ปัญหาการประกันความเสียหายจากการให้บริการสาธารณสุขโดยผิดพลาด
แก้วสรร อติโพธิ ...
การพัฒนาระบบประกันสุขภาพให้มีบริการสาธารณสุขที่ได้ทั้งคุณภาพและความทั่วถึง แถมด้วยความคุ้มครองที่มั่นคงจากความผิดพลาดในการรักษาพยาบาลที่อาจเกิดขึ้นได้นั้น ถือเป็นภารกิจที่ไม่มีรัฐใดปฏิเสธได้ แต่จะทำได้เพียงไหนด้วยแนวทางใดก็ยังมีทั้งข้อจำกัด และทางเลือกที่แตกต่างกันออกไปได้ ความรู้จักประมาณตนและรู้จักเลือกจึงเป็นเงื่อนไขสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาระบบนี้ขึ้นมาในแต่ละประเทศ
กฎหมายประกันสุขภาพและระบบ ๓๐ บาทรักษาทุกโรค ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาโดยหมอและเอ็นจีโอสาธารณสุขหัวก้าวหน้า และผลักดันจนสำเร็จเป็นงานชิ้นโบว์แดงของระบอบทักษิณ ซึ่งจนปัจจุบันก็ยังมีปัญหาแฝงฝังให้ต้องฟันฝ่าอีกมาก
มาบัดนี้ซุ้มคุณหมอและเอ็นจีโอดังกล่าว ก็ได้ดิ้นรนผลักดันร่างกฎหมายประกันความเสียหายตามมาอีก และก็มีคุณหมอลุกขึ้นแต่งดำคัดค้านกันเป็นการใหญ่ ตามที่เป็นข่าว ซึ่งดำริในครั้งนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ และกระทบถึงประชาชนโดยตรง จึงควรที่เราท่านจะได้รู้เท่าทันความเห็นและผลประโยชน์ที่ซุกซ่อนอยู่ ดังผมจะขอนำเสนอในท่วงทำนอง ปุจฉา-วิสัชนา ไปโดยลำดับดังนี้
ความเสียหายจากการรักษาพยาบาล
ถาม อะไรคือความเสียหายจากการรักษาพยาบาลครับ? ไปรักษาเบาหวานแล้วถูกตัดขาหามกลับมาบ้าน อย่างนี้ใช่ความเสียหายจากการรักษาหรือไม่
ตอบ กฎหมายเขาจะถามก่อนว่า แม้คุณหมอจะพยายามรักษาดูแลอย่างไรก็ต้องถูกตัดขาอยู่ดีใช่ไหม ? ถ้าตอบว่าใช่เพราะตอนไปหาหมอนั้นแผลที่ขามันลุกลามเรื้อรัง ขาดำจนหยุดไม่ได้แล้ว อย่างนี้ก็ไม่ถือว่าขาหายไปเพราะการรักษาพยาบาล แต่หายไป ถูกตัดไป เพราะแผลลุกลามด้วยโรคเบาหวาน
ถาม แล้วถ้าแผลไปลุกลามตอนนอนที่โรงพยาบาล เนื่องจากเกิดอาการติดเชื้อ เพราะการดูแลรักษาไม่ได้มาตรฐานล่ะครับ
ตอบ ตรงนี้ก็กลายเป็นความเสียหายจากการรักษาพยาบาล คือขาหายไปเพราะการรักษา ไม่ได้มาตรฐาน คุณหมอหรือโรงพยาบาลต้องรับผิดชอบ
ถาม มีไหมครับที่รักษาอย่างได้มาตรฐานแล้ว ก็ยังเกิดความเสียหายอยู่ดี ?
ตอบ มีแน่นอน อย่างเพื่อนผมไปผ่าต้อกระจกแล้วตาบอด แล้วปรากฏว่าหมอใช้ยาชาและฉีดยาชาได้มาตรฐานทุกอย่าง แต่ประสาทตากลับแพ้ยาโดยเป็นอาการเฉพาะที่ไม่มีทางตรวจเจอ และเกิดขึ้นได้หนึ่งในหมื่นเท่านั้น ความเสียหายอย่างนี้ ในทางกฎหมายเขาเรียกว่าความเสียหายจากการรักษาพยาบาลที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ คุณหมอไม่ต้องรับผิด
โดยสรุปแล้ว ความเสียหายที่เกี่ยวข้องจึงแยกแยะได้ดังนี้
๑)+๒) ความเสียหายหลังออกจากโรงพยาบาลเช่น ตัดขา
๑) ความเสียหายจากอาการของโรคโดยแท้ เช่นแผลลามมาก่อนแล้ว ต้องถูกตัดขาอยู่ดี
๒) ความเสียหายจากการรักษาพยาบาล
๒.๑)เสียหายเพราะรักษาไม่ได้มาตรฐานจนแผลติดเชื้อ
๒.๒) ความเสียหายที่รักษาดีแล้ว แต่ก็ยังหลีกเลี่ยงไม่ได้
ตามแผนผังข้างต้น ความเสียหายมี ๓ ชนิด คุณหมอต้องรับผิดเฉพาะ ๒.๑) คือรักษาไม่ได้มาตรฐานเท่านั้น ถ้าเสียหายเพราะโรคโดยแท้ คือ๑) หรือเป็นความเสี่ยงโดยสภาพของการรักษาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ได้คือ ๒.๒)ทั้งสองกรณีนี้คุณหมอไม่ต้องรับผิด
ถาม คดีที่มักจะเกิดขึ้นคือคดีอย่างไหนครับ
ตอบ คือคดีที่ฟ้องตาม ๒.๑) ว่าหมอรักษาไม่ได้มาตรฐาน แล้วหมอสู้ว่าได้มาตรฐานแล้วแต่ความเสียหายเกิดขึ้นเพราะโรคโดยแท้ตาม ๑) หรือเป็นความเสียหายจากการรักษาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ตาม ๒.๒) ครับ
โครงสร้างกฎหมายในปัจจุบัน
ถาม ในทางกฎหมายนั้น มีการจัดการความเสียหายหลังการรักษาพยาบาลอย่างไรบ้าง
ตอบ ที่เป็นระบบทั่วไปนั้นรัฐจะไม่เข้ามายุ่ง ปล่อยให้ชาวบ้านเขาฟ้องเรียกค่าเสียหายจากหมอหรือโรงพยาบาลเอาเอง ข้างหมอหรือโรงพยาบาลเขาก็เฉลี่ยความเสี่ยงกันเองโดยการซื้อประกันความรับผิดทางวิชาชีพ จากบริษัทประกันภัย ซึ่งปัจจุบันก็ทราบว่าซื้อประกันกันแพร่หลายมากทีเดียว
ถาม แล้วระบบเฉพาะคืออะไรครับ
ตอบ เป็นระบบเฉพาะในกองทุน ๓๐ บาทของรัฐเท่านั้น ที่รัฐให้ประกันกับชาวบ้านว่า ถ้าเสียหายเพราะหมอทำแล้วล่ะก็ ให้ยื่นขอชดใช้จากกองทุนได้เลยไม่ต้องไปฟ้องไปหาหลักฐานพิสูจน์กับใครให้เหนื่อยยาก แล้วรัฐจะตรวจสอบให้เองถ้าพบว่าจริงก็จะจ่ายเงินชดเชยให้เลย เพราะถือเป็นหน้าที่ที่รัฐจะต้องประกันคุณภาพบริการของตน
ถาม เมื่อจ่ายเงินแล้วหมอที่รักษาผิดพลาดต้องจ่ายเงินให้ใครอีกไหมครับ
ตอบ ระบบนี้กองทุนจะไปไล่เบี้ยเรียกจากหมอไม่ได้ เพราะถือเป็นการจ่ายตามหน้าที่ของรัฐเอง ส่วนคนไข้จะติดใจไปฟ้องเรียกเงินจากหมอต่อไปอีกหรือไม่ก็เป็นเรื่องของเขาระบบอย่างนี้มีแต่การรักษาพยาบาลในโครงการ ๓๐ บาทเท่านั้น ถ้าคุณไปรักษาในกองทุนประกันสังคมหรือใช้สิทธิข้าราชการ หรือโดยออกเงินเองก็ตาม จะไม่มีระบบประกันคุณภาพแบบนี้ เกิดปัญหาคุณก็ต้องฟ้องหมอเอาเอง ถ้าหมอมีประกัน ประกันเขาก็จะมาช่วยหมอเจรจากับคุณอีกแรงหนึ่ง
ร่างกฎหมายคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข
ถาม ถ้าร่างกฎหมายที่กำลังมีปัญหาในปัจจุบันนี้ ผ่านรัฐสภาจะเกิดอะไรขึ้นบ้างครับ
ตอบ จะมีความเปลี่ยนแปลงเป็นนัยยะสำคัญดังตารางเปรียบเทียบต่อไปนี้ ครับ
โครงสร้างปัจจุบัน โครงสร้างใหม่
๑. เอาเงินของรัฐมาเป็นประกันคุณภาพเฉพาะระบบ๓๐ บาทของรัฐเท่านั้น หน่วยบริการระบบอื่นไม่ถูกบังคับให้มาร่วมประกัน บังคับให้หน่วยบริการทุกระบบต้องวางเงินมารวมเป็นกองทุนประกันคุณภาพบริการของทุกระบบ โดยแต่ละหน่วยอาจซื้อประกันเป็นส่วนตัวเพิ่มขึ้นต่อไปอีกก็ได้
๒. ไม่มีการผลักภาระค่าชดเชยไปยังประชาชนผู้รับบริการ เพราะตัดมาจากกองทุน ๓๐ บาท หน่วยบริการนอกระบบ๓๐ บาทจะต้องผลักภาระใหม่นี้มารวมในค่าบริการทั่วไป ส่วนตัวระบบ๓๐ บาทเองก็อาจลดเงินในส่วนนี้ลงอีก
๓.การตรวจสอบมาตรฐานในระบบประกันว่าแต่ละคดีมีการให้บริการต่ำกว่ามาตรฐานหรือไม่ ยังใช้แพทย์วิชาชีพเฉพาะ
๔.โรงพยาบาลและหมอไม่คัดค้านอะไรเพราะไม่เกิดภาระทางการเงินและยังใช้หมอผู้ชำนาญเป็นผู้ตรวจมาตรฐาน ใช้คณะกรรมการที่มีคนนอกวิชาชีพ ที่เป็นตัวแทนเอ็นจีโอ และส่วนงานอื่น มาร่วมตัดสินมาตรฐานด้วย
คัดค้านกันมากเพราะต้นทุนสูงขึ้นทั้งระบบและเห็นว่าเอาคนนอกมาชี้มาตรฐานวิชาชีพไม่ได้ ทุกวันนี้ก็เสี่ยงจะแย่อยู่แล้ว
ถาม ผมฟังดูแล้วก็คล้ายๆกับกฎหมายที่บังคับให้รถทุกคันเอาประกันความเสียหายต่อบุคคลที่สามไว้ จึงจะต่อทะเบียนได้ เกิดอุบัติเหตุเมื่อใดผู้เสียหายก็ได้เงินจากบริษัทประกันเลย โดยไม่ต้องมาเถียงกันว่าใครถูกใครผิด ยังงี้ก็ดีนะครับ
ตอบ ไม่เหมือนหรอกครับ ตามร่างกฎหมายนี้มันยังยืนอยู่บนความรับผิดของหมอนะครับ ถ้าเป็นเหตุสุดวิสัยกองทุนนี้ก็จะไม่จ่ายนะคุณ
แต่ ถ้าเปลี่ยนเสียใหม่ให้เป็นว่าใครเสียหายจากการรักษาก็เอาเงินไปเลยไม่ต้องหาว่าใครผิดอย่างนี้ ปัญหาโต้แย้งจะน้อยลงมาก คงเหลือแต่ภาระทางการเงินเท่านั้น
ว่ากองทุน ๓๐ บาทและผู้รับบริการนอกระบบ ๓๐ บาท จะรับภาระเงินกองทุนได้ไหม
ปัญหาแรกจึงอยู่ที่ตรงนี้ก่อนว่าเราจะให้มีประกันความเสียหายชนิดใดบ้าง เอากว้างขวางถึงขนาดผิดหรือไม่ผิด ก็ให้ชดใช้ทุกกรณีเลยหรือไม่ คุณว่าอย่างไรล่ะครับ
ถาม ถ้าคิดเป็นสวัสดิการก็ต้องช่วยเหลือทั้งหมดแหละครับ ใครขาหายไปจากอุบัติเหตุหรือความเจ็บป่วยก็ต้องช่วยทั้งนั้น ต้องมาจากเงินรัฐทั้งหมดด้วย แต่ถ้าคิดเป็นการประกันคุณภาพของบริการว่าจะไม่มีความผิดพลาด อย่างนี้ก็จะต้องจำกัดการชดใช้แต่เฉพาะกรณีรักษาไม่ได้มาตรฐานเท่านั้น ผมว่าเอาแค่ประกันคุณภาพก่อนก็พอนะครับเรื่องสวัสดิการไปว่าอีกเรื่องหนึ่งดีกว่า
ตอบ โอเค...ความคิดคุณชัดเจนแล้ว ปัญหาต่อไปต้องถามว่ารัฐมาจัดตั้งกองทุนประกันเองทำไม? ทำไมไม่ทำแบบประกัน พรบ. คือออกกฎหมายบังคับให้ทุกสถานบริการต้องซื้อประกันความรับผิดบุคคลที่สามจากบริษัทประกันภัย ตามกรมธรรม์มาตรฐานที่กฎหมายกำหนด อย่างนี้คุณว่าจะดีกว่าให้รัฐตั้งกองทุนประกันเสียเอง ดังร่าง
กฎหมายนี้หรือไม่
ถาม วิธีนั้นเอกชนเขาก็ทำกันมากอยู่แล้วนะครับ แต่มันจะมีปัญหาโยกโย้ตอนเคลม
ประกันมากนะครับ ให้รัฐทำมันจะจ่ายง่ายกว่าแน่ๆ
ตอบ ปัญหาตรงนี้ผ่อนคลายได้ ออกกฎหมายไปเลยให้มีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
รับคำขอเคลมประกันจากผู้เสียหายก่อน แล้วเสนอความเห็นไปยังบริษัทประกัน ได้ผลอย่างไร ใครยังไม่พอใจก็ค่อยไปถึงศาลอีกทีหนึ่ง กลไกอย่างนี้จะช่วยให้ความเป็นธรรมได้มากกว่าที่เป็นอยู่แน่นอน
ถาม ตรงนี้ก็มาถึงปัญหาสุดท้ายว่า การสืบข้อมูลและตรวจมาตรฐานการให้บริการในคดี
เคลมประกันไม่ว่าจะประกันแบบใดนั้น เราควรให้คนนอกวิชาชีพมาตัดสินหรือไม่
ตอบ ผมเองเป็นนักกฎหมายผมมองไม่ออกว่าอยู่ดีๆถ้าผมไปนั่งเป็นกรรมการนี่ แล้วผมจะ
มีความรู้ไปชี้ขาดอย่างนั้นอย่างนี้ได้อย่างไรในปัญหาอย่างนี้ ชี้ไปแล้วให้หมอเป็น
ฝ่ายแพ้จนผู้เสียหายได้เงินไปจำนวนหนึ่ง เขาก็จะไปฟ้องเรียกเงินเพิ่มจากหมออีก
ต่างหาก เกิดคดีเพิกถอนใบอนุญาตตามมาอีกด้วย
ปัญหาอย่างนี้พวกหมอเขาจึงต้องวิตกมากเป็นธรรมดาว่า จะเอาใครที่ไหนมาชี้ขาดมาตรฐานนี้ ตรงนี้ผมเข้าใจและเห็นใจเขานะคุณ คนไข้โรคเดียวกันแต่คนละสังขารนี่มาตรฐานก็ต่างกัน โรคเดียวกันแต่คนละโรงพยาบาล มีความพร้อมของเครื่องมือ
ประสบการณ์ ปริมาณงานไม่เท่าเทียมกัน มาตรฐานมันก็ต่างกันได้อีก คนที่จะวินิจฉัยปัญหาเรื่องมาตรฐานนี่ จึงต้องเป็นมืออาชีพที่มีวิจารณญาณจริงๆ จึงจะให้ความเป็นธรรมได้ต่อทั้งสองฝ่าย
ถาม แล้วหลักประกันนี้มันควรจะเป็นอย่างไร
ตอบ เป็นผม ผมจะมีกองทุนให้ความช่วยเหลือผู้เสียหาย มีอำนาจเรียกข้อมูลสถานบริการที่เกี่ยวข้องแทนผู้เสียหาย มีนักกฎหมายและผู้เชี่ยวชาญประจำ สู้แทนผู้เสียหายได้ทุกชั้นจนไปถึงชั้นศาล ว่ากันแฟร์ๆตรงตัวกระบวนการอย่างนี้ ผมว่าคุณหมอเขาปฏิเสธไม่ได้หรอกครับ แต่เอาตัวแทนเอ็นจีโอจากไหนก็ไม่รู้มานั่งวินิจฉัยมาตรฐานของหมอนี่ เป็นผม..ผมก็ไม่ยอมแน่นอน
ถาม นอกจากปัญหาหลักสามประการที่กล่าวมาแล้ว ปัญหาในระดับภาพรวมคืออะไรครับ
ตอบ ความคิดของซุ้มนี้ เขามุ่งเขาฝันจะรวมเอาทุกระบบมารวมกันหมดมานานแล้ว จะเอาทั้งกองทุนประกันสังคม,กองทุนบำเหน็จบำนาญ หรือแม้กระทั่งเงินประกันสุขภาพที่ชาวบ้านเขาลงทุนซื้อประกันไว้เป็นส่วนตัว เขาก็คิดจะเอามารวมกับกองทุน ๓๐ บาทให้ได้ ตอนเป็น สว.ผมค้านถึงที่สุดเลย คนไม่เหมือนกันจะมาลิดรอนสิทธิของเขา โดยรวมปฏิบัติเท่ากันหมดได้อย่างไร
เรื่องประกันความเสียหายนี่ก็เอาอีกว่า ต้องรวมเป็นระบบเดียวทั้งประเทศ แล้วพอเรายอมจนเกิดอำนาจกลางขึ้นมา ก็จะมีพื้นที่ให้ซุ้มของตนไปตั้งรกรากใช้อำนาจใช้ทรัพยากรนั้นอีกจนคนเขาไม่ไว้วางใจไปทั่วอีกชั้นหนึ่ง เป็นอย่างนี้ทุกที
ภาพรวมของปัญหาอย่างนี้จึงมีคำถามรวบยอดที่สุดอยู่ตรงที่ว่า
เราจะยอมรับระบบรวมศูนย์แบบเทพเจ้าแห่งความหวังดีนี้กันต่อไปอีกหรือไม่ ?
...............................
ขออภัยที่ส่งรูปมาให้ไม่เป็นค่ะ