หมอสมาน เล็งออกมาตรการคุมเหล้าเพิ่ม จ่อเสนออีก 3 ประเด็น เรื่องกำหนดเวลาและอายุผู้ซื้อเหล้าปั่น ห้ามขายรอบสถานศึกษา และปรับโทษขายเกินเวลา แย้มเตรียมถกเรื่องคำเตือนในฉลากเหล้าด้วย
นพ.สมาน ฟูตระกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค (แฟ้มภาพ)
นพ.สมาน ฟูตระกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ขณะนี้นายกรัฐมนตรีได้ลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และคณะกรรมการสัดส่วนองค์กรพัฒนาเอกชนแล้ว ทำให้การทำงานของคณะกรรมการควบคุมฯ จะสามารถเริ่มวาระการประชุมต่อไปได้ โดยจะมีการประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 11 ก.ย.นี้ โดยจะมีวาระสำคัญ 3 ประเด็นที่จะขับเคลื่อนต่อ คือ เรื่องเหล้าปั่น การขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รอบสถานศึกษา และ เวลาในการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ อาจจะมีการหารือเรื่องคำเตือนในฉลากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย ซึ่งคณะอนุกรรมการควบคุมฯ จะหารือถึงประเด็นเหล่านี้ ก่อนที่จะนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการควบคุมฯ ต่อไป
นพ.สมาน กล่าวว่า สำหรับประเด็นเรื่อง เหล้าปั่น แนวทางเบื้องต้น จะมีการควบคุมไม่ให้มีการจำหน่ายเหล้าปั่นนอกเหนือจากสถานที่ที่กฎหมายกำหนด เช่น รถเข็น รถเร่ เป็นต้น โดยจะอนุญาตให้จัดจำหน่ายได้เฉพาะในสถานประกอบการที่มีการควบคุมเวลาและอายุของผู้ซื้อเท่านั้น สำหรับการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รอบสถานศึกษา แนวทางเบื้องต้น ยังต้องมีการหารือต่อไป ว่า ระยะพื้นที่ที่จะกำหนดจะอยู่ที่เท่าใด แต่ข้อเสนอเบื้องต้นคือ 300-500 เมตรรอบสถานศึกษา โดยในระยะแรก จะมีการควบคุมในสถานศึกษาประเภทอุดมศึกษาก่อน และอาจจะมีการขยายไปถึงระดับมัธยมศึกษาต่อไป ซึ่งจะมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้เยาวชนกลายเป็นนักดื่มหน้าใหม่ โดยที่ผ่านมายังไม่มีการออกกฎบังคับที่ชัดเจน
นพ.สมาน กล่าวว่า มาตรการเรื่องเวลาในการจำหน่ายสุรา จะมีการเสนอให้ปรับแก้ โดยแต่เดิมกฎหมายยึดประกาศคณะปฏิวัติ 253 ซึ่งการบังคับใช้จะยังเหลื่อมล้ำ คือ หากสถานประกอบการมีใบอนุญาติและขายเกินเวลา จะมีโทษปรับไม่เกิน 4 พันบาท หรือจำคุกไม่เกิน 2 ปี หากไม่มีใบอนุญาติจะมีโทษเพียงปรับไม่เกิน 500 บาทสำหรับการขายสุราไทย และปรับไม่เกิน 2 พันบาท กรณีจำหน่ายสุรานอก ซึ่งการเสนอประกาศฉบับใหม่ จะเป็นการใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 โดยไม่ยึดใบอนุญาติเหมือนเดิม หากมีการขายเกินเวลาจะมีโทษเหมือนกัน คือ ปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาทหรือจำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือทั้งจำทั้งปรับ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมและปรับให้ทันต่อสถานการณ์มากขึ้น
