อาจกล่าวได้ว่าในปัจจุบันนั้น ยาสมุนไพรไทยของเรากำลังถูกกำจัดออกไปจากสังคมไทย โดยการต่อต้านจากแพทย์กระแสหลักหรือแพทย์แผนปัจจุบัน โดยเฉพาะการพัฒนาสมุนไพรไทยไปในทางวิทยาศาสตร์ จึงทำให้องค์ความรู้ของแพทย์แผนไทยนั้น ถูกครอบงำโดยระบบวิทยาศาสตร์ หรือถูกขโมยไปจากภูมิปัญญาไทย ตลอดจนสมุนไพรไทยถูกพัฒนาให้เป็นที่แสวงหาผลประโยชน์กำไรจากบริษัททุนนิยม ฯลฯ ดังนั้นเพื่อเป็นการอนุรักษ์สมุนไพรไทยให้อยู่คู่กับคนไทย เภสัชกร ดร.อนุวัฒน์ วัฒนพิชยากูล ดุษฎีบัณฑิต ม.มหิดล จึงได้ออกมาเชิญชวนให้คนไทยหันมาตระหนักและอนุรักษ์ใช้สมุนไพรไทย
ภก.ดร.อนุวัฒน์กล่าวว่า หากต้องการทำให้แพทย์แผนไทย ได้รับความนิยมในแพทย์กระแสหลัก (แพทย์แผนปัจจุบัน) อาจทำได้ยากและคิดว่ายังคงมีข้อติดขัดอยู่หลายประการ เนื่องจากพื้นฐานของแพทย์ทั้ง 2 ระบบนี้เป็นคู่แข่งทางด้านธุรกิจกันอยู่ และหากการแพทย์แผนไทยได้รับความนิยมก็คงจะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างน้อย โดยกลุ่มคนที่จะเข้ามาศึกษาและพัฒนาแพทย์แผนไทยนั้น ส่วนหนึ่งก็เพื่อนำไปใช้แสวงหาผลประโยชน์ โดยการผลิตสินค้าออกมาจำหน่ายในลักษณะทุนนิยมเช่นกัน
ดังนั้น หากต้องการทำให้แพทย์แผนไทยเติบโตและได้รับความนิยมจากประชาชนไทย อันดับแรกจะต้องมีคนในหรือเจ้าหน้าที่ของแพทย์แผนปัจจุบันบางส่วน ให้การสนับสนุนหรือสนใจในเรื่องนี้ และร่วมแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ขณะเดียวกันก็ไม่ควรให้แพทย์แผนปัจจุบันเข้ามาควบคุมแพทย์แผนไทยโบราณที่อยู่ในภาคราชการ ไม่ว่าจะเป็นตำรายาในตำรับบัญชียาหลักสมุนไพรแห่งชาติ ตลอดจนควบคุมหลักการใช้ยาแผนไทย เพราะถ้าหากนำความรู้ในแผนปัจจุบันมาจับ หรือครอบคลุมยาแผนไทยหมด เช่น การทำให้ผู้บริโภครู้สึกปลอดภัยโดยการผลิตยาสมุนไพรไทยให้อยู่ในรูปของแคปซูลนั้น ก็จะเป็นการก้าวก่ายต่อการแพทย์แผนไทย ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการทำงานบนพื้นฐานของการขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องของยาสมุนไพรไทยนั่นเอง
ขณะเดียวกันก็ต้องปรับทัศนคติเดิมที่มีต่อยาสมุนไพรไทย โดยเฉพาะการมองว่าต้องทันสมัย และต้องได้รับการคิดค้นและพัฒนาโดยระบบวิทยาศาสตร์ หรือต้องได้รับระบบมาตรฐาน GMP ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ทั่วโลกยอมรับ เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเป็นตัวทำลายอุตสาหกรรมยาสมุนไพรไทย ที่เป็นแบบระบบครอบครัวให้ปิดตัวลงไป นอกจากนี้คนวงการแพทย์แผนไทยเองก็ต้องตื่นตัวที่จะพัฒนาต่อสู้ เพื่อให้ความรู้หรือข้อแนะนำที่กล่าวมาข้างต้นนั้นได้รับการยอมรับและแก้ไขให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น
ดร.อนุวัฒน์กล่าวอีกว่า อีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยกระตุ้นให้วงการแพทย์แผนไทยหรือยาไทยให้ได้รับความนิยม อีกทั้งเป็นการอนุรักษ์สมุนไพรไทยเอาไว้ คือ การหันกลับมาใช้และศึกษาเรื่องของสมุนไพรไทยที่เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิม โดยเริ่มต้นจากการปลูกสมุนไพรกินเอง ทำยากินเอง เพราะการปรุงยาสมุนไพรรับประทานเองนั้น ไม่จำเป็นต้องอาศัยความรู้มากมาย เพียงแค่ลองใช้ขมิ้นชันที่ปลูกไว้ในสวนนำมาต้มใช้รับประทาน พูดง่ายๆ ว่าเป็นการเรียนรู้ว่าวิธีการปรุงยาใช้ในครอบครัวด้วยตนเอง ซึ่งจะทำให้เราทราบถึงวิธีการปรุงยาว่าเริ่มจากอะไร และมีขั้นตอนในการทำอย่างไร ขณะเดียวกัน ดร.อนุวัฒน์แนะนำว่า หากไม่สามารถปรุงยาสมุนไพรรับประทานเองได้ ก็ควรปรึกษากับแพทย์แผนโบราณที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องของสมุนไพร เพื่อจะช่วยทำให้รับทราบถึงวิธีการการดูแลตนเองที่ถูกต้องมากขึ้น และช่วยทำให้มีสุขภาพที่ดีเช่นกัน
สำหรับการรับประทานยาสมุนไพรไทยให้ได้ผลนั้น ดร.อนุวัฒน์กล่าวว่า ควรรับประทานยาสมุนไพรในรูปแบบของยาตำรับ หรือยาสมุนไพรที่มีสมุนไพรหลากหลายชนิดผสมรวมกันอยู่ในปริมาณที่สมดุล อีกทั้งเป็นยาที่มีสูตรในการปรุงซึ่งเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของไทย เช่น การรับประทานยาหอมที่มีสรรพคุณซึ่งสามารถรับประทานร่วมกับยาชนิดอื่นได้ เป็นต้น ทั้งนี้เป็นเพราะการรับประทานยาสมุนไพรตัวเดียวเป็นเวลานานๆ นั้นเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม และไม่สามารถช่วยรักษาโรคให้หายได้ เนื่องจากมีตัวยาอยู่เพียงชนิดเดียวจึงไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้นั่นเอง
ที่สำคัญก็ต้องรู้จักเลือกรับประทานยาให้เป็นอาหาร และเลือกรับประทานอาหารให้เป็นยา เช่น การเลือกรับประทานแกงขี้เหล็ก เพื่อช่วยป้องกันโรคนอนไม่หลับ หรือเลือกรับประทานข้าวกล้องเพื่อช่วยเรื่องของระบบย่อยอาหาร และการขับถ่ายให้ดี เป็นต้น นอกจากนี้ก็ควรเลือกรับประทานยาสมุนไพรโดยต้องเป็นยาที่ไม่ใช้สารเคมี เพื่อป้องกันการเพิ่มสารเคมีให้กับร่างกาย ท้ายนี้ ดร.อนุวัฒน์กล่าวว่า แม้ว่าทางเลือกของการใช้ยานั้นไม่ได้มีแค่เพียงทางเลือกเดียว แต่การพึ่งพาตนเองโดยการใช้สมุนไพรไทยพื้นบ้านของเรานั้นนับเป็นสิ่งที่ดีที่สุด.
ไทยโพสต์ 18 กรกฎาคม 2554