My Community
หมวดหมู่ทั่วไป => ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ => ข้อความที่เริ่มโดย: story ที่ 14 พฤษภาคม 2011, 13:08:38
-
(http://i1015.photobucket.com/albums/af274/tigerns2505/new%20story/images.jpg)
เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2554 กระทรวงแรงงานได้จัดการสัมมนาความรู้คู่แรงงานไทย/ผู้ประกันตนไทย เรื่อง ทางเลือกประกันสุขภาพของแรงงานไทยและผู้ประกันตนระบบประกันสังคม : เสือ หรือ จระเข้ โดยมีนพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นผู้กล่าวเปิดการประชุม
ซึ่งปลัดกระทรวงแรงงาน ได้กล่าวถึงการประกันสังคมในประเทศไทยว่า หลายๆประเทศทั่วโลก ได้ใช้ระบบประกันสังคมในการสร้างสวัสดิการให้แก่คนในชาติ เป็นการทำให้คนในสังคมมีความมั่นคงในการดำเนินชีวิต ไม่ใช่รอรับความช่วยเหลือจากรัฐฝ่ายเดียว โดยได้อ้างคำกล่าวของนายอำพล สิงหโกวินทร์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานประกันสังคมว่า “การจะรอรับความช่วยเหลือจากรัฐบาลอย่างเดียวนั้น ถ้าเกิดเหตุการณ์ที่รัฐบาลไม่มีเงินจ่ายแล้ว ประชาชนก็จะต้องอยู่ตามยถากรรม เพราะฉะนั้นคนในสังคมต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพื่อจะทำให้เป็นระบบที่ยั่งยืน”
ในประเทศไทยนั้น ระบบประกันสังคม เริ่มต้นในปีพ.ศ. 2515 โดยการตั้งกองทุนเงินทดแทน ภายใต้การบริหารของสำนักงานกองทุนเงินทดแทน กรมแรงงาน โดยการให้หลักประกันแก่ลูกจ้างกรณีที่ประสบอันตราย หรือเจ็บป่วยด้วยโรคอันเนื่องจาการทำงาน โดยเริ่มจากสถานประกอบการที่มีลูกจ้างมากกว่า 20คน ในเขตกทม.ก่อน แล้วค่อยขยายไปจนครบทุกจังหวัดในปีพ.ศ. 2531
ต่อมาได้มีการประกาศพ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. 2533 นับเป็นการประกันสังคมเต็มรูปแบบ โดยลูกจ้างจะได้รับความคุ้มครอง 8 อย่างคือ ประสบอันตราย เจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตาย ที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับการทำงาน รวมไปถึงการคลอดบุตร สงเคราะห์บุตร ชราภาพ และการว่างงาน เหมือนกับในประเทศอื่นๆ
พลอากาศตรี นายแพทย์บรรหาร กออนันตกูล วิทยากรรับเชิญ ได้กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของการมีระบบประกันสังคมว่า ประเทศที่ให้กำเนิดการประกันสังคมครั้งแรกในโลกคือประเทศเยอรมัน โดยนายกรัฐมนตรีคนแรกของเยอรมันคือ บิสมาร์คที่ปกครองประเทศในสภาพที่มีสงครามจากเพื่อนบ้าน จึงต้องการที่จะสร้างอาวุธไว้ป้องกันประเทศ โดยมอบให้บริษัท Krupp ที่ผลิตเหล็กกล้ารับสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์ แต่บริษัทไม่มีคนงานเพียงพอ บิสมาร์คจึงคิดสร้างเมืองใหม่ และหาคนมาทำงานในโรงงานแห่งนี้ จึงต้องมีการให้หลักประกันแก่คนทำงาน เพื่อให้คนงานมีความมั่นใจว่าจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี มีความมั่นคงในทางเศรษฐกิจการงาน และสุขภาพ เปรียบเหมือนกับมีปัจจัยสี่ มีเงินเดือน มีที่อยู่อาศัย ได้รับการดูแลเมื่อเจ็บป่วย บุตรหลานได้รับการเลี้ยงดูและการศึกษา มีความปลอดภัยในการทำงาน
หลักการในการจัดให้มีการประกันสังคมจึงเกิดขึ้น เนื่องจากมนุษย์ไม่สามารถอยู่เพียงคนเดียวได้ การอยู่ร่วมกันเป็นสังคม ย่อมต้องการความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และสุขภาพ โดยมีแนวคิดว่า คน 1,000 คน จะมีคนเจ็บป่วยเพียง 10-20 คน ฉะนั้นถ้าเก็บเงินทุกคนเพียง 5% ไว้จ่ายค่ารักษาพยาบาลสำหรับคนที่อาจจะป่วยเพียง 10-20 คน เงินที่เก็บไว้ก็เพียงพอในการจ่ายเป็นค่ารักษาได้ เป็นการช่วยให้ประชาชนทุกคนอยู่ได้ และมีความสุข โดยการมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ระบบประกันสังคมจึงเป็นระบบที่ทุกคนมีส่วนร่วมในการ จ่ายเงินเข้ากองทุน โดยลูกจ้างและนายจ้าง(ซึ่งถือว่าเป็นผู้ได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการทำงานของลูกจ้าง) จะต้องจ่ายเงินสมทบเข้าสู่กองทุนประกันสังคม เพื่อจ่ายเป็นสวัสดิการให้แก่ผู้ทำงาน โดยรัฐบาลจะจ่ายเงินสมทบ ในอัตรา ที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ
สำหรับประเทศไทยนั้น มีผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมอยู่ 9.5 ล้านคน และมีเงินสมทบจากลูกจ้าง นายจ้าง และรัฐบาลอยู่ในกองทุนประกันสังคมเกือบ 800,000 ล้านบาท โดยผู้ประกันตนได้รับสิทธิประโยชน์ทั้งสิ้น 8 อย่าง และได้รับการดูแลรักษาเมื่อเจ็บป่วย อุบัติเหตุ ทุพพลภาพ คลอดบุตร
ในขณะที่พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ได้เกิดขึ้นภายหลังระบบประกันสังคม มีหลักการในการให้การดูแลรักษาสุขภาพแก่ประชาชน 47 ล้านคน ที่ไม่ได้รับสิทธิในกองทุนประกันสังคมหรือสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการ เมื่อเริ่มต้นโครงการนี้ ประชาชน 20 ล้านคนที่เป็นผู้ยากจน จะไปรับบริการด้านสาธารณสุขโดยไม่ต้องจ่ายเงิน ในส่วนผู้ที่ไม่ยากจน จะต้องจ่ายเงินในการไปรับบริการสาธารณสุขครั้งละ 30 บาท
แต่ต่อมา ในปีพ.ศ. 2550 นพ.มงคล ณ สงขลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและประธานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้ประกาศยกเลิกการจ่าเงินครั้งละ 30 บาท ทำให้ประชาชน 47 ล้านคน (ปัจจุบันเพิ่มเป็น 48 ล้านคน) ได้รับสิทธิในการไปรับบริการสาธารณสุขโดยไม่ต้องจ่ายเงินเลย
ทำให้ประชาชน 48 ล้านคนนี้ มีสิทธิมากกว่าประชาชนในกลุ่มผู้ประกันตน ที่ยังต้องจ่ายเงินสมทบ จึงจะมีสิทธิได้รับบริการด้านสุขภาพ ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นและเป็นอยู่มา 4 ปีแล้ว แต่ก็ไม่มีใครออกมาเอะอะโวยวายแต่อย่างใด จนกระทั่งเมื่อเร็วๆนี้ มีกลุ่มคนที่ตั้งชื่อกลุ่มว่า “กลุ่มพิทักษ์สิทธิผู้ประกันตน” ได้ออกมาเรียกร้องกับผู้ตรวจการแผ่นดินว่า สำนักงานประกันสังคม(สปส.) ละเมิดสิทธิผู้ประกันตน ในการเก็บเงินจากผู้ประกันตน มาเป็นค่ารักษาสุขภาพ ในขณะที่ประชาชน 48 ล้านคนในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ไม่ต้องจ่ายเงินของตนเองเลย ในการได้รับการบริการด้านสุขภาพ และเรียกร้องให้ผู้ประกันตน เลิกจ่ายเงินสมทบด้านสุขภาพ1.5% และให้ไปใช้สิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพแทน
การเรียกร้องของกลุ่มพิทักษ์สิทธิผู้ประกันตนในขณะนี้ จึงทำให้เกิดความสับสนในหมู่ผู้ประกันตนว่า จะเลือกไปอยู่กับบัตรทอง เลิกจ่ายเงินสมทบ 1.5% หรือให้เอาเงิน 1.5%ที่ต้องจ่ายสมทบนี้ ไปจ่ายสำหรับสิทธิประโยชน์อื่นๆเพิ่มเติมแทนการรักษาสุขภาพ แต่ในส่วนการดูแลรักษาสุขภาพนั้น ก็จะไปใช้บริการบัตรทองแทน
กระทรวงแรงงานร่วมกับสภาองค์การลูกจ้างและสภาแรงงานหลายๆแห่ง จึงได้จัดสัมมนาให้ข้อมูลและความเข้าใจในสาระสำคัญ หรือหลักการของการประกันสังคม และสิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกันตนจะได้รับจาการประกันสังคม รวมทั้งเปรียบเทียบถึงข้อดีข้อเสียของการรับบริการด้านสุขภาพจากระบบประกันสังคมและบัตรทอง เพื่อให้ผู้ประกันตน สามารถแสดงความคิดเห็นว่า จะต้องการระบบประกันสุขภาพแบบใด?
หลังจากฟังวิทยากรให้ข้อมูลเรื่องหลักการประกันสังคมและสิทธิประโยชน์ในการดูแลสุขภาพ เปรียบเทียบระหว่างประกันสังคมและบัตรทองแล้ว ผู้จัดการสัมมนาได้จัดการประชุมกลุ่ม โดยแบ่งผู้เข้าประชุมเป็น 4 กลุ่ม
ผลการประชุมกลุ่มตามรายกลุ่ม มีดังนี้
กลุ่มที่ 1 ข้อดีของระบบประกันสังคมด้านสุขภาพ
- พอใจในการรักษาโรคทั่วไปของโรงพยาบาลรัฐมากกว่าโรงพยาบาลเอกชน
- พอใจในสิทธิคุ้มครองการว่างงาน คือ ได้รับเงินทดแทน
- ข้อเสียของระบบประกันสังคมด้านสุขภาพ
- โรงพยาบาลไม่ดูแล ให้บริการล่าช้า โดยส่วนใหญ่พบในโรงพยาบาลเอกชน
- ได้รับยาไม่ตรงกับโรค เช่น ได้ยาพารา อย่างเดียว
- พอใจในการได้สิทธิเงินสงเคราะห์บุตร
ข้อเสนอแนะ
- 1. ต้องการช่องทางเฉพาะทั้งผู้ป่วยนอกทั่วไป และผู้ป่วยนอกโรคเฉพาะด้าน
- 2. ต้องการการรักษาที่ได้ยาตรงกับโรค
- 3. ขอให้ขยายเวลาในการให้เงินสงเคราะห์บุตร จาก 6 ปี ขยายเป็น 12 ปี
- 4. ขยายสิทธิในการรักษาการเจ็บป่วยทั่วไป ไปใช้ที่โรงพยาบาลอื่นได้ด้วย ไม่จำกัดเฉพาะเรื่องอุบัติเหตุฉุกเฉิน
- 5. การทำฟัน ควรจ่ายตามจริง และไม่จำกัดจำนวนครั้ง
- 6. อยากให้ขยายรับบัตรทองที่มีรายได้ให้เปลี่ยนมาเป็นสิทธิประกันสังคม
- 7. ให้ขยายรับครอบครัวผู้ประกันตนมาใช้สิทธิประกันสังคมแทนบัตรทอง
- 8. ต้องการให้ทำวิจัยเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสีย ระหว่างบัตรทองและบัตรประกันสังคม
กลุ่มที่ 2 ปัญหา/อุปสรรคของระบบประกันสังคมด้านสุขภาพ
• ไม่ค่อยแจกแจงรายละเอียดให้ผู้ประกันตนทราบสำหรับสิทธิประโยชน์ที่เพิ่มขึ้น
• เจ้าหน้าที่ สายด่วน ไม่บริการให้ด่วน ข้อมูลไม่ชัดเจน โอนสายหลายทอด
ข้อเสนอแนะ
• ข้อที่ต้องปรับปรุงแก้ไขให้ทำได้เลย และข้อมูลที่ยังมีไม่เพียงพอควรทำวิจัยเพิ่มเติม ครอบคลุมความคิดเห็นจากผู้ประกันตน ผู้ให้บริการ สำนักงานประกันสังคม และแพทย์ บุคคลากรทางแพทย์
• ปรับปรุงการบริการของสายด่วน
• ปรับปรุงคุณภาพ มาตรฐานการให้บริการของสถานบริการ
• มีการสุ่มตรวจคุณภาพ มาตรฐานการให้บริการของ รพ.คู่สัญญาเป็นประจำ
• ส่งเสริมให้มีการประกวด รพ.ดีเด่น (top ten) และ รพ.ยอดแย่ (bottom ten)
• การทำฟัน ควรให้สถานพยาบาลเบิกจาก สปส. ไม่ต้องให้ผู้ประกันตนจ่ายเงิน
• ไม่ควรใช้ระบบเหมาจ่ายรายหัวแก่ รพ. ควรจ่ายตามจริง เพื่อคุณภาพการบริการที่ดี
• ผู้ประกันตนเข้ารับการรักษาได้ทุก รพ.ที่เป็นคู่สัญญา ไม่ใช่เฉพาะที่เลื่อกดังนั้น กรณีฉุกเฉิน ผู้ประกันตนไม่ต้องจ่ายเงิน ไม่ว่าจะฉุกเฉินกี่ครั้ง (ปกติไม่น่าจะมีการฉุกเฉินบ่อยเกินความจำเป็น)
• ให้รัฐจ่ายสมทบเงินเข้าระบบประกันสังคม อย่างน้อยเท่ากับนายจ้างและลูกจ้าง
• เปิดโอกาสให้สมาชิกในครอบครัวของผู้ประกันตน เข้าระบบประกันสังคม
• ให้ สปส.เป็นองค์กรอิสระ แต่มีการคัดเลือกกรรมการโปร่งใส กรรมการไม่เป็นชุดเดียวกับที่เป็นกรรมการที่เกี่ยวช้องกับระบบอื่นๆ เช่น บัตรทอง ควารมีนักวิชาการทางการแพทย์จากโรงเรียนแพทย์ร่วมเป็นกรรมการการแพทย์ในจำนวนที่เหมาะสมและเพียงพอต่อการปรับปรุงคุณภาพ มาตรฐานการรักษาที่ดีขึ้น
• ให้เข้ารับการรักษาพยาบาลได้ทุกโรงพยาบาล
• ควรใช้ระบบเหมาจ่ายรายหัวแก่ รพ. ควรจ่ายตามจริง เพื่อคุณภาพการบริการที่ดี
กลุ่มที่ 3 ข้อดีของระบบประกันสังคมด้านสุขภาพ
• ส่วนใหญ่พึงพอใจในการรักษาโรคทั่วไปของ สปส.
• ผู้ประตนรู้สึกมีความมั่นคงในการอยู่ในระบบประกันสังคม
ปัญหา/อุปสรรคของระบบประกันสังคมด้านสุขภาพ
• ปัญหาของโรงพยาบาลเอกชน ที่ให้บริการไม่มีคุณภาพและไม่น่าพึงพอใจ
• กรณีอุบัติเหตุฉุกเฉินและโรควิกฤต ที่เข้าใช้บริการสถานพยาบาลแตกจากที่เลือกไว้ ถูกปฏิเสธการรักษา และเรียกเก็บเงินสด
• การให้การรักษาพยาบาลไม่ครอบคลุมทุกกรณีเหมือนกับบัตรทอง
ข้อเสนอแนะ
• ให้จัดทำประชาพิจารณ์ ไปยังผู้ใช้แรงงานในเรื่องเกี่ยวกับข้อมูลด้านสุขภาพของประกันสังคม เพื่อให้สามารถแสดงความคิดเห็น
• เพิ่มสิทธิในการรักษาพยาบาลให้เท่าเทียมหรือมากกว่า สปสช. ที่เหมาะสมกับโรค
• มีระบบข้อมูลคอมพิวเตอร์ออนไลน์ที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลผู้ป่วยในประกันสังคมได้
• มีระบบการให้บริการโรคจากการประกอบอาชีพอย่างครบวงจร
• สนับสนุนให้มีการสมทบกองทุนประกันจากบุคคลภายนอกเพื่อให้กองทุนมีขนาดใหญ่ขึ้นและมีศักยภาพการจัดการมากขึ้น
• ให้เปลี่ยนแปลง คกก. กองทุนประกันสังคม โดยไม่ให้มี คกก. กองทุนประกันสุขภาพแห่งชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง
• ปรับปรุงระบบการตรวจสุขภาพประจำปี ให้มีความครบถ้วน สมบูรณ์ และครอบคลุมตามลักษณะงาน
• ให้นำคู่มือประกันตนไปใช้ประโยชน์อย่างจริงจัง
• ให้มีการวิจัยระบบบริการประกันสุขภาพ
• มีคณะกรรมการปกป้องกองทุนประกันสังคม
กลุ่มที่ 4 ประชามติของกลุ่ม ไม่ย้ายไปอยู่กับสปสช. 100% ให้ยกเลิกเพดานการจ่ายเงินสมทบ ให้เก็บร้อยละ 5 ทั้งหมดทุกระดับรายได้ ให้สปสช.งดสิทธิรักษาฟรีผู้มีรายได้
ข้อดีของระบบประกันสังคม มีรพ.และหมอเฉพาะทาง รักษาได้ตลอด 24 ชั่วโมง ได้รับบริการดี โรคเรื้อรังมีการรักษาต่อเนื่อง ป่วยหยุดงานได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ สามารถเลือกโรงพยาบาลได้ด้วยตนเอง สามารถพึ่งตนเองได้ ไม่ต้องเป็นภาระกับสังคม กำหนดทิศทางได้ด้วยตนเอง
ข้อเสีย ของระบบประกันสังคม วินิจฉัยโรคล่าช้า หน้างอ รอนาน บริการแย่ ยาไม่มีคุณภาพ แพทย์ออกใบรับรองโดยไม่เป็นธรรม ประชาสัมพันธ์สิทธิประโยชน์ไม่ทั่วถึง บางเรื่องประกาศแล้ว แต่ทำไม่ได้ บริการทันตกรรมยังให้จ่ายเพิ่มอีก
ข้อเสียของการบริหารกองทุน
เสียเวลานานเป็นวันในการติดต่อกับสปส. ขาดหน่วยงานย่อยให้บริการจุดเดียวในทุกพื้นที่
ข้อเสนอแนะ
• ให้องค์กรแรงงาน จัดให้มีการวิจัย และสำรวจเพื่อการปรับปรุงระบบประกันสังคมทั้งหมดและด้านสุขภาพให้ดีขึ้น ตามข้อมูลที่เป็นจริง โดยให้ ประกันสังคมเป็นผุ้สนับสนุนงบวิจัย
• ให้เพิ่มวงเงินค่าสัมมนาประกันสังคมเป็น ๔๐๐๐๐ บาทต่อรุ่น
• ให้เพิ่มช่องทางให้ผู้ประกันตนจัดขอการสัมมนาดังกล่าวได้ เพิ่มจากช่องทางผ่านสภาองค์กรลูกจ้าง
• ให้เข้ารักษาได้ทุกโรค ทุกภาวะ ตลอดเวลา ที่โรงพยาบาลของรัฐ
• ให้จัดแพทย์ พยาบาล และบุคคลกรให้เพียงพอทั้งนอกและในเวลา
• ให้ผู้ประกันตนเปลี่ยนโรงพยาบาลได้ทันที ไม่ต้องรอครบ ๑ ปี
• ให้จัดตั้งโรงพยาบาลประกันสังคมทุกจังหวัด โดยให้รักษาผู้ประกันตนที่ได้รับสารพิษ และป่วยจากการทำงานด้วย
• ให้มีหมอด้านโรคจากการทำงาน สารพิษด้วย
• ให้ควบรวมกองทุนเงินทดแทนเข้ากับกองทุนประกันสังคมในกรณีรักษาพยาบาล
• ให้จัดเงินกู้สวัสดิการดอกเบี้ยต่ำโดยประกันสังคมเอง ไม่ต้องผ่านธนาคาร เพื่อปัจจัยในเรื่องที่อยู่อาศัย เครืองอุปโภค และ บริโภค พาหนะ
• ให้บริษัทห้างร้านจัดให้พนักงานในด้านสิทธิประโยชน์ ปีละ ๑ ครั้งอย่างน้อย
• ให้เพิ่มบทลงโทษ และค่าปรับ กับนายจ้างที่เก็บเงินประกันสังคมแล้วไม่ส่งในกำหนด หรือส่งไม่ครบ หรือใช้ฐานอื่นนอกจากรายได้มาหักเงินประกันสังคม
• ไม่ให้นำกองทุนประกันสังคมไปเป็นองค์กรอิสระเด็ดขาด
• ให้การเลือกตั้งกรรมการประกันสังคม เป็นแบบกลุ่ม และมีการพัฒนาบ้าง
• อยากให้ขยายความคุ้มครองเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ในด้านต่างๆ โดยการเพิ่มเพดานสิทธิประโยชน์
• ให้มีการรักษาผู้ประกันตนให้ดีที่สุดโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เช่นผ่าตัดดั้งเดิม ต้องใช้เวลานาน เช่นผ่าตัดผ่านกล้องที่ใช้เวลาน้อยไม่เจ็บนาน กลับบ้านได้เลย
• ให้เรียกชื่อผู้ประกันตน โดยเรียกทั้งชื่อและนามสกุลให้ครบถ้วน (หมายถึงการเรียกชื่อในโรงพยาบาล)
• สถานที่ให้ผู้ประกันตนที่เกิดอุบัติเหตุฉุกเฉินที่ถูกส่งตัวไป โดยมูลนิธิช่วยเหลือต่างๆ ตามที่มูลนิธิสังกัด
• ให้เสนอรัฐบาลงดรักษาฟรีแก่ผู้ที่มีรายได้เพื่อจะได้มาดูแล
• ให้แรงงานเฝ้าระวังการแทรกแซงของ NGOs ในองค์กร ถ้าพบเห็นให้แจ้งสภา, สหภาพ
• กรณีทำฟัน
• ให้จัดศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ต่างๆ การใช้สิทธิในด้านประกันสังคมในพื้นที่ซึ่งมีผู้ประกันตนจำนวนมาก โดยจัดตั้งศูนย์ระดับอำเภอ ค่อยๆ ขยายครอบคลุม
• ให้สิทธิประโยชน์ครอบคลุมในการป้องกันโรคด้วยวัคซีนมะเร็งปากมดลูก ตับอักเสบ
• ให้แก้ไขระเบียบการสนับสนุนงบอุดหนุนองค์กรแรงงานแก่ผู้ประกันตนไม่ให้ใช้ระเบียบเบิกจ่ายแบบราชการ
• ขอให้มีการจัดประชุมสัมมนาเช่นนี้ในแรงงานและผู้ประกันตนในภูมิภาคต่างๆ
• ในระยะเวลาภายใน 1 เดือนข้างหน้า ขอให้หน่วยงานที่มีผู้ประกันตนในหน่วยงานต่างๆ ได้เข้าร่วมอย่างกว้างขวาง โดยให้สภาองค์การลูกจ้างเป็นผู้จัดและให้กระทรวงแรงงานเป็นผู้จ่ายงบประมาณในการจัดสัมมนา
•
สรุปผลสำรวจประชาพิจารณ์จาการตอบแบบสอบถามผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม
ความพึงพอใจด้านบริการสุขภาพในระบบประกันสังคม
• ไม่พึงพอใจ 30 คน (15.96%)
• พึงพอใจ 132 คน (70.21%)
• ไม่ระบุ 25 คน (13.30%)
• พอใจและไม่พอใจ 1 คน (0.53%)
จำนวนผู้ตอบแบบสอบถาม = 188 คน
ระบบหลักประกันสุขภาพที่ต้องการ
• ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 3 คน (1.60%)
• ระบบประกันสังคม 177 (94.15%)
– โดยไม่ต้องมีการเปลี่ยนแปลง 120 คน (67.80%)
– ต้องมีการเปลี่ยนแปลง 36 คน (20.34%)
– ไม่ระบุเหตุผล 20 คน (11.30%)
– ต้องเปลี่ยนแปลงและไม่ต้องเปลี่ยนแปลง 1 คน (0.56%)
• ไม่แสดงความเห็น 8 คน (4.25%)
• ด้านการให้บริการ
• ให้มีการจัดประกวดโรงพยาบาลที่รับประกันสังคมเพื่อพัฒนาการให้บริการ
• ให้มีการตรวจสอบการบริหารจัดการกองทุนประกันสังคมและโรงพยาบาลที่ให้บริการประกันสังคม
• ไม่พอใจบริการในทุกด้านของโรงพยาบาลในประกันสังคม ต้องการให้ปรับปรุง
• ให้บริการช้า ต้องรอนาน คนมาใช้บริการเยอะ
• ปรับปรุงด้านบริการให้เหมาะสมกับเงินสมทบที่จ่ายไป
• ให้สำนักงานประกันสังคมเป็นองค์กรอิสระ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารจัดการ
• ใช้บัตรเพียงใบเดียวในการเข้ารับการบริการในทุกโรงพยาบาลและไม่ต้องสำรองจ่ายเงินก่อน
• ควรมีโรงพยาบาลที่มาจากแรงงานไม่ใช่มาจากภาครัฐและเอกชน
• ด้านสิทธิประโยชน์และการเข้าถึงบริการสุขภาพ
• ให้โรงพยาบาลในประกันสังคมตรวจรักษาอย่างเอาใจคนไข้ ไม่ใช่ตรวจ แล้วจบๆ ไป
• ให้มีสิทธิเข้ารับการรักษาได้ทุกโรค และครอบคลุมทุกผู้เชี่ยวชาญ เช่นการฟอกไตควรให้ฟรีทุกอย่างรวมถึงอุปกรณ์ในการฟอกไต
• ปรับปรุงเรื่องทันตกรรมโดยผู้ประกันตนไม่ต้องออกค่าใช้จ่ายก่อนและให้เพิ่มงบให้มากขึ้น
• ให้เพิ่มเงินค่าคลอดบุตร
• ให้เพิ่มคุณภาพของการรักษาเช่น ยา เครื่องมือแพทย์ ที่มีมาตรฐานและทันสมัย
• ให้ขยายการจ่ายเงินสงเคราะห์บุตร (เช่น แรกเกิด-15 ปี)
• บุตรของผู้ประกันตนสามารถใช้สิทธิประกันสังคมได้ด้วย
• ให้มีสิทธิเข้ารักษาได้ทุกโรงพยาบาลโดย และให้มีความสะดวกมากยิ่งขึ้น
• ให้ประกันสังคมมีโรงพยาบาลไว้เฉพาะผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมเอง จะได้ให้บริการผู้ประกันตนได้อย่างทั่วถึง
• ให้ปรับปรุงสิทธิประโยชน์การรักษาพยาบาลอื่นๆ เพิ่มขึ้น
• ให้แก้ไขกรณีการจ่ายยาไม่ตรงกับโรค
• ให้ปรับปรุงเรื่องยารักษาโรค ไม่ใช่ให้แต่ยาคลายกล้ามเนื้อและยาแก้ปวดเกือบทุกโรค
• ให้รักษาสิ่งดีๆ ไว้
• เพิ่มสิทธิในการตรวจสุขภาพประจำปี โดยไม่ต้องเสียเงิน
• ให้ประกันสังคมดูแลผู้ประกันตนตลอดชีวิต ไม่ใช่ดูแลจนเกษียณเท่านั้น
• ความคิดเห็นด้านอื่นๆ
• ให้นำผู้อยากจน (มีรายได้อยู่แล้ว ไม่ใช่ยากจน) ออกจากระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
• ผู้เสียภาษีทุกคนยินดีให้ความช่วยเหลือผู้ยากจนเท่านั้น
• ให้แรงงานช่วยกันนำเอา NGOs ออกจากระบบแรงงาน
• ขอให้แรงงานตั้งมั่นในการเป็นเสรีชน อย่าทำตัวเป็นขอทาน ให้รับผิดชอบตัวเอง
• ยินดีร่วมจ่ายสมทบ แต่อยากจ่ายน้อยลง
• ให้เพิ่มสิทธิประโยชน์และพร้อมจะจ่ายเงินสมทบเพิ่ม
รวบรวมโดย พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา
ประธานสหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์
และสาธารณสุขแห่งประเทศไทย
(สผพท.)
13 พ.ค. 54