ผู้เขียน หัวข้อ: เด้งผอ.รพ.ภูสิงห์ศรีสะเกษเซ่นยาซูโดเจ้าตัวปัดเกี่ยว  (อ่าน 1639 ครั้ง)

ABBA

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2105
    • ดูรายละเอียด
สธ.เด้งผู้อำนวยการโรงพยาบาลภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ เซ่นยาซูโดอีเฟดรีน

จากกรณีที่ ยาแก้หวัดสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนหายไปจาก รพ.ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขหลายแห่ง นพ.โสภณ เมฆธน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนกลาง มีคำสั่งย้าย ผอ.รพ.ที่มีปัญหาซึ่งในนั้นรวมถึง นพ.กิตติภูมิ จุฑาสมิต ผอ.รพ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษด้วย โดย นพ.โสภณแจ้งว่า แม้จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด แต่มีหน้าที่กำกับดูแล ดังนั้นจึงได้นำสนอต่อปลัดกระทรวงสาธารณสุขย้ายมาช่วยราชการที่ส่วนกลาง และสอบสวนวินัยไม่ร้ายแรง จนกว่าการสอบสวนในพื้นที่จะแล้วเสร็จจึงจะมีการเปลี่ยนแปลงคำสั่งใหม่ต่อไป

นพ.กิตติภูมิ กล่าวขณะเตรียมตัวออกเดินทางไปรายงานตัวที่กระทรวงฯ ในวันพรุ่งนี้ (2 พ.ค.) ว่า ในฐานะผู้บังคับบัญชาก็ต้องรับผิดชอบร่วมกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เรื่องนี้ตนไม่ได้เกี่ยวข้อง ไม่เคยคิด และไม่เคยทำ ปัจจุบันมีรายได้หลักแสนต่อเดือนซึ่งเป็นธรรมดาของหมอที่ทำงานมา 20 กว่าปีที่จะมีรายได้ประมาณนี้ แต่ไม่ได้ซื้อบ้าน ไม่ซื้อรถยนต์ส่วนตัว และก็ไม่ได้ทำเรื่องขอลดหย่อนภาษีทั้งที่มีสิทธิ์เต็มที่ เช่นลดหย่อนภาษีลูกกตัญญู ก็เห็นว่าเราเองไม่เคยได้ไปดูแลพ่อแม่จะไปขอลดตรงนี้ก็ดูไม่ดี นอกจากนี้ยังได้บริจาคเข้ามูลนิธิเพื่อสังคมต่าง ๆ เช่น ซีซีเอฟ องค์การยูนิเซฟ และอีกหลาย ๆที่ตรงนี้ก็ไม่ได้เอามาลดหย่อนภาษีแต่อย่างใด

เมื่อถามว่าหรือรู้สึกอย่างไรที่ต้องจากพื้นที่ ภูสิงห์ไป นพ.กิตติภูมิ กล่าวว่า รู้สึกใจหายเหมือนกันที่ต้องจากพี่น้องที่นี่ไป เพราะอยู่ศรีสะเกษมาตั้งแต่เรียนจบใหม่ ๆ เป็นความตั้งใจว่าจะเป็นหมอที่ไปช่วยเหลือชาวบ้านในชนบทก็ได้มาประจำที่ รพ.ห้วยทับทัน จ.ศรีสะเกษ อยู่ได้ 1 ปี พอหมอที่ รพ.ยางชุมน้อยขาด ก็อาสาไปอยู่ที่นั่นเพราะสมัยนั้น อ.ยางชุมน้อยยังไม่มีถนนลาดยาง และสะพานข้ามแม่น้ำมูลก็ไม่มี ชาวบ้านจะเข้ามาตัวเมืองต้องนั่งแพข้ามมาก็ถือว่าเป็นอำเภอที่ทุรกันดารมาก ก็อยู่ที่นั่น 8 ปีจนกระทั่งมีการสร้างสะพานและทำถนนลาดยาง การสัญจรไปมาเริ่มสะดวกสบายมากขึ้น ไม่เคยท้อเพราะเป็นความตั้งใจแต่ต้นที่เราเลือกเรียนหมอ เราไม่ได้ตั้งใจว่าจะต้องเป็นหมอใน รพ.ใหญ่หรือ รพ.เอกชน แต่เราต้องการเป็นหมอเพื่อช่วยเหลือคนที่ด้อยโอกาส มาอยู่ รพ.ภูสิงห์ใหม่ ๆ 2-3 ปีแรกก็ยังมีสงครามสู้รบในประเทศเพื่อนบ้าน หน้าที่เราจึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่รักษาคนไทยแต่ต้องดูแลคนป่วยที่เป็นผู้อพยพชาวกัมพูชาด้วย และจนถึงทุกวันนี้ภูสิงห์ยังเป็นอำเภอเล็กที่ไม่มีแม้กระทั่งที่ทำการไปรษณีย์ พออยู่ไปก็เริ่มรู้สึกผูกพัน ภูสิงห์กลายเป็นเสมือนบ้านไปแล้ว เมื่อวานชาวบ้านรู้ข่าวว่าจะต้องย้ายเข้ากรม ก็พากันมาให้กำลังใจ เอาของฝากมาให้ มียายแก่ ๆคนหนึ่งร้องไห้ไม่อยากให้เราไป เราเองเป็นผู้ชายแท้ ๆก็ยังอดร้องไห้ตามไม่ได้ ซึ่งบรรยากาศอย่างนี้มีเงินก็ซื้อไม่ได้ เราก็บอกเขาว่าถ้าหมดเรื่องแล้วจะกลับมาหาพวกเขาอีกอย่างแน่นอน

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 1 พฤษภาคม 2555