แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - science

หน้า: 1 ... 8 9 [10] 11 12 13
136




สายสัมพันธ์ ฉบับที่11

137
นี่เป็นความรู้ที่มีค่าจากพระไตรปิฎก
มีมานาน แต่การแพทย์ยังไม่ได้เอาความรู้นี้มาใช้ให้เป็นประโยชน์อย่างจริงจัง เรายึดติดกับความรู้ที่มาจากฝรั่งมากเกินไป ของดีที่มีมาจากบรรพบุรุษ เรากลับสนใจแค่น้อยนิด

138
เนื้อหาน่าสนใจมาก ถ้ามีการรวมแนวคิด และสิ่งที่ดีจากทั้งสองฟากของโลก คือตะวันตก และตะวันออก น่าจะเป็นศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ มีประโยชน์แก่มวลมนุษย์จริงๆ

139
คุณหมอด้านเวชศาสตร์อายุรวัฒน์ เผยเคล็ดลับสุขภาพดีที่ปฏิบัติกันได้ถ้วนหน้า เพียงจำกัดมื้ออาหารและเน้นกินโปรตีนเข้าไว้

* นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ

 ในยุคหนึ่งที่ฟิเดล คาสโตร จอมเผด็จการแห่งคิวบาขึ้นครองอำนาจเบ็ดเสร็จมีการหาเหตุให้คน “อดกิน” กันขึ้นมาจนท้องกิ่ว  โดยเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อราวปี 1990 ครับ

 ยุคนั้นเศรษฐกิจคิวบาตกสะเก็ดเหลือเกิน  รัฐบาลไม่ได้เพลิดเพลินกับนโยบายโกหกสีขาวกับเขาด้วย เลยแถลงว่าเป็นหน้าที่ของประชาชนที่จะช่วยเศรษฐกิจชาติได้ จึงออกกฎให้คนพากัน "จำกัด" การรับประทานอาหารกัน  โดยจัดวันให้รับประทานน้อย

  การอดนั้นจริงจังมากครับ...ว่ากันให้หายวาบไปเป็นมื้อเลยทีเดียว

 ปรากฏนโยบายที่ชวนถูกด่านี้ให้ผลลัพธ์ออกมาดีครับนั่นคือ ชาวคิวบา สุขภาพดีขึ้นเพราะเมื่อนักวิจัยสหรัฐฯดอดเข้าไปสำรวจหลังม่านเหล็กได้ก็พบว่า อัตราการเกิดโรคเบาหวาน ไขมันสูงและความดันต่างลดลงอย่างมีนัยสำคัญ  ผิดกับอเมริกันชนที่เรื่องกินล้าหลังกว่าประเทศเล็กๆมาก

สุขภาพจะดีถ้ามี “อด”

 จะว่าไปก็เกี่ยวกับ “ชนิดอาหาร” ด้วยเป็นหลักครับ  ดูอย่างคนไทยเราที่มีอิสระเต็มที่เช่นกันแต่ก็ไม่ประสบปัญหาโรคอ้วนมาก  ยกเว้นคนยุคนี้นะครับที่ได้รับอิทธิพลอาหารตะวันตก

 ที่ว่าชนิดอาหารไทยช่วยได้ก็เพราะมีดีตรงที่เป็นอาหารสุขภาพช่วยจำกัดแคลอรีไปในตัวครับ  ลองนึกดูอย่างรับประทานผักจิ้มน้ำพริกอย่างนี้  จะไปหาแคลอรีจากมันฝรั่งโชกน้ำมันที่ไหน  กินมื้อเดียวอิ่มกำลังดีด้วย

 หรืออีกทางหนึ่งซึ่งทำมานานนับพันปีแล้วคือการที่พระไม่ฉัน “วิกาลโภชนา” หรือบางรูปฉันเอกา  ฝรั่งเพิ่งมาแตกตื่นพบกันตอนนี้ว่าการกินให้ดีจริงๆในแง่ความเหมาะสมของเวลาแล้วก็คือการ “กินมื้อเดียว” เท่านั้นถ้าต้องการปล่อยให้กระเพาะกับลำไส้ว่างเพื่อสุขภาพจริง

 การกินเป็นช่วงเช่นนี้เรียกว่า “กินๆหยุดๆ” ครับ  ผู้ที่ศึกษาจริงจังแล้วเผยออกมาจนโลกฮือฮาก็คือ ดร.มาร์ค แม็ทสัน จากสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐอเมริกาได้ตีพิมพ์ผลการศึกษาที่ทำให้โลกต้อง “ยกเครื่อง” วิธีกินใหม่ว่าการกิน 3 มื้ออาจไม่ได้ดีเสมอไปกับสุขภาพ หากแต่ต้องเป็นการ “อด” ต่างหากที่จะดีแท้

 เอาเข้าจริงๆก็คือการกินไปอดไปนั่นเอง  ซึ่งผู้รู้ท่านว่า จะมีคุณูปการต่อสุขภาพถึง 3 ทางหลักได้แก่

 1) ลดเพลิงแก่ที่โหมกระหน่ำร่างกาย
 2) เพิ่มความไวต่ออินสุลินและกระตุ้นไมโตคอนเดรีย
 3) เสริมเกราะให้ร่างกายรับเครียดได้ดีขึ้น ต้านโรคและต้านแก่ได้

 แต่หากว่าชีวิตยังไม่อาจเดินทางอิ่มๆอดๆได้อย่างราบรื่นนัก  ท่านอาจใช้เทคนิคที่ให้ผลคล้ายการกินแล้วหยุดได้ครับ  ซึ่งจะไปกระตุ้นยีนอายุยืน(SIRT-1)และกระตุ้นการต้านสนิมแก่ได้ทัดเทียมกัน(PGC-1alpha) เป็นเทคนิคที่แนะนำกันมาแล้วว่าให้ผลคล้ายกัน  ดังนี้ครับ
 - ลองจัดวัน “กินเอกา” หรือรับประทานมื้อเดียวดูเป็นระยะเช่น 1 ครั้งในสัปดาห์
 - เลือกชนิดอาหาร  โดยเน้นที่ “โปรตีน” ย่อยง่ายอย่างเวย์โปรตีน(มื้อย่อยครั้งละ 20-30 กรัม)  ส่วนผักผลไม้ขอให้เป็นผักเขียวและผลไม้เป็นกลุ่มเบอรี่ บ้านเรามีลูกหม่อน ลูกหว้าหรือว่าจะเป็นพวกองุ่นก็ได้ครับ(ครั้งละ 250 ซีซี.ราวหนึ่งแก้ว)
 - วันที่ออกกำลังกายขอให้เลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลมาก  หลังออกกำลังถ้าเป็นเวย์โปรตีนได้จะดี

 วิธีที่ว่านี้ท่านสามารถดัดแปลงให้สะดวกกับชีวิตได้ครับ  โดยเฉพาะการรับประทานเวย์โปรตีนนั้นอาจเปลี่ยนเป็นโยเกิร์ต ชีส นมวัว ถั่วลิสง เนื้ออกไก่ เนื้อปลาหรือว่าเต้าหู้ก็ยังไหว ส่วนผักเขียวก็ให้เป็นคะน้าและบร็อคโคลี่ที่มีซูเปอร์แอนตี้ออกซิแดนท์กลุ่มซัลโฟราเฟนกับอินโดลอยู่มาก
ก็น่าสนใจดีนะครับ
 
 การ “อดกิน” ที่ดีต่อทั้งสุขภาพและเศรษฐกิจของประเทศด้วย  แต่ถ้าจะให้ราบรื่นดียิ่งขึ้นก็น่าจะมีการ “อดใจ” ที่ทำให้ไม่หลงไปกับสิ่งเย้ายวนทั้งหลายที่มาเป็นแบบทดสอบชีวิต

  คิดดี ทำดี พูดดีแล้วก็จะอดได้เองครับ

โดย : นพ.กฤษดา ศิรามพุช
กรุงเทพธุรกจิ  22 กันยายน 2555

140
สำหรับแม่ที่อยากเลี้ยงลูกด้วยนมตนเอง แล้วมีปัญหานมคัด น้ำนมไม่ไหล ศาสตร์การนวดนม ช่วยปรับสมดุลร่างกายให้แม่ลูกอ่อนได้

คุณแม่หลายคนที่ประสบกับปัญหาน้ำนมไม่ไหล เป็นความทุกข์อันยิ่งใหญ่ บางคนไม่มีน้ำนมไหลออกจากอก ทั้งๆ ที่มีความตั้งใจว่าจะเลี้ยงลูกด้วยนมตนเอง จำต้องหันไปพึ่งพานมผงอย่างน่าเสียดาย  คุณแม่รายหนึ่งไม่ขอเปิดเผยนาม เล่าว่า คลอดลูกคนแรก ไม่ว่าลูกจะดูดนมยังไง น้ำนมก็ไม่ยอมไหล ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ไปปรึกษาคุณหมอ ก็บอกว่าให้ลูกดูดไปเรื่อยๆ เดี๋ยวน้ำนมก็จะมาเอง

"ตอนนั้นทรมานมากๆ พอดีมีเพื่อนแนะนำว่า เขาเคยใช้บริการของพี่พรนวดนม ได้ผล นวดปุ๊บ น้ำนมไหลปั๊บ พุ่งกระฉูดเลยล่ะ เพื่อนบอกว่าพี่พรเขาดังมากในเว็บพันทิป ก็เลยลองโทรนัดดู...”

เธอเล่าว่า หมอนวดขับรถมาถึงบ้าน บริการแบบเดลิเวอร์รี่ เตรียมอุปกรณ์มาพร้อม ทั้งหม้อหุงข้าวไฟฟ้าสำหรับนึ่งลูกประคบ ผ้ารอง จัดมาเต็มตะกร้า ผู้รับบริการเตรียมแค่ปลั๊กไฟไว้ให้เสียบหม้อหุงข้าวอุ่นลูกประคบเท่านั้น

“เราไม่ต้องเตรียมอะไรเลย แค่มีปลั๊กให้พี่เขาเสียบไฟ นวดประมาณ 2-3 ชั่วโมง น้ำนมก็พุ่งกระฉูดเป็นฝักบัวเลยล่ะ ตื่นเต้นมาก เพิ่งรู้นะว่าน้ำนมของแม่ไม่ได้ไหลเหมือนน้ำก๊อกอย่างที่เราคิด ข้างในมีท่อน้ำนมเยอะมากเหมือนกับฝักบัวที่เราอาบน้ำ นับแต่นั้นลูกก็มีนมกินสบายเลย ก่อนไปทำงานเราปั๊มเก็บใส่ตู้เย็นเก็บไว้ในสต๊อกเพียบ ”

คุณแม่มือหนึ่งยังบอกอีกว่า ตอนนี้มีลูกคนที่สองแล้ว  เวลาที่รู้สึกเจ็บหน้าอก อึดอัด เหมือนนมจะคัด ปั๊มไม่ค่อยออก ต้องโทรศัพท์เรียกใช้บริการ  'พรนวดนม' ให้มาช่วยนวดเปิดท่อน้ำนม เพื่อเปิดทางให้สะดวก ลูกดูดสบายไม่ต้องออกแรงมาก

ส่วนคุณแม่ Working Women อีกรายคลอดลูกชายเองตามธรรมชาติที่โรงพยาบาลชื่อดังแห่งหนึ่ง คุณหมอกำชับว่า ออกจากโรงพยาบาลแล้ว 6 สัปดาห์ อย่าเพิ่ง  ‘อยู่ไฟ’ อย่าเพิ่งทำอะไรทั้งนั้นอยากให้มดลูกเข้าที่เองตามธรรมชาติตามตำราแพทย์แผนปัจจุบัน

“จนกระทั่ง 6 สัปดาห์ผ่านไป รู้สึกว่าน้ำนมไม่ค่อยมีเลย ถึงมีก็ไม่เยอะเท่าที่ควร น้องดอมก็ดูตัวเล็กมาก ไม่ค่อยมีเนื้อ มีหนัง เหมือนเด็กที่มีแค่หนังหุ้มกระดูกรู้สึกกังวลมาก พอปั๊มนมออกมาก็จะเป็นน้ำใสๆ เหมือนน้ำผสมนม ต่อมาก็เริ่มเจ็บนมจี๊ดๆ จนเจ็บระบมไปหมดเลย พอดีเพื่อนเคยใช้บริการพี่พรนวดนมมาก่อน แนะนำก็เลยให้พี่พรมาดู ปรากฏว่าท่อน้ำนมของเรามีไขมันอุดตันเยอะ  พี่พรก็เลยนวดไล่ไขมันออก  แล้วน้ำนมก็ไหลสะดวกขึ้น ทุกวันนี้ปั๊มนมเก็บไว้ทุก 2 ชั่วโมง ได้น้ำนมประมาณ 4 ออนซ์ ถือว่าเป็นปริมาณที่ค่อนข้างโอเค”

น้องดอม ลูกชายวัย 3 เดือนของเธอมีลำตัวยาวถึง 55 เซนติเมตร ทว่าตัวเล็กผอมแกรนกว่าเด็กที่ดื่มนมผง เนื่องจากตอนแรกที่ลูกได้ดื่มนมแม่ มีแต่น้ำนมใสๆ ลูกคงไม่ค่อยอิ่มท้อง เพราะน้ำนมที่มีคุณภาพข้นๆนั้นเดิมไม่สามารถไหลผ่านท่อที่อุดตันขึ้นมาได้ แถมในนมใสๆ นั้นยังอุดมไปด้วยแลคโตส ทำให้เด็กท้องอืด มีลมในกระเพาะมาก ไม่สบายตัวอีกด้วย พอน้องดอมดื่มนมที่มีคุณภาพ ร่างกายก็เริ่มมีเนื้อมีหนัง อารมณ์ดีขึ้น ขับถ่ายดีมีกากใยเพิ่มขึ้น

“เมื่อมานวดครั้งที่สอง เริ่มดีขึ้น แต่น้ำนมก็ยังไม่พอ เพราะลูกกินเยอะมาก สต๊อกมีอยู่ 60 ออนซ์ ภายในวันสองวันเหลืออยู่ 17 ออนซ์ ช็อคไปเลย หลังจากนั้นเริ่มปั๊มเยอะขึ้น ช่วงนี้ทุกสองชั่วโมงต้องปั๊มนม เวลาขับรถไปทำงานก็ต้องจอดรถปั๊มเลย จะมีถุงแช่แข็ง เก็บไว้ในที่เก็บน้ำแข็ง พอตอนเย็นๆ ก็เอามาแช่ในช่องแช่แข็ง ถ้าเราไปทำงาน ที่บ้านก็เอามาละลายให้เด็กกิน คิดว่าคุณค่าคงไม่ลดลง ซึ่งมันก็น่าจะดีกว่าให้ลูกดูดนมผสม ”

    ‘พร...นวดนม’

ภูมิปัญญาดั้งเดิมของชาวบ้านแทบทุกภาคจะมีหมอตำแยทำคลอดตามบ้าน เพื่อให้ผู้หญิงหลังคลอดได้อยู่ไฟ แต่ทุกวันนี้ภูมิปัญญาเหล่านี้ค่อยๆ หายไป แต่ยังมีวิชาที่หลงเหลือไว้ คือการนวดนม ภูมิปัญญาโบราณอย่างหนึ่ง

ศรุตยาพร ศิริคุณ วัย 40 กะรัต หรือ ‘พรนวดนม’ ชื่อที่คนในวงการรู้จักเป็นอย่างดี  เล่าว่า อันดับแรกเลย ต้องตรวจอาการก่อน จับตามเส้นน้ำนม ก็จะรู้ว่า มีไขมันอุดตันตรงไหน หากนมแข็งเป็นไต ก็ต้องใช้ลูกประคบอุ่นๆ ค่อยๆ ประคบ แล้วนวดไล่ตามเส้นให้ไขมันที่อุดตันที่หัวนม ลานนม ท่อส่งน้ำนมหลุดออกมาจนหมด เปิดทางสะดวกให้กับน้ำนม

“ถ้ามีไขมันอุดตันเยอะ เวลาน้องดูดนม ก็จะใช้แรงเยอะ บางทีแรงดูดไม่พอ อีกด้านหนึ่งพอนมถูกดูด ก็จะกระตุ้นให้ต่อมน้ำนมสร้างน้ำนม แต่ไหลออกมาไม่ได้ ก็จะเกิดการอักเสบ เป็นหนอง เพราะระบายออกมาไม่ได้ คุณแม่ก็จะไข้ขึ้น เต้าอักเสบ ต้องไปให้คุณหมอที่โรงพยาบาลเจาะ ทานยาฆ่าเชื้อ ลูกก็จะดื่มนมไม่ได้ พออาการทุเลาแล้ว ก็เป็นหน้าที่เรา ค่อยๆ นวดประคบไล่ไขมัน ถ้าเจอปัญหานี้คงต้องนวดหลายๆ ครั้ง อย่างคุณแม่รายหนึ่ง มาครั้งแรกนมตัน เต้าเจ็บแข็ง น้ำนมไม่ออก  ต้องค่อยๆ นวดไล่ ปัญหานี้อาจจะนวดหลายครั้ง ครั้งแรกเปิดท่อน้ำนม ตอนหลังมานวดกระตุ้นให้น้ำนมไหลง่ายและคล่องขึ้น ลูกของเธอดูดได้สบายขึ้น ปั๊มได้เร็วขึ้น ใช้เวลาปั๊มน้อยลง”   

ด้านคุณแม่ ยอมรับว่า นวดนมครั้งแรก เจ็บมาก เพราะนมคัดอยู่แล้ว เจ็บสุดๆ จนน้ำตาไหล  ต้องมองหน้าลูก เพื่อเป็นกำลังใจ หลังจากนั้นนวดครั้งที่สอง รู้สึกดีขึ้นไม่ค่อยเจ็บเหมือนครั้งแรก พอนวดแล้วน้ำนมไหลดีขึ้นก็รู้สึกดีใจมาก

หมอนวดนมเล่าต่อว่า สมัยก่อนหมอตำแยพอทำคลอดเสร็จ ก็จะเปิดท่อน้ำนมให้คุณแม่ ลูกสามารถดูดนมได้เลย

สมัยนี้คนนิยมไปคลอดที่โรงพยาบาล บางครั้งเด็กคลอดแล้ว คุณหมอก็ให้นมผสมดูดไปก่อน ต่อมน้ำนมก็เลยไม่โดนกระตุ้น เพราะโดยธรรมชาติแล้ว พอเด็กออกจากท้องแม่ ต่อมน้ำนมก็จะโดนกระตุ้นทันที บางคนยังไม่ทันคลอด น้ำนมก็พุ่งกระฉูด เพราะการคลอดตามธรรมชาติหรือผ่าตัดไม่มีผลต่อการไหลและการผลิตของน้ำนม

“เรื่องของน้ำนม ไม่เกี่ยวกับเต้าเล็กหรือเต้าใหญ่ เพราะตามธรรมชาติ แม่ทุกคนจะต้องมีน้ำนมให้ลูกดื่มอย่างเพียงพอ แต่ศาสตร์นวดนมปัจจุบันถูกลืมไปแล้ว ยุคสมัยมันขาดช่วงไป มีช่วงหนึ่งคนไม่ค่อยเห็นความสำคัญของนมแม่ คนไปคลอดที่โรงพยาบาล พอลูกดูดนม น้ำนมไม่ออกก็ให้ดูดนมผสมไปเลย ต่อมน้ำนมในตัวแม่ก็เลยเลิกผลิต เพราะไม่มีการกระตุ้น”

พรนวดนม  ทำหน้าที่นวดนมเดลิเวอร์รี่มาตลอด 10 ปี โดยมีความรู้พื้นฐานจากคุณยาย ซึ่งเป็นหมอตำแยจังหวัดพะเยา ตอนหลังพรไปศึกษาเรื่องอยู่ไฟเพิ่มเติม เผื่อนำมาใช้กับตัวเอง และคนใกล้ตัว

“พอนวดให้คนใกล้ตัว ก็ขยายวงกว้างไปเรื่อยๆ บอกกันปากต่อปาก จนตอนนี้นวดนมวันละ  2-3 ราย พอลูกค้าโทรศัพท์มานัด เราก็ขับรถไปหา  ไปให้บริการถึงบ้าน เพราะแม่ลูกอ่อนเขามาหาเราไม่ได้ มันลำบาก เราเข้าใจ บางทีมีคนต่างจังหวัดมารับบริการถึงที่ ก็ไปที่บ้านญาติเขาบ้าง ไปเปิดโรงแรมนวดกันก็มี ไม่เคยนับเลยว่านวดมาแล้วกี่ราย ถ้าจำไม่ผิดน่าจะนวดมาแล้วเป็นพันๆเต้า ”

ปัจจุบันพรมอบวิชานวดนมให้กับทายาททั้งสอง คือลูกสาววัย 19 ปี และ 15 ปี หวังว่าจะให้เป็นผู้สืบทอดศาสตร์นี้ต่อไป เธอเล่าขั้นตอนการรักษาอันดับแรก ต้องจับเต้าตรวจดูว่ามีปัญหาตรงไหน บางรายเต้าอักเสบ ไข้ขึ้น ต้องระวัง จากนั้นค่อยๆไล่นวดตามท่อนม

"หากรู้ตำแหน่ง แก้ไขถูกจุด เปิดทางให้น้ำนมไหลสะดวก ถือว่าภาระกิจประสบความสำเร็จ แต่ถ้าคุณแม่เป็นหนองอักเสบ ต้องระวังเป็นพิเศษ ควรนวดวันเว้นวัน ประกอบกับการไปรักษาจากแพทย์แผนปัจจุบัน เช่น ดูดหนอง ทานยาฆ่าเชื้อ หากปล่อยให้ท่อน้ำนมอุดตันไปนานๆ น้ำนมจะหยุดผลิตโดยอัตโนมัติ"  พรนวดนม ว่าอย่างนั้น

ศาสตร์การนวดนม จึงไม่ใช่ว่าใครๆ ก็นวดได้ ต้องมีเคล็ดลับในการนวด ซึ่งเป็นศาสตร์โบราณ

    เลี้ยงลูกด้วยนมแม่

เมื่อ 4 ปีที่แล้ว โครงการสายใยรักแห่งครอบครัว เป็นโครงการพระราชดำริของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามกุฎราชกุมาร และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ ที่มีพระประสงค์ให้ประชาชนมีครอบครัวที่อบอุ่น โดยเริ่มจากสุขภาพอนามัยแม่ลูก ด้วยการเสริมสร้างความรักและความผูกพันในครอบครัวให้แม่มีเวลาเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ดังคำขวัญพระราชทาน  “นมแม่คือหยดแรกของสายใยรักแห่งครอบครัว” ได้เก็บสถิติการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ พบว่า มีปริมาณมากขึ้นประมาณ 2-3 เปอร์เซ็นต์ ปี 2554 มีการเลี้ยงด้วยนมแม่เพิ่มขึ้น 19 เปอร์เซ็นต์

ห็นได้ว่า มีการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในอำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงใหม่ จ.ขอนแก่น และจ.มหาสารคาม

ปัจจุบันจึงมีการสนับสนุนให้แม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพราะเด็กจะได้ทั้งความอบอุ่นและภูมิต้านทานโรค พญ.ศิวาพร สวัสดิวร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเด็ก กล่าวว่า ปัจจุบันคนไทยตื่นตัวมากขึ้น เห็นความสำคัญในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ในช่วง 6 เดือนแรกในการเลี้ยงลูกสำคัญมาก หลังจากนั้นอีก 2 ปี ยังคงให้ลูกดื่มนมแม่ผสมกับอาหารเสริม เช่น กล้วยบด

"ตอนนี้เรียกได้ว่ากระแสรณรงค์ดื่มนมแม่ ไม่ได้มีแค่ในบ้านเรา ทั่วโลกก็มีการตื่นตัว ยิ่งประเทศสหรัฐอเมริกาสมัยก่อนส่งเสริมให้ดื่มนมกระป๋อง นมแพะ นมวัว ยังไงก็สู้นมแม่ไม่ได้ เพราะเด็กบางคนแพ้โปรตีนจากนมวัว นมแพะ ยังไงก็ถือว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม เพราะลำไส้เด็กจะอ่อน และบอบบางมาก ในขณะที่เด็ก 100 เปอร์เซ็นต์ดื่มนมแม่แล้วแข็งแรง ไม่เป็นหวัด น้ำมูกไหล เป็นผื่นหรือท้องเสีย"

ส่วนแพทย์หญิงยุพยงค์ แห่งเชาวนิช เลขาธิการศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย แสดงความเป็นห่วงว่า แม่ในปัจจุบันนี้ยังมีความเข้าใจผิดคิดว่า ตนเองไม่มีนมเพียงพอให้ลูกดื่ม กังวลว่าลูกจะอิ่มจริงหรือเปล่า ยังไม่เข้าใจเทคนิคการเลี้ยงลูก เช่น อุ้มไม่ถูกต้อง เวลาให้นมลูก จึงมีปัญหาลูกดูดนมไม่เต็มที่

"คุณแม่มือใหม่บางคนขาดทักษะ ยอมรับว่าคนโบราณเวลามีลูกจะมีคนช่วยเลี้ยง มีทั้งแม่ ยาย และย่า ล้วนแต่เป็นผู้มีประสบการณ์ ปัจจุบันสังคมไทยเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น เมื่อคลอดลูกออกมาแล้ว บางคนก็ไม่ได้เลี้ยงเอง เพราะต้องทำงาน ได้อยู่กับลูกเต็มที่ 1-2 เดือน แล้วก็ส่งไปให้พ่อแม่ที่ต่างจังหวัดช่วยเลี้ยง เป็นห่วงตรงนี้มากกว่า ส่วนเรื่องนมแม่ไม่ต้องกลัวว่าจะมีไม่พอเลี้ยงลูก ธรรมชาติให้มา สำหรับคนที่คลอดลูกที่โรงพยาบาล ก็ต้องทำความเข้าใจในการเลี้ยงลูก "

แพทย์หญิงยุพยงค์ ทิ้งท้ายว่าคุณแม่ทั้งหลายสามารถเข้าไปหาข้อมูลได้ในเวปไซต์ สายใยรักนมแม่คาเฟ่ จะมีคุณแม่อาสามาช่วยกันตอบคำถามทุกปัญหา

"ตั้งแต่พระองค์หญิงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ทำให้ได้รับความสนใจมากขึ้น  ตอนนี้โครงการ ตำบลนมแม่ ขยายไป 100 ตำบลแล้ว ส่วนเรื่องที่ยังเป็นห่วงอยู่ก็คือ คุณแม่ที่ทำงาน แล้วทิ้งลูกไว้ให้ปู่ย่าตายายเลี้ยงที่ต่างจังหวัด จะไม่ค่อยมีความผูกพันระหว่างแม่ลูก ทำให้เกิดปัญหาสังคมตามมา อย่างเช่น ปัญหาวัยรุ่นตั้งครรภ์เมื่อไม่พร้อม ก็จะมีน้า อา หรือญาติๆ มาฝากท้องให้ นั่นแสดงว่า เด็กไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ ทางแก้ไขน่าจะเป็นการสร้างงานในต่างจังหวัดให้มากขึ้น"

โดย : พิมพ์พัดชา กาคำ
กรุงเทพธุรกิจ  20 กันยายน 2555

141
ห้องพักผ่อนรวม (Common Room) / อาหรับ มาจากไหน?
« เมื่อ: 22 กันยายน 2012, 21:20:11 »
คัดตัดตอนจาก คำนำบรรณาธิการแปล ทรงยศ แววหงษ์ แปลจาก History of the Arabs : Philip K. Hitti

ศาสตราจารย์ฟิลิป เค. ฮิตติ (Philip K. Hitti) เป็นชาวเลบานอน เกิด 1886 แต่ไปใช้ชีวิตและทำงานวิชาการในสหรัฐนับตั้งแต่ปี 1913 จนสิ้นชีวิตในปี 1978 เริ่มงานสอนและวิจัยที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย แล้วต่อมาย้ายไปสังกัดอยู่กับมหาวิทยาลัยปรินสตัน จนเกษียณหน้าที่การงานในปี 1954 ขณะดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิด้านงานเขียนและการประพันธ์ภาษาเซมิติก อีกทั้งยังเป็นประธานของภาควิชาภาษาตะวันออกของมหาวิทยาลัยปรินสตันด้วย หนังสือเรื่อง History of the Arabs ของฮิตติเล่มนี้ อาจถือได้ว่าเป็นงานชิ้นสำคัญของท่านเท่าๆ กับเป็นชิ้นสำคัญของงานศึกษาด้านอาหรับเลยทีเดียว

อาหรับ คือชื่อของหนังสือในพากย์ภาษาไทยที่ผมดัดแปลงมาจากชื่อเดิมของหนังสือ History of the Arabs ที่ศาสตราจารย์ฟิลิป เค. ฮิตติ เขียนและตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1937 ในคราวนั้นท่านได้เขียนเชิงปรารภเอาไว้ในคำนำว่า "เป็นข้อเท็จจริงที่สาธารณชนแห่งอเมริกา, แม้กระทั่งในหมู่ผู้ที่มีการศึกษาเกือบทั้งหมดขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอาหรับและมุสลิม" เป็นระยะเวลาถึง 4 ทศวรรษนับตั้งแต่บรรดาชาติมหาอำนาจทางตะวันตกได้เข้าไปแสวงหาผลประโยชน์จากน้ำมันในตะวันออกกลาง อันเป็นที่มาของความยุ่งเหยิงและความขัดแย้งทางการเมืองในภูมิภาคนั้นจวบกระทั่งถึงทุกวันนี้ คำกล่าวของศาสตราจารย์ฮิตติข้างต้นก็ยังคงใช้ได้แม้ในยุคสมัยปัจจุบัน ความ "ไม่รู้" ในเรื่องของอาหรับและมุสลิมของเราน่าจะแย่กว่าที่ศาสตราจารย์ฮิตติปรารภถึงชาวอเมริกันในคราวนั้นมากนัก ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมชัดเจนอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อคราวที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ได้ตัดสินใจตามแห่อเมริกากับอังกฤษไปอิรักเพื่อค้นหาอาวุธทำลายล้างอานุภาพร้ายแรง โดยการส่งทหารไทยเข้าร่วมปฏิบัติการเมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2546 และอีกรูปธรรมหนึ่งที่เห็นได้ชัดแจ้งก็คือความยุ่งเหยิงที่กำลังเกิดอยู่ใน "สามจังหวัด" ชายแดนภาคใต้ขณะนี้ ในปัจจุบันเรามีนักธุรกิจ พ่อค้าวาณิช ที่มุ่งไปทำการค้ากับประเทศที่พูดภาษาอาหรับจำนวนหนึ่ง เราเคยมีแรงงานช่างฝีมือที่ไปขายแรงงานใน "ตะวันออกกลาง" อยู่ระยะหนึ่ง เรามีสาธุชนที่เดินทางไปจาริกแสวงบุญเป็นรายปี มีนักท่องเที่ยวกลุ่มเล็กๆ ที่เดินทางไปเยือนในกลุ่มประเทศเหล่านี้ และยังมีนักวิชาการอีกจำนวนน้อยนิดที่เพิ่งเริ่มต้นศึกษาด้านประวัติศาสตร์และศิลปะของอารยธรรมแห่งภูมิภาคนี้ แต่เราก็คงจะพูดได้เต็มปากว่าเรายังขาดแคลนความรู้ที่เพียงพอเกี่ยวกับโลกอาหรับ ดังสะท้อนให้เห็นเป็นรูปธรรมในรูปของหนังสือจำนวนน้อยเล่มที่เขียนเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของที่นี่

อาหรับมาจากไหน?

หากถอยเวลากลับไปสู่โลกโบราณอีกครั้งหนึ่งเราก็จะพบว่าอารยธรรมโบราณของโลกซีกตะวันตก(ของเรา)นั้นเริ่มที่อารยธรรมของลุ่มน้ำขนาดใหญ่สองแห่งคือบริเวณที่เรียกกันว่าเมโสโปเตเมีย ซึ่งหมายถึงพื้นที่ของแม่น้ำ 2 สายอันได้แก่ ไทกริสและยูเฟรตีส กับอีกลุ่มน้ำหนึ่งที่อยู่ใต้ลงไปคือที่ลุ่มแม่น้ำไนล์ ทั้งสองอารยธรรมนี้ก่อให้เกิดชุมชนเมืองและอาณาจักรก่อให้เกิดภาษาและการจดบันทึกขีดเขียนเกิดระบบการค้าศาสนาและสงคราม ทั้งสองอารยธรรมปฏิสนธิต่อกันสร้างแบบแผนและวิถีชีวิตทางสังคมครอบคลุมพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลอาณาจักรต่างๆเกิดขึ้นและเสื่อมถอยสลายหายไปในแง่องค์กรของรัฐ หากแต่ตะกอนแห่งอารยธรรมทั้งของสุเมเรีย บาบีโลเนีย อัสสิเรีย แล้วตามมาด้วยเปอร์เซีย กรีก และโรมันยังดำเนินต่อไป แล้วตกทอดไปสู่ชนเผ่าที่ร่อนเร่ ล้าหลังในพื้นที่อันทุรกันดารที่เรียกว่าอาระเบีย หรือดินแดนของชาวอาหรับ ในแง่ของชาติพันธุ์แล้ว ชาวอาหรับคือพวกเซไมต์ที่มีชีวิตร่อนเร่แบบพวกเลี้ยง ปศุสัตว์ขนาดเล็ก หรือเกษตรกรรมที่ล้าหลังเพราะความแล้งเข็ญของพื้นที่ ภาพใหญ่ของพื้นที่นี้เหมือนกับ "เกาะ" เพราะถูกกระหนาบด้วยทะเลกับทิวเขาอันสูงชันในขณะที่ใจกลางของพื้นที่นั้นเป็นทะเลทรายที่แห้งแล้ง ชนเผ่าเซไมต์จึงอยู่กันอย่างกระจัดกระจายตามชุมชนปศุสัตว์และชุมชนเกษตรกรรมขนาดเล็กของตัวเองอยู่ใน "เกาะ" นี้อย่างยาวนาน

ศาสนาอิสลาม ภาษาอาหรับ

อาจกล่าวโดยรวมๆ ว่าระยะเวลาที่ยาวนานนี้ดำเนินจวบจนกระทั่งเกิดศาสนาใหม่คือศาสนาอิสลามซึ่งเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 6 ตอนปลายโดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองกสิกรรมขนาดเล็ก คือมะดีนะฮ์และชุมชนการค้าขนาดใหญ่คือมักกะฮ์ ศาสนาอิสลามกลายมาเป็นพลังที่เกาะเกี่ยวชาวเซไมต์ในอาระเบียที่กระจัดกระจายให้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันได้เป็นครั้งแรกโดยมีภาษาอาหรับซึ่งแตกต่างไปจากภาษาต่างๆที่ใช้กันในโลก เพราะมีสถานะเป็นภาษาในทางศาสนาด้วย ภาษานี้จึงกลายเป็นภาษาอันศักดิ์สิทธิ์และใช้ทับซ้อนตลอดจนควบคู่กับภาษาท้องถิ่นแล้วได้กลายเป็นอีกพลังหนึ่งที่สำคัญซึ่งส่งเสริมพลังทางศาสนาจนกระทั่งกลายเป็นหนึ่งเดียวกันผนวกผสานชุมชนปศุสัตว์ ชุมชนเกษตรกรรมและชุมชนการค้าเข้าด้วยกัน ก่อตัวขึ้นเป็นเมืองเป็นรัฐและอาณาจักรในท้ายสุด ด้วยพัฒนาการอันซับซ้อน ศูนย์กลางของรัฐศาสนาใหม่นี้ได้ประกาศแยกตัวออกจากเยรูซาเล็มนครศักดิ์สิทธิ์โบราณเมื่อมีการกำหนดทิศของเมืองศักดิ์สิทธิ์ให้ย้ายมาอยู่ที่มะดีนะฮ์และมักกะฮ์แทนที่เยรูซาเล็มดังที่เคยทำมาในอดีตแต่ต่อมาอำนาจทางการเมืองของรัฐศาสนานี้ได้ย้ายศูนย์กลางจากมักกะฮ์และมะดีนะฮ์ไปอยู่ที่ดามัสกัสของซีเรียแล้วจึงแตกแขนงออกไปยังนครแบกแดดของอิรัก(ปัจจุบัน) การช่วงชิงทางการเมืองในระยะเวลาต่อมาได้นำไปสู่การเกิดศูนย์กลางทางการเมืองอีกแห่งหนึ่งที่คอร์โดบาในสเปน

ความเป็น"แขก"

ศูนย์กลางของอำนาจรัฐแบบศาสนาทั้งหมดที่กล่าวถึงมานี้ได้ผนวกผสานขุมแห่งปัญญาที่หลากหลายทั้งกรีก โรมัน เปอร์เซียและไบซันไทน์ ก่อให้เกิดเป็นศิลปะวิทยาการที่เรืองรองที่สุดในโลกสมัยกลาง อันจะได้ส่งทอดกลับไปยังยุโรปผ่านสเปนผ่านอิตาลีทางตอนใต้และเมืองการค้าชายฝั่งทะเลของอิตาลีเข้าสู่ใจกลางของยุโรปต่อไป ในอีกด้านหนึ่งก็แผ่ขยายเข้าสู่เอเชียกลางจนมาถึงดินแดนอนุทวีปอินเดียในที่สุด ด้วยความซับซ้อนของพัฒนาการอันยาวนานของอารยธรรมอาหรับที่กล่าวถึงข้างต้น จึงเป็นเหตุให้เกิดภาพทับซ้อนของความเป็น "แขก" อาหรับ เปอร์เซีย มัวร์ ซะระเซ็น เติร์กและอิสลาม-มุสลิมในสายตาของชาวสยามแบบเราๆ ซึ่งก็เป็นเช่นเดียวกันกับสายตาของคนจำนวนไม่น้อยในโลก อีกทั้งมีไม่น้อยเลยที่สิ่งเหล่านี้ได้ก่อให้เกิดทั้งความชื่นชมและอคติที่ส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน

20 ก.ย. 2555
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์  ที่มา มติชนรายวัน

142
 การใช้สมุนไพรเป็นยาบำบัดโรคนั้นอาจใช้ ในรูปยาสมุนไพรเดี่ยวๆ หรือใช้ในรูปตำรับ ยาสมุนไพร ปัจจุบันตำรับยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณที่กระทรวงสาธารณสุขอนุญาตให้ใช้รักษาโรคได้มีทั้งหมด 28 ขนาน เช่น

          ยาจันทน์ลีลา ใช้แก้ไข้ แก้ตัวร้อน
          ยามหานิลแท่งทอง ใช้แก้ไข้ แก้หัด อีสุกอีใส
          ยาหอมเทพพิจิตร แก้ลม บำรุงหัวใจ
          ยาเหลืองปิดสมุทร แก้ท้องเสีย
          ยาประสะมะแว้ง แก้ไอ ขับเสมหะ
          ยาตรีหอม แก้ท้องผูกในเด็ก ระบายพิษไข้

สมุนไพรที่นิยมใช้เดี่ยวๆ รักษาอาการของโรคที่พบบ่อยๆ ได้แก่

          สมุนไพรแก้ไข้ ฟ้าทะลายโจร บอระเพ็ด
          สมุนไพรแก้ท้องเสีย กล้วยน้ำว้า ทับทิม ฝรั่งดิบ
          สมุนไพรแก้ไอ มะแว้ง ขิง มะนาว
          สมุนไพรแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขมิ้นชัน แห้วหมู กระชาย
          สมุนไพรช่วยให้นอนหลับ ขี้เหล็ก ดอกบัวหลวง หัวหอมใหญ่
          สมุนไพรแก้เชื้อรา กระเทียม ข่า ชุมเห็ดเทศ
          สมุนไพรแก้เริม เสลดพังพอนตัวเมียและตัวผู้

สูตรสมุนไพรบำรุงผิวหน้า

          1.ว่านหางจระเข้ : บำรุงผิว ป้องกันฝ้า ลบรอยจุด      ด่างดำ รักษาสิว
          2.แตงกวา : สมานผิว ลบรอยเหี่ยวย่น
          3.มะเขือเทศ : สมานผิว ลดรอยเหี่ยวย่น จุดด่างดำ
          4.ขมิ้นสด : บำรุงผิวหน้าผุดผ่องสดใสอ่อนวัย  และช่วยให้สิวยุบเร็ว
          5.กล้วยน้ำว้าสุก : บำรุงผิวนุ่มเนียนอ่อนวัย
          6.หัวไชเท้า : ช่วยลดรอยฝ้าและกระให้จางหาย

สมุนไพรที่มีสารต้านเซลล์มะเร็ง

          มะกรูด ผักแขยง ขึ้นฉ่าย บัวบก ผักชีฝรั่ง กระชาย   ข่าใหญ่ มันเทศ ใบมะม่วง มะกอก เบญจมาศ แขนงกะหล่ำ แตงกวา พริกไทย ดีปลี โหระพา กะเพรา ใบตะไคร้ ถั่ว ผักแว่น ผักขวง เพกา ช้าพลู (ชะพลู) ลูกผักชี เร่ว เหงือกปลาหมอ ขมิ้นอ้อย หัวหอมแดง หอมหัวใหญ่ กระเทียม ฯลฯ

สมุนไพรที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ (วิตามินเอ ซี อี)

          วิตามินเอสูง ได้แก่ ใบยอ ใบย่านาง ตำลึง ผักกูด มะระ กระสัง ผักแพว ผักชีลาว ผักแว่น ผักบุ้ง เหลียงกระเจี๊ยบแดง แมงลัก ชะอม พริกชี้ฟ้าแดง แพงพวย ขี้เหล็ก
          วิตามินซีสูง ได้แก่ มะขามป้อม ฝรั่ง มะปราง ขนุน ละมุด มะละกอ มะกอก ส้ม มะขาม ลูกหว้า พุทรา ฯลฯ
          วิตามินอีสูง ได้แก่ พวกธัญพืชต่างๆ เช่น งาดำ ข้าวซ้อมมือ จมูกข้าว ข้าวโพด ฯลฯ
          เบตาแคโรทีนสูง ได้แก่  แคร์รอต ฟักทอง แค กะเพรา แพชั่นฟรุต ขี้เหล็ก ผักเชียงดา ยอดฟักข้าว ผักแซ่ว ฯลฯ

สมุนไพรไทยและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติที่แสดงฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็ง

          พืชสมุนไพร บวบขม จำปีป่า ปลาไหลเผือก ทองพันชั่ง เจตมูลเพลิงแดง ราชดัด ฝาง แสมสาร ติงตัง ขมิ้นต้น  ฟ้าทะลายโจร กระเทียม ประยงค์ รงทอง ข่อย ขมิ้นชัน แกแล สมอไทย ขันทองพยาบาท

          เครือเถาวัลย์ ดองดึง โล่ติ้น เจตมูลเพลิงขาว มังคุด โทงเทง ทับทิม จำปา ไพล ปรู จำปีหลวง พลับพลึง สบู่ดำ แพงพวยฝรั่ง    สีเสียด กะเม็ง สมอพิเภก

สมุนไพรกับโรคความดันโลหิตสูง

          ในการรักษาโรคความดันโลหิตสูงจะต้องได้รับการควบคุมดูแลจากแพทย์แผนปัจจุบัน และในการนำสมุนไพรมาใช้ใน ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงจะต้องระมัดระวัง และจะต้องตรวจวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอจากแพทย์แผนปัจจุบัน สมุนไพรที่ใช้ขับปัสสาวะมีดังนี้

          หญ้าหนวดแมว ในใบของหญ้าหนวดแมวจะมีเกลือโพแทสเซียมปริมาณ 0.7-0.8% ใช้ใบอ่อนเป็นยาขับปัสสาวะที่มีประสิทธิภาพสูง เนื่องจากเกลือโพแทสเซียมในใบอ่อนจะมีปริมาณสูง ตามตำรายาไทยใช้แก้โรคปวดตามสันหลังและเอว ใช้ขับนิ่วและลดความดันโลหิตสูง

ข้อควรระวัง

          1.เนื่องจากหญ้าหนวดแมวมีเกลือโพแทสเซียมสูงจึงไม่ควรใช้กับผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ
          2.ควรใช้การชง ไม่ควรใช้การต้ม และควรใช้ใบอ่อน เพราะใบแก่จะมีเกลือโพแทสเซียมละลายออกมามาก มีฤทธิ์กดหัวใจ ทำให้หายใจผิดปกติได้
          3.ควรใช้ใบตากแห้ง ถ้าใช้ใบสดจะมีอาการคลื่นไส้และหัวใจสั่น
          4.ไม่ควรใช้หญ้าหนวดแมวคู่กับยาแอสไพริน เพราะจะทำให้ยามีฤทธิ์ต่อหัวใจมากขึ้น
          5.ก่อนการใช้ควรปรึกษาแพทย์แผนปัจจุบันและได้รับการดูแลอย่างสม่ำเสมอเพื่อความปลอดภัย

          หญ้าคา ในรากหญ้าคามีสารอะรันโดอินและไซลินดริน ทั้งกรดอินทรีย์หลายชนิด ตามตำรับยาไทยใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ขัดเบา โดยต้นหญ้าคาสด 40-50 กรัม (น้ำหนักแห้ง 10-15 กรัม) หรือ 1 กำมือ ต้มดื่มก่อนอาหารวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 1 ถ้วยชา (75 มิลลิลิตร)

          หมายเหตุ การใช้สมุนไพรขับปัสสาวะทุกชนิดต้องปรึกษาแพทย์แผนปัจจุบัน เนื่องจากการใช้ยาขับปัสสาวะเกินขนาดอาจจะเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยได้

สรรพคุณสมุนไพรที่ช่วยลดไขมันในหลอดเลือด

          1.น้ำมันเมล็ดดอกคำฝอย จากการวิจัยในสัตว์ทดลองและในคนพบว่าน้ำมัน เมล็ดดอกคำฝอยช่วยทำให้ปริมาณคอเลส  เตอรอลในเลือดลดลงและลดการอุดตัน ไขมันในหลอดเลือดได้
          2.กระเทียม มีสารอัลลิซินที่มีฤทธิ์ลด ไขมันในหลอดเลือดได้ ซึ่งจะใช้กระเทียม ประมาณ 5-7 กลีบ รับประทานหลังอาหารทุกมื้อ เป็นเวลา 1 เดือน ปริมาณคอเลส เตอรอลในเลือดจะลดลง
          3.ถั่วเหลือง ในถั่วเหลืองจะมีกรด อะมิโน เลซิติน และวิตามินอีสูง จะช่วยลดระดับไขมันในหลอดเลือด

การปฏิบัติเพื่อป้องกันการเกิดโรคเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ

          1.การรับประทานอาหารที่มีไขมันน้อย เช่น ปลา ผัก ผลไม้ อาหาร สมุนไพร ไม่รับประทานอาหารรสเค็มจัด
          2.การออกกำลังกายสม่ำเสมอ
          3.การพักผ่อนให้เพียงพอ
          4.ตรวจร่างกายประจำทุกปี

สรุปรายชื่อสมุนไพรที่ควรใช้ในรูปอาหารกับโรคเบาหวาน ได้แก่

          บอระเพ็ด มะระไทย ลูกใต้ใบ หญ้าใต้ใบ มะแว้ง เครือมะแว้ง ต้นตำลึง  ฟ้าทะลายโจร สะตอ ว่านหางจระเข้ แมงลัก อินทนิลน้ำ หอมใหญ่ กระเทียม หญ้าหนวดแมว เตยหอม ฝรั่ง ช้าพลู ขี้เหล็ก สะเดา ผักบุ้ง สักกำแพงเจ็ดชั้น มวกแดง-ขาว ชะเอมไทย รากลำเจียก รากคนทา

          หมายเหตุ - การรักษาโรคเบาหวานควรปรึกษาแพทย์แผนปัจจุบัน เพราะการใช้ยาลดระดับน้ำตาลร่วมกับยาแผนปัจจุบันอาจจะทำให้น้ำตาลลดลงมากเกินไป เป็นอันตรายได้ จึงแนะนำให้ใช้สมุนไพรในรูปของการปรุงอาหารในชีวิตประจำวัน

สมุนไพรกับโรคเอดส์

          รายงานการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสมุนไพรรักษาโรคเอดส์มีการศึกษาเกี่ยวกับสมุนไพรหลายชนิด

          โปรตีนจากระหุ่ง แม้ว่าจะมีพิษแต่ก็มีผู้พบว่าส่วนหนึ่งของโปรตีน Ricin ซึ่งเป็นพิษคือ dg A สามารถจับ antibody ของ HIV ซึ่งทำให้ไปยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัส โดยมีผลต่อเซลล์ปกติเพียง 1/1,000 ของเซลล์ที่มีไวรัส

          การค้นพบนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นในการพบยาที่ป้องกันหรือยืดเวลาในการเกิดโรคเอดส์

          Hypericum spp.

          พืชสกุลนี้บ้านเรามี บัวทอง (Hyperi cum garrettii Craib) มีผู้สกัดสาร Hypericin และ Pseudohypericin จากพืชนี้ พบว่ามีฤทธิ์ป้องกันการขยายตัวของไวรัสเอดส์

          Castanospermun australe

          Tyms และคณะได้พบว่าแอลคาลอยด์ 3 ชนิด มีผลยับยั้งเอนไซม์ที่ช่วยให้ไวรัสจับกับ T-cells ซึ่งสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย และแอลคาลอยด์ที่ให้ผลดีที่สุดคือ Castanospermine จาก Castanospermum australe ไม้ยืนต้นของออสเตรเลีย และสารนี้มีพิษน้อย มีฤทธิ์ข้างเคียง เช่น น้ำหนักลด ท้องเสีย

          ยังไม่มีสมุนไพรใดที่ใช้รักษาโรคเอดส์ได้จริงจัง ส่วนใหญ่ยังอยู่ระหว่างการทดลอง ซึ่งบางอย่างก็ทดลองโดยไม่ถูกกฎหมาย แต่อย่างไรก็ตามการศึกษาสมุนไพร ก็เป็นแนวทางหนึ่งในการจะค้นพบยารักษาโรคนี้

 
ที่มา : หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ

143
บ้านเราเป็นเมืองร้อน สภาพอากาศในแทบทุกฤดูอยู่ในเกณฑ์ร้อนถึงร้อนจัด  โดยเฉพาะในฤดูร้อนแดดจะแรงมาก ประชาชนที่ต้องทำงาน ออกกำลังหรือทำกิจกรรมใดก็ตามท่ามกลางแสงแดดจัดจ้าจะต้องระมัดระวังร่างกายส่วนที่ต้องกระทบกับแสงแดดโดยตรง เพราะในแสงอาทิตย์มีรังสีอัลตราไวโอเลต หรือที่เรียกกันว่า แสงยูวี ซึ่งเป็นรังสีที่มองไม่เห็นและไม่สามารถรู้สึกได้ แต่หากได้รับรังสีดังกล่าวมากไป จะส่งผลเลวร้ายต่ออวัยวะส่วนต่างๆของร่างกายทำให้เกิดโรคภัยตามมาได้

   ทีมวิจัยจากวิทยาลัยเซนต์ หลุยส์ สหรัฐอเมริกา ได้ศึกษาผู้ป่วยมะเร็งผิวหนัง 898 ราย แบ่งเป็นชาย 559 ราย และหญิง 339 ราย โดยพบมะเร็งทั้งสองข้างลำตัว จากการศึกษาลึกลงไป พบว่าผู้ชายมักเป็นมะเร็งข้างที่นั่งรับแดดขณะขับรถ     ไม่ว่าจะเป็นบริเวณศรีษะ คอ แขนและมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ใช้ชีวิตหลังพวงมาลัยนานๆ และชอบเปิดกระจกขับรถจะเสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนังสูงขึ้น ทั้งนี้เพราะแสงยูวีเป็นอันตรายต่อผิวหนังนั่นเอง

รังสียูวีถูกแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่ รังสียูวี-เอ เป็นรังสีที่มีพลังงานต่ำสามารถทะลุผ่านเข้าถึงผิวชั้นหนังและยังอาจส่งผลให้เกิดมะเร็งที่ผิวหนัง ส่วนรังสียูวี-บี      เป็นรังสีที่มีพลังงานสูง สามารถส่องตรงทำลายผิวชั้นหนังกำพร้า ทำให้ผิวเปลี่ยนเป็น  สีเข้มขึ้น เกิดความหมองคล้ำ จุดด่างดำและฝ้าได้ ขณะที่รังสียูวี-ซี เป็นรังสีที่อันตรายต่อผิวมากที่สุด แต่ยังไม่สามารถทะลุผ่านชั้นบรรยากาศโอโซนลงมาถึงผิวโลกได้

นอกจากแสงยูวีจะทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังแล้ว แสงยูวียังเร่งให้เกิดตาต้อกระจกเร็วขึ้นร้อยละ 5 และทำให้เกิดต้อเนื้ออีกด้วย เรื่องนี้กระทรวงสาธารณสุขของบ้านเราก็เคยออกมารณรงค์ให้ประชาชนสวมแว่นตากันแดดเมื่ออยู่กลางแจ้งหรือกลางแดดจัด โดยเฉพาะผู้ขับรถกลางแดดจ้าควรสวมแว่นกันแดดเพื่อกรองแสง จะช่วยให้มองเห็นเส้นทางได้ชัดเจนถูกต้องมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันฝุ่นละออง และยังสามารถป้องกันแสงยูวีที่จะทำให้เกิดการเสียหายต่อสายตา กระจกตาได้อีกด้วย
 ครับ/ค่ะ จากผลการศึกษาของสหรัฐอเมริกา ซึ่งบ้านเขาได้รับแสงอาทิตย์น้อยกว่าเรามาก หากเปรียบเทียบกับบ้านเราที่มีแดดแรงเกือบจะทุกฤดู  ก็ยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังอันตรายจากแสงยูวีให้มากขึ้นอีกหลายสิบเท่า การทำงาน ออกกำลังกาย หรือขับรถท่ามกลางแสงแดดที่จัดจ้า ควรปฏิบัติตนเอง ดังนี้

 สวมเสื้อผ้าที่มิดชิดอย่าให้แสงกระทบผิวหนังโดยตรงเป็นเวลานานๆ และควรทาครีมป้องกันแสงยูวีทุกครั้งที่อยู่กลางแจ้งหรือออกนอกบ้าน

  สวมแว่นตากันแดดทุกครั้งที่อยู่ในที่ที่มีแสงแดดจ้า โดยการเลือกแว่นตากันแดดที่มีเลนส์แว่นทึบแสงสีชา สีฟ้า สีดำ ไม่ควรใส่แว่นที่มีเลนส์สีฉูดฉาดในช่วงฤดูร้อน เพราะไม่มีผลในการป้องกันรังสียูวี การใส่แว่นป้องกันแสงยูวีนี้จะสามารถชะลอการเกิดโรคตาต้อกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ตาบอดมากถึงร้อยละ 70
 ขับรถโดยปิดกระจกรถอย่าให้แสงแดดส่องกระทบผิวหนังโดยตรง กระจกรถยนต์ที่ออกจากโรงงานส่วนใหญ่เคลือบสารป้องกันรังสียูวีชนิดบี แต่ยังไม่สามารถป้องกันรังสียูวี-เอ ได้ แต่สำหรับกระจกหน้ารถซึ่งทำจากกระจกลามิเนตจะสามารถป้องกันแสงยูวีได้ทั้งชนิดเอและบี

 การขับรถในขณะที่อากาศร้อนจัดจะเหนื่อยและเพลียง่ายถ้าไม่เปิดแอร์รถยนต์ และถ้าหากเหงื่อออกมากควรดื่มน้ำทดแทนบ่อยๆ  อย่าให้ร่างกายรู้สึกกระหายน้ำ เพราะนั่นแสดงว่าร่างกายคุณกำลังเข้าสู่สภาวะที่อาจเป็นอันตรายได้ ทางที่ดีควรหยุดพักล้างหน้าให้สดชื่น และที่สำคัญควรดูแลแอร์รถยนต์ให้เย็นฉ่ำเสมอ จะช่วยให้ไม่เพลียง่ายในขณะขับรถ

                           ข้อมูลจาก  WWW.Teenee.com

144
ในปัจจุบันมีผู้หญิงที่   ขับรถเองเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะขับโดยมีเพื่อนไปด้วย หรือขับคนเดียวก็มีเยอะ ทำให้มีมิจฉาชีพเกิดขึ้นและจงใจจะ  หลอกลวงโดยเฉพาะคนขับรถที่เป็นผู้หญิง       ภัยบนท้องถนนเดี๋ยวนี้เกิดขึ้นได้ง่าย แม้เพียง ชั่ววินาที โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นผู้หญิงด้วยแล้ว ขับรถเป็นขับรถเก่งอย่างเดียวคงไม่พอ  เพราะเหตุฉุกเฉินสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แม้จะเป็นผู้หญิงที่มีความมั่นใจมากก็ตาม ก็ยังต้องระวัง เพราะผู้หญิงอย่างเรา ๆ นอกจากจะต้องระวังภัยบนท้องถนนแล้วการเป็นผู้หญิงขับรถ โดยเฉพาะขับไปไหนมาไหนคนเดียวยิ่งต้องระวังให้มาก

สิ่งที่ควรทำ
   ทุกครั้งก่อนขับรถออกจากบ้าน ให้เช็คล้อรถทั้ง 4 ว่าอยู่ในสภาพปกติ ลมอ่อน หรือยางแบนไหม
   ปรับเบาะรถให้เหมาะกับสรีระของตนเอง คือ เหมาะกับช่วงแขนและเท้า เพื่อความปลอดภัย
   กระจกมองหลังปรับให้เหมาะกับระดับสายตามองเห็นด้านหลังอย่างชัดเจน
   คาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งก่อนออกรถ
   หากมีธุระที่ต้องไปในเส้นทางที่ไม่ชำนาญ ควรจอดรถถาม     เส้นทางกับคนในท้องถิ่นหากคิดว่าไม่ปลอดภัยให้ขับรถเข้าไปถามที่สถานีตำรวจที่     อยู่ใกล้หรือศึกษาเส้นทางให้ดีก่อนออกรถ
   ก่อนเคลื่อนรถออกจากที่จอด ให้มองรอบคันรถว่ามีสิ่งของ     ก้อนหิน หรืออะไรกีดขวางอยู่หรือเปล่า
   เมื่อต้องขับรถทางไกล ทางเปลี่ยว ควรชวนเพื่อนไปด้วย และดูให้แน่ใจว่ามือถือมีแบตเตอรี่พอ
   ในมือถือควรมีเบอร์โทรศัพท์ เช่น ประกันภัยรถ, เบอร์ศูนย์    ซ่อมรถ, เบอร์บริการรถลาก, 191
   หากเป็นช่วงหน้าฝนควรเช็คเรื่องผ้าเบรก, ที่ปัดน้ำฝนว่ายังอยู่ในสภาพใช้งานได้ดีหรือเปล่า
   ขับรถด้วยความเร็วที่เหมาะสม อย่าขับรถเร็วมาก เพราะหากเกิดอะไรขึ้นจะบังคับรถได้ยาก
   ง่วงไม่ขับ เมายิ่งไม่ควรขับ และขับไม่โทร.
   เวลาจอดติดไฟแดง ควรดึงเบรกมือทุกครั้งเพื่อป้องกันรถเลื่อนไปชนคันหน้า
   การเปลี่ยนเลนทุกครั้งต้องมองกระจกมองข้างทั้งซ้ายและขวา และควรให้สัญญาณ แล้วจึงค่อยเปลี่ยนเลน

สิ่งที่ไม่ควรทำ
แต่งหน้า ทาปาก ทาแก้ม ระหว่างรถติด หรือจังหวะรถเคลื่อนตัวช้า ๆ บนรถ
   พยายามหันหลังไปหยิบโน่น หยิบนี่ที่เบาะหลังรถขณะรถเคลื่อนตัวช้า ๆ ก็ตาม
   พยายามล้วงหาของในกระเป๋าถือ กระเป๋าสะพายในขณะขับรถ
   ก้ม ๆ เงย ๆ พยายามหาของที่เพิ่งทำหล่นในรถ
   กินขนม หรืออาหารที่ถือมือเดียวไม่ค่อยสะดวกประเภทเหนียว ๆ น้ำเยอะ และของร้อน ๆ
   คุยมือถือเป็นเวลานาน โดยขับรถมือเดียว
   ปาด, เบียด เปลี่ยนเลนโดยไม่ให้สัญญาณไฟ
   ง่วง, เมา, โมโห, อกหัก ไร้สติ ไม่ควรนั่งหลังพวงมาลัยเด็ดขาด

คาถาเตือนใจนักขับรถ
ขับดี นั่งสบาย      ขับร้าย ตายแน่
ขับแย่ รถพัง      ขับระวัง ปลอดภัย
ขับไว ลงคู         ขับไม่ดู ลงคลอง
ขับไม่มอง ขึ้นเกาะ   ขับไม่เหมาะ หัวขาด
ขับประมาท เป็นผี      ขับไม่ดี ชนระเบิด
ขับประเสริฐ อยู่เย็น   ขับไม่เป็น อย่าขับ

ข้อมูลจาก หนังสือ ไลฟ์สไตล์ บางกอกคาร์ October No.17 หน้า 50
เรียบเรียงโดย เกียรติสุดา ถาวรศักดิ์

145
ในประเทศไทยมีวัดอยู่มากมายกระจายอยู่ทั่วทุกจังหวัด ซึ่งในประเทศไม่ได้มีเพียงวัดไทยเท่านั้น แต่ยังมี วัดพม่า วัดเขมร และวัดจีนรวมอยู่ด้วย วันนี้ เดลินิวส์ออนไลน์ จะพาไปรู้จักอีกหนึ่งที่สุดในไทย กับวัดจีนที่มีความงดงามที่สุดในประเทศ วัดเล่งเน่ยยี่ 2 จ.นนทบุรี

วัดเล่งเน่ยยี่ 2 หรือ วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ ตั้งอยู่ที่อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี เป็นวัดที่มีความสวยงามอลังการเสมือนพระราชวังจีน มีพื้นที่ประมาณ 12 ไร่ เป็นวัดจีนที่อยู่ในความอุปถัมภ์ของคณะสงฆ์จีนนิกายแห่งประเทศไทย จัดสร้างขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี วัดเล่งเน่ยยี่ 2 ใช้เวลาในการก่อสร้างนานกว่า 12 ปี ตั้งแต่พ.ศ. 2539-2551

เมื่อวันที่วัดเสร็จสมบูรณ์พร้อมให้นักท่องเที่ยวและผู้ที่มีความเคารพศรัทธาเข้าชม ทุกคนได้ประจักษุถึงความยิ่งใหญ่อลังการและศิลปะความงดงามทางจิตวิญาณอย่างแท้จริง โดย วัดเล่งเน่ยยี่ 2 หันหน้าไปทางทิศใต้ แลตั้งอยู่ในทิศขวางตะวัน ดังนั้นจึงสามารถถ่ายภาพได้สวยงามทั้งยามพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกโดยมีมหา วิหารเป็นฉากหน้า ภายในมหาวิหารใหญ่ซึ่งเป็นพระอุโบสถของวัด ประดิษฐานพระประธานสีทองขนาดใหญ่สามองค์คือ พระศรีศากยมุนีพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) พระอมิตาภพุทธเจ้า และพระไภษชยคุรุไวฑูรยพุทธเจ้า เป็นที่เคารพบูชาของนักท่องเที่ยวและชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียง

ความยิ่งใหญ่ตระการตาและความศรัทธาที่คนไทยเชื้อสายจีนรวมถึงคนไทย และนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติมีให้กับ วัดเล่งเน่ยยี่ 2 ถือเป็นศรัทธาอันบริสุทธิ์ จนทำให้ทุกวัดสำคัญทางศาสนาของชาวจีน หรือแม้แต่ของชาวไทย จะมีผู้คนแห่แหนมาทำบุญที่วัดแห่งนี้เป็นจำนวนมาก และทุกคนต่างชื่นชมและยกให้ วัดเล่งเน่ยยี่ 2 เป็น วัดจีนที่มีความสวยงามที่สุดในประเทศไทย

เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 31 สิงหาคม 2555

146
วันนี้ ( 28 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการเสวนาทางวิชาการ “นโยบายภาษาแห่งชาติ” จัดโดยราชบัณฑิตยสถาน  ที่ จ.อุดรธานี รศ.ดร.นิตยา กาญจนะวรรณ ภาคีสมาชิก สาขาวรรณศิลป์ กล่าวว่า การกำหนดนโยบายภาษาแห่งชาติจะเป็นการทำนุบำรุงและส่งเสริมภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาประจำชาติ รวมทั้งภาษาท้องถิ่นให้รักษาความหลากหลายและอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม และสนับสนุนการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ เพื่อพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน เพราะปัจจุบันโลกมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ทำให้การศึกษาภาษาอื่นๆจะเป็นกำไรทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจ โดยนโยบายภาษาแห่งชาติจะประกอบด้วย 6 นโยบายหลัก ได้แก่
1.นโยบายภาษาไทยสำหรับนักเรียนไทยและคนไทย
2.นโยบายภาษาท้องถิ่น
3. นโยบายภาษาเพื่อเศรษฐกิจ ภาษาเพื่อนบ้าน และภาษาการงานอาชีพ
4. นโยบายภาษาสำหรับผู้เข้ามาแสวงหางานทำในไทย
5. นโยบายภาษาสำหรับผู้พิการทางสายตาและทางการได้ยิน และ
6.นโยบายภาษาสำหรับการแปล การล่ามและล่ามภาษามือ

ศ.ดร.สุวิไล เปรมศรีรัตน์ จากสถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย ม.มหิดล กล่าวว่า ประเทศในภูมิภาคอาเซียนมีความหลากหลายทางภาษาและชาติพันธุ์ เช่น อินโดนีเซียมีถึง 726 ภาษา ฟิลิปปินส์มี 169 ภาษา มาเลเซียมี 139 ภาษา พม่ามี 107 ภาษา เวียดนามมี 93 ภาษา ส่วนไทยก็มีถึง 70 ภาษา เป็นต้น โดยภาษามีความสำคัญเพราะแสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของแต่ละกลุ่มชน ในบางประเทศจึงให้ความสำคัญถึงกับบอกว่า การสิ้นภาษาคือการสิ้นชาติ
 

“ ภาษาก็คือมรดกของมนุษยชาติ เป็นเรื่องของระบบคิดมากกว่าเป็นแค่การสื่อสาร เพราะภาษาสามารถถ่ายทอดทั้งองค์ความรู้ ภูมิปัญญา ปรัชญา หรือเป็นปูมบันทึกประวัติศาสตร์ แต่ปัจจุบันภาษาถิ่นทั่วโลกกำลังอยู่ในภาวะวิกฤติเพราะโลกไร้พรมแดนถึงกันหมด ทำให้ภาษาถิ่นถูกละเลย ส่วนประเทศไทย ในโรงเรียนก็ใช้แต่ภาษากลาง ทำให้เกิดการถดถอยทางภาษา ลูกหลานไม่อยากใช้ภาษาถิ่นเพราะอาย  พ่อแม่ก็ไม่ส่งเสริม หากไม่ทำอะไรเชื่อว่าภายในศตวรรษนี้ภาษาถิ่นกว่าร้อยละ 90 จะตาย ซึ่งปัจจุบันมี 15 ภาษาถิ่นในไทยที่อยู่ในภาวะวิกฤติ ได้แก่ ภาษากะซอง ซัมเร ชอุ้ง ชอง ละว้า โซ่ แสก ญัฮกุร มานี ลัวะ อุรักลาโวย มอเกล็น มลาบรี อึมปี และบีซู “ ศ.ดร.สุวิไล กล่าว.

เดลินิวส์ อังคารที่ 28 สิงหาคม 2555

147
เชื่อว่า พ่อแม่ทุกคนรักลูก และอยากเป็นที่รักของลูก แต่บางครั้งเราอาจลืมตัว และแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมจนกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่น่ารักสำหรับลูก เมื่อเป็นเช่นนี้ อาจทำให้ช่องว่างทางความสัมพันธ์ค่อยๆ ขยายวงกว้างออกไปได้
       
       เรื่องนี้ ดร.วรนาถ รักสกุลไทย หรือ ครูหนู ผู้อำนวยการแผนกอนุบาล โรงเรียนเกษมพิทยา ในฐานะนักการศึกษาและผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กปฐมวัย บอกว่า การเป็นพันธมิตร หรือผู้ใหญ่ที่น่าเคารพรักในสายตาของลูกนั้น สามารถทำได้ตั้งแต่ลูกยังเล็ก เพราะเป็นช่วงเวลาสำคัญในการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ ทำให้ลูกมีความเชื่อมั่น และศรัทธาในตัวพ่อแม่ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดสัมพันธภาพที่ดีตามมา
       
       “พ่อแม่สามารถสร้างความน่ารักให้เกิดในใจลูกได้ตั้งแต่เล็กๆ เช่น เวลาลูกร้องไห้ แทนที่จะหงุดหงิด ลองเปลี่ยนโหมดด้วยการเข้าไปอุ้มแล้วสื่อสารกับลูกด้วยท่าทีที่นิ่มนวลดูว่า หนูเป็นอะไรจ้ะ เพราะการที่เด็กร้องไห้ บางทีอาจปวดท้อง หิวข้าว หรือเหงา ต้องการให้คนมาอุ้ม ซึ่งพ่อแม่ต้องเข้าใจด้วยว่า เด็กไม่ได้แกล้ง หรือตั้งใจจะทำให้เรารำคาญแต่อย่างใด พอโตขึ้นมาหน่อย เด็กเริ่มมีภาษาแล้ว คุณพ่อคุณแม่ควรทำให้ลูกรู้สึกว่าเขาถูกรักผ่านการแสดงออกได้หลายทาง เช่น คำพูด การกระทำ ซึ่งอย่างหลังสำคัญมาก พอลูกโตในวัยประถม พ่อแม่หลายๆ ท่านอาจรู้สึกว่าลูกห่างออกไป แต่การใกล้ชิดที่มีพื้นฐานมาตั้งแต่ก่อนเข้าป.1 จะช่วยให้ลูกรู้สึกดี และเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย” นักการศึกษาและผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กปฐมวัยแนะ
       
       ด้านวิธีการเลี้ยงดู ครูหนูบอกว่า มีบางเรื่องที่พ่อแม่ควรระวัง เพราะไม่เช่นนั้นอาจสร้างความรู้สึกไม่ดีให้เกิดขึ้นในใจลูกได้ เริ่มจาก
       
       - อย่าทำให้การดูลูกของพ่อแม่เป็นการบ่นจนน่ารำคาญ แต่ควรพูดคุยด้วยเหตุด้วยผล ไม่ควรใช้อารมณ์ในการพูดคุยกับลูก
       
       - อย่าพูดคำว่า “แม่/พ่อไม่รักแล้ว” เพราะการพูดว่าไม่รักบ่อยๆ เด็กอาจไม่ทำตามสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ หรือคุณครูบอก เพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาจะทำในเมื่อคุณพ่อคุณแม่เคยบอกว่าไม่รักเขาแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรระวังเป็นอย่างยิ่ง

       - อย่าดูถูกความสามารถของลูก แต่ควรเชื่อว่าลูกสามารถทำสิ่งต่างๆ ออกมาได้ดี แล้วเด็กจะมีความรู้สึกที่ดีกับตัวเอง รวมไปถึงพ่อแม่ที่เห็นคุณค่าในตัวเขาด้วย และเมื่อโตขึ้น เขาก็จะต่อยอดความรู้สึกดีๆ เหล่านี้ไปให้คนอื่นๆ ในสังคมต่อไป
       
       นอกเหนือจากนี้แล้ว หากลูกพฤติกรรมที่ดี ควรชมทันที เช่น พูดไปเลยว่า “แม่ดีใจที่หนูช่วยแม่เก็บกวาดบ้าน หนูเป็นเด็กดีที่รู้จักช่วยงานแม่” แต่ถ้าพูดแค่ว่า “หนูเป็นเด็กดี แม่รักหนูจังเลย” เด็กก็ไม่รู้ว่าที่แม่ชมเพราะอะไร เป็นต้น
       
       ท้ายนี้ ครูหนูสะกิดใจพ่อแม่ไว้อย่างน่าสนใจว่า อย่าให้ความเหนื่อยจากการทำงาน มาทำร้ายความรักและความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อลูก
       
       “พ่อแม่หลายๆ คน มีความสุขเวลาได้อยู่กับลูกอยู่แล้ว แต่บางครั้งตัวพ่อแม่เองอาจเหนื่อยจากการทำงาน ถ้าเมื่อไรก็ตามที่เราเหนื่อย อยากบอกกับพ่อแม่ทุกๆ ท่าน ว่า ลองบอกกับลูกไปตรงๆ ว่า วันนี้แม่เหนื่อยจากการทำงาน ขอแม่อยู่คนเดียวสักครู่นะลูก แม่ขอเวลา 15 นาทีแล้วแม่จะเล่นกับหนูนะจ้ะ ดีกว่าไปใส่อารมณ์กับลูก ซึ่งไม่เป็นผลดีทั้งกับตัวเราและลูก แต่วิธีดังกล่าวนี้ เราก็ต้องระวังด้วย เพราะลูกโตขึ้นทุกๆ วัน การใช้ข้ออ้างแบบนี้กับลูกต่อไปเรื่อยๆ เราก็ต้องกลับมาคิดว่า แล้วลูกล่ะ ใคร ดังนั้น ถ้าอยากเป็นผู้ใหญ่ที่ลูกเคารพรัก เราก็ต้องให้ความรัก และใส่ใจเขาตั้งแต่เล็กๆ” ครูหนูทิ้งท้าย

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    19 กรกฎาคม 2555

148
  “ลีเมอร์” กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่เสี่ยงสูญพันธุ์มากที่สุดในโลก โดยกลุ่มอนุรักษ์ได้สรุปว่ากว่า 90% ของสัตว์ชนิดนี้กำลังอยู่สถานการณ์ย่ำแย่ โดยเบียดทุกสิ่งมีชีวิตทั้งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก นกและปลา เข้าสู่วิกฤตสูญพันธุ์
       
       ไลฟ์ไซน์รายงานข้อสรุปจากสหพันธ์นานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (International Union for Conservation of Nature) หรือ ไอยูซีเอ็น (IUCN) ว่า 91% ของลิงลีเมอร์ (lemur) 103 ชนิดที่เรารู้จักกำลังตกอยู่ในภาวะถูกคุกคาม โดยลีเมอร์ 23 สปีชีส์ ถูกจัดอยู่ในภาวะ “เสี่ยงสูญพันธุ์ขั้นวิกฤต” (critically endangered) อีก 52 สปีชีส์ถูกจัดอยู่ในภาวะ “เสี่ยงสูญพันธุ์” (ndangered) และอีก 19 สปีชีส์จัดอยู่ในภาวะ “มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์” (vulnerable) ตาม “บัญชีแดงสปีชีส์ที่ถูกคุกคาม” (Red List of Threatened Species)
       
       ด้าน คริสตอฟ ชวิทเซอร์ (Christoph Schwitzer) นักไพรเมทวิทยา และหัวหน้ากลุ่มวิจัยของอุทยานสวนสัตว์บริสตอล (Bristol Zoo Gardens) ในสหราชอาณาจักรและเป็นที่ปรึกษาสัตว์ไพรเมทในมาดากัสการ์ของไอยูซีเอ็น กล่าวว่าผลจากการประชุมของทางกลุ่มอนุรักษ์ได้เผยข้อมูลที่น่าตกใจ เมื่อพบว่ามาดากัสการ์นั้นมีสัดส่วนของสปีชีส์ที่ถูกคุกคามสูงที่สุดในโลก ทั้งในแง่พื้นที่อาศัยของสัตว์ตระกูลไพรเมทหรือประเทศใดๆ ในโลก และเชื่อว่าลีเมอร์อาจจะเป็นกลุ่มสัตว์มีกระดูกสันหลังที่เสี่ยงสูญพันธุ์มากที่สุดด้วย
       
       ลีเมอร์ พร้อมด้วยนางอายและบุชเบบี (bushbaby) เป็นสัตว์ในกลุ่มไพรเมทโพรซิเมียน (prosimian primate) ซึ่งเป็นสัตว์ตระกูลไพรเมทที่ไม่ใช่ทั้งลิงจ๋อ (monkey) และลิงไม่มีหางหรือลิงเอป (ape) โดยลีเมอร์นั้นอาศัยอยู่ตามธรรมชาติเฉพาะในมาดากัสการ์ ซึ่งคาดว่าบรรพบุรุษของลีเมอร์น่าจะล่องมายังเกาะดังกล่าวด้วยกอพรรณพืชหรือต้นไม้เมื่อ 60 ล้านปีก่อน
       
       นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่าภาวะใกล้สูญพันธุ์ของลีเมอร์นั้นเป็นผลจากการทำลายป่าฝนในมาดากัสการ์อันเป็นแหล่งอาสัยของลีเมอร์ และความวุ่นวายทางการเมืองได้เพิ่มความยากจนและเร่งให้เกิดการลักลอบตัดไม้มากขึ้น และยังมีการคุกคามจากการล่าสัตว์ชนิดมากขึ้นกว่าในอดีตอย่างยิ่ง ขณะที่ความหลากหลายทางชีวภาพของมาดากัสการ์คือสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว แต่การสูญเสียลีเมอร์จะทำให้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศยิ่งแย่ลง และจะเป็นสาเหตุให้ลีเมอร์หมดสิ้น
       
       ตัวอย่างลีเมอร์ที่จัดอยู่ในกลุ่ม “ใกล้สูญพันธุ์ขั้นวิกฤต” ได้แก่ อินดรี (indri) ลีเมอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เป็นสัตว์ที่ครองคู่ตัวเดียวตลอดชีวิตและเป็นสัตว์หวงห้ามในมาดากัสการ์และเชื่อว่าเป็นญาติของบรรพบุรุษมนุษย์โบราณ ลีเมอร์หนูมาดามเบอร์ธี (Madame Berthe's mouse lemur) สัตว์ไพรเมทที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลกโดยหนักเพียง 30 กรัม และลีเมอร์ดำตาสีฟ้า (blue-eyed black lemur) ซึ่งเป็นไพรเมทชนิดเดียวนอกจากมนุษย์ที่มีตาสีฟ้า ส่วนลีเมอร์นอร์เทิร์นสปอร์ตีฟ (northern sportive lemur) น่าจะเป็นลีเมอร์ที่หายากที่สุดในบรรดาลีเมอร์ทั้งหมด เพราะเท่าที่ทราบเหลือเพียง 18 ตัวเท่านั้น
       
       อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางข่าวร้ายไลฟ์ไซน์ระบุว่ายังพอมีข่าวดีอยู่บ้าง นั่นคือ มีการค้นพบลีเมอร์หนูชนิดที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนในมาโรแลมโบ (Marolambo) ทางตะวันออกของมาดากัสการ์ แต่ ปีเตอร์ แคปเปเลอร์ (Peter Kappeler) และทีมซึ่งค้นพบลีเมอร์ดังกล่าว ยังไม่ได้อธิบายหรือตั้งชื่อลีเมอร์ชนิดนี้อย่างเป็นทางการ

ASTVผู้จัดการออนไลน์    16 กรกฎาคม 2555

149
แต่ละปีนักวิทยาศาสตร์ต้องจำแนกสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ๆ นับหมื่นชนิด และพวกเขายังต้องมานั่งคิดชื่อให้แก่สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นด้วย ซึ่งหลายครั้งลักษณะเด่นๆ ของสัตว์ที่พ้องกับรูปลักษณ์ของคนดังก็ทำให้ชื่อของบรรดาเซเลบกลายเป็นชื่อของสิ่งมีชีวิตอย่างช่วยไม่ได้
       
       อ้างตาม ดร.อิลลินอร์ มิเชล (Dr.Ellinor Michel) จากคณะกรรมการสากลด้านการตั้งชื่อเชิงสัตววิทยา (International Commission on Zoological Nomenclature) แห่งพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา (Natural History Museum) ในลอนดอน อังกฤษ บีบีซีนิวส์ว่า ทุกๆ ปีมีสิ่งมีชีวิตราว 17,000-24,000 ชนิดถูกนักวิทยาศาสตร์จำแนกประเภท ในจำนวนนั้นเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมไม่กี่ชนิด เป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกในหลักร้อย ส่วนแมลงและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังมีมากหลายพันหลายหมื่นชนิด
       
       นักวิทยาศาสตร์ผู้จำแนกสปีชีส์ใหม่ๆ จำเป็นต้องเลือกชื่อให้แก่สิ่งมีชีวิตเหล่านั้น และบ่อยครั้งพวกเขาจะเลือกชื่อที่สื่อถึงลักษณะเฉพาะหรือสถานที่ค้นพบของสัตว์นั้นๆ บางครั้งพวกเขาก็เลือกตั้งชื่อตามใครสักคนที่พวกเขาเคารพนับถือ แต่ มิเชลกล่าวว่าปกตินักวิทยาศาสตร์จะไม่ตั้งชื่อสิ่งมีชีวิตตามชื่อตัวเอง เพราะจะถูกมองเป็นความจองหองอย่างที่สุด ซึ่งจะเป็นการทำลายเกียรติในการมีชื่อวิทยาศาสตร์ให้ลูกหลานจดจำตัวเขาเอง
       
       สำหรับ 10 ชื่อสิ่งมีชีวิตที่ตั้งตามคนดังมีดังนี้
       
       1.ปลาริชาร์ด ดอว์กินส์ (Richard Dawkins fish) ซึ่งมีชื่อสกุล (genus) ที่ตั้งตาม ริชาร์ด ดอว์กินส์ (Richard Dawkins) นักชีววิทยาวิวัฒนาการ โดยปลาสกุลนี้ถูกค้นพบ โรฮัน เพธิยาโกดา (Rohan Pethiyagoda) นักวิทยาศาสตร์ชาวศรีลังกา ซึ่งใช้ชื่อของดอว์กินส์เป็นชื่อสกุลให้แก่ปลาชนิดนี้ 4 สปีชีส์ แม้ว่าปลาดังกล่าวไม่ใช่นักล่าอันดับสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร แต่ดอว์กินส์มองว่าไม่ใช่ประเด็นให้ขุ่นเคืองที่ชื่อของเขาถูกนำไปตั้งให้แก่ปลาตัวเล็กๆ เพราะไม่มีเรื่องห่วงโซ่อาหารในประเด็นระดับวิวัฒนาการ และเขาก็เห็นว่าปลานั้นเป็นสัตว์มหัศจรรย์ เขาจึงดีใจที่ชื่อของเขาพ่วงอยู่กับปลาถึง 4 สปีชีส์ และยังเป็นปลาที่สวยงามด้วย
       
       2.ปรสิตบ็อบ มาร์เลย์ (Bob Marley parasite) สัตว์เปลือกแข็งตัวเล็กในทะเลคาริบเบียนซึ่งมีพฤติกรรมเป็นปรสิต และมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า กนาเธีย มาร์เลยิ (Gnathia marleyi) โดย พอล ซิคเกล (Paul Sikkel) นักชีววิทยาทางทะเลภาคสนาม จากมหาวิทยาลัยอาร์คันซอสเตท (Arkansas State University) สหรัฐฯ ผู้ค้นพบปรสิตดังกล่าวและตั้งชื่อตาม บ็อบ มาร์เลย์ (Bob Marley) ศิลปินเรกเกชาวจาไมกา ที่เขาเคารพและชื่นชม
       
       3.เหลือบม้าบียอนเซ (Beyonce horse fly) หรือ สแคปเทีย บียอนเซีย (Scaptia beyonceae) เป็นเหลือบม้าที่พบได้ยากอยู่ในควีนส์แลนด์ ออสเตรเลีย และถูกตั้งชื่อตาม บียอนเซ นักร้องดังชาวอเมริกัน ตั้งแต่เดือน ม.ค.ที่ผ่านมา โดยไบรอัน เลสซาร์ด (Lessard) นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า แมลงดังกล่าวมีขนสีทองแน่นอยู่บริเวณท้อง จึงเป็นแรงบันดาลใจให้เขาตั้งชื่อแมลงตามชื่อนักร้องดัง
       
       4.ลีเมอร์จอห์นคลีส (John Cleese lemur) หรือ อาวาฮิ คลีไซ (Avahi cleesei) ลีเมอร์ขนฟูแห่งมาดากัสการ์ได้รับชื่อตาม จอห์น คลีส (John Cleese) ซึ่งเป็นนักแสดงและตลกชาวอังกฤษตั้งแต่ปี 2005 โดย อูร์ส ธัลมันน์ (Urs Thalmann) ตั้งชื่อลีเมอร์ชนิดนี้ด้วยเหตุผลเพื่อเป็นเกียรติแก่คลีสที่สนับสนุนการอนุรักษ์ธรรมชาติจากการแสดงในภาพยนตร์ ซึ่งครีสเองก็รู้สึกซาบซึ้งเพราะเขาเองรู้สึกรักใคร่สัตว์ตัวน้อยนี้อย่างไม่สามารถอธิบายได้
       
       5.ด้วงจอร์จบุช (George Bush beetle) ไม่ใช่แค่ จอร์จ บุช (George Bush) อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ถูกนำชื่อไปตั้งให้แมลงปีกแข็ง แม้แต่ ดิค เชนีย์ (Dick Cheney) รองประธานาธิบดี และโดนัลด์ รัมสเฟลด์ (Donald Rumsfeld) รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ก็กลายเป็นชื่อของแมลงปีกแข็งตั้งแต่ปี 2005 โดย เควนติน วีเลอร์ (Quentin Wheeler) นักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบแมลงปีกแข็งเหล่านั้นกล่าวว่า ตัดสินใจตั้งชื่อแมลงปีกแข็งด้วยชื่อนักการเมืองนั้นไม่มีเหตุผลอะไรนอกจากลักษณะทางกายภาพของแมลงเหล่านั้น
       
       6.ด้วงเคตวินสเลต (Kate Winslet beetle) หรือ อากรา เคตวินสเลเต (Agra katewinsletae) ได้ชื่อตาม เคต วินสเลต (Kate Winslet) เพราะบทบาทของเธอที่แสดงในเรื่องไททานิค (Titanic) โดย เทอร์รี เออร์วิน (Terry Erwin) นักกีฏวิทยา ผู้ค้นพบแมลงปีกแข็งนี้ อธิบายว่าเขาต้องการจะสื่อถึงภัยคุกคามต่อแมลงปีกแข็งชนิดนี้จากปัญหาป่าไม้ถูกทำลาย เพราะเคตรับบทบาทเป็นตัวละครที่ไม่จมไปพร้อมกับเรือยักษ์ แต่เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าสถานการณ์ของแมลงชนิดนี้จะโชคดีเหมือนตัวละครของเคตหรือไม่ หากป่าทั้งหลายถูกเปลี่ยนไปเป็นทุ่งหญ้า
       
       7.ด้วงอะดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler beetle) หรือ อะนอฟธัลมัส ฮิตเลริ (Anophthalmus hitleri) คือ แมลงถ้ำตาบอด (blind cave beetle) ที่พบเฉพาะในถ้ำชื้น 5 แห่งในสโลวาเนีย และผู้ที่ตั้งชื่อนี้คือนักสะสมชาวเยอรมันผู้ชื่นชมผู้นำแห่งแห่งเยอรมนี
       
       8.ไดโนเสาร์เดวิดแอตเทนบอราฟพลีซิโอซอร์ (David Attenborough plesiosaur) เป็นไดโนเสาร์พลีซิโอซอร์ (plesiosaur) ที่สูญพันธุ์ไปนานแล้ว และได้รับการตั้งชื่อตาม เซอร์ เดวิด แอตเทนบอราฟ (David Attenborough) นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษผู้มีชื่อเสียง และยังมีสิ่งมีชีวิตอื่นอีกมากที่ถูกตั้งชื่อตามเขา
       
       9.กระต่าย ฮิวจ์ เฮฟเนอร์ (Hugh Hefner rabbit) หรือ ซิลวิลากัส เฮฟเนรี (Sylvilagus palustris hefneri) ซึ่งพบทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ ถูกตั้งชื่อตามผู้ก่อตั้งเครือบริษัท “เพลย์บอย” (Playboy) ซึ่งมีกระต่ายเป็นสัญลักษณ์ และยังมีการว่าจ้างสาวๆ ให้สวมชุดกระต่ายแสนซน นอกจากนี้เฮฟเนอร์ยังบริจาคเงินเพื่อช่วยพิทักษ์กระต่ายที่ใกล้จะสูญพันธุ์ด้วย
       
       10.กบเจ้าฟ้าชายชาร์ลส (Prince Charles frog) หรือ ฮิลอสเซอร์ตุสปรินซ์ชาร์เลซี (Hyloscirtus princecharlesi) เป็นกบต้นไม้ที่ได้รับการตั้งชื่อตามเจ้าฟ้าชายชาร์ลสแห่งอังกฤษ เพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงงานในการพิทักษ์ป่าฝนอันเป็นถิ่นอาศัยของกบชนิดนี้ ซึ่งถูกค้นพบในเอกวาดอร์เมื่อปี 2008

ASTVผู้จัดการออนไลน์    19 กรกฎาคม 2555

150
การก่อสร้างเรือจำลอง “เรือมหาสมบัติแห่งราชวงศ์หมิง” ที่โรงต่อเรือโบราณ เมืองหนานจิง (หรือนานกิง) มณฑลเจียงซู ขณะนี้มีความคืบหน้ามาก โดยโครงสร้างหลักของเรือเสร็จเรียบร้อยแล้ว
       
       เมื่อสัปดาห์ที่ผ่าน โรงต่อเรือโบราณฯได้ทำพิธีฉลองการก่อสร้างโครงเรือจำลองเรือมหาสมบัติเจิ้งเหอแล้วเสร็จ
       
       การก่อสร้างเรือฯ ดังกล่าว ดำเนินการโดยช่างฝีมือที่มีชื่อเสียงผู้สืบทอดการสร้างเรือไม้จากบรรพบุรุษ ใช้วิธีการดั้งเดิมในการก่อสร้าง คือเป็นงานฝีมือ และหากดูแลรักษาอย่างดี สามารถมีอายุการใช้งานยาวนาน 30 - 50 ปี
       
       ถึงแม้ว่า “เรือมหาสมบัติ” จะสร้างเลียนแบบเรือโบราณในยุคราชวงศ์หมิงทุกอย่าง แต่เพื่อให้เข้ากับการแล่นเรือในยุคปัจจุบัน ภายในเรือจึงจำเป็นต้องติดตั้งอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ที่มีเทคโนโลยีชั้นสูงและทันสมัย
       
       การก่อสร้างเรือจำลองเรือมหาสมบัตินี้ ออกแบบและสร้างขึ้นโดยอ้างอิงจากข้อมูลจริงทางประวัติศาสตร์ มีความยาวทั้งหมด 127 เมตร ความกว้างกว่า 52 เมตร ปริมาตรวิดน้ำ 1,800 ตัน โครงสร้างตัวเรือแบ่งเป็น 5 ชั้น มีเสากระโดงเรือและผ้าใบเรือ 6 อัน เสากระโดงเรือหลักมีความสูง 38 เมตร โครงสร้างทั้งหมดของเรือทำด้วยไม้ และเป็นเรือสำเภาไม้เลียนแบบสมัยโบราณที่สามารถเดินเรือในมหาสมุทรได้
       
       เจิ้งเหอ (1371-1433) แม่ทัพใหญ่ที่ใกล้ชิดของจักรพรรดิหย่งเล่อแห่งราชวงศ์หมิง (ค.ศ.1368 - 1644) นำขบวนเรือออกเดินทางท่องมหาสมุทรรวม 7 ครั้ง ระหว่างปี ค.ศ. 1405-1433 ขบวนเรือที่ออกเดินทางแต่ละครั้ง มีเรือมหาสมบัตินำขบวนซึ่งประกอบด้วยกองเรือราว 200 ลำ และลูกเรือไม่ต่ำกว่า 27,000 คน แล่นผ่านบริเวณมหาสมุทรอินเดีย นอกจากนี้ หลักฐานทางประวัติศาสตร์บางชิ้นระบุว่า ขบวนเรือที่นำโดยเจิ้งเหอยังเดินทางไปแถบเอเชียอาคเนย์ เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และบริเวณส่วนแหลมของทวีปแอฟริกา
       
       คนไทยรู้จักเจิ้งเหอในนามของ ซันเป่ากง หรือซำปอกง (三宝公)
       
       ตามแผนการสร้าง “เลียนแบบเรือมหาสมบัติเจิ้งเหอสมัยราชวงศ์หมิง” คาดว่าจะติดตั้งโครงสร้างทั้งหมดเสร็จสิ้น และคัดเลือกกัปตันเรือ หัวหน้ากะลาสีเรือและวิศวกรภายในสิ้นปีนี้ และทดลองออกทะเลในเดือนส.ค. ปี 2014 หากการทดลองสำเร็จ จึงจะเริ่มยาตรา “ตามรอยเจิ้งเหอ แล่นสำรวจดินแดนตะวันตก ครั้งที่ 8”

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    19 กรกฎาคม 2555

หน้า: 1 ... 8 9 [10] 11 12 13