ผู้เขียน หัวข้อ: สธ.เด้ง5จนท.รพ.เข้ากรุ  (อ่าน 1050 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9803
    • ดูรายละเอียด
สธ.เด้ง5จนท.รพ.เข้ากรุ
« เมื่อ: 21 มีนาคม 2012, 21:49:54 »
เมื่อวันที่ 20 มีนาคม นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมว.สธ.) กล่าวถึงการควบคุมการเบิกจ่ายยาสูตรผสม ซูโดอีเฟดรีน หลังตรวจสอบปัญหายาแอคติเฟด ซึ่งเป็นส่วนผสมของสารตั้งต้นยาเสพติด หายไปจากโรงพยาบาลของรัฐ ว่า หลังรัฐบาล ประกาศนโยบายป้องกันยาเสพติดแพร่ระบาด สธ.จึงสั่งยกเลิกขายยาแก้หวัดที่มีส่วนผสมของซูโดอีเฟดรีนในส่วนของร้านขายยา ปลีกย่อย เมื่อยกเลิกแล้วเราก็พบรายละเอียด การเบิกจ่ายยาดังกล่าวเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะสถานที่ให้บริการสาธารณสุข

สธ.สั่งเลิกขายยาหวัดผสมซูโดฯ

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมของประชาชนทั่วไปที่ใช้ยาแก้หวัดหรือไม่ นายวิทยากล่าวว่า ไม่มี เพราะอย่างน้อย ซูโดอีเฟดรีนชนิดเดี่ยว ยังใช้ได้อยู่ มีการควบคุมอยู่แล้ว แต่ขณะนี้การหารือขององค์การ อาหารและยา(อย.) ที่ส่งเรื่องไปที่กฤษฎีกาในเรื่องการขอความเห็นว่า ถ้าซูโดอีเฟดรีนมีผลกระทบต่อจิตและประสาท เราจะขอเป็น การควบคุม ถ้าจะทำบัญชีโดยวิธีการถ้าใครจะสั่งจ่ายยาจะควบคุมโดยใช้บัตรประชาชน ซึ่งจะทำให้รู้ที่มาว่า ยาไปอยู่ที่ใคร ซึ่งขณะนี้ได้ทำการปิดช่องว่างตรงนี้อยู่และปัจจุบันเอง ได้มีคำสั่งขอให้ระงับการสั่งจ่ายและการขายชั่วคราว จนกว่ากฤษฎีกาจะมีความเห็นและมีประกาศออกมาสามารถควบคุมได้

เด้งเข้ากรุ5จนท.รพ.เอี่ยวยาหาย

ด้าน นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวง สาธารณสุข กล่าวถึงการสอบสวนกรณี ยาซูโดอีเฟดรีนหายจากคลังยาของโรงพยาบาล สังกัด สธ.ว่า ผลตรวจสอบเบื้องต้น 3 โรงพยาบาล ออกมาแล้ว ได้แก่ รพ.อุดรธานี จ.อุดรธานี รพ.ทองแสงขัน จ.อุตรดิตถ์และรพ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ โดยมีการย้ายผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 5 คน มาช่วยราชการที่ สธ.มีผลตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม ภายใน 24 ชม. โดยผู้ถูกสอบสวน วินัยร้ายแรงนั้น เป็นเภสัชกรประจำโรงพยาบาล 3 คน หนึ่งในนั้น มีการหลบหนี 1 คน ซึ่ง อาจจะได้รับโทษทางอาญา ยังมีผอ.รพ.ทองแสงขัน 1 คน ส่วน ผอ.รพ.กมลาไสย ถูกตั้งกรรมการ สอบวินัยไม่ร้ายแรง ทั้งนี้ หากผลสรุปการสอบสวนมีผู้กระทำความผิด และเกี่ยวข้องกับการนำยาจากคลังยาของโรงพยาบาลไปเกี่ยวข้องกับสารตั้งต้นยาเสพติด จะได้รับโทษวินัยร้ายแรง ตั้งแต่โทษไล่ออกและให้ออกจากราชการ ส่วนโทษวินัยไม่ร้ายแรงนั้น มีตั้งแต่หักเงินเดือน ลดขั้นเงินเดือนและภาคทัณฑ์

กาฬสินธุ์พร้อมเผยความจริง

นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ผวจ. กาฬสินธุ์ กล่าวถึงการตรวจสอบยาแก้หวัดหายจาก รพ.กมลาไสย หลังสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) เสนอให้ตั้งสอบวินัยกับ 7 เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ซึ่งรวมผู้อำนวยการโรงพยาบาลด้วยว่า ขณะนี้ได้เซ็นคำสั่งสอบวินัยส่งให้กระทรวงสาธารณสุข ทำการตั้งกรรมการสอบ แล้ว เนื่องจากเหตุเกิดในหลายจังหวัด ส่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะนำเสนอเพื่อให้ส่วนกลาง เข้ามาสอบสวน ซึ่งทางจังหวัดจะให้ข้อมูลอย่าง ตรงไปตรงมา หากไปเกี่ยวพันกับใครก็จะดำเนินคดีทันที เพราะคดีนี้เป็นหนึ่งในนโยบาย รัฐบาลต้องเร่งปราบปรามต้นต่อของยาบ้า

อายัดเงินสดเภสัชกรอุดร13ล.

วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานความ คืบหน้ากรณี นายสมชาย แซ่โค้ว เภสัชกร รพ.ศูนย์อุดรธานี ลักลอบนำยาแก้หวัดไปขาย กว่า 4,200,000 เม็ด ล่าสุด พ.ต.ท.มนัส อัดโดดดร พนักงานสอบสวน สภ.เมืองอุดรธานี เจ้าของคดี เปิดเผยว่า ตำรวจตรวจสอบพบเงินสดในบัญชีธนาคารของนายสมชาย อีก 16 บัญชี แต่ละบัญชีมีเงินฝากรวม 13,922,285 ล้านบาท จึงสั่งอายัดทันที ไม่รวมกับที่สั่ง อายัดบัญชีไปแล้วก่อนหน้านี้ 9 ล้านบาทเศษ เท่าที่ทราบ นายสมชาย เป็นเภสัชกรควบคุมห้องยาคนเดียวและมีอำนาจสั่งซื้อยาถึงปีละ 16 ล้านบาท ซึ่งวันที่ 21 มีนาคมนี้ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส.จากกรุงเทพฯจะเดินทางเข้าพบพนักงาน สอบสวนเพื่อขยายผลเครือข่ายยักยอกยาแก้หวัด ไปขาย ซึ่งเท่าที่ทราบมีโรงพยาบาลต่างอำเภอ ใน จ.อุดรธานี อีก 3 แห่ง ที่สั่งยาจำนวนมาก ส่งไปภาคเหนือ

ปูสั่งดีเอสไอสอบยารพ.หาย

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หากขายปกติไม่มีปัญหา นำเข้ามาโรงงานผลิตก็มีสำนักคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ควบคุมส่งไปโรงพยาบาล ก็คุมได้ แต่จากโรงพยาบาลมีการขายมีการยักยอกนำออกไปเป็นสารตั้งต้นในการผลิต ซึ่งเรื่องนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สั่งการให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สอบสวนเรื่องนี้ เพราะถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าสกัดเรื่องนี้ไม่ได้ ก็แก้ปัญหายาเสพติดลำบาก

ธาริตยินดีสอบสวนทันควัน

ขณะที่ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยความคืบหน้าการสอบสวนกรณีลักลอบนำยาแก้หวัดที่มีสารซูโดอีเฟดรีน ซึ่งเป็นส่วนประกอบของยาบ้าและยาไอซ์ออกจากโรงพยาบาล จำนวนมากว่า วันจันทร์ที่ 26มีนาคมนี้ ดีเอสไอจะเสนอกรณีดังกล่าวต่อที่ประชุมคณะกรรมการ คดีพิเศษ (กคพ.) เพื่อให้รับเป็นคดีพิเศษ เนื่องจากคดีมีความสลับซับซ้อน มีการทำเป็น เครือข่าย หากรับเป็นคดีพิเศษจะทำให้การทำงานเดินหน้าได้เต็มที่ ขณะนี้มีข้อมูลว่า ตั้งแต่ปี 2551-กรกฎาคม 2554 มีการจับกุม ยาแก้หวัดที่ลักลอบออกจากระบบ 44.4 ล้านเม็ด คาดว่ายอดแท้จริงที่หายออกจากระบบต้องสูงกว่าปริมาณที่จับกุมอีกมาก

เล็งเป้าเรียกสอบผอ.22รพ.

เบื้องต้น อย.รายงานว่า พบความผิดปกติ ในการสั่งซื้อยาของโรงพยาบาล 22 แห่ง ซึ่งหลังรับเป็นคดีพิเศษต้องเรียก ผอ.โรงพยาบาล เหล่านี้เข้าชี้แจงข้อมูล อย่างไรก็ตาม ยังเร็ว เกินไปที่จะระบุว่า มีบุคคลระดับใดเข้าไปเกี่ยวข้องกับในขบวนการ รวมถึงในส่วนของ อย.ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ควบคุมการเบิกจ่ายยา อย่างไรก็ตาม ดีเอสไอยังไม่พบข้อมูลว่า มีเจ้าหน้าที่ อย.คนใดเข้าไปมีส่วน รู้เห็น เนื่องจาก อย.เป็นแค่ผู้กำกับตรวจสอบ ปริมาณ ขณะที่การตรวจสอบพบยาแก้หวัดเล็ดลอดออกจากระบบของโรงพยาบาล ซึ่งบางแห่งพบว่า มีการรายงานเป็นเท็จ

แนวหน้า  21/3/2012