กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

หน้า: 1 ... 8 9 [10]
91
ออสเตรเลียเตรียมเสนอกฎหมาย ที่เปิดทางให้ลูกจ้างมีสิทธิ์ในการปฏิเสธที่จะรับโทรศัพท์หรือตอบข้อความจากนายจ้างนอกเวลาการทำงาน โดยที่ไม่มีความผิดได้ อีกทั้งยังจะมีโทษปรับกับนายจ้างหากฝ่าฝืนกฎดังกล่าวอีกด้วย

ร่างกฎหมายในชื่อว่า "right to disconnect" หรือสิทธิในการตัดขาดการทำงานนอกเวลา เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงกฎหมายการทำงาน ที่รัฐบาลกลางออสเตรเลียได้เสนอขึ้นมา เพื่อหวังปกป้องสิทธิของแรงงาน และช่วยฟื้นฟูสมดุลการทำงานกับการใช้ชีวิตของลูกจ้างออสเตรเลีย

โทนี เบิร์ค รัฐมนตรีแรงงานออสเตรเลีย ระบุในแถลงการณ์เมื่อวันพุธว่า วุฒิสมาชิกส่วนใหญ่ประกาศการสนับสนุนร่างกฎหมายนี้ และบทบัญญัติดังกล่าวจะหยุดยั้งพนักงานจากการทำงานล่วงเวลาโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนจากการติดต่อนอกเวลาทำงานที่ไม่สมเหตุสมผล

นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย แอนโธนี อัลบาเนซี กล่าวกับผู้สื่อข่าวในวันพุธด้วยว่า “สิ่งที่เราจะสื่อง่ายๆ ก็คือ คนที่ไม่ได้รับเงินค่าแรงตลอด 24 ชั่วโมงต่อวัน ไม่ควรถูกลงโทษหากพวกเขาไม่ได้อยู่บนโลกออนไลน์และพร้อมทำงานตลอด 24 ชั่วโมง”

ร่างกฎหมายดังกล่าวจะนำเข้าสู่การพิจารณาในสภาออสเตรเลียปลายสัปดาห์นี้

กฎหมายในลักษณะเดียวกันนี้ มีผลบังคับใช้ในฝรั่งเศส สเปน และหลายประเทศในสหภาพยุโรป เปิดทางให้ลูกจ้างสามารถตัดขาดการติดต่อสื่อสารกับนายจ้างและที่ทำงานได้หลังหมดเวลาการทำงานแล้ว

อย่างไรก็ตาม นักการเมือง กลุ่มนายจ้าง และผู้นำในภาคธุรกิจ ได้เตือนว่าร่างกฎหมาย "right to disconnect" นี้รุกล้ำเกินขอบเขต และอาจบั่นทอนการผลักดันการทำงานอย่างยืดหยุ่น รวมทั้งกระทบต่อศักยภาพในการแข่งขันขององค์กรได้

ขณะที่อดัม แบนท์ หัวหน้าพรรคกรีนส์ ของออสเตรเลีย ที่สนับสนุนร่างกฎหมายดังกล่าว ระบุว่า “ชาวออสเตรเลียทำงานโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนจากการทำงานล่วงเวลาเฉลี่ย 6 สัปดาห์ต่อปี” นั่นเท่ากับค่าแรงที่นายจ้างไม่ได้จ่ายให้ลูกจ้างคิดเป็นเงินมากกว่า 92,000 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (2.1 ล้านล้านบาท) ที่จะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจทั่วประเทศ และย้ำว่า “เวลานั้นเป็นของคุณ ไม่ใช่ของนายจ้างคุณ”

8 ก.พ. 67
https://www.sanook.com/news/9215490/
92
นักศึกษาแพทย์จบชีวิตด้วยมีดผ่าตัด ในห้องน้ำ รพ. บันทึกสุดท้ายสลด ไม่ต้องตื่นเช้า ไม่ต้องทำงานจนเช้าแล้ว 

กำลังเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ร้อนแรงบนสังคมออนไลน์ของจีน หลังมีการแชร์ภาพจดหมายที่ถูกเขียนด้วยลายมือฉบับหนึ่ง ซึ่งเป็นของนักศึกษาแพทย์ปี 3 ที่ตัดสินใจจบชีวิตของตัวเอง เพราะทนกับการทำงานหนักต่อไปไม่ไหว

ตามรายงานเผยว่า หญิงสาวอายุ 25 ปี เป็นนักศึกษาคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยหูหนาน และได้ฝึกงานอยู่ที่โรงพยาบาลประชาชน ในมณฑลหูหนาน ประเทศจีน เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เธอได้ขังตัวเองในห้องน้ำของโรงพยาบาล ก่อนที่จะเหลือแต่ร่างไร้ลมหายใจ โดยศพมีบาดแผลรอยกรีดและพบมีดผ่าตัดอยู่ข้าง ๆ

ครอบครัวของเธอได้รับโทรศัพท์จากทางอาจารย์เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 24 กุมภาพันธ์ แจ้งว่าลูกสาวของพวกเขาเสียชีวิตในห้องน้ำ และทางตำรวจยืนยันว่าไม่ใช่เหตุฆาตกรรม ทางครอบครัวจึงรีบเดินทางไปมหาวิทยาลัยเพื่อขอคำอธิบายและสอบถามสาเหตุ แต่ถูกเพิกเฉย ทั้งยังให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาจัดการด้วยความรุนแรง ญาติคนหนึ่งหัวกระแทกพื้น อีกคนได้รับบาดเจ็บที่ข้อมือ

จนกระทั่งในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ มีรายงานการพบจดหมายซึ่งถูกเขียนขึ้นโดยนักศึกษาแพทย์ที่เสียชีวิต เขียนข้อความระบายความเหน็ดเหนื่อยและทุกข์ทรมาน ใจความว่า

"ฉันทนไม่ไหวแล้ว" "เห็นได้ชัดว่าเป็นวันหยุด แต่ฉันทำงานล่วงเวลาทุกวัน" "ฉันทำงานล่วงเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน" "ฉันทำงานเหมือนเป็นวัว เป็นม้า" "ยังมีงานที่ยังทำไมเสร็จฉันเลยยังกลับไม่ได้" "อัตราการเต้นของหัวใจฉันอยู่ที่ 150+ แล้ว แต่ฉันยังอยู่ที่นี่" "เครื่องจักรยังต้องการการบำรุงรักษาเป็นประจำ"

"ขอโทษพ่อแม่ ฉันจะตอบแทนพระคุณในชาติหน้า ฉันจะไม่ได้เจอคุณอีกแล้วในโลกนี้ ไม่จำเป็นต้องตื่นตอน 6.30 น. ทำงานจนถึงเช้า ลาก่อนเวชระเบียนที่ไม่มีที่สิ้นสุด"

ข้อความสุดท้ายของนักศึกษาแพทย์รายนี้ สร้างความโกรธแค้นให้กับผู้คนบนสังคมออนไลน์ หลายคนที่ได้รับรู้เรื่องราวต่างรู้สึกเศร้าและสลดใจ พร้อมทั้งวิพากษ์วิจารณ์ถึงหลักสูตรการเรียนแพทย์และการบริหารจัดการบุคลากรทางการแพทย์ของประเทศ ที่ผลักให้หญิงสาวอนาคตไกลคนนี้ต้องจบชีวิตลงอย่างน่าเศร้า


6 มี.ค. 67
https://www.sanook.com/news/9270902/?utm_source=linetoday&utm_medium=organic&utm_campaign=linetoday-direct
93
ชลน่าน เปิด “ทริปฮีลใจหมอ” รับอาสาสมัครแพทย์ไปอยู่ “เกาะหลีเป๊ะ” นาน 2 สัปดาห์ ไม่นับเป็นวันลา แถมพาครอบครัวไปด้วยได้ ฟรีที่พัก-อาหาร แถมมีค่าตอบแทน

เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แถลงภายหลังประชุมผู้บริหารระดับสูง สธ. ครั้งที่ 3/2567 ว่า วันนี้ได้มีการติดตามความก้าวหน้าการขับเคลื่อนนโยบาย สธ.ไตรมาส 2 (Mid-Year Success 2024) โดย 1 ในนโยบายของ สธ. คือ ท่องเที่ยวปลอดภัยนั้น ในวันที่ 9-10 มี.ค.นี้ ตนพร้อมผู้บริหาร สธ.จะลงพื้นที่เกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล ติดตามการพัฒนาศักยภาพของสถานบริการปฐมภูมิ ระบบส่งต่อรักษา การรับอาสาสมัครแพทย์ (Volunteer Doctor) เพื่อรองรับการให้บริการประชาชนในพื้นที่และนักท่องเที่ยว ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามา เนื่องจากเกาะหลีเป๊ะ เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญอีกหนึ่งแห่งของประเทศ มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค

“อาสาสมัครแพทย์ Volunteer Doctor คือ พื้นที่ห่างไกลพื้นที่เฉพาะเราขาดแคลนแพทย์ที่จะเข้าไปดูแลประจำ ปลัด สธ.จึงเสนอโครงการนี้ขึ้นมาและแก้ปัญหาได้ระดับหนึ่ง ให้แพทย์ที่ประสงค์อาสาเข้าไปพื้นที่เฉพาะ เช่น เกาะหลีเป๊ะ พักผ่อนและทำงานให้เป็น Vacation และ Work ไปด้วย 1-2 สัปดาห์ มีแพทย์สนใจเยอะมากและลงทะเบียนเพื่อไปอยู่ตรงนั้นตามที่สะดวก แล้วหมุนเวียนกันมา เพื่อลดการขาดแคลนแพทย์ในพื้นที่เฉพาะ ดูแลพี่น้องประชาชนได้ ก็จะลงพื้นที่ไปติดตามดู ตรงนี้ถือเป็น Workation ไปทำงานด้วย เที่ยวพักผ่อนด้วย ให้สิทธิพาครอบครัวไปพักผ่อนด้วย เป็นการส่งเสริมให้ไปทำงานพื้นที่ตรงนั้นและได้พักผ่อน ซึ่งแพทย์ชอบมาก” นพ.ชลน่านกล่าว

นพ.ชลน่านกล่าวว่า พื้นที่เหล่านี้มีความจำเป็นที่จะต้องมีบุคลากรที่พร้อมที่จะดูแลนักท่องเที่ยว เพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สนใจมาก เป็นการสร้างความมั่นคงปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวตามนโยบาย อย่างเกาะหลีเป๊ะมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวจำนวนมาก นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็ให้ความสำคัญ เพราะภาวะเศรษฐกิจที่เงินไม่เข้าสู่ระบบเลย เม็ดเงินจากการท่องเที่ยวจะหาได้ง่ายที่สุด จึงพยายามสู้เรื่องนี้ สธ.ก็ส่งเสริมนโยบายนี้เป็นการท่องเที่ยวปลอดภัยขับเคลื่อนผ่าน 4 มาตรการหลัก คือ
1.ยกระดับเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคและภัยสุขภาพ
2.ยกระดับระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน/ระบบสาธารณสุขฉุกเฉิน
3.ยกระดับเรื่องที่พักและอาหารปลอดภัย และ
4.ยกระดับสถานพยาบาลในพื้นที่ท่องเที่ยว โดยนำร่องใน 31 จังหวัด ครอบคลุม 12 เขตสุขภาพ

ขณะนี้มีโรงแรมประเภท 4 ผ่านมาตรฐาน Green Health Hotel ร้อยละ 17.24 แหล่งท่องเที่ยวผ่านมาตรฐาน Green Health Attraction 2 แห่ง อาหารริมบาทวิถีผ่านมาตรฐาน SAN Plus (Street Food Good Health) ระดับดีขึ้นไป 30 แห่ง สถานที่จำน่ายอาหารผ่านมาตรฐาน SAN (Clean Food Good Taste) 25,350 แห่ง และทุกอำเภอมีร้านเมนูชูสุขภาพ โดยวันที่ 24 มี.ค.2567 จะมีการจัดกิจกรรม Safety Phuket Island Sandbox ขึ้นที่ จ.ภูเก็ต

เมื่อถามว่าโครงการ Volunteer Doctor ที่เกาะหลีเป๊ะ เริ่มดำเนินการตั้งแต่เมื่อไร และจะขยายพื้นที่อื่นด้วยหรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า เป็นโครงการที่ทำมาภายใต้ความสอดคล้องเหมาะสมของพื้นที่ ที่พื้นที่คิดแก้ปัญหากันเอง ซึ่ง สธ.ได้เห็นก็น่าจะส่งเสริมในภาวะขาดแคลนแพทย์ที่จำเป็นเฉพาะพื้นที่ ใช้ความโดดเด่นสถานที่ท่องเที่ยว เรื่องการได้พักผ่อน การเปลี่ยนสถานที่ของแพทย์ลงไปทำงานก็เลยเกิดโครงการนี้ขึ้นมา ส่วนพื้นที่ที่จะขยายจะมีตรงไหนบ้างก็กำลังดูพื้นที่ เช่น แม่ฮ่องสอน ตาก เป็นต้น

ด้าน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัด สธ. กล่าวว่า เราดำเนินงานอย่างเป็นทางการในระบบตั้งแต่มีนโยบาย ซึ่งก่อนหน้านี้จะเดิมต่างคนต่างทำ เราก็จัดระบบให้เข้ารูปเข้ารอย มีการนำร่องที่เกาะหลีเป๊ะ โดยมีระบบให้ลงทะเบียนเพื่อไปทำงานและพักผ่อน 1-2 สัปดาห์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากในพื้นที่และบุคลากรด้านการท่องเที่ยวด้วย เท่าที่ดำเนินการมาได้รับความสนใจอย่างมาก ขนาดยังไม่ค่อยเปิดแพทย์ก็มาสมัครกันมาก มีการลงทะเบียนแบบสมัครใจหมุนเวียนกันไปดูแลยาวตลอดทั้งปี นอกจากนี้ จะมีการขยายโครงการนี้ไปยังพื้นที่เฉพาะต่างๆ ด้วย เช่น แม่ฮ่องสอน หรือ อ.อุ้มผาง จ.ตาก

ถามว่าจะมีการเพิ่มค่าตอบแทนต่างๆ เป็นพิเศษด้วยหรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า ค่าตอบแทนพิเศษจะเป็นไปตามลักษณะงานที่ทำอยู่แล้ว และให้สิทธิได้พักผ่อน มีงานที่จะต้องดูแล
นพ.โอภาสกล่าวว่า คนที่มาสมัครไม่ได้สนใจเรื่องค่าตอบแทนอะไรมาก แต่เขาได้มาท่องเที่ยวพักผ่อน ซึ่งเรามีที่พักฟรี อาหารฟรี พาครอบครัวมาได้ และไม่นับว่าเป็นวันลา อย่างแพทย์เอกชนก็มีมาสมัคร

ถามถึงที่ผ่านมามีข่าวทั้งทำร้ายนักท่องเที่ยวและต่างชาติทำร้ายคนไทย จะบูรณาการเรื่องพื้นที่ท่องเที่ยวปลอดภัยอย่างไร นพ.ชลน่านกล่าวว่า ต้องอาศัยบูรณาการทุกภาคส่วน โดยเฉพาะความปลอดภัยด้านมิติร่างกาย ชีวิตและทรัพย์สิน ส่วนงานใดที่เกี่ยวข้องก็ต้องให้ความร่วมมือซึ่งกันและกัน ของเราทำมิติสุขภาพ ทุกอย่างต้องผสมผสานกัน ไม่ทำเป็นส่วนๆ โดยสถานที่ที่จะเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวปลอดภัยด้านสุขภาพ ก็ต้องยกระดับ 4 ด้าน เรามีระบบประเมินวัดทั้งหมดถึงจะประกาศ ส่วนด้านอาชญากรรมจะเป็นมิติความเกี่ยวข้องของหน่วยงานอื่น

www.matichon.co.th
6 มีนาคม 2567
94
ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่พระราชกฤษฎีกากำหนดจ่ายเงินเดือนข้าราชการ-ลูกจ้างประจำ 2 รอบ (เลือกตามความสมัครใจ) เริ่ม ม.ค. 2567

19 ธ.ค. 2566 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ พระราชกฤษฎีกา การจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน (ฉบับที่ 6 ) พ.ศ.2566 ระบุว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ไว้ ณ วันที่ 14 ธ.ค. 2566 เป็นปีที่ 8 ในรัชกาลปัจจุบัน มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 175 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจ่ายเงินบางประเภทตามงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. 2518 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้

มาตรา 1 พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2566”

มาตรา 2 พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2567 เป็นต้นไป

มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในบทนิยามคำว่า “เงินเดือน” ในมาตรา 4 แห่งพระราชกฤษฎีกา การจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2549 และให้ใช้ข้อความต่อไปนี้แทน

“เงินเดือน” หมายความว่า เงินเดือนและเงินอื่นที่มีกำหนดอัตราการจ่ายเป็นรายเดือน โดยจากงบประมาณรายจ่ายบุคลากรที่จ่ายในลักษณะเงินเดือน”

มาตรา 4 ให้เพิ่มข้อความต่อไปนี้เป็นวรรคสองและวรรคสามของมาตรา 20 แห่งพระราชกฤษฎีกา การจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน พ.ศ. 2535

“ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีกำหนดให้มีการจ่ายเงินเดือนข้าราชการประจำเดือน เดือนละสองครั้ง ให้กรมบัญชีกลางกำหนดวันจ่ายให้สอดคล้องกับการจ่ายเงินเดือนดังกล้าว ให้ข้าราชการมีสิทธิเลือกรับเงินเดือนตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กรมบัญชีกลางกำหนด”

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี

อนึ่งก่อนหน้านี้ Thai PBS https://www.thaipbs.or.th/news/content/333482 รายงานว่า น.ส.ทิวาพร ผาสุข รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่าตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับวิธีการจ่ายเงินเดือนข้าราชการและลูกจ้างประจำ จากเดือนละ 1 รอบ เป็นเดือนละ 2 รอบ

กรมบัญชีกลางได้แต่งตั้งคณะทำงานปรับเงื่อนไขการจ่ายเงินเดือนและค่าจ้างประจำ 2 รอบ เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยมีการประชุมร่วมกับหน่วยงานและสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องกับข้อมูล หักรายจ่ายและข้อมูลหักหนี้ของส่วนราชการ เพื่อหารือในส่วนของข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับแต่ละหน่วยงาน การส่งข้อมูลหักรายจ่ายและข้อมูลหักหนี้ให้กับส่วนราชการ

และการปรับระยะเวลาการปฏิบัติงานของส่วนราชการ โดยกรมบัญชีกลางได้ตระหนักและให้ความสำคัญกับกระบวนการขั้นตอนการปฏิบัติงานของส่วนราชการ เพื่อไม่ให้เป็นการเพิ่มภาระให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานของส่วนราชการ และได้รับผลกระทบในการเปลี่ยนแปลงขั้นตอนกระบวนงานน้อยที่สุด

ซึ่งการจ่ายเงินเดือนและค่าจ้างประจำเป็น 2 รอบต่อเดือน เป็นทางเลือกตามความสมัครใจสำหรับข้าราชการและลูกจ้างประจำ หากมีความประสงค์จะรับเงิน 2 รอบจะต้องกรอกแบบแจ้งความประสงค์ขอเปลี่ยนแปลงการรับเงินเดือน/ค่าจ้างประจำ ตามแบบฟอร์มที่กรมบัญชีกลางกำหนด ยื่นต่อส่วนราชการของตนเองภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ คือ ข้าราชการให้ยื่นตั้งแต่วันที่ 1 - 15 ธ.ค.2566

และลูกจ้างประจำให้ยื่นตั้งแต่วันที่ 1 - 15 ก.พ. 2567 สำหรับในปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ซึ่งเป็นปีแรกที่เริ่มโครงการ กรมบัญชีกลางจึงกำหนดให้ผู้ที่ไม่ประสงค์จะเปลี่ยนแปลงการรับเงินเดือน/ค่าจ้างประจำ (รับ 1 รอบเช่นเดิม) ไม่ต้องยื่นแบบแสดงความประสงค์แต่อย่างใด

ในส่วนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่กองคลังของส่วนราชการด้านการจัดทำข้อมูลเบิกจ่ายเงินเดือนและค่าจ้างประจำ ยังคงมีขั้นตอนการปฏิบัติงานเหมือนเดิม คือ การบันทึกข้อมูลเงินเดือน ข้อมูลรายจ่าย ข้อมูลหนี้ในระบบ e-Payroll รวมถึงการส่งข้อมูลให้กรมบัญชีกลาง เพื่อเบิกจ่ายเงินเป็น 1 ครั้งต่อเดือนเช่นเดิม

เพียงแต่ในการปฏิบัติงานดังกล่าว เจ้าหน้าที่กองคลังของส่วนราชการ จะต้องปฏิบัติงานให้เร็วขึ้นตามปฏิทินการปฏิบัติงานที่กรมบัญชีกลางกำหนดไว้ในแต่ละเดือน ส่วนการคำนวณเพื่อโอนเงินเข้าบัญชีข้าราชการและลูกจ้างประจำในแต่ละรอบ กรมบัญชีกลางจะเป็นผู้ดำเนินการ โดยระบบจะนำเงินเดือน รวมเงินอื่นที่จ่ายในลักษณะเดียวกับเงินเดือน (ถ้ามี) หักยอดข้อมูลรายจ่ายตามที่กฎหมายกำหนดให้หัก (ภาษี/เงินสะสม กบข./เงินสะสม กสจ./หนี้ กยศ. ฯลฯ) และยอดข้อมูลหนี้ตามที่มีหนังสือยินยอมให้หักเงิน (หนี้สหกรณ์ออมทรัพย์/หนี้สถาบันการเงิน ฯลฯ) จะได้เท่ากับ ยอดเงินสุทธิ

จากนั้นระบบจะแบ่งครึ่งยอดเงินสุทธิเป็น 2 ยอดเท่ากัน เพื่อโอนเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารให้ข้าราชการและลูกจ้างประจำในรอบแรกและรอบสองตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ดังนั้น การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่กองคลังของส่วนราชการจึงยังปฏิบัติงานเหมือนเดิม แต่ต้องปฏิบัติงานให้เร็วขึ้น และส่งข้อมูลให้กรมบัญชีกลางเร็วขึ้น

โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าวเพิ่มเติมว่า มติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวเป็นทางเลือกสำหรับข้าราชการและลูกจ้างประจำที่รับเงินเดือนและค่าจ้างประจำผ่านระบบจ่ายตรงเงินเดือนและค่าจ้างประจำของกรมบัญชีกลาง (ระบบ e-Payroll) เท่านั้น และข้อมูล ณ เดือน ต.ค.2566 ปัจจุบันมีข้าราชการและลูกจ้างประจำในระบบ e-Payroll 1,335,818 คน เป็นข้าราชการ 1,291,212 คน และลูกจ้างประจำ 44,608 คน (ไม่รวมข้าราชการและลูกจ้างประจำของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ศาล องค์กรอัยการ องค์การมหาชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)

กำหนดเริ่มจ่ายเงินเดือนข้าราชการ 2 รอบ ตั้งแต่เดือน ม.ค.2567 และจ่ายค่าจ้างลูกจ้างประจำ 2 รอบ ตั้งแต่เดือน มี.ค.2567 เป็นต้นไป วันจ่ายเงินรอบแรกกำหนดโอนเงินวันที่ 16 ของทุกเดือน หากวันที่ 16 ตรงกับวันหยุดราชการจะเลื่อนเป็นวันทำการก่อนวันที่ 16

สำหรับวันจ่ายเงินรอบสองกำหนดโอนเงินในวันทำการก่อนวันทำการสุดท้ายของเดือน 3 วันทำการ (กำหนดวันเดิม) ทั้งนี้ กรมบัญชีกลางจะจัดฝึกอบรมให้ความรู้กับเจ้าหน้าที่ของส่วนราชการงานด้านบุคลากร และงานด้านกองคลังในรูปแบบ Onsite และ Online ช่วงเดือน พ.ย. - ธ.ค.2566 และจะมีคู่มือการปฏิบัติงานเพื่อให้เจ้าหน้าที่ของส่วนราชการใช้เป็นแนวทางการปฏิบัติงาน

โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าวทิ้งท้ายว่า การปรับการจ่ายเงินเดือนและค่าจ้างประจำ 2 รอบ เป็นทางเลือกสำหรับข้าราชการและลูกจ้างประจำที่รับเงินเดือนและค่าจ้างประจำผ่านระบบจ่ายตรงเงินเดือนและค่าจ้างประจำของกรมบัญชีกลาง (ระบบ e-Payroll) เท่านั้น ไม่รวมการจ่ายเบี้ยหวัดบำนาญของผู้รับบำนาญ

ดังนั้น ขอเตือนภัยผู้รับบำนาญอย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพที่แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่จากกรมบัญชีกลางหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ โทรหาและแจ้งเรื่องการจ่ายเงินเดือนหรือบำนาญ 2 รอบ แล้วให้ดำเนินการต่างๆ เช่น สอบถามความคิดเห็นว่าเห็นด้วยหรือไม่ แล้วให้กด 9 เป็นต้น อย่ากดและอย่าดำเนินการใดๆ เพราะกรมบัญชีกลางไม่มีนโยบายส่งข้อความหรือโทรศัพท์หาผู้รับบำนาญเพื่อให้ดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับการจ่ายบำนาญ 2 รอบ

ประชาไท  2023-12-19
95
สป.สธ. ร่อนหนังสือถึง ผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด แจง ‘แนวทางเลื่อนเงินเดือน ขรก. – ค่าจ้างลูกจ้างประจำ – ประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานราชการ 1 เม.ย. 2567’ ในส่วน ขรก. ครอบคลุมถึงกรณีไปช่วยราชการใน อบจ. ที่รับถ่ายโอน รพ.สต.

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ลงนามในหนังสือเรื่อง “แนวทางเลื่อนเงินเดือนข้าราชการ การเลื่อนขั้นค่าจ้างลูกจ้างประจำ และการประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานราชการ ณ วันที่ 1 เม.ย. 2567” ลงวันที่ 30 ม.ค. 2567 ส่งถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เพื่อให้หน่วยงานดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ ที่กำหนดไว้

สำหรับแนวทางดังกล่าวมีดังนี้ 1. ข้าราชการ โดยจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก ให้หน่วยงานดำเนินการตามแนวทางการประเมินผลปฏิบัติราชการ การบริหารเงินเพื่อเลื่อนเงินเดือนของผู้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป ประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ (ซี9) และระดับทรงคุณวุฒิ (ซี10 - 11) โดยจัดส่งเอกสารต่างๆ ให้สำนักงานเขตสุขภาพดำเนินการต่อไปภายในวันที่ 16 ก.พ. 2567

กลุ่มที่สอง ให้หน่วยงานดำเนินการตามแนวทางประเมินผลการปฏิบัติราชการ การบริหารเงินและการเลื่อนเงินเดือนข้าราชการประเภทวิชาการ ระดับชำนาญพิเศษ (ซี8) ลงไป และประเภททั่วไป ระดับอาวุโสลงไปในราชการบริหารส่วนภูมิภาค สังกัด สป.สธ. จัดทำคำสั่งเลื่อนเงินเดือนข้าราชการเสนอให้ผู้มีอำนาจลงนามคำสั่งดังกล่าว

ตลอดจนบันทึกเลขที่คำสั่งเลื่อนเงินเดือนข้าราชการลงในระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการบุคลากรสาธารณสุข (HROPS) และระบบจ่ายตรงเงินเดือนของกรมบัญชีกลางให้เสร็จสิ้น ภายในวันที่ 31 มี.ค. 2567 เพื่อให้ข้าราชการได้รับเงินเดือนของวันที่ 1 เม.ย. 2567 ภายในเดือน เม.ย. 2567 พร้อมทั้งจัดส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ สป.สธ. ดำเนินการต่อไป

ทั้งนี้ ในกลุ่มที่สองนี้ให้รวมทั้งข้าราชการผู้มีผลสัมฤทธิ์สูงและข้าราชการผู้ได้รับการอนุมัติให้ไปช่วยราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ที่รับถ่ายโอนภารกิจตามมติคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ก.ก.ถ.) ด้วย

2. ลูกจ้างประจำ ให้หน่วยงานดำเนินการตามหลักเกณฑ์การเลื่อนขั้นค่าจ้างฯ (ลูกจ้างประจำ) และให้บันทึกอนุมัติคำสั่งการเลื่อนเงินเดือนในระบบ HROPS ให้เสร็จ และส่งเอกสารต่างๆ ให้กับ สป.สธ. ภายในวันที่ 31 มี.ค. 2567

3. พนักงานราชการ ให้หน่วยงานดำเนินการประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานราชการ บันทึกคะแนนผลการประเมินผลการปฏิบัติงาน วันลา วันมาสายในระบบ HROPS ให้เสร็จ รวมถึงจัดส่งเอกสารต่างๆ ให้กับ สป.สธ. ภายในวันที่ 31 มี.ค. 2567 โดยการประเมินผลดังกล่าว รอบ เม.ย. 2567 และ รอบ ต.ค. 2567 ขอให้หน่วยงานพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เนื่องจากผลการประเมินทั้ง 2 รอบ จะถูกนำไปพิจารณาจต่อสัญญาจ้างตามกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการรอบที่ 5

The Coverage • Movement • 2 กุมภาพันธ์ 2567
96
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 29 ก.พ. ร.ต.ท.มารุต นิตย์จินต์ รอง สว. (สอบสวน) สภ.เมืองจันทบุรี ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุกู้ภัยสมาคมสว่างกตัญญูธรรมสถาน จันทบุรี ว่า มีอุบัติเหตุรถเก๋งเฉี่ยวชนคนเดินเท้าริมถนนได้รับบาดเจ็บ ส่วนรถเก๋งพุ่งตกร่องน้ำข้างทาง มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสติดภายใน เหตุเกิดริมถนนสุขุมวิท ขาเข้าเมือง พื้นที่หมู่ 14 ต.คลองนารายณ์ อ.เมือง หลังรับแจ้งได้ประสานทีมแพทย์ฉุกเฉิน รถอุปกรณ์ตัดถ่างและกำลังเจ้าหน้าที่กู้ภัยฯ ร่วมเดินทางตรวจสอบ

ที่เกิดเหตุพบรถพ่วง 22 ล้อ บรรทุกท่อซีเมนต์ขนาดใหญ่เสียหลักตกอยู่ในร่อง ขณะกำลังเจ้าหน้าที่กู้ภัยเร่งให้การช่วยเหลือนำร่างผู้บาดเจ็บ เบื้องต้นเป็นชายอายุประมาณ 50 ปี ขึ้นมาจากร่องน้ำข้างทาง ในสภาพขาด้านขวาผิดรูปมีอาการทางกระดูก ก่อนรีบทำการปฐมพยาบาลและนำตัวส่งโรงพยาบาลพระปกเกล้าฯ ห่างกันประมาณ 10 เมตร พบรถเก๋ง ฟอร์ดสีดำ ทะเบียน กต 852 จันทบุรี อยู่ในสภาพเสียหลักพุ่งชนหมุนฟาดกับเสาป้ายและโคนเสาไฟฟ้าแรงสูง พุ่งตกลงไปในร่องน้ำข้างทาง พังยับเสียหาย โดยภายในรถพบร่างผู้เสียชีวิตเป็นหญิง 1 ราย ถูกแรงอัดติดอยู่บนที่นั่งคนขับ ทราบชื่อ น.ส.เพ็ญพิชชา บุญรักษา อายุ 33 ปี เป็นพยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ แผนกกุมารเวชกรรม รพ.พระปกเกล้าจันทบุรี กู้ภัยฯ ใช้เครื่องตัดถ่างงัดซากรถนำร่างผู้เสียชีวิตออกมาชันสูตร โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที

จากการสอบสวน นายบี ไหมทอง อายุ 36 ปี ชาว จ.สระแก้ว ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ให้การว่า ขณะเกิดเหตุ ตนพร้อมกับชายผู้บาดเจ็บ กำลังช่วยกันยืนโบกรถให้สัญญาณจราจรว่ามีรถพ่วง 22 ล้อบรรทุกท่อซีเมนต์ ที่เสียหลักตกลงไปในร่อง ต่อมาได้มีรถเก๋งสีดำ ที่ขับมาทางตรงเสียหลักพุ่งเฉี่ยวชนลุงที่ยืนโบกรถอยู่ท้ายพ่วง ก่อนเสียหลักพุ่งชนเสาป้ายตกลงไปในร่องน้ำจนทำให้เสียชีวิตดังกล่าว

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า น.ส.เพ็ญพิชชา เพิ่งจะลาคลอดลูกไปได้เพียงไม่กี่เดือน ก่อนจะมาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม สาเหตุยังอยู่ในระหว่างการสอบสวนของตำรวจอีกครั้ง

29 กุมภาพันธ์ 2567
dailynews
97
เมื่อวันที่ 3 มี.ค. ร.ต.อ.อินทร์ศร พรมหอม รองสารวัตรสอบสวน สภ.บางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์​ ได้รับแจ้งเกิดอุบัติเหตุรถยนต์พลิกคว่ำมีผู้บาดเจ็บติดภายในรถ จึงประสานเจ้าหน้าที่กู้ชีพเทศบาลตำบลร่อนทองลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ที่เกิดเหตุบนถนนเพชรเกษม ฝั่งขาขึ้น กทม. หลัก กม.380 พื้นที่ หมู่ 3 ต.ร่อนทอง อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พบรถยนต์โตโยต้ายาริสสีดำ ทะเบียน 3ขก 8904 กรุงเทพมหานคร พลิกคว่ำล้อชี้ฟ้าอยู่ไหล่ทางซ้ายของถนน มีผู้บาดเจ็บภายในรถ ทราบชื่อต่อมาคือ นายปราโมทย์ คำตื้อ อายุ 24 ปี อยู่บริเวณเบาะที่นั่งคนขับ สภาพไม่รูัสึกตัว เจ้าหน้ากู้ชีพจึงรีบนำผู้ได้รับบาดเจ็บส่งโรงพยาบาลบางสะพาน

เบื้องต้นทราบว่า นายปราโมทย์ ซึ่งเป็นแพทย์ที่ รพ.บางสะพาน ก่อนเกิดเหตุเมื่อช่วงสาย นายปราโมทย์เพิ่งลงเวรและกำลังจะเดินทางไปรับเวรต่อที่ รพ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งมีระยะทางห่างกันประมาณ 90 กิโลเมตร เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุซึ่งห่างจากโรงพยาบาลบางสะพานมาได้ประมาณ 20 กม. เป็นช่วงทางตรงยาว คาดว่านายปราโมทย์น่าจะเกิดอาการหลับใน จึงทำให้รถเสียหลักพลิกคว่ำลงข้างทาง พนักงานสอบสวนได้เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ และจากการสอบสวนเบื้องต้นคาดว่าสาเหตุน่าจะเกิดจากการหลับใน

และล่าสุดเมื่อเวลาประมาณ 12.30 น. นายปราโมทย์ ยังไม่รู้สึกตัว แพทย์จึงได้ส่งตัวไปรักษาต่อที่ รพ.ประจวบคีรีขันธ์


3 มีนาคม 2567
dailynews
98
ปลัดสธ.แจงปม นพ.สสจ.กักขัง ลวนลาม สาวใช้ พบเป็นข้าราชการ สธ.เกษียณไปแล้ว ยินดีให้ข้อมูล หากเกี่ยวข้องกับ สธ. ต้องตรวจสอบดำเนินการทางวินัย

เมื่อวันที่ 4 มี.ค.67 นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ จ.อุดรธานี เข้าให้ความช่วยเหลือสาวแม่บ้าน ชาวลาววัย 18 ปี ที่ถูกกักขังและลวนลามโดยผู้เป็นนายจ้าง เมื่อวันที่ 3 มี.ค.ที่ผ่านมา

ซึ่งระบุว่านายจ้างคนดังกล่าวเป็นนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดแห่งหนึ่ง ว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่านายแพทย์สาธารณสุขรายดังกล่าวนั้น เป็นข้าราชการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขจริง แต่เกษียณอายุราชการไปแล้ว จึงเป็น "อดีตข้าราชการ" และปัจจุบันไม่ได้รับตำแหน่งใดๆ ในกระทรวงสาธารณสุข

ตร.อุดรฯ บุกช่วยสาวลาว วัย 18 ถูกลวนลาม-กักขัง ช็อกเป็นบ้านแพทย์ สธ.
นพ.โอภาส กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม หากเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ทางกระทรวงฯ ยินดีให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ทั้งนี้ จากเหตุการณ์ดังกล่าวนั้น ตนยืนยันว่าหากเกิดกรณีดังกล่าวขึ้นจริงและมีความเกี่ยวข้องกับกระทรวงสาธารณสุข ก็จะต้องตรวจสอบเพื่อดำเนินการทางวินัยต่อไป

4 มี.ค.67
ข่าวสด
99
สภาพัฒน์ จับตา 3 โรคร้าย คนไทยเสี่ยงเป็นซึมเศร้า-มะเร็งเต้านม-มะเร็งปอด พบชาว กทม.ป่วยเยอะสุด

เมื่อวันที่ 4 มีนาคม นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ รายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 4/2566 และภาพรวมปี 2566 ว่า ปัญหาด้านสุขภาพและการเจ็บป่วยไตรมาส 4/2566 การเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังมีจำนวนผู้ป่วย 3.4 แสนคน เพิ่มขึ้น 170% จากการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่และโรคไข้เลือดออก ดังนั้น จะมีการดูแลด้านการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหามากขึ้น สำหรับภาพรวมปี 2566 มีผู้ป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังรวม 999,243 ราย เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 116.7% และจำนวนผู้ป่วยสูงสุดคือโรคไข้หวัดใหญ่

นายดนุชากล่าวว่า ขณะที่ส่วนที่ต้องให้ความสำคัญมากขึ้นคือสุขภาพจิตของคนไทย โดยไตรมาส 4/2566 คนไทยป่วยเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2565 จาก 12.92% เป็น 17.36% และภาพรวมปี 2566 เพิ่มสูงขึ้นจาก 12.81% ในปี 2565 เป็น 29.87% โดยมีปัญหาความเสี่ยงซึมเศร้ามากที่สุด

ดังนั้น เรื่องนี้ต้องให้ความสำคัญในการเฝ้าระวังการใช้ความรุนแรงของผู้ป่วยจิตเวช เพราะมีความเสี่ยงสูงในการก่อความรุนแรงในกลุ่มผู้ป่วยจิตเวช โดยปี 2566 ผู้ป่วยจิตเวชมีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรงจำนวน 9,639 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2565 อยู่ที่ 46.4%
นายดนุชากล่าวว่า ขณะเดียวกัน โรคมะเร็งเต้านมพบมากเป็นอันดับ 1 ของมะเร็งในผู้หญิงไทย ปี 2566 ผู้หญิงไทยป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านมจำนวน 40,297 ราย เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเช่นเดียวกับจำนวนผู้เสียชีวิต ซึ่งมีปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ การถ่ายทอดทางพันธุกรรม ภาวะอ้วน การดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ และการไม่ออกกำลังกาย ดังนั้น ควรตรวจเต้านมด้วยตัวเองเป็นประจำ และหากพบในระยะแรกเริ่มมีโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้สูงถึง 95%

และปัญหาฝุ่น PM2.5 ต่อสุขภาพของประชาชน ปี 2566 คนไทยมีผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ 10.5 ล้านราย โรคที่พบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นสูงสุดคือ โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง เพิ่มขึ้น 39.1% ซึ่งพบมากที่สุดในจังหวัดนครราชสีมา แล้วรองลงมาคือ โรคมะเร็งปอด ที่เพิ่มขึ้น 19.7% พบผู้ป่วยมากสุดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ ปี 2567 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-13 กุมภาพันธ์ พบผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศแล้ว 9.1 แสนราย

“ทางรัฐบาลมีมาตรการจะช่วยเหลือ เช่น การลดการเผา โดยเฉพาะการประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้าน หากดูภาพถ่ายดาวเทียม จุดความร้อนส่วนใหญ่มาจากประเทศเพื่อนบ้าน แต่ในไทยเผาน้อยลงจากปีก่อนหน้า และต้องมีการดำเนินต่อเนื่องเพื่อลดปัญหานี้” นายดนุชากล่าว

นายดนุชากล่าวว่า สำหรับการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ในไตรมาส 4/2566 การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่เพิ่มขึ้น 2.8% โดยการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น 4.9% ขณะที่การบริโภคบุหรี่ลดลง 0.7% สำหรับภาพรวมปี 2566 การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่เพิ่มขึ้น 2.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามการฟื้นตัวของการบริโภคและการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ

“นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ต้องติดตามและให้ความสำคัญคือ การปรับปรุงโครงสร้างภาษีสรรพสามิตในกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ ที่อาจดึงดูดให้มีการเปิดสถานบันเทิงเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้นักดื่มมีโอกาสเข้าถึงได้ง่ายขึ้นและการสูบบุหรี่ส่งผลต่อภูมิคุ้มกันและเพิ่มโอกาสการติดเชื้อ” นายดนุชากล่าว

มติชน
4 มีนาคม 2567
100
เรียกได้ว่าเป็นเรื่องราวที่ทำเอาชาวเน็ตต่างสนใจอย่างมาก เมื่อคุณครูสาวท่านหนึ่งได้ออกมาโพสต์ภาพการบ้านของนักเรียน เห็นคำตอบแต่ละข้อน้ำตาตกใน ดิ่งขั้นสุด ชาวเน็ตแห่เห็นใจทั้งโซเชียล โดยคุณครูท่านนี้ได้เผยหัวเรื่องในโพสต์ว่า 

"ใครอ่อนไหวเรื่องสิทธิเด็กเลื่อนผ่านไปค่ะ ไม่ต้องแวะ" และรายละเอียดทั้งหมดว่า ...แค่อยากบอกความรู้สึกในมุมของครูผู้สอนบ้าง เมื่อเจอครูใจดี ควรเกรงใจ ไม่ใช่มักง่ายจะทำอะไรก็ได้ แล้วคิดว่ายังไงครูก็ให้ผ่านอยู่แล้ว

(....เขียนคำตอบแบบอ่านไม่ออก เหมือนสักแต่ว่าเขียนส่งๆไป ไม่ตั้งใจเขียน....)
   
  ใครเคยเรียนกับครูจะรู้ว่าครูสุชญาไม่ใช่คนเรื่องมาก แต่แบบนี้มันเกินจะรับไหว รู้มั้ยว่าสิ่งที่นักเรียนบางคนทำ (ย้ำว่าบางคน) มันบั่นทอนความเป็นครูมากแค่ไหน นอกจากไม่ใฝ่รู้ใฝ่เรียน ไม่คิด ไม่อ่าน ไม่มีความเพียรแล้ว ระเบียบวินัยก็ไม่ผ่าน ความรับผิดชอบก็ไม่มี มารยาทก็ติดลบ แบบนี้จะเรียกตัวเองว่านักเรียน ได้ยังไง

ในฐานะครูคนหนึ่ง ครูได้ทำหน้าที่ของครูอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่มันคงไม่มากพอที่จะขัดเกลาบางคนให้ฉลาดหลักแหลมได้ แม้แต่ตัวเธอเองเธอยังไม่รัก ไม่พยายามทำเพื่อตัวเอง อย่างอื่นก็คงไม่ต้องพูดถึง

ขอเป็นอีกหนึ่งเสียงสนับสนุนให้โรงเรียนประกาศนโยบาย #เรียนซ้ำชั้น สักทีเถอะ อย่าปล่อยให้เด็กพูดต่อหน้าครูว่า “ไม่ทำ ไม่ส่ง เพราะยังไงก็ผ่านอยู่แล้ว” คนเป็นครูน้ำตาตกใน ดิ่งขั้นสุด ไฟมอดดับลงทุกวันเกาให้ถูกที่คัน ไม่ใช่สรรหาแต่คำมาบั่นทอนครูผู้สอน #ผู้ปกครองร้องเรียน บ้างหละ #ครูไม่ใส่ใจ บ้างหละ #ครูไม่ติดตามเด็ก บ้างหละ ยกเด็กขึ้นหิ้ง แล้วเหยียบครูให้จมดิน#การศึกษาไทย

Thainewsonline
4มีค2567
หน้า: 1 ... 8 9 [10]