สัปดาห์ก่อน “X-RAY สุขภาพ” ได้นำเสนอบทความเรื่อง “อัลตราซาวด์” หญิงตั้งครรภ์ ทำไม ?” เพื่อให้ความรู้กับผู้อ่าน แต่ทาง “แพทยสภา” มีข้อกังวลว่า อาจส่งผลกระทบต่อผู้ใช้บริการ คือ หญิงตั้งครรภ์ที่อยากทำอัลตราซาวด์มากขึ้น แต่ผู้ให้บริการ คือ บุคลากรทางการแพทย์ รวมทั้งเครื่องมือ มีจำกัด คงไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้ทั้งหมด จึงได้สะท้อนมุมมองผ่าน “เดลินิวส์” อีกครั้ง
เริ่มจาก ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวว่า บ้านเรามีการคลอดปีละประมาณ 8 แสนคน แต่ข้อจำกัด คือ มิใช่ทุก รพ. มีเครื่องอัลตราซาวด์ ราคาตั้งแต่ 5 แสน-4 ล้านบาท อีกทั้งผู้เชี่ยวชาญใน การทำอัลตราซาวด์จริง ๆ มีเพียง 105 คนจากสูตินรีแพทย์ประมาณ 2,000 คนทั่วประเทศ ที่สำคัญผู้ทำ คลอดส่วนใหญ่มิใช่แพทย์ แต่เป็นพยาบาลผดุงครรภ์ และอนามัย เมื่อมีปัญหาแทรกซ้อน จึงจะตามแพทย์มาดูแล ดังนั้นถ้าจะทำ อัลตราซาวด์ให้หญิงตั้งครรภ์ทุกราย ผู้เชี่ยวชาญ 105 คนคงทำไม่ได้
ศ.นพ.สมบูรณ์ คุณาธิคม ประธานราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การทำอัลตราซาวด์ ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็น 100% สำหรับสตรีตั้งครรภ์ เพราะไม่ได้ช่วยลดอัตราการตายหรืออัตราการเกิดทุพพลภาพของ ทารกแรกเกิด ดังนั้นจึงทำเฉพาะในสถานที่ที่มีความพร้อม และในกรณีที่มีข้อบ่งชี้ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะตรวจเมื่ออายุครรภ์ 18-22 สัปดาห์ ส่วน การตรวจครั้งที่ 2 จะทำในกรณีที่มี ข้อสงสัยว่าอาจจะ มีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น เช่น มีเลือดออกทางช่องคลอด เด็กในครรภ์โตไม่ได้สัดส่วนกับอายุครรภ์ ครรภ์เป็นพิษ ในสถานที่ที่ ไม่มีความพร้อมการฝากและตรวจครรภ์อย่างสม่ำเสมอ ก็จะมีความปลอดภัยเพียงพอ ถ้าหากมีข้อบ่งชี้ที่จำเป็น ก็สามารถส่งต่อไปยังสถานพยาบาลที่มีความพร้อมได้
ตามสถิติโอกาสเด็กเกิดมาพิการแต่กำเนิดปีละประมาณ 1-2% หรือประมาณ 1 หมื่นคน การทำอัลตราซาวด์ ไม่สามารถตรวจพบได้ทุกราย เพราะส่วนใหญ่จะดูพื้นฐาน คือ ความสมบูรณ์ของอวัยวะ เช่น สมอง ท้อง หัวใจ ถ้าปากแหว่ง เพดานโหว่ แขนขาด อาจจะไม่สามารถตรวจพบได้ ถามว่าตรวจพบได้หรือไม่ก็ต้องบอกว่าได้ แต่จะต้องอาศัยเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูง และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทั้งนี้แม้จะตรวจพบความพิการ แต่เป็นความพิการที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยที่ ไม่เป็นภาระ สังคม ทารกก็มีสิทธิที่จะเกิด
ศ.นพ.สมบูรณ์ กล่าวอีกว่า ในบ้านเราอาศัยพยาบาลผดุงครรภ์ในการตรวจครรภ์และคลอดเป็น หลัก แพทย์จะเข้าดูแลเมื่อครรภ์นั้นเป็นครรภ์เสี่ยง ซึ่งพบได้ประมาณ 30% หรือประมาณ 2-2.5 แสนคนต่อปี ปัญหาหนึ่งที่ต้องยอมรับคือหญิงตั้งครรภ์ในบ้านเราจำประจำ เดือนครั้งสุดท้ายไม่ได้ เยอะมาก ถ้าไม่มีเครื่องอัลตราซาวด์ การประเมินอายุครรภ์จะดูจากขนาดมดลูก และการเจริญการเติบโตของทารก ดังนั้นการฝากครรภ์สม่ำเสมอมีความสำคัญกว่าการทำอัลตราซาว ด์ด้วยซ้ำ
ศ.คลินิก นพ.อำนาจ กุสลานันท์ อุปนายกแพทยสภาคนที่ 1 กล่าวว่า ฝากเพื่อนแพทย์ที่อยู่ห่างไกล ไม่มีเครื่องอัลตราซาวด์ ขอให้ดูแลผู้ป่วยอย่างที่ เคยทำ รับรองว่าจะสร้างความปลอดภัยแก่ผู้ป่วยและคงไม่มีปัญหา ส่วนประชาชนที่ไม่ได้รับการทำอัลตราซาวด์ อาจจะเป็นเพราะ รพ.ไม่มีเครื่อง หรือแพทย์คิดว่าไม่จำเป็น ก็ขอให้มั่นใจว่าจะได้รับความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล ทั้งนี้แม้การทำอัลตราซาวด์จะตรวจพบว่ามีความพิการ แต่ถ้าเป็นความพิการที่สามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้ ไม่เป็นภาระต่อสังคมตามกฎหมายก็ไม่สามารถทำแท้งได้
รศ.พญ.ประสบศรี อึ้งถาวร อุปนายกแพทย สภาคนที่ 2 กล่าวว่า อยากพูดถึงการฝากครรภ์ของประชาชนทั่วไป เมื่อตั้งครรภ์ ควรมาตรวจกับบุคลากร ทางการแพทย์ให้เร็วที่สุด เมื่อรู้ว่าตั้งครรภ์ เพื่อหาความ ผิดปกติ โรคภัยไข้เจ็บทั้งของมารดาและทารกในครรภ์ ตามมาตรฐานจะมีการฝากครรภ์ระดับต่าง ๆ 4 ครั้งต่อการตั้งครรภ์ ในกรณีที่ผู้ป่วยมีปัจจัยเสี่ยงจะต้อง มาฝากครรภ์บ่อยขึ้น คุณหมอหรือพยาบาลที่เป็นคนดูแลจะนัดเป็นช่วง ๆ ไป ในกลุ่มที่ไม่มีความเสี่ยงเลย หรือความเสี่ยงต่ำ จะได้รับการตรวจครรภ์น้อยครั้ง และใช้การตรวจทางคลินิกเป็นส่วนใหญ่ แต่ถ้ามีปัจจัยเสี่ยง เช่น มารดาอายุน้อย มีโรคประจำตัว จะนัดมาตรวจเพิ่มขึ้นตามความเหมาะสม แต่บางส่วนอาจจะไม่เข้าใจว่า ทำไมถูกนัดมาตรวจน้อยครั้ง ในขณะที่บางคนถูกนัดบ่อยครั้ง ก็ขอเรียนว่า ขี้นอยู่กับปัจจัยเสี่ยงที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งเมื่อตรวจครรภ์ไปเรื่อย ๆ คุณแม่ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่ำอาจจะมีความเสี่ยงสูงได้ ตรงนี้อย่านิ่งนอนใจ อย่ารอเวลานัด ควรจะไปพบแพทย์ทันทีที่รู้สึกว่า มีความผิดปกติ
สำหรับการทำอัลตราซาวด์ เป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่จะช่วยเสริมในการตรวจครรร์เท่านั้น เพราะฉะนั้น การจะทำหรือไม่ทำ มิใช่ข้อบ่งชี้ของมาตรฐานในการฝากครรภ์ เพราะการฝากครรภ์ที่ดี อยู่ที่การตรวจครรภ์เหมาะสมถูกต้องในขั้นตอนต่าง ๆ ตามอายุครรภ์ ซึ่งความร่วมมือของคุณแม่ก็เป็นสิ่งสำคัญ
ถ้าหญิงตั้งครรภ์อยากตรวจอัลตราซาวด์สักครั้ง เพื่อดูว่าลูกอวัยวะครบ 32 หรือไม่ แต่ไป รพ.ที่ทำอัลตราซาวด์ไม่ได้จะบอกอย่างไร ? รศ.พญ.ประสบศรี กล่าวว่า อันนี้ขึ้นอยู่กับระบบสาธารณสุข ต้องเข้าใจว่าระบบสาธารณสุขเราเป็นแบบพีระมิด รพ.ชุมชนตรวจครรภ์ครั้งแรกเมื่อพบความเสี่ยงจะส่งมาตามร ะบบส่งต่อ มาที่ รพ.ทั่วไป ซึ่งจะมีเครื่องอัลตราซาวด์และสูตินรีแพทย์ ดังนั้นก็อยากส่งเสริมว่างบไทยเข้มแข็งควรไปที่ รพ.ศูนย์ รพ.ทั่วไป การจะส่งเครื่องมือแพทย์ไประดับ ล่าง ๆ อย่าง รพ.ชุมชนไม่เหมาะสม เพราะคนไข้มีไม่มาก เราควรรวมศูนย์เทคโนโลยีชั้นสูงไว้ที่เดียว แต่ทำระบบส่งต่อให้เหมาะสม งบประมาณจะมีประโยชน์สูงสุด
นพ.สัมพันธ์ คมฤทธิ์ เลขาธิการแพทยสภา กล่าวว่า ความสูญเสียที่เกิดจากการคลอด 8 แสนครั้ง ต่อปีในบ้านเราไม่ได้สูงกว่าต่างประเทศ มีคำถามว่า ถ้าอัลตราซาวด์มีประโยชน์ ทำมาก ๆ ไม่ดีกว่าหรือ ขอเรียนว่า ถ้าทำมาก โอกาสจะลดความเสี่ยงได้บ้าง แต่การจะทำเช่นนั้นได้จะต้องพัฒนาระบบการบริการสุขภาพของ ประเทศ ซึ่งรัฐบาลจะต้องสนับสนุนทรัพยากรและงบประมาณให้กับกระทรวง สาธารณสุขมากพอสมควร.
นวพรรษ บุญชาญ : รายงาน
เดลินิวส์ 17 มกราคม 2553