แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - story

หน้า: 1 ... 7 8 [9] 10 11 ... 536
121
อุบลราชธานี - อุบัติเหตุเศร้าเด็กชายชั้น ป.1 วัย 7 ปี วิ่งชนรถกระบะผู้ปกครองที่มารับลูกหลาน ขณะเลี้ยวเข้ามาไปในโรงเรียน  จนเสียหลักล้มศีรษะเข้าบริเวณล้อหน้า ถูกเหยียบเสียชีวิตคาที่

เหตุการณ์สลดครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 16.05 น.วันที่ 5 ก.พ. บริเวณประตูทางเข้า โรงเรียนปทุมวิทยากร ต.ในเมือง อ.เมืองอุบลราชธานี ซึ่งเป็นช่วงเวลาเลิกเรียน ผู้ปกครอง นักเรียน กำลังเข้ามารับลูกหลานของตนกลับบ้าน ขณะที่ผู้ปกครองรายหนึ่งขับรถยนต์กระบะ มาสด้า 4 ประตู สีบรอนซ์เทา ทะเบียน 5 กน 6409 กรุงเทพฯ เลี้ยวเข้าผ่านประตูของโรงเรียนทางทิศตะวันออกฝั่งถนนอุบล - ตระการ

จู่ๆได้มีเด็กชายนันท์ (นามสมมุติ) อายุ 7 ปี นักเรียนชั้น ป.1 วิ่งข้ามฝั่งจากลานจอดรถไปอีกฝั่ง โดยไม่ทันได้มองรถที่กำลังเข้ามาในโรงเรียน จึงทำให้เด็กชายนันท์ เสียหลักล้มศีรษะเข้าไปบริเวณล้อหน้า จนถูกทับหนังศีรษะเปิดเสียชีวิตคาที่ สร้างความตื่นตกใจให้กับบรรดาคุณครู เพื่อนนักเรียน และผู้ปกครองที่อยู่พบเห็นเหตุการณ์

ส่วนผู้ขับขี่รถกระบะคู่กรณีเป็นคุณตาวัย 62 ปี หลังเกิดเหตุยืนรอเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ที่เกิดเหตุ โดยคุณตาเปิดเผยว่าตนเองเลี้ยวรถเข้ามาปกติ ไม่เร็ว ทางด้านขวามีรถกระบะของผู้ปกครองกำลังต่อแถวออกจากโรงเรียน ตนเองก็ไม่เห็นเด็ก เนื่องจากรถสูง มารู้สึกอีกทีตอนที่ล้อหน้าสั่นสะเทือนเหมือนทับอะไรสักอย่าง และรถทางด้านข้างบีบแตรกันรัวๆ จึงได้ลงมาดูพบว่าชนเด็กนักเรียนเสียชีวิต

ผู้สื่อข่าวสอบถามนายวัฒน์ วงศ์คำพันธ์ ผอ.โรงเรียนปทุมวิทยากร เล่าว่าทางโรงเรียนเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ มีนักเรียนกว่า 1,700 คน โรงเรียนพยายามดูแลรักษาความปลอดภัยของนักเรียนอย่างเต็มความสามารถ แต่เหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เป็นอุบัติเหตุ

หลังเกิดเหตุทางโรงเรียนไม่ได้นิ่งนอนใจเข้าให้ความดูแลขวัญกำลังใจ และ จะช่วยเหลือผู้ปกครองนักเรียนที่เสียชีวิตอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งประชุมคณะครู ในการดูแลความปลอดภัยนักเรียน และขอความร่วมมือผู้ปกครองในการใช้การจราจรในโรงเรียนด้วยความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดเหตุสลดแบบนี้อีก

6 ก.พ. 2567  ผู้จัดการออนไลน์

122
ครอบครัวติดใจ สาวไปนอนรพ.รอคลอด เกิดช็อกอาการวิกฤตหัวใจหยุดเต้น หมอปั๊มฟื้นส่งต่ออีกรพ. สุดท้ายสิ้นใจ สลดผ่าท้องช่วยลูกแต่สิ้นลมไปก่อนแล้ว

วันที่ 4 ก.พ.2567 ที่วัดเขาใบไม้ ต.ตาคลี อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ครอบครัวจัดพิธีศพ น.ส.รุ้งดาว อายุ 36 ปี ท่ามกลางบรรยากาศสุดเศร้า หลังเสียชีวิตพร้อมลูกทารกในครรภ์ระหว่างรอทำคลอดอยู่ที่รพ. ในจ.นครสวรรค์ โดยครอบครัวยังติดใจสาเหตุการเสียชีวิต

นางน้ำค้าง อายุ 55 ปี มารดา บอกว่า ช่วงกลางดึกคืนวันที่ 30 ม.ค.ที่ผ่านมา ลูกสาวเริ่มปวดท้องและมีอาการข้างเคียงจากการตั้งครรภ์จึงแจ้งให้รถรพ.มารับพาไปตรวจอาการ หมอให้นอนพักดูอาการอยู่รพ.และเตรียมคลอด ต่อมาวันที่ 1 ก.พ. พยาบาลโทรมาหาด้วยท่าทีตกใจ บอกให้รีบมารพ.ด่วน เพราะคนไข้กำลังอยู่ในอาการวิกฤตหนัก จากนั้นลูกถูกส่งต่อไปอีกรพ.แล้วไปเสียชีวิต

" เมื่อวันที่ 31 ม.ค. แม่ยังลางานเดินทางจากจ.อยุธยา ไปเยี่ยมลูกอยู่เลย ยังเห็นเขายิ้มแย้ม ดูแข็งแรงเป็นปกติ คุยแบบอารมณ์ บอกว่า เขาดีใจมากที่รู้ว่าจะได้ลูกชาย แม่ยังโผเข้าไปกอดหอมลูกด้วยความดีใจพร้อมให้กำลังใจ ยังถามลูกว่า ต้องอยู่คนเดียวเหงาไหม ลูกบอกว่าไม่เป็นไร อยู่ได้ และนั่นคือคำสุดท้ายที่พูดคุยกันไม่คิดว่า จู่ๆ ลูกจะจากไปแบบนี้ "

ด้านนายอภินันท์ อายุ 34 ปี น้องชาย เล่าว่า หลังพี่สาวเสียชีวิตไปสอบถามที่รพ. ได้คำตอบว่าพี่สาวเกิดอาการช็อกจนต้องรีบนำตัวเข้าห้องไอซียู แล้วอาการทรุดหนักชีพจรขาดไป หมอช่วยกันปั๊มหัวใจอยู่นานกว่า 40 นาทีจนชีพจรพี่สาวกลับคืนมา จากนั้นรีบย้ายไปอีกรพ.แต่ชีพจรก็ขาดไปอีกรอบ

"ตอนพี่สาวอยู่รพ.ใหญ่ในเมืองนครสวรรค์ น้าสาวผมอยู่ในเหตุการณ์ เล่าว่า หมอพยายามยื้อชีวิตพี่สาวอยู่นาน แต่อาการไม่ดีขึ้นเลยจนต้องตัดสินใจผ่าท้องช่วยชีวิตเด็กออกมาก่อน แต่สุดท้ายไม่ทันเพราะเด็กได้เสียชีวิตไปก่อนที่พี่สาวจะสิ้นลม จากนั้นมีเจ้าหน้าที่เข้ามาถามน้าสาวว่า พี่สาวผมเคยแพ้ยาอะไรหรือไม่ เพราะในระหว่างที่ช็อก ได้ฉีดยากันชักให้ก่อนอาการจะทรุดหนักกว่าเดิม ทำให้ผมสงสัยในประเด็นนี้อย่างมาก"

นายอภินันท์ บอกด้วยว่า นอกจากจะสงสัยเรื่องการฉีดยาแล้ว ยังมีเรื่องที่รพ.ระบุผลการตรวจสอบเบื้องต้น บอกผมว่าพบสารเสพติดในปัสสาวะพี่สาว ทำให้ยิ่งตกใจและคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ พี่สาวไม่เคยมีประวัติเรื่องพวกนี้ จึงทักท้วงกลับไปขณะนี้อยู่ในระหว่างการชันสูตรตรวจสอบการเสียชีวิตอย่างละเอียด แต่เบื้องต้นแพทย์ระบุใบรับรองการเสียชีวิตว่า เกิดจากภาวะปอดขาดเลือดอย่างเฉียบพลัน และตายอย่างผิดธรรมชาติ

พี่สาวมีลูกสาววัย 8 ขวบ และ 11 ขวบ ซึ่งเป็นเด็กพิการทั้งคู่ตอนนี้คุณตาและน้าสาวช่วยเลี้ยงดูอยู่ที่อ.ตาคลี ส่วนพี่สาวทำงานค้าขายอยู่กับสามีที่กรุงเทพ จนกระทั่ง ท้องลูกคนที่ 3 และใกล้คลอด จึงกลับมารอคลอดเขาอยู่ที่นี่ 3 เดือนก็หาของมาเร่ขายหารายไปเลี้ยงลูกพิการ ไม่มีใครเห็นพฤติกรรมหรืออาการอะไรเลย ที่เขาจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ครอบครัวยืนยันว่าจะยังไม่เผาศพ จนกว่าผลพิสูจน์การเสียชีวิตอย่างละเอียดจะออกมา

ข่าวสด
4 ก.พ.2567

123
รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เผย อย. ขึ้นทะเบียน ยาเม็ดไซทิซีน "ยาอดบุหรี่" เข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติแล้ว รพ.เบิกจ่ายฟรี

วันที่ 4 ก.พ.2567 นพ.วิทิต สฤษฎีชัยกุล รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยเนื่องใน "วันมะเร็งโลก" วันที่ 4 ก.พ. ของทุกปี ว่า มะเร็งปอดเป็น 1 ใน 5 ของมะเร็งที่พบบ่อยในคนไทย ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการสูบบุหรี่ โดยผู้ที่สูบบุหรี่จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปอดมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ 20-30 เท่า ซึ่งทำให้เกิดค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคมะเร็งที่ค่อนข้างสูงและเป็นภาระของทั้งผู้ป่วยและภาครัฐ

" ดังนั้น การเพิ่มการเข้าถึงยาอดบุหรี่ให้สามารถเบิกจ่ายได้ในระบบหลักประกันสุขภาพผ่านบัญชียาหลักแห่งชาติ จะเป็นการลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งปอดสำหรับผู้ที่ต้องการเลิกสูบบุหรี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย. โดยคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ ได้พิจารณาทบทวนรายการยากลุ่มรักษาภาวะติดนิโคตินหรือยาอดบุหรี่ พบว่า

ยาแผนปัจจุบันที่ใช้อยู่บางรายการมีราคาแพง มีอาการข้างเคียงสูง ทำให้เกิดปัญหาในการเข้าถึงยาของผู้ป่วย ดังนั้น จึงได้คัดเลือกยาเม็ดไซทิซีน (cytisine) เข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติ ในบัญชียาพื้นฐาน (บัญชี ก) สำหรับรักษาภาวะติดนิโคติน เนื่องจากเป็นยาที่มีข้อมูลการใช้ในต่างประเทศมานาน มีความปลอดภัยสูง ผลข้างเคียงน้อย และราคาไม่แพง" นพ.วิทิตกล่าว

นพ.วิทิตกล่าว ต่อว่า นอกจากนี้ อย.ยังได้อนุมัติทะเบียนตำรับยา เลขทะเบียน 1A 15006/66 (NC) ชื่อการค้า Cytisine GPO รูปแบบยาเม็ดสำหรับกิน ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรม (อภ.) พร้อมปลดจากยาควบคุมพิเศษเป็นยาอันตราย ส่งผลให้สามารถจำหน่ายยาได้ในร้านยาและสามารถเบิกจ่ายได้ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยประชาชนไม่ต้องจ่ายเงินเอง ขอให้ประชาชนมั่นใจ อย. มุ่งมั่นในการดำเนินงานให้ประชาชนเข้าถึงยาป้องกันและรักษาโรคที่มีประสิทธิภาพในราคาที่เหมาะสม

ข่าวสด
4 ก.พ.2567

124
เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 30 ม.ค.67 ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง จ่าคิงส์ แตงทิม สะพานใหม่ พานายเอก ทองศรี อายุ 47 ปี ชาวพัทลุง เข้าร้องขอความเป็นธรรม พงส.บก.ปคบ. กรณีทาง รพ.วินิจฉัยโรคผิดพลาด และให้การรักษาผิดจนเป็นสาเหตุให้พิการเดินไม่ได้

นายเอก ผู้เสียหายเดินทางมาพร้อมครอบครัว เปิดเผยเรื่องสะเทือนใจจากการเจ็บป่วยเมื่อสามปีก่อน ว่า เมื่อวันที่ 16 ก.พ.63 ตนได้เข้ารักษาตัวที่ รพ.แห่งหนึ่ง ด้วยการติดเชื้อฉี่หนูแต่ในการรักษาหมอวินิจฉัยว่า สมองมีปัญหา นำไปสแกนสมองผลออกมาปกติจึงนำไปเจาะไขสันหลังต่อในการเจาะไขสันหลังกระทำโดยหมอเด็กไม่มีความชำนาญการไม่ได้บอกผลดีผลเสียของการเจาะไขสันหลังแก่คนไข้และญาติอีกทั้งไม่ได้รับความยินยอมจากญาติและคนไข้แต่หมอก็ยังพาไปเจาะ หลังจากเจาะเสร็จหมอก็บอกว่าปกติเชื้อไม่ได้ขึ้นสมองแต่อยู่มา 5-6 วัน ตนเกิดอาการชาไปครึ่งตัวจากสะดือลงล่างไม่ความรู้สึกขาขยับไม่ได้ ขับถ่ายเองไม่ได้ แต่หมอกลับมาบอกว่าเชื้อฉี่หนูทำลายไขสันหลัง ทั้งที่จริงเชื้อฉี่หนูไม่สามารถทำลายไขสันหลังได้ แล้วหมอก็บอกว่าต้องใช้เวลารักษา 6 เดือนถึง 1 ปี จึงจะหายได้

ตนได้รักษามาจนครบ 1 ปี อาการก็ไม่ดีขึ้นแถมทรุดกว่าเดิม ตนจึงปฏิเสธการรักษาที่ รพ. พัทลุงและสอบถามสาเหตุที่แท้จริงว่ามันเกิดจากการเจาะไขสันหลังที่หมอทำผิดพลาดและช่วยกันปกปิดตลอดมา ตนแจ้งว่า จะเอาเรื่องแต่ทาง รพ. บอกว่าจะขอไกล่เกลี่ยแต่การไกล่เกลี่ยของหมอ หมอกลับไปแก้เวชระเบียนของตนย้อนหลังไป 1 ปี
ทั้งที่ตนนอนรักษาตัวที่ รพ.20 วัน แต่งเวชระเบียนใหม่ทั้งหมด แล้วออกมาปฏิเสธการเจาะไขสันหลังและบอกว่าเกิดจาก เชื้อฉี่หนู ปฏิเสธความรับผิดชอบทั้งหมด แต่ผมมีหลักฐานยืนยัน

ตนและครอบครัวได้รับความเดือดร้อนและผลกระทบที่ผมได้รับตอนนี้ ภรรยาทิ้งตนต้องแยกทางกันไป ลูกเรียน ป.5 ก็ต้องออก ร.ร. เพื่อดูแลพ่อส่วนลูก ม.5 เป็นเสาหลัก ต้องเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยเพื่อเลี้ยงครอบครัว บ้านที่ดินถูกยึดเนื่องจากการค้ำประกันรถให้ญาติพอเขาเห็นว่าผมติดเตียงเขาก็ไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆ ซึ่งเป็นเงิน 6 แสนกว่าบาท อีกทั้งหนี้สิน ธกส. 1 ล้าน 2 แสนบาท ซึ่งผมไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ เคยแจ้งความ สภ.เมืองพัทลุง แต่เอาผิดฐานประมาท แต่ตำรวจท้องที่ปฏิเสธไม่รับแจ้งความ วันนี้จึงทางครอบครัวจึงพาตนมาร้องขอความเป็นธรรมตำรวยจ ปคบ.

เบื้องต้นพนักงานสอบสวนตรวจสอบข้อมูลผู้เสียหายก่อนให้ความช่วยเหลือต่อไป

ด้านจ่าคิงส์ กล่าวว่า ฝากถึงท่าน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข ให้ช่วยสั่งการตรวจสอบการงานของ รพ.ในการรักษาพยาบาลจนคนไข้พิการเดินไม่ได้ และหลังพบพนักงานสอบสวน ปคบ.แล้ว จะพาไปร้องทุกข์ที่กระทรวงสาธารณสุขด้วย

30 มกราคม 2567
https://siamrath.co.th/n/510543

125
รอง ผอ.โรงพยาบาลยะลา ชี้แจง เคสอดีต ผอ.โรงเรียน เล่าอุทาหรณ์แพทย์วินิจฉัยผิด ผ่าตัดด่วนที่ลำไส้ ทำชีวิตเปลี่ยน

จากกรณี อดีต ผอ.โรงเรียนในพื้นที่จังหวัดยะลา เล่าอุทาหรณ์ แพทย์โรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่ยะลาวินิจฉัยผิด ผ่าตัดด่วน ลำไส้รั่ว แต่หลังจากที่ผ่าตัดแล้ว แพทย์มาแจ้งว่าไม่พบลำไส้ทะลุ พยายามหารอยที่ทะลุแล้วแต่หาไม่เจอ ทุกอย่างปกติ ซึ่งจากการตรวจวินิจฉัยที่ผิดพลาดของแพทย์ในครั้งนี้ ทำให้แผนการรักษาโรคเดิมของผู้ป่วยต้องเปลี่ยนไปตลอดชีวิต จากล้างไตทางหน้าท้องก็ไม่สามารถใช้งานได้อีก จนต้องเปลี่ยนเป็นฟอกเลือดแทน ทำให้ผมมีความลำบากในการเดินทาง และเสียค่าใช้จ่ายในการรักษามากขึ้นกว่าเดิม ส่งผลกระทบทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ

ความคืบหน้าล่าสุด วันที่ 2 ม.ค.67 นายแพทย์ประภัศร์ ติปยานนท์ รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลยะลา ชี้แจงกรณีที่เกิดขึ้นว่า คนไข้มารักษาที่โรงพยาบาลด้วยอาการปวดท้อง ประวัติเดิมของคนไข้มีโรคไตวายเรื้อรังอยู่แล้ว คนไข้มีการฟอกไต ด้วยการล้างไตที่หน้าท้อง ซึ่งอาการที่ปวดท้องขึ้นมาในคืนนั้น มีลักษณะก้ำกึ่งโรคลำไส้ทะลุในช่องท้อง คือมีอาการปวดท้อง มีอาการทางหน้าท้อง และมีลมรั่วจากการเอกซเรย์ที่ตรวจพบได้ โดยแพทย์ที่ทำการรักษาในคืนนั้น พิจารณาจากสถานการณ์โดยรวมทั้งหมด คิดว่าการที่ปล่อยให้มีลมรั่วที่ช่องท้อง หากเป็นอาการทะลุจากลำไส้ อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตคนไข้ได้ จึงตัดสินใจในการรักษาโดยการผ่าตัด

เมื่อทำการผ่าตัดไปแล้วปรากฏว่ามีการติดเชื้อในช่องท้อง จากตัวน้ำล้างไตในช่องท้องเอง ซึ่งอาการติดเชื้อในช่องท้องตรงนี้ จะแยกกันได้ยากมาก มีลักษณะก้ำกึ่ง ดังนั้นแพทย์ที่ทำการรักษาได้ตัดสินใจในการรักษา เพื่อให้คนไข้ปลอดภัยมากที่สุด กระบวนการผ่าตัด แพทย์ได้นำน้ำที่ติดเชื้อออกมาตรวจ พบว่ามีการติดเชื้อจริง ซึ่งนำออกมาทั้งหมด จากนั้นได้มีการล้างช่องท้องทำความสะอาด ทำการเย็บปิดแผล คนไข้ย้ายจากห้องผ่าตัดได้ อาการคงที่ ในครั้งที่ 1 คนไข้สามารถกลับบ้านได้ และกลับมาที่โรงพยาบาลในครั้งที่ 2 ด้วยอาการติดเชื้อเหมือนเดิม คุณหมอได้ทำการพิจารณา พบว่าสายที่ล้างไตในช่องท้องยังอยู่ และน่าจะเป็นต้นเหตุของการติดเชื้อ จึงทำการผ่าตัดครั้งที่ 2 เพื่อนำสายออก หลังจากนั้นคนไข้อาการดีขึ้นสามารถกลับบ้านได้

กระบวนการหลังจากนั้น เนื่องจากคนไข้เดิมมีการฟอกไตทางช่องท้อง เมื่อนำสายที่ฟอกไตทางช่องท้องออก ในกระบวนการติดเชื้อที่ผ่านมา ทำให้คนไข้ไม่สามารถฟอกไตทางช่องท้องได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้นคุณหมอโรคไตที่ดูแลอยู่ ต้องเปลี่ยนวิธีในการฟอกไต โดยการเปลี่ยนไปใช้การฟอกไตทางเส้นเลือด การทำเส้น ต้องใช้วิธีการทำเส้นชั่วคราวไปก่อน เพราะคนไข้ต้องทำการฟอกไตเร่งด่วน จึงได้ทำเส้นฟอกไตชั่วคราวที่ลำคอ จากนั้นทำการหาสถานที่ในการฟอกไตให้ ซึ่งในช่วงนั้น สถานที่ฟอกไตที่เร็วที่สุด คือ ค่ายอิงคยุทธบริหาร ต.หนองจิก จ.ปัตตานี

แต่ปัจจุบัน คนไข้มีปัญหาเรื่องสถานที่ฟอกไต ซึ่งทางโรงพยาบาลทราบเรื่อง และพยายามหาคิวการฟอกไตให้ในตัวเมืองยะลา อาทิตย์หน้าคนไข้ก็จะมาฟอกไตที่โรงพยาบาลยะลา

สรุปว่าในกระบวนการวินิจฉัยรักษา แพทย์ต้องเลือกวิธีการรักษาอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างทันท่วงที ซึ่งไม่มีวิธีการวินิจฉัยไหนที่แม่นยำ ชัดเจน 100 เปอร์เซ็นต์ แพทย์จึงได้ตัดสินใจในทางที่ปลอดภัยสำหรับคนไข้ให้มากที่สุด ถึงแม้ผลลัพธ์สุดท้าย ไม่ใช่โรคตรงกับที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ตอนแรก แต่แพทย์ได้ทำการล้างท้องในการรักษาโรค ที่มีการติดเชื้อในช่องท้อง ก็สามารถจัดการโรคนั้นได้เรียบร้อยเป็นอย่างดี

ที่ผ่านมาทางโรงพยาบาลได้มีการติดต่อกับคนไข้อย่างต่อเนื่อง ทั้งในช่วงที่คนไข้อยู่ในโรงพยาบาล และกลับมาโรงพยาบาลอีกครั้งด้วยอาการติดเชื้อในครั้งที่ 2 เข้าใจว่าประเด็นปัญหาอาจจะอยู่ในเรื่องของการสื่อสารบ้างในบางครั้ง ซึ่งทางโรงพยาบาลได้นำมาวิเคราะห์ พร้อมที่จะนำมาปรับปรุงทุกอย่าง

ในส่วนของการเยียวยา ขอนำเรียนว่า ในเบื้องต้น ช่วงที่คนไข้ผ่าตัดเสร็จใหม่ๆ ช่วงที่อยู่โรงพยาบาล ทางโรงพยาบาลได้ดำเนินการทำการฟอกไตในระยะเฉียบพลันให้ ทำเส้นชั่วคราวขึ้นมาหาทางในการฟอกไตที่เร็วที่สุดให้ก่อน เพราะคนไข้กลุ่มนี้จะทิ้งระยะในการฟอกไตไม่ได้ เร็วที่สุดส่งไปค่ายอิงคยุทธบริหารในพื้นที่ จ.ปัตตานี ก่อน ช่วงระหว่างดำเนิการฟอกไต ทางโรงพยาบาลยะลา ได้จัดหาคิวและสถานที่ให้ที่สะดวกกว่าเดิม ซึ่งต้องใช้เวลาสักระยะ ซึ่งปัจจุบันได้สถานที่ฟอกไต ที่โรงพยาบาลยะลา เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนระยะยาว ต้องคุยกับทางคนไข้อีกครั้ง ขณะนี้ทางผู้บริหารโรงพยาบาลยะลา กำลังพิจารณาอยู่ พร้อมที่จะดูแลทุกเรื่องที่คนไข้ร้องขอมา

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการเข้าสู่การทบทวนหาสาเหตุ ทั้งในมุมมองของคนไข้เอง ในส่วนของตัวโรค และในทีมของโรงพยาบาลในการรักษา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่มีใครอยากให้เกิด ทั้งตัวคุณหมอเอง ทางทีมเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล รู้สึกเสียใจ ขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เหตุการณ์ทุกอย่างก็จะเป็นสิ่งที่นำมาปรับปรุงสำหรับคนไข้ต่อๆ ไปในอนาคต.

2 ก.พ. 2567
ไทยรัฐออนไลน์

126
วันที่ 2 ก.พ. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เปิดเผยว่าได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ร้องรายหนึ่ง ระบุว่า ผู้ประกันตนตามกฎหมายว่าด้วยประกันสังคมใช้สิทธิเบิกค่ารักษาทันตกรรมที่จำเป็นได้น้อยกว่าประชาชนในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สิทธิบัตรทอง) และระบบสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐ ไม่ครอบคลุมชนิดของบริการและค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ซึ่งแตกต่างจากผู้มีสิทธิในระบบอื่นที่เบิกได้ตามความจำเป็น ทั้งที่ผู้ประกันตนเป็นกลุ่มเดียวที่กฎหมายกำหนดให้ต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนทุกเดือน
 
โดย กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า การที่คณะกรรมการการแพทย์โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการประกันสังคม ได้ประกาศกำหนดให้ผู้ประกันตนเบิกค่าบริการทันตกรรมรวมกันทุกรายการได้ไม่เกิน 900 บาทต่อคนต่อปี ในขณะที่สถานพยาบาลเอกชนและคลินิกทันตกรรมส่วนใหญ่กำหนดอัตราค่าบริการทันตกรรมขั้นพื้นฐานเกินกว่า 900 บาท ไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผู้ประกันตนไม่สามารถเบิกได้ ส่งผลให้ผู้ประกันตนสามารถเข้ารับบริการทันตกรรมได้เพียง 1 - 2 รายการ

อีกทั้งจำนวนหัตถการส่วนใหญ่มีค่าใช้จ่ายเต็มวงเงิน 900 บาท อาทิ ขูดหินปูน 900 – 1,800 บาท อุดฟัน 800 – 1,500 บาท ถอนฟัน 900 – 2,000 บาท ผ่าฟันคุด 2,500 - 4,500 บาท ซึ่งถือว่าเป็นการกำหนดวงเงินที่ไม่เพียงพอต่อการรักษาทันตกรรมที่จำเป็นอย่างครบถ้วน ไม่สอดคล้องกับความมุ่งหมายเชิงนโยบายและยุทธศาสตร์เรื่องการดูแลทันตสุขภาพของประชาชนของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และทันตแพทยสภา

นอกจากนี้สิทธิในการรักษาพยาบาลของผู้ประกันตนยังไม่ครอบคลุมการรักษาทันตกรรมอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อสุขภาพอีกหลายประเภท เช่น ค่าใช้จ่ายในการเอกซเรย์ ค่ายาและเวชภัณฑ์ ค่าใช้จ่ายอันเกี่ยวเนื่องกับการป้องกันและรักษาสุขภาพช่องปากและฟันทั้งก่อนและหลังทำหัตถการ ซึ่งแตกต่างจากประชาชนผู้มีสิทธิบัตรทอง และผู้มีสิทธิสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐที่สามารถเบิกค่าบริการทางการแพทย์ในกรณีดังกล่าวได้

ทั้งนี้ กสม. เห็นว่า การที่คณะกรรมการประกันสังคม กำหนดสิทธิประโยชน์ด้านบริการทันตกรรมของผู้ประกันตนตามกฎหมายว่าด้วยประกันสังคม ให้เบิกได้เฉพาะกรณีถอนฟัน อุดฟัน ขูดหินปูน และผ่าฟันคุด รวมกันทุกรายการไม่เกิน 900 บาทต่อคนต่อปี เป็นการกำหนดวงเงินการเบิกค่าบริการทางการแพทย์ที่ไม่เพียงพอต่อความจำเป็นด้านสุขภาพช่องปากและฟัน ไม่ครอบคลุมชนิดของบริการทันตกรรมที่จำเป็นสำหรับผู้ประกันตนซึ่งเป็นประชากรกลุ่มวัยทำงาน จึงเป็นการละเมิดสิทธิในสุขภาพของผู้ประกันตนในการได้รับบริการสาธารณสุขของรัฐที่มีมาตรฐาน มีคุณภาพและประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง จึงถือได้ว่าผู้ถูกร้องกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อผู้ประกันตน

นอกจากนั้น กสม. ยังมีข้อเสนอแนะในการป้องกันและแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชน ไปยังคณะกรรมการประกันสังคม และคณะกรรมการการแพทย์ ให้ปรับปรุงแก้ไขประกาศคณะกรรมการการแพทย์ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 เรื่อง หลักเกณฑ์ และอัตราสำหรับประโยชน์ทดแทนในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน โดยยกเลิกการกำหนดเพดานค่าบริการทันตกรรมขั้นพื้นฐานในวงเงินไม่เกิน 900 บาท ต่อคนต่อปี และกำหนดสิทธิประโยชน์ด้านบริการทันตกรรมให้ไม่ต่ำกว่าสิทธิบัตรทอง

นอกจากนี้ มีข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย ให้คณะกรรมการประกันสังคม และคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ร่วมกันดำเนินการให้ผู้ประกันตนสามารถใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ ตามมาตรา 5 และมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 โดยออกเป็นพระราชกฤษฎีกา ให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว

PPTVHD36
2 ก.พ.2567

127
หวั่นแนวรบลาม! ทหารยิวพรางตัวเป็นจนท.แพทย์ บุกยิงดับ 3 กลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ในรพ.เวสต์แบงก์

อิสราเอลได้ส่งหน่วยคอมมานโดนอกเครื่องแบบที่แต่งกายเป็นเจ้าหน้าที่แพทย์เข้าไปสังหารกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ 3 คนในโรงพยาบาลที่เมืองเจนินในเขตเวสต์แบงก์ที่ถูกยึดครอง

ปฏิบัติการของคอมมานโดอิสราเอลนอกเครื่องแบบเช่นนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี ซึ่งส่งสัญญานว่าสงครามของอิสราเอลและฮามาสในฉนวนกาซา กำลังลุกลามไปยังแนวรบด้านอื่นๆ

กองกำลังป้องกันอิสราเอล (ไอดีเอฟ) ระบุว่า กองกำลังได้เข้าไปในโรงพยาบาลซึ่งเป็นสถานพยาบาลหลักที่ให้บริการในเมืองเจนิน และสำหรับค่ายผู้ลี้ภัยที่อยู่ติดกัน โดยพุ่งเป้าไปที่กลุ่มก่อการร้ายฮามาส

ภาพจากกล้องวงจรปิดแสดงให้เห็นการจู่โจมในโรงพยาบาลดังกล่าว โดยมีทหารอิสราเอลราว 12 นาย ซึ่งในจำนวนนี้ 3 นายสวมชุดผู้หญิง และอีก 2 นายแต่งกายเป็นเจ้าหน้าที่แพทย์ปาเลสไตน์ กำลังเดินไปตามทางในโรงพยาบาลพร้อมกับปืนไรเฟิลในมือ
ฮามาสระบุว่า หนึ่งในผู้เสียชีวิตในโรงพยาบาลอิบัน ซินา ในเมืองเจนิน เป็นสมาชิกอาวุโสของกลุ่มติดอาวุธอิสลามญิฮาด ขณะที่อีก 2 คนที่ถูกสังหารเป็นพี่น้องกัน และเป็นสมาชิกของกลุ่มอิบนุ ซินา โดยหนึ่งในนั้นเข้ารับการรักษาอาการบาดเจ็บที่ทำให้ขาของเขาเป็นอัมพาต

ไอดีเอฟระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่ากลุ่มติดอาวุธใช้พื้นที่พลเรือนและโรงพยาบาลเป็นที่พักพิง และเป็นโล่มนุษย์ ทั้งยังบอกด้วยว่า หนึ่งในผู้เสียชีวิตมีปืนพกติดตัว

ไอดีเอฟให้ข้อมูลว่า หนึ่งในผู้ที่ถูกสังหารคือนายโมฮัมเหม็ด จาลัมเนห์ วัย 27 ปี ชาวเมืองเจนิน ซึ่งมีการติดต่อกับสำนักงานใหญ่ของฮามาสในต่างประเทศ และกำลังวางแผนที่จะก่อเหตุโจมตีโดยได้รับแรงบันดาลใจจากเหตุโจมตีพื้นที่ทางตอนใต้ของอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมปีที่ผ่านมา

ด้านกระทรวงสาธารณสุขปาเลสไตน์ออกถ้อยแถลงเน้นย้ำว่า สถานพยาบาลเป็นสถานที่ที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายระหว่างประเทศ โดยรัฐมนตรีสาธารณสุขอิสราเอลเรียกร้องอย่างเร่งด่วนให้สมัชชาใหญ่สหประชาชาติ และองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนยุติอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในทุกวันที่ผู้ยึดครองทำต่อประชาชาและสถานพยาบาลของเรา

กระทรวงต่างประเทศปาเลสไตน์โพสต์บน X ว่า การสังหารในโรงพยาบาลเป็นการกระทำที่ชั่วร้าย และถือเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

https://www.matichon.co.th
30มค2567

128
ศาล ปค.กลางสั่งเพิกถอนคำสั่งอธิบดี สบส.ที่สั่งให้ รพ.รามคำแหงคืนเงินค่ารักษาพยาบาลคนไข้โรคหลอดเลือดแดงโป่งพอง และให้ทาง รพ.ไปเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจาก สปสช.แทน เนื่องจากเห็นว่า ผลวินิจฉัยแรกรับผู้ป่วยใน 72 ชม. ยังไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามคู่มือคัดแยกผู้ป่วยฉุกเฉิน

วันนี้ (25 ม.ค.) ศาลปกครองกลาง พิพากษาเพิกคำสั่งอธิบดีกรมสนับสนุนสุขภาพ ที่ให้ บริษัทโรงพยาบาลรามคำแหง จำกัด (มหาชน) เรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยรายหนึ่งที่เข้ารับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลรามคำแหงในอาการปวดขวาและขาชา เกิดขึ้นในช่วงเวลานับตั้งแต่รับผู้ป่วย เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.2562 จนถึง 72 ชั่วโมงจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)ในอัตราตามบัญชีและอัตราค่าใช้จ่ายแนบท้ายหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต ลงวันที่ 29 มี.ค.2560 และให้คืนเงินที่ผู้ป่วยหรือญาติได้ชำระมาแล้วนั้นแก่ผู้ป่วยหรือญาติของผู้ป่วยรายดังกล่าว ตามหนังสือ ที่ สธ 0702.03.4/1947 ลงวันที่ 2 ก.ย.2564 โดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงขณะที่คำสั่งดังกล่าวมีผลใช้บังคับ ตามที่บริษัทโรงพยาบาลรามคำแหง จำกัด (มหาชน) ที่ยื่นฟ้องกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน (สพฉ.) ว่า ออกคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายและให้คืนเงินค่ารักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยหรือญาติของผู้ป่วยรายดังกล่าว

ศาลให้เหตุว่า แม้ข้อเท็จจริงในคดีนี้จะรับฟังได้ว่า สาเหตุการเจ็บป่วยของผู้ป่วยรายดังกล่าว เป็นผลจากการเป็นโรคหลอดเลือดแดงโป่งพองอันเป็นโรคที่มีความรุนแรงและเป็นอันตรายและเข้าข่ายผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต สพฉ.จึงมีมติและความเห็นทางการแพทย์ว่าผู้ป่วยรายนี้เข้าเกณฑ์เป็นผู้ป่วยฉุกเฉิน แต่การวินิจฉัยว่าเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตหรือไม่ ต้องพิจารณาจากหลักเกณฑ์ตามคู่มือแนวทางการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ เกณฑ์ และวิธีปฏิบัติการคัดแยกผู้ป่วยฉุกเฉินและการจัดลำดับการบริบาล ณ ห้องฉุกเฉิน ตามหลักเกณฑ์ที่ คณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน (กพฉ.)กำหนดเมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงตามคำชี้แจงดังกล่าวและในเวชระเบียนไม่ปรากฎว่า ผู้ป่วยรายดังกล่าวมีอาการป่วย ผลการตรวจ หรือข้อเท็จจริงที่เป็นไปตามเกณฑ์การคัดแยกตามคู่มือดังกล่าวแต่อย่างใด ผู้ป่วยรายนี้จึงมิใช่ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต ดังนั้น การที่คณะทำงานและรับเรื่องร้องเรียน สพฉ.ได้พิจารณาทบทวนผลการตรวจประเมินคัดแยกผู้ป่วยฉุกเฉินแล้วให้ความเห็นว่า อาการแรกรับของผู้ป่วยรายนี้เข้าข่ายระดับความฉุกเฉินเป็น วิกฤตแดง ESI-2 ตามคู่มือแนวทางการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ เกณฑ์ และวิธีปฏิบัติการคัดแยกผู้ป่วยฉุกเฉินและจัดลำดับการบริบาล ณ ห้องฉุกเฉินตามหลักเกณฑ์ ที่ กพฉ.กำหนด และมีมติให้เป็นผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต "เข้าเกณฑ์" จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย การที่โรงพยาบาลรามคำแหงซึ่งเป็นผู้รับอนุญาตและผู้ดำเนินการสถานพยาบาลเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาลจากผู้ป่วย จึงมิใช่เป็นการปฏิบัติไม่ถูกต้องตามมาตรา พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 อธิบดี สบส.จึงไม่มีอำนาจออกคำสั่งให้โรงพยาบาลรามคำแหงเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานับตั้งแต่รับผู้ป่วยรายดังกล่าวจนถึง72ชั่วโมง จาก สปสช. ในอัตราตามบัญชีและอัตราค่าใช้จ่ายแนบท้ายหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขของประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต ลงวันที่ 29 มี.ค.2560 และให้โรงพยาบาลรามคำแหงคืนเงินที่ผู้ป่วยหรือญาติได้ชำระค่ารักษาพยาบาลให้แก่แก่ผู้ป่วยหรือญาติ ดังนั้น คำสั่งของอธิบดี สบส. ดังกล่าว จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

25 ม.ค. 2567  ผู้จัดการออนไลน์

129
ขณะที่การพัฒนาของเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ไม่หยุดยั้ง น่าจะช่วยให้ผู้คนกว่า 8 พันล้านคนบนโลกมีทิศทางทางสุขภาพที่ดีขึ้น และความเจ็บป่วยลดน้อยลง

ทว่า จากสถิติทางสุขภาพต่างๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมากลับสวนทางอย่างน่าเป็นห่วง เช่น ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ BMJ Oncology ซึ่งระบุว่า จากการสำรวจประชากรหลายร้อยประเทศทั่วโลก พบว่า จำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็งตั้งแต่อายุน้อย เพิ่มขึ้นจาก 1.82 ล้านคน ในปี 2534 เป็น 3.26 ล้านคน ในปี 2562

แม้แต่องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังเคยมีการคาดการณ์ด้วยว่าประชากรทั่วโลกจะเสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) จาก 38 ล้านคนใน 2558 เป็น 41 ล้านคนในปี 2559

เพราะเหตุใดสถานการณ์จึงลงเอยแบบนั้น แล้วระบบสุขภาพไทยเราจะเดินต่อไปอย่างไรภายใต้สิ่งที่เกิดขึ้น “The Coverage” ขอชวนท่านผู้อ่านทำความเข้าใจและหาทางออกของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ผ่านการสนทนากับ นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ภายใต้คอนเซ็ปต์ “งานวิจัยกับการพัฒนาระบบสุขภาพ”

ความแตกต่างของ ‘การแพทย์’ กับ ‘การสาธารณสุข’
นพ.ศุภกิจ เริ่มอธิบายให้เห็นความแตกต่างของความหมายระหว่างคำว่า 'การแพทย์' และ 'การสาธารณสุข' ที่หลายคนอาจเข้าใจว่าเหมือนกันว่า หากพูดถึงเรื่องการแพทย์ จะหมายถึง การที่แพทย์มุ่งเน้นไปที่ ‘การรักษา’ ที่ตัวบุคคล จากความผิดปกติให้กลับเป็นปกติ ผ่านเทคโนโลยีทางการแพทย์ เครื่องมือทางการแพทย์ หรือยา ที่ใช้รักษาหรือช่วยชีวิต เพื่อทำให้ผู้ป่วยได้กลับไปใช้ชีวิตในระดับที่ดีใกล้เคียงเหมือนเดิม

ส่วนคำว่า 'การสาธารณสุข' หมายถึงสุขภาพของสาธารณะ ที่ไม่ได้มุ่งไปที่คนใดคนหนึ่ง แต่เน้นไปที่เรื่องสุขภาพของชุมชน ซึ่งจะให้น้ำหนักไปที่การป้องกันไม่ให้เจ็บป่วย หรือไม่ให้เกิดโรค โดยสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระดับ แตกต่างกันไปตามความสำคัญ ประกอบด้วย
1. การป้องกันระดับต้น คือการป้องกันปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดโรค เช่น การให้วัคซีนป้องกันโรค
2. การป้องกันก่อนเริ่มโรค ซึ่งเป็นการคัดกรองโรคเพื่อติดตามดูแล โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มเสี่ยงมีอาการจากโรคที่รุนแรงในอนาคต และ
3. การป้องกันเมื่อเป็นโรคแล้ว หรือการป้องกันเพื่อไม่ให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคแล้วมีภาวะแทรกซ้อน และมีการติดตามดูแลเพื่อให้ดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม มีการกินยาสม่ำเสมอ

นพ.ศุภกิจ บอกต่อไปว่า การป้องกันนี้เองก็เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เรียกว่า การสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค (Promotion and Prevention: P&P) หรือการจัดบริการสุขภาพที่เน้นการป้องกันมากกว่าการรักษาด้วย แต่ในส่วนที่เป็นการสร้างเสริมสุขภาพ จะหมายถึงการยกระดับสุขภาพของตัวเองให้ดีขึ้น เช่น หากมีการออกกำลังกายสม่ำเสมอ เมื่อมีโรคภัยมาเยือนก็จะมีโอกาสไม่ป่วย หรือป่วยยากกว่าคนไม่ออกกำลังกาย

โรค NCDs ยังเป็นปัญหาหลักคุกคามทั่วโลก
นพ.ศุภกิจ ได้ฉายภาพสถานการณ์สุขภาพของไทยและโลกว่า ปัจจุบันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ถือเป็นแนวโน้มปัญหาทางสุขภาพที่คนทั่วโลกกำลังเผชิญ ซึ่งไทยก็หนีไปจากปัญหานี้ไม่พ้นเช่นกัน เพราะจากผลสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ที่ทำกันทุกๆ 5 ปี พบว่าในระยะ 3 ครั้งหลังล่าสุด ไทยยังไม่สามารถลดอัตราการเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังได้

ตัวอย่างเช่น โรคเบาหวาน อัตราผู้ป่วยขยับเพิ่มขึ้นจาก 7% ไปสู่ระดับ 8.9% และมาถึง 9.4% ในผลสำรวจสุขภาพครั้งล่าสุด หรือโรคความดัน ที่ผลสำรวจสุขภาพครั้งที่ 4 พบว่ามีผู้ป่วย 20% และก็เพิ่มขึ้นมาเป็น24.7% และมาถึง 25.4% ในครั้งล่าสุด

อย่างไรก็ตาม ระบบบริการสุขภาพทั่วโลกก็พยายามใช้กลไกการวิจัยเข้ามาปรับเสริมเติมแต่ง เพื่อให้ระบบบริการสุขภาพ ได้ทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งไทยเองก็จะมุ่งมาที่การใช้งานวิจัยเพื่อนำไปสู่การได้มาซึ่งหลักฐานเชิงประจักษ์ เพื่อต่อยอดให้เกิดเปลี่ยนแปลงทางนโยบาย รวมถึงยกระดับระบบสาธารณสุขของประเทศให้ดีขึ้น ตลอดจนสอดรับพร้อมกับมีความเหมาะสมต่อสถานการณ์สุขภาพของคนไทย 

ทว่า นอกจากปัญหาดังกล่าวแล้ว นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า ขณะนี้ไทยกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรครั้งใหญ่ โดยเฉพาะการเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็วของประเทศไทย รวมถึงล่าสุดอัตราการเกิดและอัตราการเสียชีวิตมาบรรจบกันแล้ว และคาดว่าในปีถัดๆ ไป ตัวเลขผู้เสียชีวิตจะแซงหน้าตัวเลขการเกิด ซึ่งผลที่ตามมาจะเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากจำนวนประชากรจะลดลงเรื่อยๆ เป็นผลให้แรงงานลดน้อยลง และคนรุ่นใหม่ในยุคนี้จะต้องแบกรับภาระในการดูแลผู้สูงอายุจำนวนมากขึ้น

“ปัญหาสังคมผู้สูงอายุเป็นปัญหาที่หลายประเทศต้องเจอ ยกตัวอย่างประเทศที่ก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ไปแล้วอย่าง สิงคโปร์ และญี่ปุ่น ก็เจอปัญหาในการจัดการเรื่องประชากรเช่นกัน อย่างไรก็ตาม กว่าทั้ง 2 ประเทศจะเจอปัญหานี้ก็ต้องใช้เวลานานพอสมควร ซึ่งทำให้พวกเขามีเวลาเตรียมตัวในการวางแผนเรื่องประชากรได้บ้าง แต่สำหรับประเทศไทย กลับเดินไปสู่สังคมสูงวัยที่ค่อนข้างรวดเร็ว และอาจส่งผลให้เตรียมตัวเตรียมการรับมือไม่ทัน” ผู้อำนวยการ สวรส. ระบุ

มากไปกว่านั้น ประเทศไทยและอีกหลายประเทศในโลกยังต้องเจอกับปัญหาเรื่องการเจริญพันธุ์ของประชากรอีกด้วย โดยสำหรับไทยปัจจุบันอัตราการเจริญพันธุ์ของหญิงไทย 1 คนเฉลี่ยให้กำเนิดบุตรอยู่แค่ 1.1 คน ซึ่งแม้ว่ากระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จะพยายามอย่างไร แต่สถานการณ์ตอนนี้ต้องบอกตามตรงว่าค่อนข้างแก้ได้ยาก ถึงจะบอกให้มีลูกเพื่อชาติ ก็อาจไม่ได้ผล

“อย่างรัฐบาลสิงคโปร์ ออกแคมเปญมีส่วนลดที่อยู่อาศัย บ้าน หรือคอนโดสำหรับครอบครัวที่มีลูก เพื่อกระตุ้นให้มีลูกกันมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้ผล” นพ.ศุภกิจ กล่าวถึงความพยายามแก้ปัญหาการเกิดน้อยในต่างประเทศ” ผู้อำนวยการ สวรส. ระบุ

ระบบสุขภาพไทย
ในการแก้ปัญหาทางสุขภาพที่ไทยต้องเผชิญ อาจต้องมาทบทวนก่อนว่าที่ผ่านมาระบบสุขภาพไทยมีลักษณะอย่างไรและเพียบพร้อมไปด้วยฐานทุนขนาดไหน โดย นพ.ศุภกิจ ได้อธิบายในประเด็นนี้ว่า ระบบสุขภาพของทั่วโลกมีทั้งที่เหมือนและแตกต่างกัน แต่แกนหลักแล้วจะมีสิ่งที่เรียกว่า ‘6 Building Blocks’ หรือ องค์ประกอบของระบบสุขภาพ 6 ประการ ที่จะส่งผลให้มีความเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพในการดูแลและส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคให้กับประชาชน อันประกอบด้วย 1. ระบบบริการ 2. กำลังคนด้านสุขภาพ 3. ระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ 4. ยาและเทคโนโลยีทางการแพทย์ 5. การเงินการคลังด้านสุขภาพ และ 6. การอภิบาลระบบ

ทว่า สำหรับประเทศไทยจะต่างออกไป ซึ่งเรียกได้ว่าเป็น 6+1 เพราะระบบสุขภาพไทยมีกล่องที่ 7 คือ ‘ระบบสุขภาพชุมชน’ ซึ่งมีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และภาคส่วนจากชุมชนที่คอยดูแลสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคให้กับคนในชุมชนด้วยกัน ต่างจากต่างประเทศที่ไปรักษาแล้วก็จบกันเลย

“ระบบสุขภาพชุมชน ทำให้เราโดดเด่นอย่างมาก และทำให้ประเทศไทยมีความก้าวหน้าในระดับโลกในเรื่องของการจัดบริการสุขภาพ” ผู้อำนวยการ สวรส. กล่าวเสริมถึงความสำคัญของระบบสุขภาพชุมชน

นพ.ศุภกิจ กล่าวอีกว่า หากมองระบบสุขภาพไทยให้ลงลึกไปอีก ก็จะพบว่า ลักษณะของระบบสุขภาพไทยจะแบ่งได้เป็น 3 รูปแบบ คือ

1. ไม่ว่าจะเป็นสถานพยาบาลระดับใด จะต้องให้บริการสาธารณสุขแบบผสมผสาน ซึ่งหมายถึง การให้บริการสุขภาพที่ทั้งดูแลรักษา ฟื้นฟู และสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันควบคุมโรค รวมไปถึงคุ้มครองผู้บริโภค

2. การวางระบบบริการสุขภาพตามเขตการปกครอง ซึ่งหมายถึงการมีโรงพยาบาลชุมชนทุกอำเภอ มีโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป ในทุกจังหวัด และ 3. การให้บริการสุขภาพส่วนใหญ่ดำเนินการโดยรัฐ ซึ่งเป็นจุดแข็งที่ทำให้ง่ายต่อการป้องกันและควบคุมโรค อีกทั้งยังทำให้การเข้าถึงการรักษามีความเท่าเทียมกันเกือบทั้งหมด

นพ.ศุภกิจ กล่าวต่อไปว่า ด้วยระบบนี้เองที่ไทยใช้ขับเคลื่อนมากว่าครึ่งศตวรรษ ผ่านการดำเนินการขับเคลื่อนในสองขา โดย 'ขาซ้าย'’  คือระบบบริการสุขภาพที่มุ่งเน้นเรื่องการแพทย์ ซึ่งมีรัฐบาลคอยสนับสนุนด้านค่าใช้จ่ายในการรักษาให้กับคนไทยทุกคนผ่านกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง 30 บาทประกันสังคม สวัสดิการข้าราชการ) ตลอดจนการจัดหาเทคโนโลยี การเติมกำลังบุคลากรทางการแพทย์ หรือการปรับปรุงพัฒนาระบบให้ดีขึ้นซึ่งเป็นเรื่องโครงสร้างทางสุขภาพ

ขณะที่ ‘ขาขวา’ เป็นเรื่องของการสาธารณสุข ที่หมายความถึงการดูแลสุขภาพของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน  ซึ่งเป็นการทำให้ประชาชนมีส่วนในการดูแลสุขภาพของตนเองด้วย เช่น หากไทยจะฉีดวัคซีน หน้าที่การจัดหาวัคซีนที่ดีมีคุณภาพเป็นของรัฐบาล ประชาชนมีหน้าที่มาที่ฉีดวัคซีนให้ได้เมื่อถึงเวลาที่กำหนด

“ประเทศไทยโชคดีที่เรามี ‘สองขา’ ที่เข้มแข็ง ทำให้ระบบสุขภาพเดินหน้าได้อย่างดีมาตลอด

“ส่วนกองทุนหลักประกันสุขภาพฯ สุดท้ายแล้วทั้ง 3 กองทุนอาจต้องมารวมกันเป็นกองทุนเดียวในอนาคตเพื่อดูแลประชาชนคนไทยทั้งหมด เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ตกผลึกเป็นแนวทางที่ชัดเจนว่าจะจัดระบบให้ทัดเทียมกันได้อย่างไร แต่อย่างน้อยที่สุด ก็ยังเห็นว่ารัฐบาลก็พยายามลดความแตกต่างระหว่างแต่ละกองทุน เพื่อให้การบริการสุขภาพมีความใกล้เคียงกันมากที่สุดเท่าที่จะทำได้” นพ.ศุภกิจ ชี้ให้เห็นสิ่งสำคัญ

อนาคตระบบสุขภาพไทย
ในช่วงท้าย นพ.ศุภกิจ ให้มุมมองถึงอนาคตของระบบสาธารณสุขของประเทศว่า อนาคตหนีไม่พ้นที่เทคโนโลยีจะเข้ามามีส่วนช่วยอย่างมาก อย่างเช่นที่ตอนนี้ทุกคนได้สัมผัสกันแล้ว นั่นคือ ระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ที่นำมาใช้แก้ปัญหาลดความแออัดในโรงพยาบาล ลดการรอคอยรับบริการ ซึ่งเป็นระบบที่คนไทยเริ่มคุ้นเคยและรู้จัก พร้อมกับมีจำนวนการใช้บริการมากขึ้นแล้ว

รวมถึงสิ่งที่จะตามมาคือ ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่เกี่ยวกับการแพทย์ (AI Medical) ที่จะมีบทบาทเยอะมากในเรื่องการแพทย์ เพราะแพทย์จบใหม่จะใช้งานมากขึ้น เช่น การอ่านผลค่าเอ็กซเรย์ ที่ขณะนี้มีเครื่องอ่านค่าพร้อมกับส่งผลไปยังแพทย์เจ้าของไข้ได้ทันที

มากไปกว่านั้น การแพทย์อนาคตจะมุ่งไปสู่การแพทย์แม่นยำ (Precision Medicine) ที่อาศัยความรู้ด้านจีโนมิกส์มากขึ้น เพราะจะช่วยให้แพทย์สามารถรักษาได้อย่างถูกต้องและตรงจุดมากขึ้น เช่น การตรวจหาดาวซินโดรมทารกในครรภ์ การคัดกรองมะเร็งลำไส้จากตัวอย่างที่แม่นยำมากขึ้น 

กระนั้น นพ.ศุภกิจ บอกว่า หากมองไปที่ปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อสุขภาพของมนุษย์ ข้อเท็จจริงก็คือ บริการสุขภาพ ซึ่งรวมเทคโนโลยีสารสนเทศด้านสุขภาพไปด้วย มีส่วนเพียงแค่ 10% เท่านั้น นอกนั้นเป็นปัจจัยด้านพันธุกรรม (Genetics) 30% พฤติกรรมบุคคล 40% และปัจจัยทางสังคมและสิ่งแวดล้อม 20% ดังนั้นต้องมาช่วยกันคิดต่อว่าเทคโนโลยีจะเข้าไปสนับสนุนปัจจัยอื่นๆ เหล่านี้ได้อย่างไร

“วันนี้เวลาพูดถึงสุขภาพ คนเราจะนึกถึงคือการแก้ไขความจำป่วยของผู้คน ซึ่งแน่นอนว่านั่นเป็นสิ่งจำเป็น แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปถึงรากฐานของสุขภาพถึงความเป็น Wellness จริงๆ มันไม่ใช่แค่เรื่องของสุขภาพแข็งแรง แต่มีองค์ประกอบต่างๆ เช่น สุขภาพจิต หรือก็คือต้องดูนิยามสุขภาพสมัยใหม่” นพ.ศุภกิจ กล่าว

ตำแหน่งแห่งที่ของ สวรส. หลังจากนี้
สำหรับบทบาท สวรส. หลังจากนี้ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ถูกนิยามว่าเป็นคลังสมองด้านสาธารณสุขของประเทศ นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า สวรส. จะทำหน้าที่สนับสนุนให้เกิดมีงานวิจัยที่สามารถไปตอบโจทย์ และแก้ปัญหาในระบบสาธารณสุขของประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะกับการวิจัยที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ที่รวดเร็ว เพื่อเป็นข้อมูลและข้อเสนอต่อผู้มีอำนาจตัดสินใจ 

ตัวอย่างเช่น ช่วงโควิด-19 ที่ครั้งนั้น รัฐบาลต้องการคำตอบเกี่ยวกับยาชนิดหนึ่งเพื่อใช้รักษาผู้ป่วย และยังเป็นยาเดียวที่มีอยู่ในตลาดอีกด้วย สวรส.จึงไปหนุนทีมนักวิจัยระดับหัวกะทิของประเทศอย่าง คณะกรรมการประมวลสถานการณ์ โควิด-19 ของ สธ. โดยใช้ชื่อว่า MOPH Intelligence Unit หรือ MIU บนโจทย์ที่ว่าต้องทำอย่างเร็วเพื่อรู้ผลให้เร็วที่สุด ซึ่งตามปกติแล้ว นักวิจัยอาจต้องขอเวลาอย่างน้อย 6 เดือนเพื่อลงมือเรื่องนี้

ผู้อำนวยการ สวรส. กล่าวต่อไปว่า แต่ด้วยความรวดเร็วและความชำนาญของนักวิจัย ก็ทำให้ได้คำตอบอย่างรวดเร็ว และพบว่ายาชนิดนี้ช่วยลดความรุนแรงได้บ้างแต่ไม่มากนัก และอนาคตก็เชื่อว่าจะมียาชนิดอื่นออกมาอีก ข้อเสนอคือ ควรซื้อเอาไว้ในประเทศในปริมาณน้อยเพื่อรองรับการใช้งานไปก่อน ซึ่งเป็นการวิจัยผ่านการรีวิวและทบทวนงานวิจัยเดิมที่เคยทำ ก็ทำให้ได้คำตอบที่รวดเร็วและทำให้การตัดสินใจเชิงนโยบายของรัฐบาลมีผลลัพธ์ที่ดี และเป็นการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งมันเป็นผลมาจากการวิจัย

“สวรส. เป็นสถาบันการวิจัย และสนับสนุนการวิจัยในระบบสาธารณสุขของประเทศ แน่นอนว่าเราจะมุ่งเน้นมาที่เรื่องของระบบสุขภาพ รวมถึงวิจัยโครงการต่างๆ ของรัฐบาลที่ต้องการ เช่น โครงการ 30 บาทบัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่ หรือโครงการรับยาที่ร้านยา เพื่อดูว่าโครงการมีประสิทธิภาพมั้ย การเข้าถึงบริการเป็นอย่างไร อะไรบ้างที่ควรปรับปรุง หรือแม้แต่การเติมกำลังคนเข้าไปในระบบ จะต้องเติมอย่างไร ปริมาณหมอ และพยาบาลต้องเท่าไหร่ ซึ่งเป็นเรื่องการสาธารณสุขที่เป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาประเทศ

“แต่อีกด้านในเรื่องการแพทย์ ที่มุ่งเน้นมายังการรักษา สวรส. เองก็ไม่ได้ทิ้ง แต่ยังคงสนับสนุนการวิจัยทางการแพทย์ นวัตกรรมใหม่ๆ รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ ยา ที่จำเป็นต่อการรักษาและฟื้นฟูผู้ป่วยในประเทศในองค์รวม เรื่องนี้ สวรส. ก็ยังสนับสนุนการวิจัยด้วยเช่นกัน” นพ.ศุภกิจ กล่าวตอนท้าย

The Coverage • Interview • 25 มกราคม 2567

130
ลูกเข็นรถแม่ ร้อง ชลน่าน โรงพยาบาลดังย่านบางใหญ่ นนทบุรี รักษาพยาบาลผิดมาตรฐาน ใช้แม่บ้านวัดความดันคนไข้ วินิจฉัยช้า ทำพิการตลอดชีวิต

วันที่ 25 ม.ค.2567 ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ได้พาครอบครัวผู้เสียหายมายื่นหนังสือถึง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข กรณีการรักษาพยาบาลที่ไม่ได้มาตรฐานจนทำให้ผู้ป่วยกลายเป็นผู้พิการ

นายรณณรงค์ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2563 โดยครอบครัวผู้เสียหายได้พาคุณแม่ อายุ 57 ปี ไปรักษาที่คลินิกเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งมีการวินิจฉัยว่าอาจจะเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ ทางครอบครัวจึงพาคุณแม่ไปเข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ด้วยสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตรทอง 30 บาท เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล 5 คืน

นายรณณรงค์ กล่าวต่อว่า กระทั่งคืนที่ 6 ทางโรงพยาบาลได้ส่งตัวฉุกเฉินไปยัง โรงพยาบาลอีกแห่งในพื้นที่ อ.เมือง จ.นนทบุรี เพื่อไปสแกนสมอง พบว่าเส้นเลือดในสมองแตก ทำให้คุณแม่เกิดความพิการขึ้น
นายรณณรงค์ กล่าวอีกว่า ประเด็นสำคัญคือในช่วงที่อยู่โรงพยาบาลแรกถึง 5 วันทำไมจึงไม่มีการตรวจให้ละเอียดและก็ยังมีการวินิจฉัยว่า เป็นไข้หวัดใหญ่อยู่ จนกระทั่งผู้ป่วยเส้นเลือดในสมองแตก ด้านลูกสาวจึงได้ไปร้องเรียนตามหน่วยงานที่เปิดให้ร้องเรียน

นายรณณรงค์ กล่าวว่า จนสุดท้ายทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี ได้เข้ามาเยียวยาแต่ก็มีเงื่อนไขที่เป็นปัญหาว่า "การจะรับเงินเยียวยาจากภาครัฐจะต้องเซ็นยินยอมไม่ติดใจเอาความ ในวงเงินชดเชย 400,000 บาท ซึ่งเป็นกรณีที่เกิดความผิดพลาดระหว่างคนไข้กับโรงพยาบาล"

นายรณณรงค์ กล่าวด้วยว่า ตนจึงได้พาครอบครัวผู้เสียหายมาร้องเรียน เนื่องจากรัฐบาลเองก็มีนโยบายเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาบัตรทอง 30 บาท

"ผมรู้ว่าเรามีสวัสดิการบัตรทอง 30 บาท แต่เราไม่ได้อยากนั่งรอ 5 วัน แล้วค่อยไปสแกนสมองและการส่งต่อก็ใช้เวลานาน จึงเกิดเป็นความผิดพลาดขึ้นมา โดยเฉพาะตอนอยู่โรงพยาบาลแห่งแรก ที่มีการให้แม่บ้านเป็นคนมาวัดความดันให้คนไข้ ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ควรจะเป็นเช่นนั้นเลย" นายรณณรงค์ กล่าว

ด้าน น.ส.ธัญวรินทร์ (ขอสงวนนามสกุล) ลูกสาวของผู้เสียหาย กล่าวว่า หลังจากที่ตนพาคุณแม่รักษาที่คลินิกแล้ว ก็ตัดสินใจมาที่โรงพยาบาลตามสิทธิบัตรทอง ตอนแรกคุณหมอบอกว่า อาจจะเป็นนิ่วก็เลยมีการเจาะเลือดไปตรวจ จนแอดมิตแล้วก็ยังไม่มีผลเลือดอะไรออกมา

น.ส.ธัญวรินทร์ กล่าวต่อว่า เมื่อเกิดเหตุเช่นนี้ ตนจึงติดใจเรื่องการรักษาจึงอยากให้มีมาตรฐานมากกว่านี้ อย่างกรณีคุณแม่ของตน ที่มีค่าความดันสูงถึง 200 กว่า แต่ผู้ที่ดูแลก็ได้แค่จดไป ไม่มีการกระทำการใด ๆ เลย ส่งผลให้คุณแม่เป็นหนักขนาดนี้

น.ส.ธัญวรินทร์ กล่าวอีกว่า ตนเข้าใจว่าเรื่องเช่นนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่เมื่อคุณแม่ได้ไปนอนอยู่ในโรงพยาบาล แล้วก็ควรจะมีวิธีที่ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายแรงขนาดนี้ได้ แต่เขากลับไม่ทำ เพราะอยู่เขาไม่ใส่ใจ ขาดจรรยาบรรณ ขาดความใส่ใจ

น.ส.ธัญวรินทร์ กล่าวยอมรับว่า ตนได้ไปเรียกร้องที่โรงพยาบาล แต่ก็มีการโยนกันไปโยนกันมา จนสุดท้ายกลายเป็นทุกคนบอกว่าเพราะแม่บ้านเป็นคนวัดความดัน ส่วนพยาบาลก็อ้างว่าความดันขึ้นสูงนั้นเป็นเรื่องปกติของผู้สูงอายุ จึงไม่ได้คิดเรื่องของเส้นเลือดตีบ

"ตอนอยู่โรงพยาบาลแม่มีอาการปวดหัว กินอะไรไม่ได้ อาเจียนจนไม่มีแรง ทำให้พยาบาลเร่งเอาน้ำเกลือให้เพราะอ้างว่าคนไข้กินอะไรไม่ได้ แล้วก็น่าจะมีการผสมยาฆ่าเชื้อด้วย แล้วเมื่อมีการส่งต่อไปยังโรงพยาบาลอีกแห่ง ก็ไม่มีประวัติคนไข้ไปเลย ทำให้คุณหมอต้องเริ่มต้นการวินิจฉัยใหม่ทั้งหมด" น.ส.ธัญวรินทร์ กล่าว

น.ส.ธัญวรินทร์ กล่าวต่อว่า ปรากฏว่า คุณหมอบอกว่าแม่ได้รับน้ำเกลือมากเกินไป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้แม่เกิดอาการ จนแม่ต้องเป็นคนพิการแบบนี้ จนได้บัตรคนพิการ ส่วนรายได้จากเดิมแม่เคยทำงานได้เดือนละ 50,000 บาท แต่ตอนนี้ต้องอาศัยแค่เบี้ยคนพิการอย่างเดียว

น.ส.ธัญวรินทร์ กล่าวอีกว่า ที่มาวันนี้ก็หวังให้มีการสร้างมาตรฐานโรงพยาบาลให้ดีขึ้น เราไม่ได้จะมาเรียกร้องข้อเสียหายอะไร ถ้าเลือกได้เราต้องการไม่ให้แม่ต้องมาพิการแบบนี้ และก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้กับคนอื่นอีก

ขณะที่ นายปิยวัฒน์ ศิลปรัศมี ผู้อำนวยการกองกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ตนได้รับมอบหมายจากผู้บังคัญบัญชาให้มารับเรื่องนี้ และให้ดำเนินการสอบสวนตามกฎหมาย

นายปิยวัฒน์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ตนจะต้องนำเรียนผู้บังคับบัญชาระดับสูงถึงการดูแลผู้ป่วยและอีกเรื่องคือการดูแลมาตรฐานการการรักษาพยาบาลว่าถูกต้องตามมาตรฐานหรือไม่ ซึ่งถ้าไม่ถูกต้องเราก็จะต้องช่วยเหลือเยอะที่สุด ส่วนเรื่องของจรรยาบรรณวิชาชีพ ก็จะต้องไปตรวจเรื่องนี้ด้วย

เมื่อถามว่า หากฟังจากข้อมูลที่ผู้เสียหายมาร้องเรียนวันนี้ เข้าข่ายความผิดด้านมาตรฐานการรักษาพยาบาลหรือไม่ นายปิยวัฒน์ กล่าวว่า ถ้าฟังจากผู้ป่วยก็ดูแล้วมีส่วนอยู่ประมาณหนึ่ง แต่อย่างไรก็ต้องไปดูรายละเอียดข้อเท็จจริง

ถามต่อว่า กรณีที่ให้แม่บ้านมาเป็นผู้ตรวจวัดความดันผู้ป่วยในโรงพยาบาลถือว่าผิดตามมาตรฐานด้วยหรือไม่ นายปิยวัฒน์ กล่าวว่า ก็น่าจะใช่ แต่ก็ต้องไปดูรายละเอียดก่อน

https://www.khaosod.co.th
25 ม.ค.2567

131
 เภสัชกรสุดท้อ พ่อเส้นเลือดในสมองแตก ควรได้รับยาสลายลิ่มเลือด ตอนนั้นตัดสินใจผิดเอาพ่อเข้าโรงพยาบาลรัฐ กลายเป็นพ่อได้อยู่เฉย ๆ จนอาการแย่ ก่อนมาสืบอีกทีคดีพลิกหนักมาก

          วันที่ 23 มกราคม 2567 บนโลกออนไลน์กำลังมีดราม่าชิ้นใหญ่ หลังจากที่ X @AerthH ได้ออกมาเล่าเรื่องของเภสัชกรคนหนึ่ง ที่มีคุณพ่อเป็นโรคเส้นเลือดในสมองเฉียบพลัน และต้องเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที แต่ปรากฏว่าในวันนั้นหมอไม่เข้าเวร และทำให้คุณพ่อของเธอกลายเป็นอัมพาตครึ่งซีก

เภสัชกร เผยประสบการณ์คุณพ่อเป็นโรคเส้นเลือดในสมอง พาเข้ารักษาโรงพยาบาลรัฐ แต่กลับเอาไปดูอาการ จนสุดท้ายพ่อเป็นอัมพาตครึ่งซีก

          ทั้งนี้ ได้มีเภสัชกรคนหนึ่ง ออกมาเผยว่า เธอเป็นเภสัชกรทำงานอยู่ที่ กทม. ครอบครัวอยู่ที่ร้อยเอ็ด วันหนึ่งคุณพ่อของเธอมีอาการสโตรก หรือเป็นโรคหลอดเลือดสมอง คุณพ่อลิ้นแข็งและพูดไม่ได้ประมาณ 15-30 นาที ตอนนั้นเธอก็บอกให้คุณพ่อรีบไปโรงพยาบาล หากไปถึงใน 270 นาทีและเข้ารับการรักษา อาการจะไม่เป็นหนัก ส่วนเธอก็พยายามหาตั๋วเครื่องบินเพื่อไปหาคุณพ่อทันที แต่หาไม่ได้ เธอจึงตัดสินใจให้คนขับรถขับรถจาก กทม. ไปที่ร้อยเอ็ด ใช้เวลาทั้งหมด 6 ชม. ก็ถึงบ้าน

          ทั้งนี้ สิ่งที่เธอต้องการคือ ให้พ่อขับรถไปที่ รพ. ร้อยเอ็ด เนื่องจากคิดว่าโรงพยาบาลขนาดใหญ่น่าจะมียาละลายลิ่มเลือด (rt-PA) และเธอก็พร้อมที่จะจ่ายเงิน แต่กลายเป็นว่านี่คือการตัดสินใจที่ผิด เพราะมันไม่ได้สำคัญที่ยา แต่สำคัญที่ว่าหมอจะมาตรวจหรือไม่ เนื่องจากเมื่อไปถึงโรงพยาบาล ทางโรงพยาบาลไม่มีสตาฟฟ์ และเอาคุณพ่อใส่ Stroke Unit ด้านพยาบาลก็ให้คุณพ่อรอข้ามวันข้ามคืน

          จากนั้น เธอจึงเรียกพี่น้องอีกคนมาจากอุบลฯ ตอนเที่ยงคืน และเมื่อซักถามอาการจึงทำให้ทราบว่า NIHSS หรือคะแนนโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน = 2 ซึ่งหมายความว่า ตอนนี้คุณพ่อไม่รู้สึกตัว ต้องกระตุ้นซ้ำหรือทำให้เจ็บ และพบว่าในวันนั้น อายุรแพทย์ระบบประสาทไม่ได้เข้ามาโรงพยาบาล จนนำไปสู่การประเมินคนไข้ผิดพลาด และคิดว่าคนไข้มีภาวะสมองขาดเลือดชั่วขณะ แต่กว่าจะเข้า CT Scan เสร็จ ให้ยาก ก็เกินไกด์ไลน์ 270 นาที และทำให้คุณพ่อกลายเป็นอัมพาตครึ่งซีกด้านขวา

          ในตอนนั้น เธอไปเฝ้าพ่อได้เยี่ยมครั้งละ 10 นาที วันละ 2 ครั้ง นอกนั้นนั่งรอข้างนอกตลอด 5 วัน พยาบาลตะเพิดตนลงจากตึกทุกวัน ตนใส่นาฬิกาเรือนละล้าน เสื้อตัวละหมื่น และทุกคนได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมกันจริง ๆ และจากวันนั้น เธอก็ไม่เคยอยากกลับจังหวัดร้อยเอ็ดอีกเลย

          เธอเผยว่าจวบจนวันนี้ผ่านมา 2 ปี เธอโทษตัวเองมาตลอด ในตอนนั้นเธอมีเงินในบัญชี 8 หลัก แต่เธอกลับไม่ตัดสินใจส่งพ่อด้วยเครื่องบินเข้าโรงพยาบาลใน กทม. และพบว่า อายุรแพทย์ระบบประสาทท่านนั้นมีเพียงคนเดียวในโรงพยาบาล และมีปัญหาสมรส จนไม่สามารถมาปฏิบัติงานได้ ท่านทราบหรือไม่ว่าการที่ท่านไม่มาดูคนไข้ 1 คน และพยาบาลที่ Stroke Unit ไม่สนใจคนไข้ จนทำให้ครอบครัวหนึ่งมีแต่ความเศร้า

          หากย้อนเวลาได้ เธออยากกลับไปตัดสินใจใหม่ ให้พ่อขับรถเข้าไปรักษาโรงพยาบาลเอกชนในขอนแก่น จะหมดกี่สิบล้านก็ยอม และขอฝากถึงผู้บริหารโรงพยาบาลด้วย ที่เธอไม่ดำเนินคดีทางกฎหมาย ไม่ใช่ว่าเธอไม่มีศักยภาพ แต่เพราะเธอเคารพในการตัดสินใจของพ่อ ถ้าโรงพยาบาลรักษาพ่อดี เธอพร้อมที่จะบริจาคเงินให้ Stroke Unit เท่ากับอัตราค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลของประเทศไทย คุณพ่อมักพูดเสมอว่า ท่านเป็นข้าราชการ โรงพยาบาลรัฐจะดูแลท่านอย่างดี

          ด้านคุณพ่อปกติอยู่ที่ กทม. แต่ช่วงปีใหม่ขอกลับไปรดน้ำต้นไม้ที่ร้อยเอ็ด และนับตั้งแต่ที่เกิดเหตุการณ์ คุณพ่อก็ไม่ได้กลับ กทม. อีกเลย

เผยแชตอีกด้าน คนไข้ข่มขู่หมอ บอกจะเอาปืนมายิงพ่อหมอ - กราดยิง รพ. ลูกรู้ดีแต่ไม่ห้ามพ่อ

          อย่างไรก็ตาม ต่อมาใน X @LittleBirbMame ได้ปรากฏแชตของหมอที่พูดว่า อาจารย์ด้านอายุรแพทย์ระบบประสาทท่านนั้น ได้ทำระบบของเรื่องคนไข้สโตรกให้ทั้งจังหวัด และจากที่ฟังดู ก็ต้องยอมรับว่าถ้าคนไข้อยู่ กทม. น่าจะได้รับการรักษาที่ดีกว่านี้ แต่ด้วยข้อจำกัดต่าง ๆ เราเป็นหมอก็เสียใจเพราะสุดวิสัยเช่นกัน

          ทั้งนี้ พบว่า โรงพยาบาลร้อยเอ็ดมีอายุรแพทย์ระบบประสาทเพียงท่านเดียว และไม่ได้เข้าเวรวันนั้น และภายหลังพบว่า คุณพ่อของคนไข้ได้เดินไปหาหมอที่คลินิก เอาปืนไปขู่ และมาโรงพยาบาลก็มาขู่ถึงห้องตรวจ ลูกสาว (เภสัชกรคนต้นเรื่อง) แม้จะรับรู้แต่ก็ไม่ทำอะไร

          ด้านคนไข้ได้มาข่มขู่ว่า จะจ้างมือปืนมายิงหมอ จะขับรถชนหมอ แล้วจะมากราดยิงที่โรงพยาบาลรวมถึง ผอ. ด้วย ตอนนั้น ผอ. เลยไปคุยกับคนไข้ และคนไข้บอกว่าต้องให้หมอไปขอโทษที่บ้าน เลยตัดสินใจไปให้จบ ๆ ทั้งที่คิดว่า จริง ๆ หมอก็ไม่ได้อยู่เวรวันนั้น แต่ถ้าจะลดความรุนแรงให้ได้ ขอโทษให้ได้ ถ้าสุดท้ายเขาไม่พอใจ เรื่องก็ไม่จบ

          ล่าสุดคนไข้มาตรวจที่แผนกผู้ป่วยนอก และต้องการเรียกเงินจากหมอ 2 ล้านบาท และต้องเป็นเงินจากหมอท่านนี้เท่านั้น เวลาที่มาตรวจ ก็ขอให้เป็นหมอท่านนี้มาตรวจเท่านั้น ล่าสุดคือ ถ้าหมอไม่ให้ (เงินชดเชย) จะให้ลูกน้องไปคุยกับพ่อหมอที่ กทม. และเคยมีการข่มขู่ว่าจะให้คนไปยิงพ่อหมอ

          การที่โรงพยาบาลเฉย ยอมถูกกระทำ ทั้งที่การรักษาเป็นไปตามมาตรฐาน ตั้งแต่ที่พบว่า คนไข้ขับรถมาเองได้ แล้วมาแย่เพราะเป็น Progressive Stroke ในอีกวัน ซึ่งไม่มีข้อบ่งชี้ให้ใช้ยาละลายลิ่มเลือด แบบนี้ก็น่าน้อยใจ ที่ให้หมอที่เป็นด่านหน้าต้องเผชิญกับเหตุการณ์นี้

พบความจริง คุณหมอเองทำตามไกด์ไลน์ - ใครจะไปดูออก ใส่นาฬิกาเรือนละล้าน

          อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบพบว่า ทางคนไข้นั้นสามารถมาที่โรงพยาบาลเองได้ และต่อให้ คะแนนโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน = 2 ก็ไม่น่าให้ยาละลายลิ่มเลือด และในความเป็นจริง ยาละลายลิ่มเลือด  เป็นยาฟรี แต่กลัวว่าจะมีผลข้างเคียงกับคนไข้ และการที่เธอบอกว่าใส่นาฬิกาเดือนละล้าน เสื้อตัวละหมื่นนั้น ไม่มีใครรู้หรอกว่าเธอใส่นาฬิกากี่บาท เธอเป็นบุคลากรทางการแพทย์ ยิ่งต้องเข้าใจระบบการทำงานของโรงพยาบาลรัฐ แบบนี้จะไปโทษหมอได้เหรอ


https://hilight.kapook.com/view/238765?fbclid=IwAR1LIPM9JrfDxANu6SPY_8h4iEmjAJXQ3AKFU3fdm1FkFqMr1i8_BXPtxS0

132
กัปตันลอฟตัส ตัวการผู้ทำให้ไทยยกเลิก “โครงการขุดคอคอดกระ” ในสมัยรัชกาลที่ 5

แผนการขุด “คลองกระ” ที่เริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เป็นเรื่องล่อแหลมด้านความมั่นคง สยามยอมยกเกาะสอง ปากแม่น้ำปากจั่น แลกกับการซื้อเวลาจากอังกฤษ แต่ทีมงานเหนือเมฆของฝรั่งเศสมาพร้อมกับชื่อเสียงของวิศวกรเอกผู้ขุดคลองสุเอซ รัฐบาลสยามจึงเริ่มมีทัศนคติที่ดีและไว้วางใจบริษัทฝรั่งเศส โดยรัชกาลที่ 5 มีดำรัสให้ทีมงานฝรั่งเศสเริ่มการสำรวจ “คอคอดกระ” เสียก่อน เพื่อประเมินความเป็นไปได้ต่าง ๆ พร้อมส่งผู้แทนรัฐบาลสยามไปสำรวจและประเมินร่วมกับทีมงานฝรั่งเศสด้วย

กัปตันลอฟตัส ตัวการยับยั้ง “คลองกระ”
การส่งผู้แทนของรัฐบาลสยามที่เป็นชาวยุโรปไปกับคณะของคนฝรั่งเศส เป็นสิ่งที่ทีมงานฝรั่งเศสกลืนไม่เข้าคายไม่ออก มันเหมือนการส่งสายลับฝ่ายตรงข้ามไปกับคู่กรณีอย่างมีเจตนา และไม่เป็นผลดีต่อแผนการของฝรั่งเศสในระยะยาวเลย

ตัวแทนของฝ่ายไทยผู้นี้มีนามว่า กัปตันลอฟตัส ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสำรวจและงานวิศวกรรม รับราชการอยู่กับรัฐบาลสยามมานานตั้งแต่ต้นรัชกาลที่ 5 แต่การเป็นคนอังกฤษย่อมเป็นหอกข้างแคร่สำหรับชาวฝรั่งเศสอย่างช่วยไม่ได้ และทำให้ภารกิจของชาวฝรั่งเศสไม่ใช่ความลับอีกต่อไป

ใครคือกัปตันลอฟตัส? นาวาเอก อัลเฟรด จอห์น ลอฟตัส (Major Alfred J. Loftus) (ค.ศ. 1834-99) เป็นนายทหารเรือชาวอังกฤษโดยสัญชาติ ท่านได้รับการว่าจ้างให้ทำแผนที่ทางทะเลฉบับแรกให้รัฐบาลสยาม เมื่อ พ.ศ. 2412 (ค.ศ. 1871) ภายใต้บังคับบัญชาของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)

ต่อมาท่านก็ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้บังคับการเรือพระที่นั่งของรัชกาลที่ 5 เมื่อเสด็จประพาสอินเดีย (ระหว่างวันที่ 16 ธันวาคม 2414-16 มีนาคม 2415 - ผู้เขียน) เมื่อรัชกาลที่ 5 มีพระชนมพรรษาเพียง 19 พรรษา เป็นผู้ชำนาญการสำรวจทะเลและแม่น้ำของสยาม และเป็นหัวหน้าสำนักงานแผนที่ทางทะเล ท่านได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พระนิเทศชลธี เจ้ากรมเซอร์เวย์ทางน้ำ สังกัดกรมท่ากลาง เมื่อ พ.ศ. 2429

กัปตันลอฟตัส ได้รับความไว้วางใจให้เป็นตัวแทนของรัฐบาลสยามสำรวจคอคอดกระพร้อมกับคณะวิศวกรฝรั่งเศสที่มีนายเดอลองก์เป็นหัวหน้าทีม ใน พ.ศ. 2423-24 (ค.ศ. 1880-81)

หลังจากลาออกจากราชการไทยท่านก็ยังใช้ชีวิตต่อไปในสยามและได้ก่อตั้งกิจการรถรางเป็นครั้งแรก ทั้งยังเป็นผู้ริเริ่มการเดินรถไฟสายกรุงเทพฯ-ปากน้ำ และเป็นนักธุรกิจชาวอังกฤษผู้มีชื่อเสียงมากในกรุงเทพฯ ในช่วงบั้นปลายชีวิตท่านได้เดินทางไปพักผ่อนที่อังกฤษ แต่ก็ยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากรัชกาลที่ 5 แต่งตั้งให้เป็นกงสุลสยามประจำเมืองเบอร์มิงแฮมในอังกฤษอีกด้วย

กัปตันลอฟตัสเป็นผู้ที่รักเมืองไทยมาก เมื่อท่านถึงแก่กรรมคำสั่งสุดท้ายคือขอให้ผู้ประกอบพิธีศพช่วยห่อร่างของท่านด้วยธงชาติไทย (ธงช้าง) ตอนที่นำร่างท่านไปฝังในสุสาน

การที่รัฐบาลสยามวางตัวกัปตันลอฟตัสให้เป็นผู้แทนติดตามไปกับคณะวิศวกรชาวฝรั่งเศส นอกจากจะทำให้ฝ่ายไทยได้ข้อมูลที่เป็นกลางไม่ฝักใฝ่กลุ่มนายทุนแล้ว ยังพิสูจน์ว่าไทยต้องการข้อมูลเบื้องต้นประกอบการพิจารณา ไม่ได้มุ่งหวังแต่เพียงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจหรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับชาติมหาอำนาจอย่างเดียว

การสำรวจเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 16 มกราคม 2425 (ค.ศ. 1882) จนถึงวันที่ 4 เมษายน 2426 (ค.ศ. 1882) (ในสมัยรัชกาลที่ 5 วันขึ้นปีใหม่ตรงกับ 1 เมษายน แต่ยังเป็น ค.ศ. 1882 – ผู้เขียน) โดยเริ่มสำรวจจากเมืองชุมพรลงไปทางใต้ ได้สำรวจแม่น้ำสวีและแม่น้ำหลังสวนในขั้นแรกจนถึงตำบลที่เรือจะขึ้นไปอีกไม่ได้ แล้วขึ้นช้างเดินป่าต่อไปจนถึงเมืองระนอง จากนั้นลงเรือขึ้นไปทางเหนือตามลำแม่น้ำปากจั่นตลอดถึงเมืองกระบุรี

ปรากฏว่าเส้นทางที่ควรจะเป็นแนวคลองนั้นต้องผ่านไปในหมู่เทือกเขาที่มีความสูงไม่สม่ำเสมอกัน และมีลักษณะคดเคี้ยวมากขึ้น ๆ ลง ๆ เป็นลูกคลื่นและต้องอ้อมไปมาตัดเป็นเส้นตรงไม่ได้ สรุปได้ว่าเส้นทางของแนวคลองที่จะขุดนั้นต้องลัดเลาะไประหว่างหุบเขาของเทือกเขาเหล่านั้น หากจะตกแต่งแนวคลองให้เป็นเส้นตรงแล้วก็จะพบอุปสรรคยิ่งขึ้น เส้นทางตอนสูงที่สุดสูงกว่าระดับน้ำทะเลมากถึง 250 เมตร โดยพื้นที่ตามเส้นทางที่จะขุดส่วนมากเป็นหินแข็ง

ส่วนตามแม่น้ำปากจั่นที่คาดว่าเรือใหญ่จะเข้ามาจากมหาสมุทรอินเดียนั้นก็คดเคี้ยวและแคบมาก ทั้งยังเต็มไปด้วยสันดอนทรายและมีหินใต้น้ำอยู่ทั่วไป ในฤดูมรสุมก็มีคลื่นลมแรงและไม่น่าจะปลอดภัยสำหรับเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ สรุปแล้วการขุดคลองในแถบนี้ไม่อาจสำเร็จลงได้โดยง่าย

อนึ่ง คณะนักสำรวจได้กะประมาณการไว้ว่าคลองกระน่าจะมีความยาวประมาณ 111 กิโลเมตร โดยส่วนที่จะต้องขุดคลองใหม่จะมีความยาวเพียง 53 กิโลเมตร ถ้าแผนงานเกิดขึ้นจริง

ผลการสำรวจคอคอดกระที่ตอนแรกน่าจะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของทีมงานชาวฝรั่งเศสกลับกลายเป็นการสำรวจร่วมของทีมงานผสมอังกฤษ-ฝรั่งเศส โดยมี กัปตันลอฟตัส เป็นหัวหอกประเมินบทสรุปเสียเอง ซึ่งดูจะไม่ส่งผลดีต่อความตั้งใจของพวกฝรั่งเศสเอาเลย

นอกจากกัปตันลอฟตัสจะต่อต้านความคิดทางทฤษฎีของวิศวกรฝรั่งเศสว่าคอคอดกระเป็นพื้นที่ทุรกันดารไม่เหมาะต่อการขุดคลองลัดแล้วเขาก็ยังเดินหน้าขัดขวางการรายงานผลลัพธ์ในที่ประชุมองค์กรระหว่างประเทศถึงกรุงลอนดอน เหมือนการขโมยซีนทีมงานฝรั่งเศสซึ่ง ๆ หน้า

โดยในราวกลางปี 2426 (ค.ศ. 1883) กัปตันลอฟตัสได้เดินทางไปกล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้าที่ประชุมอันทรงเกียรติของ ราชสมาคมภูมิศาสตร์แห่งสหราชอาณาจักร (The Royal Geographical Society of Great Britain) ตัดหน้านายเดอลองก์โดยโต้แย้งว่า คอคอดกระในสยามมีสภาพไม่เอื้ออำนวยต่อการปรับพื้นที่เพื่อขุดคลอง เพราะมีเทือกเขาสูงถึง 250 เมตรจากระดับน้ำทะเล ยากต่อการขุดเจาะและไม่คุ้มทุนที่จะเดินหน้าบุกเบิกพื้นที่ผิดธรรมดาตามวัตถุประสงค์ของฝรั่งเศส

อันว่าราชสมาคมภูมิศาสตร์แห่งสหราชอาณาจักรนี้ เป็นองค์กรเก่าแก่ของอังกฤษที่ได้รับการเคารพนับถือของนักสำรวจจากทั่วโลกก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2373 (ค.ศ. 1830) ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 3 ของไทย ตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมและพัฒนาความรู้ด้านการสำรวจค้นคว้าทางภูมิศาสตร์และวิทยาการ เป็นองค์กรที่มีอิทธิพลสูงต่อการโน้มน้าวความเชื่อของนักสำรวจโลกที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ตั้งอยู่ที่กรุงลอนดอน

และถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่บรรดาสมาชิกโดยวิชาชีพนักสำรวจและนักทำแผนที่จะรายงานผลสำรวจของตนให้ทางสมาคมทราบเป็นข้อมูลเพื่อการเรียนรู้ในหมู่ชน รวมถึงการค้นพบครั้งล่าสุด การตั้งทฤษฎีใหม่บางทีก็หมายถึงการสรุปผลสำรวจทางภูมิศาสตร์ที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ

คนรุ่นเราอาจไม่มีทางล่วงรู้เลยว่า ทฤษฎีของกัปตันลอฟตัสเท็จจริงประการใด แต่หากมองในแง่บวกอาจเป็นความจริงก็ได้ ในกรณีข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์มันเป็นการยากที่จะแยกสมมุติฐานออกจากข้อเท็จจริงพอ ๆ กับที่จะแยกข้อเท็จจริงออกจากสมมุติฐาน ดังนั้น เราจำเป็นต้องยึดหลักฐานที่คนรุ่นก่อนยืนยันไว้เป็นเกณฑ์

เพราะยังมีหลักฐานเพิ่มเติมอีกว่าในระยะเดียวกันนั้นเอง (ค.ศ. 1880-83) คณะนักสำรวจฝรั่งเศสอีกชุดหนึ่งของ นายเดอ เลสเซป ที่กำลังขุด คลองปานามา (Panama Canal) ได้ประสบปัญหาทางธรณีวิทยาของพื้นดินที่อ่อนยุ่ยในเขตที่ขุดคลองและไข้ระบาดอย่างหนักจนทีมงานฝรั่งเศสจำต้องถอนตัวออกจากปานามาอย่างน่าอับอาย

ในทางปฏิบัติแล้ว “กัปตันลอฟตัส” คือตัวการใหญ่ผู้ยับยั้งแผนงานของพวกฝรั่งเศสอย่างโจ่งแจ้ง เป็นผู้มีบทบาทสำคัญทำให้ “โครงการขุดคอคอดกระ” ถูกยกเลิกไปโดยปริยายและเป็นมือที่สามที่เราไม่รู้จักมาก่อน คำทัดทานของท่านมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือทั้งจากกลุ่มนายทุนและรัฐบาลสยามเอง (ภาพถ่ายกัปตันลอฟตัส คลิก)

รัชกาลที่ 5 ทรงปลอบใจทีมงานฝรั่งเศสอย่างไร?
การยุบโครงการขุดคลองกระโดยกะทันหันทำให้ทีมงานฝรั่งเศสเสียหน้ามิใช่น้อย โครงการขุด คลองปานามา ที่ฝรั่งเศสถอนตัวออกมาก็เช่นเดียวกัน ได้สร้างความปวดร้าวให้ นายเดอ เลสเซป เป็นอย่างมาก ในกรณีของคลองปานามานั้นการเดินหน้าขุดคลองทั้งที่เผชิญอุปสรรคมากมาย เช่น นอกจากข่าวโจมตีพวกฝรั่งเศสว่าติดสินบนสื่อไม่ให้เปิดเผยผลประกอบการต่าง ๆ แล้ว ไข้ป่า (ในปานามาเรียกไข้เหลือง) ยังได้คร่าชีวิตคนงานพื้นเมืองไปกว่า 10,000 คนอีกด้วย

ตามวิสัยชาวสยามผู้หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าและเห็นอกเห็นใจผู้ประสบเคราะห์กรรมอยู่เสมอ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชบัญชาให้พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ อัครราชทูตสยามประจำกรุงปารีส หาทางรักษาน้ำใจทีมงานชาวฝรั่งเศสเพื่อผดุงมิตรภาพระหว่างกันเอาไว้

พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ทรงเขียนบันทึกว่า เพื่อเป็นการซื้อใจพวกฝรั่งเศส ทางรัฐบาลสยามได้จัดงานเลี้ยงรับรองขึ้นที่สถานทูตประจำกรุงปารีสเพื่อเรียกขวัญและเป็นกำลังใจให้แก่ทีมงานวิศวกรชาวฝรั่งเศส

โดยในวันที่ 21 พฤษภาคม 1884 (พ.ศ. 2427) นายเดอ เลสเซป วิศวกรผู้ออกแบบและขุดคลองสุเอซพร้อมด้วย นายเดอลองก์ วิศวกรและเพื่อนร่วมงานผู้เสนอโครงการขุดคลองกระและชาวคณะทุกคนมีอาทิ กัปตันเบลลิอง (Captain Bellion) นายดรู (Mr. Léon Dru) และ นายเกรอัง (Mr. Grehan) อดีตกงสุลสยามประจำกรุงปารีส ได้รับเชิญมาเป็นเกียรติในงาน

ในการนี้พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ทรงได้อ่านสุนทรพจน์กล่าวขอบคุณทีมงานสำรวจคอคอดกระของนายเดอลองก์และความสำเร็จของการสำรวจครั้งแรกและข้อมูลที่ได้จากใจจริงของราชสำนักสยาม

ทั้งยังได้อ้างถึงพระพรชัยมงคลและพระราชสดุดีของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานมาเป็นพิเศษแก่ นายเดอ เลสเซป ว่าผลงานจากคลองสุเอซของท่านเป็นผลงานอันโดดเด่นที่น่ายกย่องชื่นชม และเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติอย่างไม่ต้องสงสัย

พระองค์ในฐานะองค์พระประมุขของพระราชอาณาจักรแห่งเอเชียตระหนักถึงความสำเร็จและคุณูปการของ นายเดอ เลสเซป จึงได้ถือโอกาสนี้พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยิ่งแห่งกรุงสยามนามว่า “เครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาสุราภรณ์มงกุฎไทย” ชั้นสูงสุด (เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทยมีทั้งหมด 7 ชั้น ชั้นที่ นายเดอ เลสเซป ได้รับพระราชทานมีนามว่า Knight Commander of the Crown of Siam (Grand Cross of the Most Honourable Order of the Crown of Siam) ให้ นายเดอ เลสเซป เป็นเกียรติยศด้วย

เว็บไซต์ศิลปวัฒนธรรม
22 มค 2567

133
อดีตนายกฯ “ชวน” กล่าวระหว่างปาฐกถา ที่ธรรมศาสตร์ ทำหนังสือถึงแพทยสภา แนะ แพทย์ อย่าไปเซ็นอะไรที่ไม่ถูกต้อง ไม่งั้นวันหน้าพอความจริงปรากฏ ต้องมาติดคุกเพราะเกรงใจนาย ยัน ยอมขัดใจนาย ดีกว่าติดคุกในอนาคต

วันที่ 22 ม.ค. 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 21 ม.ค. ที่หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตประธานรัฐสภา ในฐานะศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขึ้นกล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “Looking back & forward : เหลียวหลังแลหน้า ธรรมศาสตร์” ซึ่งจัดโดยกองทุนทำบุญวันเกิดธรรมศาสตร์ 90 ปี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตอนหนึ่งว่า ตอนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ปี 40 สมัย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งตอนนั้นตนเป็นฝ่ายค้าน และหากจะพูดถึงเรื่องการแจกเงิน 10,000 บาทแล้ว วันนั้นช่วงต้มยำกุ้ง ปี 2540 ถือว่าวิกฤติจริงๆ เข้าหลักนิยามของสหประชาชาติ เข้าหลักของวิกฤติที่เกิดขึ้น ซึ่งตนได้ไปชี้แจงในการประชุมที่ดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ช่วงเดือน พ.ย. ปี 40 สมัยเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่สอง ซึ่งวันนั้นอาจเป็นความผิดพลาดที่เราไปสู้ เงินบาทอ่อนจนเงินเราเกือบหมด และต่อมาเกิดโครงการเงินกู้มิยาซาวา ซึ่งทุกคนต้องทำงานถึงจะได้เงิน และเป็นโครงการที่ช่วยวิกฤติเศรษฐกิจในขณะนั้น

นายชวน ยังกล่าวด้วยว่า ต่อกรณีที่เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลตำรวจ ตนได้ทำหนังสือถึง พล.อ.ท.นพ.อิทธพร คณะเจริญ เลขาธิการแพทยสภา เมื่อช่วงเดือน ธ.ค. ปี 2566 ว่า ควรจะปกป้อง หรือป้องกันแพทย์ไว้ก่อน โดยแนะนำแพทย์เราว่าอย่าไปเซ็นหรือรับรองอะไรที่มันไม่ถูก วันหนึ่งเรื่องนี้จะปรากฏขึ้นมา ปิดไม่มิด ที่ตนพูดเรื่องนี้ เพราะตนเคยได้คุยกับอาจารย์ในคณะแพทย์บางคน เขาบอกกับลูกศิษย์ที่โรงพยาบาลนั้นไว้ว่า อย่าไปเซ็นหรือทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง จึงเห็นว่าน่าจะให้แพทยสภารับรู้ไว้ ตนขอยกตัวอย่าง มีรุ่นน้องตน 2 คน จบธรรมศาสตร์ เป็นนายตำรวจ ยศ พล.ต.อ. กับ พ.ต.อ. เป็นนักกฎหมายทั้งคู่ แต่เพราะความเกรงใจ จนเป็นเหตุให้ต้องติดคุก 2 ปี ซึ่งน่าเสียดายมาก มาเสียตอนปลายชีวิต เพราะถึงเวลาไปทำอะไรที่ไม่สมควรก็โดน มาตรา 157 วันนี้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ต้องสอนในสิ่งที่ถูกต้อง

“ไม่ว่าอะไรก็ตาม ความจริงต้องเป็นความจริงวันยังค่ำ วันนี้ไม่ปรากฏ วันหน้าต้องปรากฏ ผมรู้ว่าหลายคนไม่อยากทำผิด แต่ต้องติดคุกก็เพราะเกรงใจนาย ดังนั้นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะต้องสอนลูกศิษย์ให้รักษาความถูกต้องไว้ ผมใช้คำว่ายอมขัดใจนาย ดีกว่าติดคุกในอนาคต เพราะผมเห็นอดีตปลัดกระทรวงคลังคนหนึ่งถูกไล่ออก เพราะไม่เอาเด็กของนักการเมืองขึ้นมาเป็นปลัด นี่คือความจริงที่เกิดขึ้น ถือว่าน่าเสียดาย รวมถึงศิษย์เก่าธรรมศาสตร์ของเราด้วย ที่ไปทำในสิ่งที่ผิดพลาด ไม่ใช่ไม่รู้แต่เกิดจากความเกรงใจ วันนี้ความจริงไม่ปรากฏ แต่วันหนึ่งในอนาคต ความจริงก็จะปรากฏหากมีการร้องเรียนขึ้นมา” นายชวน กล่าว

นายชวน กล่าวทิ้งท้ายว่า เมื่อมองไปข้างหน้า ตนอยากเห็นบัณฑิตที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ผลิตมานั้นมีความรับผิดชอบ ยึดมั่นประชาธิปไตย ยึดหลักนิติธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งถือเป็นโจทย์ใหญ่ประชาธิปไตยของประเทศไทย ถ้าเราเลือกผู้แทนขึ้นมาโดยการใช้เงินแล้ว มีหรือจะไม่ใช้เงินต่อ


Thairath
2 2ม.ค. 2567

134
วันที่ 22 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานกรณี นักดาราศาสตร์ค้นพบดาวเคราะห์น้อยขนาด 1 เมตร มีวิถีชนโลกทางตะวันตกของเมืองเบอร์ลิน, เยอรมนี เมื่อเวลาประมาณ 07.00 น. ตามเวลาประเทศไทย เมื่อวันที่ 21 มกราคมที่ผ่านมา

โดย นายวิมุติ วสะหลาย ฝ่ายวิชาการสมาคมดาราศาสตร์ กล่าวว่า สำหรับดาวเคราะห์น้อย แนววิถีของมันก็ไม่ได้เฉียดโลก แต่พุ่งเข้าใส่โลกเลยทีเดียว โชคดีที่ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้มีขนาดเล็กเพียงประมาณ 1 เมตร ดาวเคราะห์น้อย 2024 บีเอ็กซ์วัน (BX1) ดวงนี้ ได้เคลื่อนเข้าใกล้โลกในระยะกระชั้นชิดคือ 776 กิโลเมตรเคลื่อนที่ในทิศทางพุ่งชนโลก แต่แตกสลายไปเหนือน่านฟ้าเยอรมนี จึงไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ หากวัตถุดวงนี้มีขนาดใหญ่ระดับหลายสิบเมตรขึ้นไป ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงอย่างที่มนุษย์ไม่ทันได้ตั้งตัวเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตามเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้ใช้แพลตฟอร์ม เอ็กซ์ (X) ชื่อ Michael Aye ได้ทวีตคลิปขณะที่ บีเอ็กซ์วัน เคลื่อนที่พุ่งเข้าใส่โลก แต่ระเบิดไปเหนือน่านฟ้าประเทศเยอรมันเสียก่อน มีผู้สนใจเข้ามาชมคลิปดังกล่าวนี้ถึง 1.2 ล้านคน

มติชน
22 มกราคม 2567

135
สำหรับคนที่ไม่ใช่สายเฮลตี้แต่แรก อาจคิดว่าการจะผอม และลดน้ำหนักจะต้องออกกำลังกายอย่างหนัก เช่น การวิ่ง ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน ทั้งที่จริงแล้ว การศึกษาจำนวนมากพบว่าการเคลื่อนไหวแบบง่าย ๆ อย่างการเดินที่เราทำอยู่ในทุกวันก็ช่วยลดน้ำหนักได้ หากคุณทำถูกวิธี นอกจากนี้ ข้อมูลยังพบด้วยว่า หากคุณต้องการเบิร์นไขมันสะสมในร่างกาย การเดินเร็วอาจตอบโจทย์มากกว่าการวิ่งด้วยซ้ำ

หลายคนอาจสงสัยว่า ‘ฉันก็เดินอยู่ทุกวัน ไม่เห็นผอมเลย’ ซึ่งในบทความนี้จะมาอธิบายข้อสงสัย เล่าประโยชน์ของการเดิน และวิธีเดินที่ช่วยให้เบิร์นไขมัน และลดน้ำหนักได้มากขึ้นกัน

ปรับพื้นฐานเรื่องการเดินกับการลดน้ำหนัก
โดยปกติแล้ว การที่คนเราอ้วนขึ้นหรือผอมลงเป็นผลมาจากสมดุลระหว่างการนำพลังงานเข้า และนำพลังงานออกจากร่างกาย ซึ่งการนำพลังงานเข้าก็คือการกินอาหาร ส่วนการนำพลังงานออกมีตั้งแต่กลไกภายในร่างกายที่จะใช้พลังงานเพื่อการดำรงชีวิต​ ความพร้อมของร่างกาย และอีกอย่างคือการเคลื่อนไหวร่างกาย อย่างการออกกำลังกายนั่นเอง

น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจึงหมายถึงการได้รับพลังงานมากกว่าการใช้ และการจะลดน้ำหนักก็ต้องให้ร่างกายใช้พลังงานมากกว่าการได้รับ

ดังนั้น แม้ต่อให้เราเดินทุกวันด้วยระยะทางเท่าเดิม เวลาเท่าเดิม แต่เรายังคงกินอาหารมากกว่าการเผาผลาญที่เราใช้ไปในแต่ละวัน ผลลัพธ์ในการลดความอ้วนก็ยังคงเหมือนเดิมนั่นเอง การจะปรับให้การเดินสามารถช่วยลดน้ำหนักได้จึงต้องอาศัยหลายปัจจัยควบคู่ไป ซึ่งจะขอเล่าในหัวข้อถัดไป

วิธีเดินอย่างไรให้ผอมลง?
การกินแบบเดิม เดินแบบเดิมย่อมให้ผลลัพธ์แบบเดิม แต่ถ้าคุณปรับสิ่งเหล่านี้เพียงเล็กน้อย ให้เวลา และให้ใจกับมันมากขึ้น ผลลัพธ์ที่ออกมาอาจน่าพึงพอใจกว่าที่คุณคิด ซึ่งวิธีการเดินต่อไปนี้ช่วยได้
1. เดินให้นานขึ้น
ข้อมูลทางการแพทย์แนะนำให้ออกกำลังกาย 150 นาที/สัปดาห์ เฉลี่ย 20 นาที/วัน โดยช่วงเวลา 20 นาที/วันเป็นช่วงเวลาที่มีงานวิจัยยืนยันแล้วว่าเป็นระยะเวลาที่ร่างกายจะเริ่มดึงพลังงานสะสมในร่างกายมาใช้ ซึ่งก็คือไขมันที่อยู่ตามอวัยวะ ใต้ชั้นผิวหนัง และในหลอดเลือด

ดังนั้น ถ้าคุณอยากเดินแล้วผอมลง ขั้นต่ำที่คุณต้องทำในแต่ละวัน คือ มากกว่า 20 นาที เพราะในช่วง 20 นาทีแรกร่างกายจะใช้พลังงานที่คุณได้รับมาในวันนี้ก่อน และหลังจากช่วงเวลานี้ไปแล้วร่างกายถึงจะดึงไขมันสะสมที่เป็นต้นเหตุของน้ำหนักตัวไปใช้ โดยคุณอาจเริ่มเดินตั้งแต่ 25 นาที/วัน และเพิ่มไปเรื่อย ๆ

2. เดินให้เร็วขึ้น
อัตราการเต้นของหัวใจที่เพิ่มขึ้น หรือการที่หัวใจเต้นเร็วขึ้นในช่วงที่เราออกกำลังกายหมายถึงการทำงานของร่างกายที่เพิ่มขึ้น และการใช้พลังงานที่มากขึ้น การเดินด้วยความเร็วปกติแบบที่คุณเดินไปร้านสะดวก หรือเดินไปซื้อกาแฟหน้าปากซอยอาจทำให้ผลลัพธ์จากการเดินนั้นเห็นได้ช้า

การก้าวเท้าให้เร็วมากขึ้นอีกหน่อยจะช่วยเร่งการเผาผลาญเพิ่มมากขึ้น ซึ่งหากเป็นไปได้ผู้เขียนขอแนะนำสิ่งที่เรียกว่า ‘การเดินแบบโซน 2’ โดยปกติอัตราการเต้นของหัวใจจะแบ่งออกเป็น 5 โซน ในโซนที่ 2 หัวใจของเราจะเต้นอยู่ที่ 60–70 เปอร์เซ็นต์ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด (220 – อายุ = อัตราการเต้นสูงสุดของหัวใจ) โดยในโซนนี้จะช่วยเบิร์นพลังงานจากไขมันสะสมในร่างกายได้มากที่สุด และเป็นโซนที่เหนื่อยไม่มากนัก

ซึ่งหากใครอยากลองเดินแบบโซน 2 ลองคำนวณหาโซน 2 ของตัวเองดู ถ้าใครมีสมาร์ตวอตช์ หรือเดินบนลู่วิ่งไฟฟ้าก็คอยเช็กดูว่าอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ในโซน 2 รึเปล่า ถ้าไม่มีอุปกรณ์ให้ลองพูดเป็นประโยค ถ้าคุณสามารถพูดจบประโยคได้ สลับกับการหายใจ แล้วพูดประโยคใหม่ได้ อาจบอกได้คร่าว ๆ ว่าหัวใจคุณกำลังเต้นอยู่ในโซน 2

3. เดินให้ถี่ขึ้น
ถ้าคุณกำลังวางแผนว่าจะเดินวันละชั่วโมงเพื่อลดน้ำหนักในช่วงแรก คุณอาจเสี่ยงต่อการล้มเหลวในการลดน้ำหนัก เพราะมันอาจหนักเกินไปสำหรับมือใหม่ คุณยังไม่ล้มเลิกในวันแรก แต่ในวันถัด ๆ ไปก็ไม่แน่ สิ่งที่ผู้เขียนอยากแนะนำ คือ เน้นการเดินเป็นประจำ 4–6 วัน/สัปดาห์ หรือเท่าที่ทำได้ มากกว่าการเดินเยอะ ๆ ภายในวันเดียวเพื่อลดความเหนื่อยในแบบที่ไม่คุ้นเคย

อีกอย่างหนึ่ง คือ ร่างกายมีสิ่งที่เรียกว่า After Burn Effect ภาวะนี้จะเกิดขึ้นภายหลังจากออกกำลังกาย โดยร่างกายจะเผาผลาญพลังงานเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติต่อเนื่องไปอีก 12 – 24 ชั่วโมง ดังนั้น การที่เราเดินหรือออกกำลังกายได้ถี่ขึ้น จะช่วยให้เราได้โบนัสการเผาผลาญมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวัน และส่งผลให้เห็นผลลัพธ์ในการลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น

4. เดินให้สนุกขึ้น
การออกกำลังกายที่อาจเรียกได้ว่าเหนื่อยน้อยที่สุด อย่างการเดินอาจเป็นเรื่องเครียดสำหรับหลายคน แต่ผู้เขียนอยากให้คุณลองปรับมายด์เซตในการเดิน หรือการออกกำลังกายใหม่ว่าเป็นเรื่องปกติที่ถ้าหากเราอยากมีสุขภาพดี เราต้องทำแบบนี้แต่แรกอยู่แล้ว มองสิ่งนี้ให้เหมือนกันการอาบน้ำ กินอาหาร ให้มันเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตร แล้วเราจะเครียดกับมันน้อยลง

หรืออีกวิธี คือ เบี่ยงเบนความสนใจจากความเหนื่อย และเบื่อหน่ายในการเดินด้วยการฟังเพลง ฟังพอดแคสต์ระหว่างเดิน ลองชวนเพื่อน หรือคนในบ้านไปเดินด้วยเพื่อสร้างสีสันให้กับกิจกรรม แล้วคุณจะคุ้นชินกับมันมากขึ้น

เรื่องกินเรื่องใหญ่ แต่ไม่ได้อยากอย่างที่คิด
อย่างที่ได้บอกไปในหัวข้อแรกว่าการลดน้ำหนัก คือ การปรับสมดุลของการนำพลังงานเข้า และออก อาหารเลยเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญอย่างมากที่จะทำให้การออกแรงเดินของคุณไม่สูญเปล่า และเห็นผลเร็วขึ้น

แม้จะปรับเปลี่ยนเรื่องอาหาร แต่สำหรับช่วงเริ่มต้น คุณไม่จำเป็นต้องกินคลีน กินอกไก่ หรือกินผักเป็นกำ ๆ ก็ได้ แต่อยากให้ใส่ใจเรื่องประเภท และปริมาณพลังงาน เช่น ปกติคุณกินข้าวขาหมูพิเศษเนื้อหนัง อาจลองปรับมาเป็นเนื้อล้วน หรือลดหนังลงครึ่งหนึ่ง เลือกเมนูต้ม นึ่ง หรือย่างแทนของผัด หรือของทอด

ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยให้คุณสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินทีละเล็กน้อย โดยที่ไม่ฝืนจนเกินไป เพราะถ้าไม่เคยกินอาหารคลีนเลย แล้วต้องกล้ำกลืนฝืนทนกินสลัดอกไก่ ไม่นานก็อาจตบะแตก หรือถ้าทนได้ก็อาจเครียด และส่งผลเสียอื่นตามมา เก็บความอดทนเหล่านี้เฉลี่ยไปใช้ในการออกกำลังกาย และพาตัวเองออกไปเดินทุกวันดีกว่า

ปรับมายด์เซตในการลดน้ำหนัก
ไม่ว่าคุณจะลดน้ำหนักด้วยการเดิน หรือวิธีไหนก็ตาม สิ่งที่คุณต้องปรับ คือ มายด์เซตในการลดน้ำหนัก ผู้เขียนขอแนะนำว่าอย่ามองการลดน้ำหนักเป็นเป้าหมายระยะสั้นที่คุณจะต้องทำให้ได้ภายใน 1 หรือ 2 เดือน แล้วหยุดทุกอย่างเมื่อน้ำหนักลงตามที่หวัง

แต่อยากให้มองว่าการลดน้ำหนัก การออกกำลังกาย การเลือกกินอาหารที่ดีเป็นสิ่งที่มนุษย์ที่อยากมีสุขภาพดี หรือหุ่นดีต้องทำต่อเนื่องไปตลอดชีวิต แม้จะดูยาวนาน แต่ในขณะเดียวกันคุณจะไม่รู้สึกกดดันมาก เน้นทำไปเรื่อย ๆ อย่างสม่ำเสมอเพื่อสร้างความเคยชินให้กับร่างกาย แต่ถึงอย่างนั้นก็อย่าปล่อยใจเกินไป วินัยเป็นสิ่งสำคัญมาก

นอกจากการเดิน และการกินแล้ว การจัดการกับความเครียดอย่างเหมาะสม และการพักผ่อนให้เพียงพอก็มีส่วนช่วยรักษาการทำงานของระบบเผาผลาญ ช่วยควบคุมความหิว และอิ่มของร่างกายด้วยเหมือนกัน แล้วถ้าคุณสามารถบาลานซ์การออกกำลังกาย การกิน การพักผ่อนได้ ไม่ใช่แค่น้ำหนักตัวที่จะลดลง คุณจะได้สุขภาพที่ดี ทั้งร่างกาย และจิตใจ รวมไปถึงความเป็นอยู่ที่ดีด้วย นอกจากนี้ อาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคอ้วน โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และโรคมะเร็งได้

สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องการเดิน ปัญหากล้ามเนื้อและกระดูก น้ำหนักตัวมาก หรือมีโรคประจำตัว ลองปรึกษาแพทย์ก่อนการออกกำลังกายทุกชนิดเพื่อความปลอดภัย



Beartai
20 มค 2567

หน้า: 1 ... 7 8 [9] 10 11 ... 536