเป็นช่วงเย็นแล้ว

ต่อมา วันที่ 10 ม.ค.2567 ลูกยังมีอาการไม่ดูดนม และมีอาการหายใจแรงมากขึ้น และไม่ยอมกินนมตั้งแต่เวลา 22.00 น. ของวันที่ 9 ม.ค.2567

สามีจึงให้รีบพาลูกไปโรงพยาบาลเกิดเหตุ ซึ่งไปถึงตั้งแต่เวลาใกล้เที่ยง ได้บัตรคิวที่ 45 แต่ระบบแจ้งว่า รอคิวจริงๆ อีกประมาณ 4-5 คนเท่านั้น ก็จะถึงคิวของครอบครัว

"ขณะรอเรียกคิวพบแพทย์ ลูกอาการแย่ลง จึงขอร้องพยาบาลช่วยแซงคิว แต่ก็ถูกปฏิเสธ และต้องรอต่อไป จนถึงเวลาประมาณ 17.00 น. จึงได้พบแพทย์ มีการตรวจและแจ้งว่าลูกปกติ วินิจฉัยว่าลูกเป็นโคลิค จะให้รับยาแล้วกลับบ้าน แล้วยังวินิจฉัยว่าแม่มีอาการซึมเศร้าหลังคลอด"

มารดาเด็ก เล่าต่อไปว่า ตอนนั้น ได้ทักท้วงแพทย์ เพราะลูกเริ่มหายใจลำบากจนซี่โครงท้องบุ๋ม แพทย์ จึงให้ลูกคอยเวรเปล อีก 1 ชั่วโมง กว่าได้จะรับการตรวจเข้าห้องตรวจ

ซึ่งช่วงนั้น เวลา 21.00 น. มือและเท้าของลูกเริ่มเป็นสีม่วง เจ้าหน้าที่ รีบนำตัวเข้าห้องไอซียู ผลเอ็กซเรย์ออกปรากฏว่า น้องหัวใจโต แพทย์แจ้งต้องทำการผ่าตัด แต่ต้องรอหมอเฉพาะทางเท่านั้น

"ตอนนั้น หมอที่มาดูอาการลูกในห้องไอซียูบอกว่า ให้ทำใจ และแจ้งว่า ต้องประคับประคองอาการเป็นรายชั่วโมง แต่ได้ให้ยากระตุ้นหัวใจลูกเราแล้ว จากนั้นมีการปั๊มหัวใจน้องไปแล้วรอบหนึ่ง ระหว่างนั้น พยาบาลแจ้งว่าต้องรอหมอหัวใจ ซึ่งเป็นหมอเฉพาะทางมาวินิจฉัย เพราะทั้งโรงพยาบาลมีหมอหัวใจคนเดียว ขอให้ทางญาติเข้าใจด้วย แล้วยังบอกว่า ถ้าลูกยังไหว ยังสู้ ก็อาจรอได้ถึงเช้า ถึงจะมีหมอหัวใจมาวินิจฉัยได้ แต่เจ้าหน้าที่บอกไม่ได้ว่า หมอจะว่างตอนไหน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ได้รับแจ้งว่า ลูกหัวใจล้มเหลว และเสียชีวิต เวลาประมาณ 02.00 น. ของวันที่ 11 ม.ค.67" มารดาเด็ก กล่าว

ทางครอบครัว ระบุด้วยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ โรงพยาบาลไม่ได้รับผิดชอบใดๆ ตั้งแต่วันเกิดเหตุ จนกระทั่งการฌาปนกิจศพลูกไปแล้วเสร็จแล้ว ก็ไม่มีแม้แต่พวงหรีด หรือ คำขอโทษ หรือการแสดงความรับผิดชอบชดเชย หรือเยียวยาใดๆ และจากนี้ ทางครอบครัวจะร้องเรียนต่อแพทยสภา และ กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นต้นสังกัดของ โรงพยาบาลที่เกิดเหตุ

ขณะที่นายกองตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งรับหนังสือร้องเรียนวันนี้ ระบุว่า เบื้องต้น ได้สอบถามไปที่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขแล้ว ทางปลัดแจ้งว่า ได้ให้โรงพยาบาล ชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว พบว่า ไทม์ไลน์เรื่องของเวลา ยังไม่ตรงกัน

ส่วนการฌาปนกิจร่างเด็ก 3 เดือนไปแล้วนั้น นาย ธนกฤต ระบุว่า อาจทำให้การชันสูตรเพื่อแสวงหาข้อมูล ข้อเท็จจริงเพิ่มเติม เป็นเรื่องที่ยากมากขึ้น และขอฝากถึงประชาชนทั่วไปว่า ถ้าติดใจกรณีการเสียชีวิต ขออย่าเพิ่งฌาปนกิจ ขอให้เก็บร่างไว้ตรวจสอบก่อน เพื่อได้จะแสวงหาข้อเท็จจริงได้

ทั้งนี้ เบื้องต้น นายธนกฤต ได้แจ้งกับผู้ปกครองของเด็กวัย 3 เดือนว่า จะช่วยประสานไปทางโรงพยาบาล เพื่อช่วยสอบถามข้อเท็จจริงและนำให้ทางผู้ร้องเรียนได้พบกับทางโรงพยาบาล แต่ขอให้เข้าใจด้วยว่า ทางโรงพยาบาลมีสิทธิที่จะแถลงถึงแนวทางหลักปฏิบัติของโรงพยาบาล ซึ่งหากเราไม่มีภาพวงจรปิดของโรงพยาบาล หรือ หลักฐานที่ทำให้เห็นว่า เกิดความผิดพลาดจากระบบของโรงพยาบาล ก็อาจเอาผิดไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่า จะไม่มีช่องทาง

ซึ่งเรื่องนี้แนะนำให้ผู้ปกครอง ไปร้องเรียนแพทยสภาด้วยอีกทาง รวมถึง กระทรวงสาธารณสุข ที่เป็นต้นสังกัดของโรงพยาบาลแห่งนี้ รวมถึงการพิจารณาร้องเรียนคดีทางแพ่ง แต่ก็ขอให้ผู้ปกครองเข้าใจด้วยว่า ถ้าร้องเรียนทางแพ่ง ต้องแปลว่า มีหลักฐานพอที่จะทำให้เห็นว่ากระบวนการรักษาหรือระบบของโรงพยาบาลเกิดความผิดพลาดจริง

16 ม.ค. 67
https://www.thaipbs.or.th/news/content/336014

137
ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศกระทรวงสาธารณสุข กำหนดให้ยาที่มีส่วนประกอบของ Dexmedetomidine ที่ใช้สำหรับมนุษย์ เป็น “ยาควบคุมพิเศษ” มีผลตั้งแต่ 16 มกราคม 2567 เป็นต้นไป

วันที่ 15 มกราคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 141 ตอนพิเศษ 13 ง ได้เผยแพร่ ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ยาควบคุมพิเศษ ฉบับที่ 56 ลงนามโดยนายชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

ประกาศฉบับดังกล่าวระบุว่า อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 76 (4) แห่งพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยา (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2522 และมาตรา78 แห่งพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยคำแนะนำของคณะกรรมการยาในการประชุมครั้งที่ 415-5/2566 เมื่อวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2566 จึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ 1. ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป (มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2567 เป็นต้นไป)

ข้อ 2.ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (98) ของข้อ 3 แห่งประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ยาควบคุมพิเศษ ลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2521

“(98) ยาที่มีส่วนประกอบของ Dexmedetomidine ที่ใช้สำหรับมนุษย์”

กล่าวคือกำหนดให้ยาที่มีส่วนประกอบของ Dexmedetomidine ที่ใช้สำหรับมนุษย์ เป็นยาควบคุมพิเศษ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 16 มกราคม 2567 เป็นต้นไป

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับยาที่มีส่วนประกอบของ Dexmedetomidine ข้อมูลจากเว็บไซต์ หาหมอ haarmor.com ระบุว่า ยาเด็กซ์เมเดโทมิดีนมีสรรพคุณ/ข้อบ่งใช้ โดยใช้เป็นยาสงบประสาท/ยาคลายเครียด ทำให้เคลิ้มหลับเป็นระยะเวลาสั้นๆ ช่วยลดอาการเจ็บปวดระหว่างการทำหัตถการทางการแพทย์ เช่น การสอดท่อช่วยหายใจ การส่องกล้องเพื่อตรวจดูความผิดปกติของลำไส้ เป็นต้น

ประชาชาติ
15 มค 2567

138
มูลนิธิเมาไม่ขับ ชี้ตัวเลขเจ็บตายอุบัติเหตุปีใหม่เพิ่มขึ้น ขยายเปิดผับบาร์เพิ่มเสี่ยงเมาแล้วขับ ระบบล้มเหลวบังคับใช้กฎหมาย ทำคนไม่กลัว คนมองไม่เห็นปัญหา ทำแก้ไขยาก

เมื่อวันที่ 3 ม.ค. นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ กล่าวถึงกรณีอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 เพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อน และเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี เกิดอุบัติเหตุจากการดื่มกว่าร้อยละ 13 ว่า ถือเป็นเรื่องปกติที่มีการเพิ่มความเสี่ยง อย่างนโยบายขยายเวลาเปิดสถานบริการ ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงต่ออุบัติเหตุเมาแล้วขับมากขึ้น แต่ไม่มีมาตรการป้องกันคนเมาแล้วขับ ทำให้เมาแล้วขับเพิ่มมากขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ รวมถึงไทยไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้ ไม่ว่าจะขยายเวลาเปิดหรือไม่ ซึ่งจะบอกว่าคนไทยก็ไม่ได้ ที่ถูกคือ คนที่อยู่ในประเทศไทย เพราะเมื่อคนไทยไปต่างประเทศที่มีกฎหมายเข้มข้น ก็จะไม่กล้าทำเรื่องเช่นนี้ เช่นเดียวกับต่างชาติตอนอยู่บ้านตัวเอง มีกฎหมายบังคับเข้มข้น ก็จะไม่กล้าทำ แต่พอมาเมืองไทยกลับกล้าทำ ทั้งหมดเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ที่จะมีการชั่งน้ำหนักในการจะกระทำเรื่องต่างๆ ว่าคุ้มค่าหรือไม่ และระบบของไทยเอื้อให้คนทำผิดลอยนวล

“บ้านเรามีจุดอ่อน จะโทษเจ้าหน้าที่ฝ่ายเดียวไม่ได้ เพราะทั้งหมดเกิดจากระบบที่ล้มเหลว ส่งผลให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปได้ยาก ไม่ใช่ว่าตำรวจไม่ทำงาน แต่ระบบไม่เอื้อต่อการสร้างความปลอดภัยบนท้องถนน เช่น ยังมีระบบอุปถัมภ์ ระบบคอร์รัปชัน ระบบความเชื่อของคนไทยที่มองว่าอุบัติเหตุเป็นเรื่องถึงคนถึงฆาต ถึงคราวตาย ไม่มีใครออกมาเรียกร้องว่าสิ่งเหล่านี้คุกคามชีวิต ทั้งหมดนี้หล่อหลอมสังคมไทย สุดท้ายก็ทำให้การบังคับใช้กฎหมายไม่สามารถทำได้อย่างประสิทธิภาพ เมื่อมีนโยบายใหม่ๆ ออกมาก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยง” นพ.แท้จริงกล่าว

นพ.แท้จริงกล่าวว่า การแก้ไขเรื่องนี้ต้องแก้ทั้งระบบ เพราะคนๆ เดียว หรือหน่วยงานเดียว ไม่สามารถแก้ไขได้ ยกตัวอย่าง เปรียบเทียบกับการระบาดของโควิดที่ทุกองคาพยพร่วมกันเอาจริง ประเมินผลทุกวัน ทำให้เห็นภาพ เหมือนเราทำศึกกับโรคอย่างจริงจัง เพราะถ้ามีความล้มเหลวก็จะมีคนต้องรับผิดชอบ เก้าอี้ตำแหน่งก็จะร้อน แต่กับเมาแล้วขับไม่เป็นเช่นนั้น กลายเป็นปล่อยให้คนลอยนวล

ถามว่าจะมีข้อเสนออะไรถึงรัฐบาล นพ.แท้จริงกล่าวว่า เรื่องนี้มีคนทำอยู่ไม่มาก ไม่ใช่ระดับประเทศที่จะออกมาช่วยกันทำ กลายเป็นว่าคนไทยรับปัญหานี้ได้ ฉะนั้น ปัญหาไม่ถูกสะท้อนไปว่าต้องรีบแก้ไข ถ้าไม่ทำแล้วรัฐบาลจะอยู่ยาก เหตุการณ์ไม่เคยเกิดขึ้น ตอนนี้เราต้องหาวิธีทำให้ประชาชนรู้สึกถึงผลกระทบของอุบัติเหตุเมาแล้วขับ ซึ่งเรื่องนี้ขัดแย้งกับธรรมชาติของคนไทย เพราะคนรู้อยู่แล้วว่าเมาแล้วขับ เป็นอันตราย ดังนั้นเป็นเรื่องที่แก้ไขได้ยาก แต่ถ้าจะแก้จริงๆ ก็ต้องเริ่มจากคนที่มีอำนาจอย่างรัฐบาล และสิ่งที่จะกดดันรัฐบาลให้ทำได้ก็มีเพียงประชาชน แต่ที่ผ่านมาสังคมยังไม่หันมามองถึงเรื่องนี้เลย เราทำเรื่องนี้มา 20 กว่าปี ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ เพราะคนมองไม่เห็นถึงปัญหา

3 ม.ค. 2567 1 ผู้จัดการออนไลน์

139
รายงานนี้ตีพิมพ์ในวารสาร Nature ในวันที่ 6 ธันวาคม 2023 ในบทความ ชื่อ N1-methylpseudouridylation of mRNA causes +1 ribosomal frameshifting จากคณะทำงานมหาวิทยาลัย เคมบริดจ์ และ ออกซ์ฟอร์ด ดังรายชื่อ ซึ่งสามารถสืบค้นประวัติความเป็นมาและการทำงาน ความเชี่ยวชาญในแขนงต่างๆ ของนักวิจัยเหล่านี้ได้ (Thomas E. Mulroney, Tuija Pöyry, Juan Carlos Yam-Puc, Maria Rust, Robert F. Harvey, Lajos Kalmar, Emily Horner, Lucy Booth, Alexander P. Ferreira, Mark Stoneley, Ritwick Sawarkar, Alexander J. Mentzer, Kathryn S. Lilley, C. Mark Smales, Tobias von der Haar, Lance Turtle, Susanna Dunachie, Paul Klenerman, James E. D. Thaventhiran และ Anne E. Willis)

โดยที่โปรตีนที่ผิดปกติ อาจเกี่ยวโยงกับการแพ้ภูมิตนเอง ในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่ามีข้อมูลเบื้องลึก เบื้องหลังเกี่ยวกับวัคซีนออกมาให้เราได้รับทราบกันอยู่ เป็นระยะ ดังเช่นบทความ ฉบับนี้ และ มีการให้สัมภาษณ์เพิ่มเติม จากคณะผู้ทำงาน รวมกระทั่งมี ผู้เชี่ยวชาญท่านอื่นที่ไม่ได้ เกี่ยวข้องในรายงานนี้ ให้ความเห็นเพิ่มเติม เปิดเผยในสื่อนานาชาติ The Epoch Times เกี่ยวกับวัคซีน mRNA ซึ่งมีข้อมูลที่ต้องสนใจเพื่อความตระหนักรู้เกี่ยวกับวัคซีนมากขึ้น

งานวิจัยชิ้นนี้ ได้แสดงให้เห็นว่า มีความเป็นไปได้อย่างมากที่ วัคซีนของ Pfizer จะผลิตโปรตีน ที่ผู้เชี่ยวชาญหลายราย เป็นกังวลเพราะเชื่อว่า มีความเป็นไปได้ ที่จะสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งและการแพ้ภูมิตนเอง โดยพบว่ามีโอกาส 1 ใน 10 ที่วัคซีน COVID-19 ชนิด mRNA ของ Pfizer จะไม่สร้างโปรตีน spike แต่กลับเบี่ยงเบนไปสร้างโปรตีนชนิดอื่น ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจากความผิดพลาดของการแปลรหัสพันธุกรรมอันเนื่องมาจากการที่ วัคซีน Pfizer ไปเปลี่ยนแปลงลำดับเบสบน mRNA

หากกล่าวถึงวัคซีนชนิดนี้ mRNA คือชุดคำสั่งที่ใช้ในการสร้างโปรตีน ดังนั้น เมื่อวัคซีนเข้าสู่เซลล์แล้ว ไรโบโซมจะแปลรหัสของ mRNA เพื่อสร้างเป็นโปรตีน ดังเช่นโปรตีน spike ใน COVID-19 แต่หากมีการแปลรหัสที่ผิดพลาดเกิดขึ้นแล้ว ก็จะก่อให้เกิดการสร้างโปรตีนที่ผิดพลาดขึ้นตามมา บางครั้งความผิดพลาดที่เกิดขึ้นอาจแค่เล็กน้อยเหมือนการสะกดคำ ผิดไปหนึ่งคำ แต่เป็นไปได้ที่ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนั้น อาจส่งผลอย่างร้ายแรงได้

การแปลรหัสที่ผิดพลาดนี้เรียกว่า frameshift ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อ 1-2 เบสของ mRNA มีการเลื่อนออกไป โดยปกติแล้ว นิวคลิโอไทด์เบสของ mRNA จะถูกแปลรหัสเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 3 เบส ดังนั้น หากมีการเลื่อนของเบสเกิดขึ้นก็จะมีผลกระทบกับลำดับเบสทั้งหมดที่ตามมา ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างโปรตีนชนิดใหม่ขึ้น

Jessica Rose (นักภูมิคุ้มกันวิทยา) ได้เขียนบรรยายไว้บน Substack ของเธอว่า การเลื่อนกรอบการแปลรหัส (Frameshifting) เป็นผลให้เกิดการผลิตโปรตีนที่หลากหลาย เป็นโปรตีนที่จำเพาะหรืออาจเป็นโปรตีนที่ผิดปกติ

mRNA โดยธรรมชาติแล้วจะมีเบส uridine เป็นส่วนประกอบ แต่ในวัคซีนชนิด mRNA ของ Pfizer ใช้ N1-methylpseudouridine มาทดแทนเพื่อทำให้ mRNA คงทนและไม่ถูกทำลายโดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

การเปลี่ยนแปลงนิวคลิโอไทด์เบสบน mRNA นี้เป็นเหตุผลที่นักวิทยาศาสตร์เรียกวัคซีนชนิด mRNA นี้ว่า modified RNA หรือ modRNA คณะผู้วิจัยได้สรุปถึงเรื่องนี้ไว้ว่า แม้จะยังไม่มีหลักฐานว่าโปรตีนที่ผิดปกตินี้จากการฉีดวัคซีนของ Pfizer มีความเกี่ยวข้องกับอาการข้างเคียงหรือผลเสียที่เกิดขึ้นกับคนที่ฉีดวัคซีน

แต่ในอนาคตกับการใช้เทคโนโลยี mRNA ถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องออกแบบหรือเปลี่ยนแปลง mRNA ให้ลดการเลื่อนกรอบการแปลรหัส (Frameshifting) นี้

จากการทดสอบวัคซีน มีแค่ Pfizer เท่านั้นที่แสดงให้เห็นถึงความผิดปกติ นอกจากเรื่องการแปลรหัสที่ผิดพลาดแล้ว N1-methylpseudouridine ยังไปรบกวนกระบวนการแปลรหัสของ mRNA ไปเป็นโปรตีนอีกด้วย ซึ่งนำไปสู่การสร้างลำดับโปรตีนที่สั้นลงกว่าปกติ โดยสภาวะปกติ ไรโบโซมจะแปลรหัส mRNA ของวัคซีนไปเป็นโปรตีน spike แต่ถ้าไรโบโซมตรวจพบความผิดปกติ (ความแตกต่างระหว่าง uridine และ N1-methylpseudouridine) มันอาจหยุดกระบวนการแปลรหัสหรือเกิดการแปลรหัสที่ผิดพลาดขึ้นได้

ซึ่งข้อมูลนี้ Dr. Adonis Sfera ผู้ช่วยศาสตราจารย์คลินิกทางการแพทย์ มหาวิทยาลัย Loma Linda ได้เขียนอีเมล์ให้รายละเอียดนี้กับทางสื่อ The Epoch Times โดยในงานวิจัยนี้ นักวิจัยได้ทำการฉีดหนูด้วยวัคซีน Pfizer และ AstraZeneca พบว่าวัคซีน Pfizer มีแนวโน้มที่จะผลิตโปรตีนผิดปกติมากกว่าอย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ นักวิจัยได้ทำการเปรียบเทียบการฉีดวัคซีนในคน โดยเปรียบเทียบ 21 คนที่ฉีดวัคซีน Pfizer กับ 20 คนที่ฉีดวัคซีน AstraZeneca พบว่า 1 ใน 3 ของคนที่ฉีดวัคซีน Pfizer มีระบบภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนที่ผิดปกติ ขณะที่ไม่พบในคนที่ฉีดวัคซีน AstraZeneca เลย

ภูมิคุ้มกันผิดเป้าหมายและการแพ้ภูมิตนเอง แม้ขณะนี้จะไม่มีรายงานวัคซีน Pfizer ที่ส่งผลร้ายอย่างชัดเจน แต่คณะผู้วิจัยก็ยังเป็นกังวลต่อผลที่ตามมาในเรื่องของภูมิคุ้มกัน ซึ่งความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันจะเป็นอันตรายอย่างมาก โดย Dr.James Thaventhiran (นักภูมิคุ้มกันวิทยา) หนึ่งในผู้นำในการเขียนงานวิจัยนี้ได้กล่าวไว้ว่า การหลุดออกจากเป้าหมายในการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันเป็นอะไรที่ไม่ควรเกิดขึ้น ในกรณีที่กำลังกล่าวถึงนี้จะหมายถึงการที่ระบบภูมิคุ้มกันไม่ได้พุ่งเป้าเพื่อต่อสู้กับโปรตีน spike แต่พุ่งเป้าไปที่โปรตีนอื่นที่สร้างขึ้นแบบผิดปกติแทน ดังที่ Marit Kolby นักชีววิทยาด้านโภชนศาสตร์ได้เคยกล่าวเน้นย้ำเอาไว้

นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพอีกหลายคนยังคงเป็นกังวลว่าโปรตีนเหล่านั้นจะเพิ่มความเสี่ยงในการพัฒนาให้เกิดโรคแพ้ภูมิตนเอง

ศาสตราจารย์ Dr. Vladimir Uversky ซึ่งเป็นนักชีววิทยาโมเลกุลจากมหาวิทยาลัย South Florida และ Dr. Alberto Rubio-Casillas สรุปไว้ว่าการแพ้ภูมิตนเองอาจเกิดขึ้นเมื่อเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันเริ่มเข้าจู่โจมเซลล์ที่ผลิตโปรตีนที่ผิดปกติเหล่านั้น

นอกจากนั้น Dr. Sfera ได้กล่าวเสริมไว้ว่าโปรตีนที่เกิดจากการแปลรหัสผิดอาจจะไปเหมือนกับโปรตีนอื่นในร่างกายมนุษย์และกระตุ้นให้เกิดการสร้างแอนติบอดีขึ้น การแพ้ภูมิตนเองเริ่มเกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันเข้าจู่โจมเนื้อเยื่อของตัวเองซึ่งเหตุการณ์นี้สามารถเกิดขึ้นเป็นเวลาหลายปีก่อนที่จะมีอาการปรากฏให้เห็น

การศึกษาของ Aristo Vojdani (นักภูมิคุ้มกันวิทยา) แสดงให้เห็นว่าโปรตีน spike สามารถก่อให้เกิดปฏิกิริยาข้ามได้ หมายถึงว่าร่างกายเป้าหมายไปที่เซลล์ของตนเอง บนเนื้อเยื่อที่มีมากกว่า 20 ชนิดในการต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอม ซึ่งมีโครงสร้างคล้ายคลึงกันกับโปรตีนของมนุษย์

Uversky และ Dr. Rubio-Casillas ได้เพิ่มเติมกับ สื่อ The Epoch Times ว่าการผลิตโปรตีนและเปปไทด์ที่ผิดปกติอาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง โดยเซลล์เมลาโนมาสามารถชักนำโปรตีนที่เกิดจาก frameshift ให้หลบหลีกการตรวจจับโดยระบบภูมิคุ้มกันได้

และพวกเขาแสดงความคิดเห็นว่า มันเป็นไปได้ว่าโปรตีนที่ผิดปกติจากการแปลรหัสของ mRNA วัคซีนสามารถกระตุ้นกระบวนการอยู่รอด (survival mechanisms) เช่นเดียวกันกับเซลล์มะเร็งที่หลีกหนีการตรวจจับของระบบภูมิคุ้มกัน

โปรตีนที่ไม่เคยรู้จักในร่างกาย
นักวิจัยยังไม่ทราบอะไรแน่ชัดเกี่ยวกับโปรตีนที่ถูกสร้างขึ้นมานี้ ทั้งในแง่ของโครงสร้างหรือลำดับเปปไทด์ แต่ในการศึกษาวิจัยพบว่ามีโปรตีนตัวหนึ่งที่เป็น chimeric protein (โปรตีนผสมผสาน) โดย chimeric protein นี้จะสร้างขึ้นมาจากโปรตีนที่ได้จาก 2 ยีนหรืออาจมากกว่านั้น ซึ่งปกติแล้วแต่ละยีนก็จะแปลรหัสเป็นโปรตีนที่แตกต่างกัน ส่วน chimeric protein ที่พบนั้นมีโครงสร้างที่เหมือนกันกับโปรตีนในคนซึ่งมันอาจจะไปชักนำให้เกิดการตอบสนองต่อภูมิตนเองขึ้น

Jonathan Engler ซึ่งเป็นแพทย์และนักกฎหมายรวมถึงยังเป็นประธานร่วมของกลุ่ม HART (Health Advisory and Recovery Team) โดยกลุ่ม HART นี้เป็นการรวมกันของผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาการของประเทศอังกฤษที่จะคอยแลกเปลี่ยนข้อมูลและข้อแนะนำเกี่ยวกับเรื่องต่างๆที่เชื่อมโยงกับ COVID-19 ได้บอกกับทาง The Epoch Times ว่าไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าสิ่งที่ตรวจพบนี้จะมีความเชื่อมโยงกับอันตรายใดๆหรือไม่ แต่ที่รู้คือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องดูเหมือนว่าจะไม่ได้สนใจที่จะตรวจสอบความเป็นไปได้นี้ ซึ่งแท้จริงแล้วมันเป็นสิ่งที่ทุกคนควรจะต้องตระหนักข้อผิดพลาดในการออกแบบ

Engler ได้กล่าวไว้ว่า ความจริงที่ว่า mRNA ที่ฉีดเข้าสู่ร่างกายและถูกถอดรหัสผิดพลาดนั้นเกิดจากความผิดพลาดของการออกแบบ อย่างไรก็ดี ก็มีผู้เชี่ยวชาญอีกหลายคนที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ของ Engler อาทิเช่น Edward Nirenberg ได้วิจารณ์ถึงเรื่องความกังวลนี้ว่า “คนเรามักจะทำเรื่องเล็กๆให้เป็นเรื่องใหญ่” Frameshift แม้จะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกติแต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ในธรรมชาติ ยกตัวอย่างเช่น การติดเชื้อไวรัส ที่ส่งผลให้มีผลผลิตโปรตีนเกิดขึ้นและเป็นเป้าหมายของระบบภูมิคุ้มกัน

อย่างไรก็ตาม นักวิจัยที่ศึกษาเรื่องนี้ก็เน้นย้ำในผลงานตีพิมพ์ของพวกเขาว่า ลำดับ mRNA ที่สังเคราะห์ขึ้นใช้ในวัคซีนมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดจากข้อผิดพลาด ส่วน Pfizer เองก็นิ่งเฉย ไม่ได้ออกมาให้ข้อมูลหรือโต้แย้งใดๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ เรื่องของวัคซีนชนิด mRNA ยังคงมีข้อมูลใหม่ๆปล่อยออกมาเป็นระยะ ทุกคนต้องเฝ้าติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องใกล้ตัว

อีกทั้งข้อมูลต่างๆที่ออกมามีมากมายหลายด้าน อาจมีทั้งข้อมูลที่เป็นจริงหรือเป็นเท็จ การพิจารณาอย่างถี่ถ้วนและมีข้อมูลพร้อมทุกด้านจะช่วยให้เรามั่นใจและตัดสินใจได้อย่างถูกต้องเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อตัวเราเองในฐานะผู้บริโภค ทั้งนี้ยังรวมถึงการพบว่าวัคซีน mRNA ไม่ได้อยู่ที่ต้นแขนที่ฉีดยาเพียงสองถึงสามวันดังที่ บริษัทกล่าวอ้าง แต่สามารถซึมเข้าในกระแสเลือดและซึมผ่านเข้าเซลล์ในทุกอวัยวะได้ และนอกจากนั้นวัคซีนที่ผลิตขึ้นมานั้นยังถูกปนเปื้อนด้วย จากกระบวนการผลิตโดยมี DNA ที่ไม่ได้ขจัดออกไป และยีนส์ ori รวมทั้ง SV40 promoter ที่จะบังคับให้สร้างโปรตีนที่ไม่ได้ต้องการและก่อให้เกิดความผิดปกติได้

ดังนั้น ปรากฏการณ์หลายอย่างที่อธิบายไม่ได้ในคนที่ได้รับวัคซีนโดยในคนไทยถึงกับได้รับคนละหกถึงแปดเข็มกลับมีสุขภาพไม่สมบูรณ์และมีโรคหลายอย่างเกิดขึ้น ที่ไม่ได้อธิบายจากการติดโควิด


ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่
คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

2 ม.ค. 2567  นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
https://mgronline.com/daily/detail/9670000000451

140
ก่อนหน้านี้หลายคนรู้กันว่า ต้นไม้ที่อายุมากที่สุดในโลก คือ “เมธูเซลาห์” ต้นสนสายพันธุ์ Pinus longaeva ในรัฐแคลิฟอร์เนียตะวันออก ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีอายุถึง 4,853 ปี ซึ่งชื่อได้มากจากผู้เฒ่าในพระคัมภีร์ไบเบิล ที่มีความหมายเหมือนคล้ายกันกับการมีอายุยืนยาวของต้นไม้ต้นนี้

แต่สถิติเดิมได้ถูกเขียนขึ้นใหม่ หลังจากนักวิทยาศาสตร์ในประเทศชิลี ได้ศึกษาและเก็บข้อมูล ต้น Patagonian Cypress ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ Alerce Costero และได้พบต้นไม้โบราณที่รู้จักกันในฉายาภาษาสเปนว่า Gran Abuelo หรือ “ปู่ทวด” และได้พบว่ามีอายุประมาณ 5,484 ปี ซึ่งอายุมากกว่าต้นเมธูเซลาห์ ประมาณ 600 ปี ทำให้ต้นไม้ที่ถูกพบใหม่นี้กลายเป็นต้นไม้ที่เก่าแก่และมีอายุมากที่สุดในโลก

ต้นสน Patagonian Cypress หรือที่แถบทวีปอเมริกาใต้เรียก ต้น Alerce เป็นสนพื้นเมืองที่พบได้ในประเทศชิลีและอาร์เจนตินา อยู่ในตระกูลเดียวกับต้นซีคัวยายักษ์และต้นเรดวูด ที่พบมากในพื้นที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ต้นไม้สายพันธุ์นี้ได้ชื่อว่าเป็นต้นไม้ที่ใหญ่และสูงที่สุดในโลก ซึ่งสามารถสูงได้ถึง 45 เมตร

Alerce เป็นต้นไม้ที่มีอัตราการเติบโต้ที่ช้ามาก สามารถมีชีวิตอยู่ได้หลายร้อยหรือหลายพันปี แต่ Gran Abuelo หนึ่งในต้นสนที่นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาถือได้ว่ามีความน่าสนใจอย่างยิ่ง เนื่องจากต้นนี้มีอายุมากกว่า ต้น Alerce อื่นๆ ที่เคยถูกค้นพบมา โดยมีอายุถึง 5,484 ปี หากเมื่อเทียบกับช่วงเวลาประวัติศาสตร์ของมนุษย์แล้วจะอยู่ในยุคเริ่มต้นอารยธรรมต่างๆ หรืออายุเท่าชาวสุเมเรียนในอารยธรรมเมโสโปเตเมีย

(Jonathan Barichivich) นักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมชาวชิลีที่ทำงานที่ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมในปารีสได้ใช้แบบจำลองคอมพิวเตอร์และวิธีการดั้งเดิมในการคำนวณอายุต้นไม้ โดยใช้วิธีการคำนวณนับวงปี ซึ่งข้อมูลนี้เชื่อถือได้มากกว่า 80% บ่งบอกได้ว่าต้นไม้ต้นนี้มีอายุมากกว่า 5 พันปีแล้ว ถึงแม้ว่านักวิทยาศาสตร์บางส่วนจะยังไม่เชื่อในคำกล่าวอ้างนี้ แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็เชื่อในวิธีการของเขา

แม้เหล่านักประวัติศาสตร์พืชโบราณ (dendrochronologists) หลายคนอาจจะยังตั้งข้อสงสัยในการเก็บข้อมูลอายุของต้นไม้ เนื่องจากการศึกษานี้ไม่มีการพิจารณาวงปีการเจริญเติบโตของต้นไม้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยผู้เชี่ยวชาญบางคนก็เปิดรับความเป็นไปได้ว่า ต้นที่ค้นพบใหม่นี้เป็นต้นไม้ที่เก่าแก่และมีอายุมากที่สุดในโลก

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิง : www.igreenstory.co , www.science.org

2 ม.ค. 2567  ผู้จัดการออนไลน์

141
เอเอฟพี - อดีตรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขของเวียดนาม และผู้ต้องหาอีก 37 คน ถูกดำเนินคดีในกรุงฮานอยวันนี้ (3) จากการถูกกล่าวหาว่ามีบทบาทในการผลิตและจำหน่ายชุดตรวจโควิด-19 ที่มีราคาสูงเกินไป

เหตุอื้อฉาว Viet A ที่ตั้งชื่อตามบริษัท Viet A ที่ผลิตชุดตรวจโควิด ได้กล่าวหาว่ามีเจ้าหน้าที่ระดับสูงจำนวนหนึ่งอำนวยความสะดวกในกาีทำข้อตกลงมูลค่าหลายล้านดอลลาร์สำหรับการจัดหาอุปกรณ์ทดสอบให้โรงพยาบาลและชุมชนท้องถิ่นต่างๆ ในราคาที่สูงเกินจริงอย่างมาก

หนึ่งในนั้นคืออดีตรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข เหวียน แถ่ง ลอง ที่ถูกกล่าวหาว่ารับสินบนมูลค่า 2.25 ล้านดอลลาร์ และอดีตนายกเทศมนตรีกรุงฮานอย จู หง็อก แอ็ง ถูกกล่าวหาว่าละเมิดกฎระเบียบการจัดการทรัพย์สินของรัฐ

เจ้าหน้าที่ และนักธุรกิจอย่างน้อย 100 คน ถูกจับกุมทั่วประเทศจากการเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับคดีอื้อฉาวนี้

เหตุฉ้อโกงดังกล่าวคาดว่าทำเงินให้บริษัท Viet A ราว 172 ล้านดอลลาร์ และในจำนวนนั้นถูกนำไปใช้ในการติดสินบนเจ้าหน้าที่ 34 ล้านดอลลาร์

ตามการรายงานของสื่อของรัฐ บริษัท Viet A ระบุว่าได้ผลิตชุดทดสอบ 8.7 ล้านชุดในช่วงที่มีการระบาด โดยส่วนใหญ่ถูกส่งไปสถานพยาบาลทั่วประเทศ

ที่ศาลทหารในกรุงฮานอยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซีอีโอของบริษัทถูกตัดสินจำคุก 25 ปี ฐานใช้อำนาจโดยมิชอบและละเมิดกฎระเบียบการประมูล และเขายังเผชิญกับข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในการพิจารณาคดีที่เริ่มในวันนี้ด้วย

เวียดนามเป็นที่รับรู้กันทั่วโลกว่าสามารถดำเนินมาตรการในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ต่อมาพบว่าเจ้าหน้าที่รับเงินจากบริษัทที่จัดเที่ยวบินนำพลเมืองในต่างแดนกลับประเทศ และการตรวจสอบหาเชื้อในชุมชน

เมื่อปีที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ 3 รายถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต ขณะที่อีกหลายสิบคนได้รับโทษจำคุกเป็นเวลานานจากการติดสินบนและคอร์รัปชันในเที่ยวบินนำพลเมืองกลับประเทศเหล่านั้น

และในปี 2565 สมัชชาแห่งชาติของประเทศได้ปลดฝ่าม บิ่ง มีง และหวู ดึ๊ก ดาม ออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี

มีงดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ที่เป็นผู้นำในการจัดการเที่ยวบินพาชาวเวียดนามในต่างแดนกลับประเทศ ขณะที่ดามดูแลรับผิดชอบในการจัดการรับมือการแพร่ระบาดของโควิดภายในเขตแดนประเทศ

การกวาดล้างการทุจริตคอร์รัปชันที่นำโดยเหวียน ฝู จ่อง เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ ยังทำให้ประธานาธิบดีเหวียน ซวน ฟุก หลุดจากตำแหน่ง เพื่อรับผิดชอบทางการเมืองต่อข้อบกพร่องของเจ้าหน้าที่จำนวนมาก ตามคำแถลงของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ในขณะนั้น.

3 ม.ค. 2567  ผู้จัดการออนไลน์

142
คนไทยเฮ! หลัง TasteAtlas จัดอันดับให้เมนู “พะแนง” ครองอันดับ 1 ของโลกในหมวดเมนูสตูว์ และเมนู “ข้าวซอย” ครองอันดับ 1 ของโลกในหมวดเมนูเส้น บอกเลยว่าอาหารไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก!

TasteAtlas เว็บไซต์รวบรวมสูตรอาหารและรีวิวจากนักวิจารณ์อาหารทั่วโลก ได้จัดอันดับ “Best Stew in the World in 2023” หรือสตูว์ที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2023 ซึ่งผลปรากฏออกมาว่าเมนู “พะแนง” ของไทย คว้าอันดับ 1 เมนูสตูว์ที่ดีที่สุดในโลกมาครองได้

นอกจากนั้นในการจัดอันดับ “Best Noodle Dish in the World in 2023" หรืออาหารเมนูเส้นที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2023 นั้น เมนู “ข้าวซอย” ของไทยก็ผงาดขึ้นครองแชมป์อันดับ 1 ในหมวดนี้ด้วยเช่นกัน

สำหรับ 5 อันดับแรกในหมวดสตูว์ที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2023 ได้แก่
1. พะแนง จากประเทศไทย
2. Indio viejo จากนิการากัว
3. Karē จากญี่ปุ่น
4. Legim จากเฮติ
5. Bò kho จากเวียดนาม

และ 5 อันดับแรกในหมวดเมนูเส้นที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2023 ได้แก่
1. ข้าวซอย จากประเทศไทย
2. Rechta จากแอลจีเรีย
3. Mee bandung จากมาเลเซีย
4. Tonkotsu ramen จากญี่ปุ่น
5. Ramen จากญี่ปุ่น

22 ธ.ค. 2566  ผู้จัดการออนไลน์

143
รวม 4 วันปีใหม่ เกิดอุบัติเหตุ 1,570 ครั้ง เจ็บ 1,574 ราย ดับ 190 ราย กทม.ตายสูงสึด 13 ราย กาญจนบุรีเกิดเหตุสูงสุด จังหวัดตายเป็นศูนย์มี 19 จังหวัด ศปถ.กำชับเรียกตรวจขับรถเร็ว - ง่วงหลับใน

เมื่อวันที่ 2 ม.ค.ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงสรุปสถิติอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 ว่า วันที่ 1 ม.ค.2567 ซึ่งเป็นวันที่สี่ของการรณรงค์ “ขับขี่ปลอดภัย เมืองไทยไร้อุบัติเหตุ” เกิดอุบัติเหตุ 419 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ 422 คน ผู้เสียชีวิต 62 ราย สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ขับรถเร็ว ร้อยละ 39.14 ดื่มแล้วขับ ร้อยละ 30.55 ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 86.51 ส่วนใหญ่เกิดบนเส้นทางตรง ร้อยละ 85.44 ถนนกรมทางหลวง ร้อยละ 39.86 ถนนใน อบต./หมู่บ้านร้อยละ 33.17

ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ช่วงเวลา 00.01 – 01.00 น. ร้อยละ 10.26 ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุด อยู่ในช่วงอายุ 20 - 29 ปี ร้อยละ 17.36 จัดตั้งจุดตรวจหลัก 1,785 จุด เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 51,672 คน โดยจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ประจวบคีรีขันธ์ และสงขลา (จังหวัดละ 15 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุด ได้แก่ ประจวบคีรีขันธ์ (22 คน) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (5 ราย)

สรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสมในช่วง 4 วัน (29 ธ.ค. 66 – 1 ม.ค. 67) เกิดอุบัติเหตุรวม 1,570 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ รวม 1,574 คน ผู้เสียชีวิต รวม 190 ราย จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุดได้แก่ กาญจนบุรี (57 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ กาญจนบุรี (56 คน) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (13 ราย) จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต (ตายเป็นศูนย์) มี 19 จังหวัด

อย่างไรก็ตาม วันนี้ (2 ม.ค. 67) ประชาชนบางส่วนเดินทางถึงกรุงเทพมหานครและจังหวัดเขตเศรษฐกิจในภาคต่าง ๆ แล้ว บางส่วนยังอยู่ระหว่างการเดินทางกลับจากภูมิลำเนาและท่องเที่ยวเข้าสู่กรุงเทพมหานคร ทำให้ถนนสายหลักในบางจุดมีปริมาณการจราจรหนาแน่น ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจึงได้ประสานจังหวัดปรับแนวทางการดูแลความปลอดภัยให้สอดคล้องกับการเดินทางและปัจจัยเสี่ยง โดยสนธิกำลังเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการในจุดตรวจและบริการประชาชนในเส้นทางสายหลัก ทางลัด และทางเลี่ยงเมือง เพื่อดูแลความปลอดภัยและอำนวยการจราจรให้มีความคล่องตัว ควบคู่กับการคุมเข้มพฤติกรรมเสี่ยงที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุ โดยเฉพาะการขับรถเร็วในเส้นทางตรงที่ผู้ขับขี่สามารถใช้ความเร็วสูงได้ต่อเนื่อง

อีกทั้งเพิ่มความถี่ในการเรียกตรวจยานพาหนะและรถโดยสารสาธารณะทั้งประจำทางและไม่ประจำทาง เพื่อชะลอความเร็วรถและประเมินความพร้อมของผู้ขับขี่ โดยเฉพาะเส้นทางตรงที่มีระยะทางยาวที่มักเกิดอุบัติเหตุจากการง่วงหลับใน นอกจากนี้ ให้เตรียมความพร้อมการช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาล อาสาสมัคร กู้ชีพกู้ภัย ให้พร้อมเข้าถึง จุดเกิดเหตุและรับส่งผู้ประสบเหตุอย่างรวดเร็ว

นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า วันนี้คาดว่าเส้นทางสายหลักยังคงมีปริมาณรถหนาแน่น ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนได้กำชับให้จังหวัดสนธิกำลังอาสาสมัครอำนวยการจราจรและดูแลความปลอดภัยแก่ประชาชนตลอดเส้นทาง เพื่อคุมเข้มพฤติกรรมเสี่ยงอุบัติเหตุ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้รถจักรยานยนต์ให้สวมหมวกนิรภัยและไม่ขับขี่ด้วยความคึกคะนองและเสี่ยงอันตราย รวมถึงตรวจสอบประชาชนและนักท่องเที่ยวที่ยังตกค้างในสถานีขนส่งต่าง ๆ ให้สามารถเดินทางกลับได้อย่างปลอดภัย ทั้งนี้ ขอฝากผู้ใช้รถใช้ถนนดูแลสภาพร่างกายให้พร้อมขับขี่ และตรวจเช็คสภาพรถให้ปลอดภัยก่อนออกเดินทางกลับ ไม่ขับรถเร็ว ปฏิบัติตามกฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัด หยุดพักรถทุก 1 - 2 ชั่วโมง ไม่ฝืนขับรถ เมื่อมีอาการง่วงนอนให้จอดพักรถตามจุดบริการต่างๆ หรือสถานีบริการน้ำมัน เพื่อให้เดินทางถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย ท้ายนี้ หากประสบหรือพบเห็นอุบัติเหตุสามารถแจ้งเหตุได้ทางสายด่วน 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง และไลน์ “ปภ.รับแจ้งเหตุ1784” โดยเพิ่มเพื่อน Line ID @1784DDPM เพื่อประสานให้การช่วยเหลือโดยด่วนต่อไป

2 ม.ค. 2567  ผู้จัดการออนไลน์

144
มาแล้ว! ตารางสีเสื้อมงคล 2567 ประจําวัน สีเสริมดวงในแต่ละวัน การงานลุล่วง ผู้ใหญ่เมตตาอุปถัมภ์ เสริมเสน่ห์เจรจา การเงินปัง และสีเสื้อกาลกิณี

สมาคมโหรแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ เผย สีเสื้อมงคล ประจำปี 2567 เสริมดวงด้านการงาน การเงิน เสริมเสน่ห์ คนอุปถัมภ์ และสีต้องห้าม สีกาละกิณี ในแต่ละวัน

สีเสื้อมงคล วันอาทิตย์ 2567
การงาน - ชมพูอ่อน, ม่วงเข้ม
การเงิน - ดำ, เทา
เสริมเสน่ห์ - แดง
คนอุปถัมภ์ - เทา, ทอง
กาลกิณี - เหลือง

สีเสื้อมงคล วันจันทร์ 2567
การงาน - ส้มอ่อน, เขียว
การเงิน - ส้มอ่อน, น้ำตาล
เสริมเสน่ห์ - ขาว, เหลือง, ชมพูพาสเทล
คนอุปถัมภ์ - น้ำเงิน
กาลกิณี - แดง

สีเสื้อมงคล วันอังคาร 2567
การงาน - ม่วงเข้ม, เทาเข้ม
การเงิน - ทอง, เทาอ่อน
เสริมเสน่ห์ - ชมพูอ่อน
คนอุปถัมภ์ - แดงเลือดหมู
กาลกิณี - ครีม

สีเสื้อมงคล วันพุธ 2567
การงาน - ส้มอ่อน, น้ำตาล
การเงิน - ฟ้าอ่อน, น้ำเงิน
เสริมเสน่ห์ - เขียวเข้ม
คนอุปถัมภ์ - ขาว, ครีม
กาลกิณี - ดำ

สีเสื้อมงคล วันพฤหัสบดี 2567
การงาน - ฟ้า, เขียว
การเงิน - ครีม, เหลืองอ่อน, ส้มอ่อน
เสริมเสน่ห์ - ส้ม, น้ำตาล
คนอุปถัมภ์ - เขียวอ่อน
กาลกิณี - น้ำตาล

สีเสื้อมงคล วันศุกร์ 2567
การงาน - เหลือง, ขาว
การเงิน - เขียวพาสเทล
เสริมเสน่ห์ - ฟ้า, น้ำเงิน
คนอุปถัมภ์ - ส้มอ่อน, น้ำตาล
กาลกิณี - แดง

สีเสื้อมงคล วันเสาร์ 2567
การงาน - เงิน, น้ำตาลเข้ม
การเงิน - แดง
เสริมเสน่ห์ - ม่วงพาสเทล, เทาเข็ม, ดำ
คนอุปถัมภ์ - ม่วง
กาลกิณี - เทา



Amarin TV News
1มค2567

145
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รายงานจำนวนผู้ป่วยโควิดรายใหม่ สัปดาห์ที่ 52 ระหว่าง 24 ธ.ค.-30 ธ.ค.2566 พบผู้ป่วยใหม่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่มอีก 594 ราย  รวมยอดสะสมตั้งแต่ต้นปี2566 จำนวน  38,457 ราย เสียชีวิต 3 คน รวมเสียชีวิตสะสม 848 คน

วันที่ 1 มกราคม 2567 กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และศูนย์ COVID-19 ของรัฐบาล รายงานสถานการณ์ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายสัปดาห์ สัปดาห์ที่ 52 ระหว่าง 24 – 30 ธันวาคม 2566 ว่า มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล (รายสัปดาห์) เพิ่ม 594 ราย รวมยอดสะสมตั้งแต่ต้นปี 2566 ที่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล จำนวน 38,457 ราย

ส่วนผู้เสียชีวิตรายสัปดาห์มีจำนวน 3 คน รวมเสียชีวิตสะสมตั้งแต่ต้นปี 2566 จำนวน 848 คน

ขณะที่สัปดาห์ล่าสุดยังมีผู้ป่วยปอดอักเสบอีกจำนวน 120 คน และมีผู้ป่วยที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ 74 คน
เกาะติดยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายสัปดาห์ ระหว่าง 24 – 30 ธันวาคม 2566

ผู้ป่วยรักษาตัวในโรงพยาบาล (รายสัปดาห์) 594 ราย
ผู้เสียชีวิต (รายสัปดาห์) 3 ราย
ผู้ป่วยรักษาในโรงพยาบาล สะสม 38,457 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2566)
ผู้เสียชีวิต สะสม 848 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2566

ประชาชาติ
1 มกราคม 2567

146
หมอชลน่าน” เผย อ.ก.พ. สป.สธ. เห็นชอบหลักสูตรแพทย์ประจำบ้าน 13 สาขา ลาศึกษาต่อโดยไม่ถือเป็นวันลาและได้รับการเลื่อนเงินเดือน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผย ที่ประชุม อ.ก.พ. สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข มีมติเห็นชอบให้การลาศึกษาต่อหลักสูตรแพทย์ประจำบ้าน 13 สาขา โดยให้ถือเสมือนว่าเป็นการไปปฏิบัติราชการ และอาจนำผลการศึกษามาเพื่อประกอบการเลื่อนเงินเดือนได้

          วันนี้ (27 ธันวาคม 2566) นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินนโยบายกระทรวงสาธารณสุข ในเรื่องการสร้างขวัญกำลังใจบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ว่า ที่ประชุม อ.ก.พ. สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้มีมติเห็นชอบหลักสูตรแพทย์ประจำบ้านทั้ง 13 สาขา ได้แก่ เวชศาสตร์ครอบครัว, เวชศาสตร์ฉุกเฉิน, อาชีวเวชศาสตร์, ศัลยศาสตร์, วิสัญญีวิทยา,เวชศาสตร์ฟื้นฟู, สูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา, กุมารเวชศาสตร์, อายุรศาสตร์, ออร์โธปิดิกส์, อายุรศาสตร์โรคไต, อายุรศาสตร์โรคระบบหายใจและภาวะวิกฤตระบบการหายใจ และอายุรศาสตร์โรคหัวใจ ให้ลาศึกษาต่อในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข โดยให้ถือว่าเป็นการไปปฏิบัติราชการ และยังได้รับสิทธิการพิจารณาเลื่อนเงินเดือน
          นายแพทย์ชลน่านกล่าวต่อว่า หลังจากนี้ ได้มอบหมายให้ กองบริหารทรัพยากรบุคคล สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ทำหนังสือแจ้งเวียนรายละเอียดหลักสูตร และชี้แจงแนวทางการดำเนินการให้ทุกจังหวัดรับทราบ รวมถึงจะได้รวบรวมรายชื่อแพทย์ที่จะลาศึกษาต่อ เพื่อนำผลการศึกษามาประกอบการพิจารณาเลื่อนเงินเดือน และประเมินผลการดำเนินการต่อ สำหรับหลักสูตรที่มีแพทย์ไปฝึกต่างกรมที่อยู่ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขจะดำเนินการเสนอ อ.ก.พ. กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาในลำดับถัดไป


ข่าวทำเนียบรัฐบาล
27​ ธค​ 2566

147
“สมชาย” หวั่นแพทย์ รพ.ตำรวจ ให้ความเห็นเป็นเท็จ หลังราชทัณฑ์เข้าชี้แจงต่อวุฒิสภาเมื่อวาน ระบุแพทย์ให้ความเห็นควรรักษาตัวต่อเนื่องหลังครบ 120 วัน บี้ นายกฯ - ยธ.ตรวจสอบนักโทษได้รับสิทธิเพราะป่วยอะไร พร้อมเสนอตัวร่วมขบวนลงพื้นที่

วันนี้ (26 ธ.ค.) ที่วุฒิสภา นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) หารือต่อที่ประชุมวุฒิสภาว่า เมื่อวันที่ 25 ธ.ค.ในการประชุมของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ได้เชิญตัวแทนของกรมราชทัณฑ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เข้าชี้แจงซึ่งเป็นการประชุมติดตามกรณีการพักโทษให้กับนักโทษเด็ดขาดนอกเรือนจำที่เกินเวลา 120 วัน เป็นครั้งที่สาม ซึ่งเป็นการประชุมโดยเปิดเผย ต่างจาก 2 ครั้งที่ผ่านมาที่เป็นการประชุมลับ เนื่องจากการประชุมลับไม่ได้ข้อมูลใดๆ เลย ทั้งนี้ ในการชี้แจงของกรมราชทัณฑ์ในกรณีการอนุญาตให้นักโทษเด็ดขาด เป็นอดีตนายกฯ รักษาตัวนอกเรือนจำ ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ รักษาตัวนอกเรือนจำเกิน 120 วัน ระบุว่าผู้บัญชาการเรือนจำได้ทำเรื่องขออนุมัติ ซึ่งส่งเรื่องไปยังอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และแจ้งให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรมให้รับทราบตามหลักเกณฑ์แล้ว พร้อมหลักฐานสำคัญ คือ คำวินิจฉัยของแพทย์ ที่ลงนามในใบรักษา ระบุว่า ให้รักษาตัวต่อเนื่อง อีกทั้งกรมราชทัณฑ์ระบุว่าไม่มีอำนาจนำตัวผู้ต้องขังกลับจากโรงพยาบาล ด้วยเหตุผลตามความเห็นของแพทย์ที่ให้รักษาตัวต่อเนื่อง



นายสมชาย กล่าวด้วยว่า ตนขอเรียกร้องให้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และ รมว.คลัง รวมถึง พ.ต.อ.ทวี ตรวจสอบว่านักโทษที่ได้รับสิทธิดังกล่าวป่วยด้วยโรคอะไร เพราะเท่าที่ทราบคือ เป็นโรคปกติธรรมดา คือ ความดัน เส้นเลือดตีบ เป็นโควิด ติดเชื้อที่ปอด กระดูกเสื่อม และรักษาอาการที่ไกล่ ไม่จำเป็นต้องรักษาเกินระเบียบ หากแพทย์ให้ความเห็นว่าต้องรักษาตัวต่อเนื่อง ต้องป่วยด้วยโรครร้ายยแรง ใกล้วาระสุดท้าย นอนติดเตียง

“สำหรับการควบคุมนักโทษนั้นตามระเบียบของราชทัณฑ์กำหนดให้มีผู้คุมดูแลผลัดละ 2 คนและต้องถ่ายรูปคู่กับนักโทษที่รักษาตัวนอกเรือนจำ ทุกๆ 2 ชั่วโมง เพื่อรายงาน แต่จากการตรวจสอบของ กมธ. ทราบจากกรมราชทัณฑ์ว่าไม่เคยเข้าไปตรวจ ซึ่งผมขอให้ รมว.ยุติธรรม ปลัดกระทรวง และอธิบดีกรมราชทัณฑ์เข้าไปตรวจสอบ ซึ่งไม่ใช่การคุกคามคนป่วย แต่เพื่อไปดูว่าแพทย์ได้ตรวจ หรือให้ความเห็นเป็นเท็จหรือไม่ และหากหน่วยงานต้องการความช่วยเหลือ กมธ.ของวุฒิสภาที่เกี่ยวข้องพร้อมไปด้วย รวมถึง กสม. ด้วย” นายสมชาย กล่าว

นายสมชาย กล่าวด้วยว่า กมธ.สิทธิมนุษยชนฯ ได้ขอเรียกเอกสารตามที่ ผู้บัญชาการเรือนจำที่ทำควาเห็นถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ที่อนุมัติให้นักโทษเด็ดขาดอยู่นอกเรือนจำทั้ง 3 ครั้ง มาตรวจสอบอีกครั้ง รวมถึงภาพถ่ายของผู้คุมร่วมกับผู้ต้องขังมาตรวจสอบ ทั้งนี้ไม่ใช่ทำไปด้วยความอคติ แต่ต้องการสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ส่วนที่ในโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ระบุว่า กล้องวงจรปิดภายในเสียนั้น ตนมองว่า ไม่น่าเชื่อถือ เพราะ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ คือ ผู้พิทักษ์ความสงบเรียบร้อย ดังนั้น การกระทำใดๆ ขอให้คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนบุคคล แต่หาก สตช. ไม่มีงบประมาณเพื่อเปลี่ยน ตนจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้และขอให้แพร่ภาพมายังที่วุฒิสภา ตลอด 24 ชั่วโมงด้วย แต่หากยังไม่ดำเนินการใด ตนจะเสนอให้พรรคฝ่ายค้านในสภา ตัดงบประมาณของกรมราชทัณฑ์ ทั้งหมด เพราะหน่วยงานดังกล่าวถือว่าหมดความจำเป็น

นายสมชาย กล่าวด้วยว่า สำหรับระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยให้สิทธินักโทษคุมขังนอกเรือนจำ จากการตรวจสอบแล้วพบว่า อาจเป็นระเบียบที่ขัดแย้งกันกับระเบียบที่ประกาศไว้ก่อนหน้านั้น ที่กำหนดให้สิทธินักโทษคุมขังนอกเรือนได้ แต่ต้องมีหลักเกณฑ์ที่เหมาะสมตามเกณฑ์ เช่น นักโทษที่อายุ 70 ปีขึ้นไป ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หรือช่วเหลือตัวเองได้น้อยจะได้รับสิทธิเป็นต้น


26 ธ.ค. 2566  ผู้จัดการออนไลน์

148
หนุ่มนักศึกษาแพทยศาสตร์ ที่มหาสารคามถูกพบเป็นศพ เสียชีวิตจากการตกจากชั้น 10 ตึกอาคารเรียน หลังเลิกเรียนช่วงเย็น พบมีปัญหาด้านการเงิน ค้างค่าเทอมมา 2 เทอมแล้ว

เวลา 17.00 น. วันที่  26 ธ.ค 66 พ.ต.อ.ไกรทอง ชัยวิงห์ ผกก.สภ.เมือง มหาสารคาม ได้รับแจ้งนักศึกษาตกตึกจากชั้น 10 อาคารคณะแพทยศาสตร์ รพ.สุทธาเวช มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จึงได้ออกไปที่เกิดเหตุพร้อมกับพนักงานสอบสวนและชุดสืบสวน

ที่เกิดเหตุที่ระเบียงชั้น 5 ตึกคณะแพทยศาสตร์ พบศพนักศึกษาชาย ชื่อนายนที (นามสมมติ) อายุ 23 ปี  ชาว อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 3 เอกการแพทย์แผนไทยประยุกต์บัณฑิต อยู่ในชุดนักศึกษาเสื้อขาวแขนยาวกางเกงดำ เลือดออกปากออกจมูกมันสมองกระจาย จึงได้ตามแพทย์เวรจากโรงพยาบาลมหาสารคามมาชันสูตร พร้อมเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานภูธรจังหวัดมหาสารคาม

โดยนักศึกษาและชาวบ้าน ที่มามุงดูพูดคุยกันว่าช่วงที่นักศึกษาแพทย์ตกตึกลงมานั้น คนด้านล่างได้ยินเสียงตุ้บ ขณะที่คนรู้จักผู้ตายบอกว่า ก่อนนี้น้องค่อนข้างเครียด เนื่องจากมีปัญหาด้านการเงิน และค้างจ่ายค่าเทอม มา 2 เทอมแล้ว

จากการสอบถาม รปภ.ที่ดูแลอาคาร แจ้งว่าช่วงเวลาเลิกเรียนแล้วตนก็ไล่ตรวจดูตามห้องเรียน มีนักศึกษาผู้หญิงมาบอกตนว่าจะมีคนกระโดดตึก พอไปเห็นตอนนั้นก็ไม่ทันแล้วน้องเขาจับราวระเบียงแล้วก็ร่วงลงไป เข้าไปช่วยไม่ทัน

ด้าน พ.ต.อ.ไกรทอง ชัยสิงห์ ผกก.สภ.เมืองมหาสารคาม กล่าวว่า เบื้องต้นตอนนี้กำลังรวบรวมพยานหลักฐาน และรวบรวมเอกสารของน้องเขาเท่าที่ดูจากโซเชียลก็จะมีปัญหาส่วนตัวพอสมควร ตอนนี้ได้ให้ชุดสืบสวนเข้าไปไล่ดูกล้องวงจรปิดตามห้องเรียนและในตัวตึกเพื่อตรวจสอบ และยืนยันการตายว่ามาจากการฆ่าตัวตาย หรือเกิดจากการกระทำของคนอื่น       

26 ธ.ค. 2566
ไทยรัฐออนไลน์

149
”หมอยง” แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยา โพสต์ข้อความตอกหน้าพวกที่เคยบูลลี่ประเด็นวัคซีนโควิด-19 พร้อมร่ายยาว 10 ข้อ กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์แล้ว

วันนี้ (25 ธ.ค.) นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ ราชบัณฑิตยสภา โพสต์เฟซบุ๊ก “Yong Poovorawan” ในประเด็น “วัคซีนโควิดกาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์” โดยได้ระบุข้อความว่า

“โควิด-19 วัคซีน กาลเวลาเป็นที่พิสูจน์

ในระยะแรกที่เริ่มมีการใช้วัคซีนในประเทศไทย ที่มีวัคซีนอย่างจำกัดมาก มีความต้องการสูง ประเทศไทยได้วัคซีนเชื้อตายเข้ามาเริ่มแรก ผมและคณะได้ทำการศึกษาวิจัยอย่างละเอียด มีการฉีดสูตรไขว้ และเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง แต่มีการว่ากล่าวให้ร้าย (bully) อย่างมาก ถูกดึงเข้าสู่การเมือง ขณะนี้กาลเวลาที่ผ่านมาเป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่า ข้อมูลที่กล่าวไว้ถูกต้องทุกประการ ปีนี้เป็นปีที่ 4 ของการระบาด ขอให้เป็นสังคมอุดมปัญญา จะขอสรุปข้อมูลเกี่ยวกับโควิดวัคซีนเพื่อให้สังคมได้เข้าใจ

1. วัคซีนโควิด-19 มี 4 ชนิด คือ ก. เชื้อตาย (inactivated vaccine; sinovac, sinopharm) ข. ไวรัสเวกเตอร์ (AstraZeneca; AZ) ค. mRNA วัคซีน ได้แก่ (Pfizer, Moderna) ง. โปรตีนสับยูนิต ได้แก่ Novavax

2. วัคซีนทุกตัวมีประสิทธิภาพไม่แตกต่างกัน จะมีประสิทธิภาพดีในเดือนแรกๆ หลังฉีด และระยะเวลาที่นานขึ้น จะไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ แต่เป็นส่วนหนึ่งของการลดความรุนแรงของโรค ประสิทธิภาพจึงไม่แตกต่างกัน ไม่มีวัคซีนเทพ

3. วัคซีนเชื้อตายกระตุ้นภูมิต้านทานได้เท่ากับการติดเชื้อในธรรมชาติ แต่ต่ำกว่าวัคซีนไวรัสเวกเตอร์ และ mRNA

4. วัคซีนที่ใช้มากที่สุดในโลก คือเชื้อตาย ใช้มากกว่าครึ่งหนึ่งของปริมาณวัคซีนที่ฉีดในโลก โดยเฉพาะใช้มากในเอเชียและแอฟริการวมทั้งอเมริกาใต้ ประเทศที่ใช้วัคซีนดังกล่าวอัตราการเสียชีวิตไม่ได้สูงมากเท่าประเทศที่ใช้ mRNA วัคซีน อเมริกามีผู้ป่วยเสียชีวิตกว่า 1 ล้านราย ซึ่งห่างกับประเทศจีนมาก หรือแม้กระทั่งอินโดนีเซีย และไทย อัตราการเสียชีวิตก็ต่ำกว่าอเมริกา และยุโรปมาก

5. วัคซีนทุกตัวมีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้ ตามหลักการของวัคซีน ถ้าเป็นวัคซีนเชื้อตายจะใช้เทคโนโลยีเดิม เช่นเดียวกับวัคซีนไวรัสตับอักเสบ A, Polio ที่เป็นเชื้อตาย อาการข้างเคียง เช่นมีไข้ ปวดเมื่อย น้อยกว่าวัคซีนไวรัสเวกเตอร์ และ mRNA มาก รวมทั้งอาการของหลอดเลือดและกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และโรคที่เกี่ยวกับระบบภูมิต้านทานก็พบได้น้อยกว่า

6. วัคซีนเชื้อตายราคาถูกกว่า mRNA มาก และการใช้ก็เก็บได้ง่าย เชื้อตายขวดละ 1 คน ขณะที่ mRNA ขวดละ 7-10 คน ทำให้เหลือทิ้งมาก และต้องเก็บที่อุณหภูมิลบ 70 องศา แต่วัคซีนเชื้อตายเก็บที่ตู้เย็นธรรมดาคือ 4 องศา การบริหารจัดการง่ายกว่า ความสูญเสียทิ้งน้อยกว่า

7. การให้วัคซีนสูตรไขว้ เป็นทางออกที่ทำให้ผลลัพธ์สุดท้ายของวัคซีนเชื้อตายมีระดับภูมิต้านทานสูง เช่น ฉีดวัคซีนเชื้อตาย 2 เข็ม และกระตุ้นด้วย mRNA ผลลัพธ์ที่ได้จะเท่ากับการให้ mRNA 3 เข็ม ข้อมูลเผยแพร่ในวารสาร PGH (doi: 10.1080/20477724.2022.2108646) และเป็นที่ยอมรับทั่วโลก องค์การอนามัยโลกก็ยอมรับสูตรไขว้

8. การให้สูตรไขว้ที่ใช้ในประเทศไทย เข็มแรกให้เชื้อตาย sinovac แล้วตามด้วยไวรัสเวกเตอร์ AZ ภูมิต้านทานที่ได้ดีกว่าการให้เชื้อตาย 2 เข็ม หรือไวรัสเวกเตอร์ 2 เข็ม และเป็นที่ยอมรับขององค์การอนามัยโลก

9. วัคซีนเชื้อตายอาการข้างเคียงเช่นไข้และอื่นๆ น้อยกว่าไวรัสเวกเตอร์และ mRNA มาก วัคซีนไวรัสเวกเตอร์ AZ จะมีอาการข้างเคียงมากในเข็มแรก และจะน้อยลงในเข็มที่ 2 และ 3 ขณะเดียวกันภูมิต้านทานก็เกิดขึ้นได้น้อย เพราะ vector ถูกทำลายด้วยระบบภูมิคุ้มกันของเราที่เกิดขึ้นจากเข็มแรก ส่วน mRNA อาการข้างเคียงในเข็มที่ 2 จะมากกว่าเข็มแรก และจะมากขึ้นอีกถ้ามีการให้หลายๆ ครั้ง เช่นต่อมน้ำเหลืองโต กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ การให้สูตรไขว้ทำให้ได้ mRNA จำนวนครั้งลดน้อยลง และระดับภูมิต้านทานไม่ได้แตกต่างกัน ประสิทธิภาพในการลดความรุนแรงก็ขึ้นอยู่กับจำนวนเข็มของวัคซีนและในทางปฏิบัติการให้ครบ หมายถึงให้อย่างน้อย 3 เข็ม

10. การได้รับวัคซีนไม่ว่าจะกี่เข็มก็สามารถเกิดการติดเชื้อได้ เพราะวัคซีนไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อเพียงแต่ว่าลดความรุนแรง เพราะระยะฟักตัวของโควิด-19 สั้นมากเพียง 2 วัน ภูมิต้านทานที่เกิดขึ้น จึงไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ จึงไม่มีวัคซีนเทพ ประสิทธิภาพที่แจงกันมาแต่แรก ส่วนใหญ่จากการศึกษาระยะสั้น ถ้าติดตามยาวออกไปก็จะรู้ว่าไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้

เมื่อผ่านมาครบ 4 ปีแล้ว ประชากรส่วนใหญ่หรือมากกว่าร้อยละ 90 ติดเชื้อไปแล้วร่วมกับได้รับวัคซีน ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นของประชากรส่วนใหญ่จึงเป็นภูมิคุ้มกันแบบลูกผสม เป็นภูมิคุ้มกันที่ค่อนข้างสมบูรณ์ ไวรัสก็วิวัฒนาการลดความรุนแรงลง ความจำเป็นที่จะต้องได้รับวัคซีนกระตุ้นก็ลดลง โรคได้เปลี่ยนเป็นโรคประจำฤดูกาลคล้ายกับไข้หวัดใหญ่ และมียารักษาที่ดีขึ้นและเพียงพอ ไวรัสไม่ได้หายไปไหน การปฏิบัติตัวเพื่อลดการแพร่กระจายของโรคทางเดินหายใจ เป็นการทำที่มีประโยชน์ ไม่ใช่เฉพาะโรคโควิด-19 เท่านั้น ยังรวมถึงโรคทางเดินหายใจอื่นๆ อีกด้วย”

25 ธ.ค. 2566  ผู้จัดการออนไลน์

150
กลายเป็นเรื่องราวสุดสะเทือนใจอย่างมาก กรณี วันที่ 24 ธ.ค.66 มีรายงานว่า นาง รุ่งทิพย์ ประวัติศรี อายุ  51 อาชีพพยาบาล พยาบาลสาว รพ.รัฐแห่งหนึ่งในจังหวัดราชบุรี ได้พาแม่เดินทางเข้าร้องเพจสายไหมต้องรอด หลังพาแม่เข้ารับการผ่าตัดต้อกระจก ทางคุณหมอรักษาผิดพลาด ทำให้ตาของแม่ติดเชื้อรุนแรง ต้องควักลูกตาทิ้ง โดย เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ที่ผ่านมา นาง มัก แช่ตั้ง ซึ่งเป็นแม่ของพยาบาลสาวนั้น มีอาการตามองเห็นไม่ชัดจึงได้พาไปตรวจที่คลินิกแห่งหนึ่งใน จ.ราชบุรี

โดยผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ผู้ตรวจที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งในจ.ราชบุรี ว่าเป็นต้อกระจกที่ตาซ้าย จึงได้เสนอแพ็คเกจการผ่าตัดต่างๆซึ่งตนและแม่มีความไม่สะดวกบ้างอย่างในแพ็คเกจเหล่านนี้ เช่นไม่สะดวกไปช่วงเวลาในการผ่าตัดนั้นๆ ตนถึงเลือกที่จะจ่ายเงิน 25,000 บาท ซึ่งสามารถวัดเลนส์ได้วันนั้นเลยและสามารถไปผ่าตัดได้เลยในวันที่ 15 พฤษภาคมที่ โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งของจ.ราชบุรี 

ซึ่งภายหลังจากการผ่าตัดนั้นตนได้ สังเกตตาของแม่ในขณะที่มีการนัดดูตาหลังผ่าตัดที่คลินิกดังกล่าวพบว่าดวงตาข้างที่ผ่าตัดมานั้น มีรอยแดงคล้ายเลือดออกในตา แต่หมอคนที่รักษาได้บอกกับตนว่าเพิ่งผ่าตัดมาดวงตาอาจจะยังไม่ สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ขนาดนั้นอาจจะมีสีเเดงในตาอยู่บ้าง

แต่ปรากฏว่าหลังจากมีการนัดดูตาขึ้นอีก7วันหลังจากนั้น ก็ได้มีการแจ้งจากแพทย์ที่รักษาคนดังกล่าวว่าตาของแม่นั้นมีการติดเชื้อ ต้องมีการไปรักษาตัวด่วนที่โรงพยาบาลบ้านแพ้ว ถึงได้มีการนัดจากแพทย์คนดังกล่าวว่าให้ไปรับยาฆ่าเชื้อในวันที่ 23 พฤษภาคม ที่โรงพยาบาลที่ตนทำงานอยู่

เพราะตนและแพทย์คนดังกล่าวนั้นทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งเดียวกัน แต่พอไปถึงกลับไม่ได้ให้ยาดังกล่าวมีเเต่การเขียนใบบันทึกข้อความและบอกให้ตนนั้นรีบพาไปรักษาที่โรงพยาบาลบ้านแพ้ว พอตนและแม่ได้ไปถึงโรงพยาบาลดังกล่าวก็ได้ผ่าตัดในวันนั้นเลย

โดยภายหลังการผ่าตัดตาอีกรอบในวันรุ่งขึ้น ตาสองข้างนั้นแทบจะไม่สามารถมองเห็นได้ เพราะการอักเสบนั้นบวมไม่สามารถไม่สามารถมองเห็นได้ ซึ่งแพทย์ได้ส่งสัญญามาให้ตนแล้วว่าการอักเสบในครั้งนี้นั้นอาจจะต้องมีการควักลูกตาออก ซึ่งแพทย์พูดรักษานั้นได้ทำการรักษาอย่างสุดความสามารถแล้ว

แล้วก็ควักลูกตาออกเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. ที่ผ่านมา ตอนนี้ตาข้างซ้ายของแม่ไม่มีลูกตาเป็นลูกตาปลอม หลังเกิดเหตุแพทย์เป็นคนที่ทราบคนแรกว่าติดเชื้อ แต่ทางแพทย์ไม่ได้กลับไม่ได้แจ้งโรงพยาบาลว่ามีการติดเชื้อ ตนมีข้อสงสัยเพราะว่า การติดเชื้อมันเป็นการติดเชื้อภายใน 7 วันหลังการผ่าตัด จึงไปร้องเรียนที่ศูนย์ดำรงธรรม ทางศูนย์ดำรงธรรมส่งเรื่องไปให้สาธารณสุขจังหวัด พบข้อบกพร่องหลายอย่าง

แต่สรุปว่า ห้องผ่าตัดได้มาตรฐาน โดยแพทย์ไม่เคยโทรศัพท์มาสอบถามอาการของคนไข้เลย อ้างว่าไม่สามารถหาเบอร์ของโทรศัพท์ของตนได้ ทั้งที่ตนทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ เป็นบุคลากรทางการแพทย์เช่นเดียวกัน

ต่อมาเมื่อวันที่ 10 ส.ค. 66 ตนได้พบกับแพทย์ผู้รับทำการผ่าตัดโดยมีรองผู้อำนวยการโรงพยาบาล และหัวหน้าแผนกศูนย์คุณภาพ ทางโรงพยาบาลแจ้งว่า จะแสดงความรับผิดชอบ ดำเนินการให้แม่ได้โดยใส่ตาปลอม ขอระยะเวลา 6 เดือนแต่พอครบ 6 เดือนแต่กลับไม่มีการแสดงความรับผิดชอบใดๆ เหมือนเรื่องไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ตนจึงได้ประสานกับพยาบาลที่ตนรู้จักผู้เป็นคนประสานได้แจ้งว่าได้คุยกับแพทย์ผู้ผ่าตัดหลายครั้ง ได้คำตอบว่า ให้รอประกันสรุป ทำให้ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ตนคิดว่าฝ่ายแพทย์คงไม่ดำเนินการตามข้อตกลงแน่ๆ
 
สุดท้ายเรื่องเงียบ จึงมาขอร้องความเป็นธรรมกับทางเพจสายไหมต้องรอด แต่กรณีนี้ตนยังไม่ได้แจ้งความดำเนินคดีแต่อย่างใด อยากกล่าวถึงแพทย์สภาว่า ตนได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังแพทยสภาถึงมาตรฐานการรักษาคุณธรรมจริยธรรมของแพทย์ท่านนี้ ขอให้ท่านตัดสินและชี้ขาดตามกระบวนการยุติธรรมให้มีความเป็นธรรมแก่ครอบครัวด้วย
 
ด้าน นายเอกภพ กล่าวว่า เอกสารของผู้เสียหายได้มีการร้องเรียนในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่าย ขอฝากถึงแพทย์สภา สาธารณสุขจังหวัดราชบุรี ให้ลงมาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง

ทั้งนี้อาม่าผู้เป็นฝ่ายสูญเสียดวงตาควรได้รับการเยียวยาที่สมเหตุสมผล เพราะตนเข้าใจความรู้สึกดีว่า ลูกสาวเป็นห่วงคุณแม่นำไปผ่าต้อกระจกสุดท้ายต้องควักดวงตาของคุณแม่ไป และชีวิตของคุณแม่ไม่เหมือนเดิม ขนาดแค่หั่นฝรั่งยังเอามีดเฉือนเนื้อตัวเองด้วยความที่ไม่เคยชิน เมื่อเหลือดวงตาเพียงข้างเดียว ขอฝากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยว่า เป็นการกระทำโดยประมาทหรือไม่


Thainewsonline
24 ธ.ค.66

หน้า: 1 ... 8 9 [10] 11 12 ... 536