ผู้เขียน หัวข้อ: พิการแต่กาย…ใจไม่พิการ  (อ่าน 1105 ครั้ง)

science

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 184
    • ดูรายละเอียด
พิการแต่กาย…ใจไม่พิการ
« เมื่อ: 24 เมษายน 2012, 21:25:08 »
 ลองคิดดูสิว่า จะเป็นอย่างไรถ้าคุณมีดวงตาที่มืดบอด ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของตัวเองหรือคนที่เรารักหรือทุกสิ่งอย่างรอบตัว...หรือ
       
       ลองคิดดูสิว่า จะเป็นอย่างไรถ้าคุณมีหูที่ไม่สามารถได้ยินเสียงใดๆ ไม่ว่าจะเป็นเสียงพูด เสียงหัวเราะ เสียงไพเราะของดนตรี เสียงนกร้อง เสียงฝนตก...หรือ
       
        ลองคิดดูสิว่า จะเป็นอย่างไรถ้าคุณไม่มีแขนทั้งสองข้าง ไว้ใช้หยิบจับสิ่งของ กอด หรือจับมือของคนที่คุณรัก…หรือ
       
        ลองคิดดูสิว่า จะเป็นอย่างไรถ้าคุณไม่มีขาทั้งสองข้าง ไว้ใช้ยืน วิ่ง กระโดด เดินไปไหนมาไหนได้... ขนาดคนปกติที่มีอวัยวะครบทั้ง 32 ไม่ได้มีความบกพร่องทางร่างกายในส่วนใด ๆ เลยยังคงต้องต่อสู้กับการใช้ชีวิตในแต่ละวันให้ผ่านไปอย่างยากลำบากมากพอแล้ว ถ้าหากเราเกิดมาเป็นคนพิการมีอวัยวะไม่ครบสมบูรณ์ เราจะยิ่งต้องต่อสู้กับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิตเราอย่างลำบากและยุ่งยากมากกว่าคนปกติยิ่งกว่านั้นสักเท่าไร
       
       ในประเทศไทยนั้นมีจำนวนคนพิการทั้งหมดที่ขึ้นทะเบียนไว้จำนวน 1,250,015 ราย (จากสถิติข้อมูลคนพิการของสำนักงานส่งเสริมและคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ (พก.) ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ.2537 ถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2555) ซึ่งนับว่าในประเทศไทยมีจำนวนคนพิการอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว และเป็นเรื่องที่ผู้เกี่ยวข้องควรตระหนักถึงความสำคัญของผู้พิการที่จะทำอย่างไรที่จะทำให้เขาเหล่านั้นสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขและมีคุณค่าให้มากที่สุด โดยเฉพาะคนในครอบครัว ต้องเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการให้กำลังใจแก่บุคคลพิการที่อยู่ในครอบครัวของเรา ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ ลูกหรือญาติพี่น้องที่พิการ เราควรให้ความรักและความเอาใจใส่แก่เขาอย่างมากเพื่อเขาเหล่านั้นจะไม่รู้สึกถึงความขาดหรือปมด้อยของตนเอง เพราะถ้าเขารู้สึกว่าเขาไม่เป็นที่ยอมรับของคนอื่นแล้ว อาจนำพาซึ่งปัญหาต่างๆตามมา ทั้งการทำร้ายตนเอง ทำร้ายผู้อื่น การก่ออาชญากรรม หรือการฆ่าตัวตาย
       
       แต่ในทางกลับกันหากเขาเหล่านั้นได้รับการดูแลและความเข้าใจอย่างเต็มที่ เขาจะสามารถใช้ชีวิตได้ดีไม่แตกต่างจากคนปกติทั่วไปเลย มิหนำซ้ำอาจประสบความสำเร็จมากกว่าคนปกติทั่วไปด้วยก็มีเพราะคนเหล่านี้มีความพยายามอย่างมากในการที่จะพิสูจน์ตัวเองนั่นเอง
       
       ผู้เขียนมีญาติคนหนึ่งเป็นคุณอาแท้ๆ ซึ่งพิการตั้งแต่กำเนิดด้วยมีแขนเพียงข้างเดียว คุณพ่อคุณแม่ของผู้เขียนได้เลี้ยงดูและดูแลเขามาตั้งแต่เล็กๆ โดยให้ความรักและให้การเลี้ยงดูเหมือนกับเป็นลูกแท้ ๆ คนหนึ่ง โดยนอกเหนือจากส่งเสริมในเรื่องการเรียนอย่างดีที่สุดและสอนให้สามารถช่วยเหลือตนเองได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังส่งเสริมให้เล่นกีฬาด้วย ซึ่งคุณอาว่ายน้ำเก่งมากถึงขนาดเคยเป็นนักกีฬาเหรียญทองคนพิการเลยทีเดียว คุณอาเป็นคนอารมณ์ดี มีจิตใจที่ดีมากจนเป็นที่รักของทุกคนที่รู้จัก ทั้งไม่เคยคิดว่าความพิการของตนเองเป็นปมด้อยหรือไม่เคยโทษว่าเป็นความผิดของใคร แต่พยายามที่จะแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขาสามารถทำทุกอย่างได้โดยไม่เป็นภาระแก่คนอื่น ด้วยการมุมานะในการศึกษาเล่าเรียนจึงเป็นคนที่เรียนหนังสือเก่งมาก โดยสอบเข้าและเรียนจบปริญญาตรีที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และสามารถสอบชิงทุนไปศึกษาต่อปริญญาโทที่ต่างประเทศได้ ปัจจุบันนี้คุณอาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับภริยาและลูก ๆ และมีธุรกิจของตัวเองที่ต่างประเทศ และทุกครั้งที่กลับมาเมืองไทยก็ไม่เคยลืมที่จะกลับมาดูแลคุณพ่อคุณแม่ของผู้เขียนเป็นอย่างดีและทำเช่นนี้สม่ำเสมอ
       
       ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่า อย่ามองว่าคนพิการเป็นคนไร้ค่า ไร้ความสามารถ ไร้จิตใจหรือไร้ความรู้สึก คนเหล่านี้มักมีความสามารถที่ซ่อนอยู่ในตัวเองมากมาย อยู่ที่ว่าเราจะส่งเสริม สนับสนุนให้เกิดการพัฒนาศักยภาพของเขาให้เป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างไร ซึ่งสิ่งที่สำคัญพื้นฐานคือการเลี้ยงดูด้วยความรักและความเมตตา นอกจากนี้ยังอาจนำเอากิจกรรมต่างๆมาใช้ในการส่งเสริมศักยภาพของคนพิการได้ด้วย ดังนี้
       
       1. ศิลปะช่วยคนพิการ
       
       ศิลปะนอกจากจะช่วยจรรโลงจิตใจ พัฒนาสุนทรียภาพและทำให้จิตใจอ่อนโยนแล้ว ศิลปะยังช่วยพัฒนาความมั่นใจในตนเองและศักยภาพของคนพิการได้ดีอีกด้วย ตัวอย่างเช่น กลุ่มจิตรกรวาดภาพด้วยปากและเท้าทั้งคนไทยและคนต่างชาติที่มีความพิการทางแขนหรือขา สามารถใช้ปากหรือเท้าในการสร้างสรรค์ผลงานด้วยการวาดภาพระบายสีออกมาเป็นภาพที่สวยงามที่แม้แต่คนมีมือครบสองข้าง มีนิ้วครบยี่สิบนิ้วก็ยังไม่สามารถวาดได้สวยเท่านี้ และภาพวาดของเขาเหล่านี้สามารถนำมาหารายได้ด้วยการผลิตเป็นโปสการ์ด เป็นปฏิทิน เป็นภาพติดผนัง เช่นผลงานของคุณทนง โครตชมพู หรือของคุณหวาง กัวฟู่ ศิลปินพิการชาวจีนที่ภาพวาดส่วนใหญ่ของเขาเป็นที่นิยมของนักสะสมผลงานศิลปะทั่วโลก
       
       2. ดนตรีช่วยคนพิการ
       
       ดนตรีเป็นสิ่งมีประโยชน์ที่นอกจากจะช่วยเยียวยาจิตใจของผู้พิการได้แล้ว ปัจจุบันยังได้มีการนำดนตรีเข้ามาช่วยในการพัฒนาศักยภาพของคนพิการมากขึ้นด้วย เช่นมีการทดลองนำกลองสำหรับเชียร์กีฬามาใช้ในเด็กพิการ โดยฝึกให้เด็กๆเหล่านี้นับจังหวะ และลองตีกลองตามแบบแผน เมื่อเกิดความคล่องขึ้นก็จะพัฒนาไปสู่ทักษะการตีที่ซับซ้อนขึ้น จนสามารถเล่นเป็นวงดนตรีและแสดงในที่สาธารณะได้ในที่สุด สิ่งนี้ทำให้เด็กที่พิการเกิดความเชื่อมั่นในตนเอง ภาคภูมิใจในตนเองและสามารถพัฒนาความสามารถในด้านดนตรีและด้านอื่น ๆ ต่อไปได้อีกมากมาย
       
       3. กีฬาช่วยคนพิการ
       
       กีฬาเป็นส่วนหนึ่งที่นอกจากจะทำให้ร่างกายของคนพิการแข็งแรงขึ้นแล้ว ยังสามารถส่งเสริมกำลังใจได้เป็นอย่างดี เพราะคนพิการมักคิดว่าไม่สามารถเล่นกีฬาได้เหมือนคนปกติ แต่จากการแข่งขันกีฬาคนพิการที่จัดมีขึ้นมากมาย แสดงให้เราทุกคนเห็นเป็นที่ประจักษ์ว่าคนพิการสามารถเล่นกีฬาได้ดีไม่แพ้คนปกติเลย อย่างเช่นนักกีฬาพิการของไทยสามารถคว้าเหรียญทองมากมายจากการแข่งขันในระดับโลกได้ สร้างทั้งชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยและสร้างความภาคภูมิใจให้กับตัวของนักกีฬาเหล่านั้นได้
       
       นอกจากกีฬาแล้ว กิจกรรมการเคลื่อนไหวร่างกายอื่นๆ คนพิการก็สามารถทำได้ดีเช่นกัน เช่นที่เมืองเซา เปาโล ประเทศบราซิล มีโรงเรียนแห่งหนึ่งเปิดสอนการเต้นบัลเลต์ให้แก่ผู้ที่มีความผิดปกติทางสายตา รวมถึงผู้พิการอื่นๆ โดยเชื่อว่าคนพิการก็สามารถเต้นบัลเลต์ได้เหมือนคนปกติและสามารถประสบความสำเร็จได้ อย่างเช่น มาริน่า กุยมาเรซ ที่ตาบอดมาตั้งแต่กำเนิดได้เคยเรียนบัลเลต์ที่นี่ตั้งแต่เด็ก จนปัจจุบันเธอได้กลายเป็นนักเต้นบัลเลต์มืออาชีพ ที่มีค่าตัวสูงถึง 400 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อการแสดง 1 ครั้ง
       
       แม้ว่าเราไม่สามารถจะเลือกได้ว่าเราจะเกิดมาเป็นอย่างไร เราอาจพิการตั้งแต่เกิด หรืออาจมาพิการในภายหลัง แต่อย่าให้เราใช้ร่างกายพิการนี้เป็นตัวตัดสินว่าชีวิตเราดำเนินต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ผู้เขียนเชื่อว่าผู้ที่พิการแต่กายแต่ใจไม่พิการจะสามารถประสบความสำเร็จและมีความสุขเหมือนกับคนร่างกายสมบูรณ์ทุกประการ ขอเพียงแค่เข้มแข็ง คิดดี มีจิตใจที่ดี ภาคภูมิใจในตนเอง ทำทุกสิ่งอย่างถูกต้องด้วยความพยายาม ผู้เขียนขอเป็นกำลังใจให้แก่ผู้พิการทุกท่านและผู้ใกล้ชิดกับเขาเหล่านั้นว่าอย่าท้อแท้หรือท้อถอย ขอแค่มีใจที่ไม่พิการก็จะสามารถใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้อย่างมีความสุขอย่างแน่นอน

ASTVผู้จัดการออนไลน์    24 เมษายน 2555