สาธารณสุขของเราเป็นเหยื่อของกลุ่มบุคคลหนึ่งที่ใช้ Junk Science มาอ้างเพื่อประโยชน์ส่วนตน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้อน คือ ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ หรืออื่นๆที่หน่วยงานบางหน่วยสรรสร้างข้อมูลมาให้นักการเมืองไปใช้ และตัดสินใจผิดพลาดชักนำให้ระบบสาธารณสุขของเราประสบปัญหาอย่างแสนสาหัสในปัจจุบัน แม้การพิพากษาคดีทางการแพทย์ก็มีการใช้ Junk Science มาอ้าง
ลองมาอ่านเรื่องราวของ Junk Science กันดู
วิทยาศาสตร์ที่เป็นขยะ หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Junk Science หรือ Bunk Science เป็นคำที่ใช้เรียกการให้ข้อมูล ผลการวิจัย ผลการวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญ หรือความเห็นของนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่ตรงกับความจริง หรือไม่เป็นจริง เพียงเพื่อหวังผลจากการกระทำดังกล่าว เช่น เพื่อได้ค่าจ้างหรือสิ่งตอบแทนอื่นๆ เพื่อเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือของนักการเมือง และรวมทั้งเพื่อการต่อสู้คดีในศาล
การใช้ข้อมูลและกระบวน การทางวิทยาศาสตร์มากล่าวอ้างในการโต้เถียงของนักการเมืองทางด้านปัญหาสิ่ง แวดล้อม ปัญหาสุขภาพของประชาชน ปัญหาการทำผิดกฎหมายของฝ่ายบริหารและการเติบโตของเศรษฐกิจ สร้างปัญหาให้กับวงการวิทยาศาสตร์มาก เพราะการโต้เถียงนั้นต่างฝ่ายก็ดำเนินการเผยแพร่ข้อมูลหรือผลการศึกษาของตน ผ่านสื่อมวลชน โดยไม่นำไปเผยแพร่ในหมู่นักวิทยาศาสตร์ในสาขาวิชาเดียวกันก่อน จึงขาดการตรวจสอบจากกลุ่มเพื่อนนักวิทยาศาสตร์ในสาขาวิชาเดียวกัน ทำให้เกิดปัญหาในการยอมรับข้อมูลหรือผลงานที่นำมากล่าวอ้าง
การใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่เป็นจริง เชื่อถือไม่ได้ ซึ่งเรียกโดยทั่วไปว่า วิทยาศาสตร์ที่เป็นขยะ หรือ Junk Science ในการสืบสวนถึงสาเหตุแห่งคดีความนั้นไม่สามารถเชื่อถือได้หรือยึดเอาเป็น หลักฐานสำคัญเหมือนอย่างการใช้นิติวิทยาศาสตร์หรือความรู้ทางด้านการแพทย์ที่เป็นที่ยอมรับกันในปัจจุบัน เนื่องมาจากการต่อสู้คดีความกันในศาลนั้น คู่กรณีต่างฝ่ายต่างยกหลักฐานและเหตุผลทางวิทยาศาสตร์เพื่อต่อสู้กับอีกฝ่าย หนึ่งโดยอ้างว่าเป็นหลักฐาน ข้อมูล ความรู้ ความจริง ที่ได้มาจาก การวิจัยหรือใช้กระบวนการและวิธีการทางวิทยาศาสตร์
การถูกสั่งสอนให้มี ความเชื่อถือในวิทยาศาสตร์ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ประกอบกับการสร้างความเชื่อถือในเรื่องของ “เหตุและผล” รวมทั้งการใช้ “ตรรกศาสตร์” ทำให้คนทั่วไปยึดติดกับความคิดและความเชื่อทางวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมาก และจะต่อต้านหรือไม่เชื่อถือสิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์ ทดลอง ทำซ้ำแล้วได้ผลคงที่เที่ยงตรงทุกครั้งไปเหมือนอย่าง Sound Science ที่พิสูจน์ได้ ทดลองแล้วเป็นจริง ได้ผลคงที่ทุกครั้งไป
แต่อย่างไรก็ตาม ความเชื่อทางวิทยาศาสตร์นี้เป็นสิ่งที่ถูกนำไปใช้แสวงหาประโยชน์ได้จากการนำ เสนอ และแสดงผลตามแบบอย่างของกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เช่น มีการศึกษาบริบทที่เกี่ยวข้องของประเด็นปัญหาแล้วตั้งเป็นสมมุติฐาน มีการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล ทดสอบสมมุติฐานด้วยวิธีการทางสถิติ และสรุปผล แต่ในการดำเนินการตามกระบวนการนั้นต้องมีการดำเนินการควบคุมอย่างเคร่งครัด และผู้ดำเนินการต้องมีความเป็นกลางและยึดมั่นตามแนวทางของการทำวิจัย
ดังนั้นบางครั้งการตั้งธงคำตอบไว้ก่อนคือ การตั้งสมมุติฐานนั้นอาจนำมาสู่การลำเอียงได้ เพราะมุ่งจะให้สมมุติฐานเป็นจริง และความลำเอียงอันเกิดจากตัวผู้วิจัยเองที่มีผลประโยชน์กับงานวิจัยนั้นด้วย นอกจากนั้นเมื่อมีการนำเสนอผลการวิจัยด้วย กราฟ ตาราง ตัวเลข ต่าง ๆ ให้สามารถมองเห็นและสร้างความรู้สึกคล้อยตามหรือโน้มน้าวผู้ที่รับข้อมูลให้ ไปในทิศทางที่ผู้วิจัยต้องการได้อีกเช่นกัน