This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
Messages - story
หน้า: 1 ... 605 606 [607] 608 609 ... 651
9091
« เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2011, 22:34:36 »
ณ ห้องประชุมกระทรวงแรงงานชั้น ๗ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๘ พฤษภาคมนี้ ลูกจ้างชายร่างสันทัด ผิวกร้านดำ ได้ลุกขึ้นพูดอย่างทะนงตัวตามใจความข้างต้น กลางที่ประชุมผู้ใช้แรงงานกว่า ๒๐๐คน ที่พากันมาสัมมนาพูดคุยกันว่า ควรหรือไม่ที่ผู้ใช้แรงงาน กว่า ๙ ล้านคน จะยกพวกเอาประกันสุขภาพของตนออกจากระบบประกันสังคมไปอยู่ในระบบบัตรทองของฟรีจากรัฐบาล ดังที่เอ็นจีโอกลุ่มหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวผลักดันในทุกวันนี้
อะไรคือเหตุผลที่ชายผู้นั้น และผู้ใช้แรงงาน กว่า ๒๐๐ คน ที่ลงมติเป็นเอกฉันท์ในภาคบ่ายว่าไม่เอาของฟรี และยอมที่จะลงขันในอัตราโดยเฉลี่ย คนละ ๘๐๐ บาทต่อปี เพื่อสร้างหลักประกันสุขภาพของพวกตนเองในระบบประกันสังคม ต่อไปอีก ก็เป็นข้อที่ผมจะขอรายงานไปโดยลำดับดังนี้
ระบบประกันสังคม
ที่ประชุมวันนั้นได้ให้ข้อความคิดเป็นความหมายของระบบประกันสังคมไว้ชัดเจนก่อนว่า เป็นระบบที่สมาชิกพร้อมจะรับผิดชอบตัวเองอยู่ก่อนแล้ว แล้วจึงออกเงินมารวมเป็นกองทุนกลางเพื่อเป็นหลักประกันสุขภาพร่วมกันของทุกคน ถ้าเป็นระบบของผู้ใช้แรงงานไทยก็ออกกันเฉลี่ยปีละ ๘๐๐ บาท มีรัฐกับนายจ้างสมทบให้อีกก้อนหนึ่ง จนทุกคนก็ได้หลักประกันไปถ้วนหน้า เช่นถ้าใครป่วยเป็นมะเร็ง โดนค่าใช้จ่ายไป ๕ แสนบาท ก็เอาจากกองกลางนี้ได้ ทั้งๆที่เพิ่งออกเงินไปแค่ ๑๐ ปี เป็นเงิน ๘ พันบาทเท่านั้นเอง เป็นต้น
การลงเงินสร้างหลักประกันร่วมกันเช่นนี้ อาจเกิดขึ้นโดยการร่วมกันซื้อกรมธรรม์ประกันสุขภาพของบริษัทเอกชนก็ได้ หรือแม้ในกรณีสวัสดิการรักษาพยาบาลฟรีของข้าราชการนั้น พิเคราะห์ให้ลึกๆแล้วก็เป็นประกันสังคมเช่นกัน เพราะสวัสดิการอย่างนี้คือเหตุผลสำคัญที่ดึงดูดคนให้มาทำราชการด้วยเงินเดือนต่ำได้ ส่วนต่างของเงินเดือนข้าราชการที่ต่ำกว่าตลาดนี่เอง ที่เปรียบได้เช่นเงินที่ข้าราชการได้นำมาลงขันกันไว้เป็นรายเดือน แล้วจ่ายจริงออกมาจากกรมบัญชีกลางเมื่อมีใครเจ็บป่วย
ความเข้าใจเช่นนี้พิเคราะห์ให้ลึกซึ้งต่อไปอีก ก็จะได้ความคิดต่อไปว่า คนเราถ้าอยู่โดยลำพังไม่ร่วมมืออะไรกันเลย ก็จะเกิดหลักประกันอะไรขึ้นมาไม่ได้ ต่อเมื่อลงทุนร่วมกันเป็นสังคม ชีวิตส่วนตนก็จะมีหลักประกันดีขึ้น เช่นร่วมกันสร้างหลักประกันสุขภาพก็ได้ ร่วมกันสร้างเป็นความฝันหวานถ้วนหน้าทุกสองอาทิตย์สำหรับทุกคนที่ซื้อสลากกินแบ่งก็ได้
แม้กระทั่งการร่วมกันโดยสารรถเมล์ตอนเช้า ไม่ว่านั่งหรือโหนอยู่ท้ายรถ ก็จ่ายตั๋ว ๗ บาทเท่ากันหมด ซึ่งถ้าดูเฉพาะเที่ยวเช้านั้นรถคันนั้นก็กำไรเละ แต่พอเที่ยว ๔ ทุ่ม นั่งอยู่ ๕ คน ก็จ่าย ๗ บาทอีกเหมือนเดิม ซึ่งถ้าดูเฉพาะเที่ยวดึกนั้นก็ถือว่าขาดทุนยับ แต่ที่ยังเดินรถดึกได้ในราคาเดิม ก็เพราะอาศัยกำไรจากเที่ยวเช้ามาเฉลี่ยนั่นเอง มองอย่างนี้แล้วระบบขนส่งมวลชนนี้ก็เป็นหลักประกันของการเดินทางในเมือง ที่เราทุกคนช่วยกันสร้างไว้เหมือนกันว่า ทุกคนมีโอกาสต้องกลับดึกได้เสมอ จึงต้องสร้างระบบกลางเป็นประกันไว้ว่า๔ ทุ่มแล้วก็ยังกลับบ้านได้ในราคา ๗ บาทนั่นเอง
เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้ว “ ประกันสังคม” คือหลักประกันที่เกิดจากการลงทุนลงแรงร่วมกันเป็นสังคม และจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าต่างคนต่างอยู่กันไปตามลำพัง ระบบโรงทานสังคม
ระบบรักษาฟรีจากงบประมาณของรัฐนี้มีมานานแล้ว เพิ่งมาปรับขยายรักษาฟรีไปถึงทุกคนที่ไม่เป็นข้าราชการหรือลูกจ้าง รวม ๔๘ ล้านคน เมื่อในสมัยรัฐบาลทักษิณ ๑ นี่เอง โดยใน๖ ปีแรก มีการเก็บค่าธรรมเนียมครั้งละ ๓๐ บาท จนมาในปี ๒๕๕๐ ถึงได้เลิกเก็บเงิน จนเปลี่ยนฉายาจาก ๓๐ บาทรักษาทุกโรค เป็น บัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกโรคไปในที่สุด
จากการอภิปรายในที่ประชุมผู้ใช้แรงงานได้ปรากฏข้อมูลของระบบนี้ ขึ้นมาโดยลำดับว่า
๑) ระบบนี้ครอบคลุมทั้งคนยากจนจริงประมาณ ๒๐ ล้านคน และคนที่พอดูแลตัวเองได้กว่า ๒๐ ล้านคน
๒) ระบบนี้เรียกตัวเองเป็นกองทุนประกันสุขภาพ แต่ตัวจริงไม่ได้มีรายได้อะไรนอกจากแบมือของบประมาณแผ่นดินในลักษณะเหมาจ่ายมาเทรวมกันเป็นกอง แล้วเรียกว่ากองทุนเท่านั้น การคิดเหมาจ่ายจะคิดเป็นรายหัว หัวละ ๑๒๐๐ บาทในปีแรกแล้วบานปลายขอเพิ่มมาเรื่อยๆ จนเ ป็น ๒,๘๕๐ บาท/หัว ในปีนี้ และกำลังจะขออีก ๗๐๐ บาท/หัว ในปีหน้า เหตุเพราะเงินที่ให้ในอัตราปัจจุบันไม่พอใช้ จนโรงพยาบาลหลวงร้อยกว่าแห่งขาดทุนกว่า๕ พันล้านบาทแล้ว
๓) สอบถามกันต่อไปอีกพบว่า เงินที่เหมาจากรัฐบาลนั้น รวมเงินเดือนบุคลากรด้วย,งบลงทุนด้วย, กิจกรรมพิเศษของ สปสช.ด้วย เหลือมาเป็นค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลประชาชนจริงๆ เพียง ๖๐๐บาท/หัวเท่านั้น ซึ่งก็หาได้พอกับค่าใช้จ่ายจริงของโรงพยาบาลแต่อย่างใดไม่ ทำให้โรงพยาบาลต้องสำรองจ่ายแล้วได้คืนไม่ครบอยู่ทุกปี จนขาดสภาพคล่องสิ้นไขมันสิ้นทุนรอนที่เคยสะสมไว้ไปถ้วนหน้าในที่สุด
๔) สภาพบานปลายอย่างนี้เกิดขึ้นอย่างก้าวกระโดดเมื่อรัฐบาล ขิงได้เลิกค่าธรรมเนียม ๓๐ บาท ทำให้ผู้คนมาขอยาจากโรงพยาบาลกันมากขึ้นง่ายขึ้น หมอทั้งหลายนั้นเมื่อถูกเอ็นจีโอพาคนไข้มาร้องเรียนฟ้องร้องมากเข้า ก็เลยต้องสั่งตรวจประกอบการรักษาอย่างถี่ยิบไว้ก่อนเพื่อป้องกันตัว ส่วนเตียงในทุกโรงพยาบาลก็ล้นมากขึ้น ล้นเพราะคนป่วยเรื้อรังและญาติไม่ต้องการให้นอนป่วยที่บ้านอีกต่อไป ฯลฯ
๕) ด้วยภาระที่มากแต่จ่ายน้อยจ่ายยากอย่างนี้ โรงพยาบาลหลายแห่งจึงทยอยถอนตัวจากระบบบัตรทองนี้มากขึ้นทุกวัน ทั้งโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย โรงพยาบาล กทม. โรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ เหลือแต่โรงพยาบาลกระทรวงสาธารณะสุขที่ดิ้นไปไหนไม่ได้ ต้องรับดูแลราษฎร ๔๘ ล้านคน ด้วยคิวคนไข้ที่ยาวเหยียด ตั้งแต่ ตี ๕ และภาระหนักอึ้งแทบไม่มีเวลากินข้าวกินปลาที่ตกแก่หมอพยาบาลในปัจจุบันนี้
ด้วยสภาพอย่างนี้บรรดาคุณหมอกว่า ๕ ท่าน จึงได้แจ้งต่อที่ประชุมผู้ใช้แรงงานว่า ของฟรีแล้วดีด้วย ในโลกนี้ไม่มีแน่นอน แต่ฟรีแล้วได้มาตรฐานต่ำสุดโดยถ้วนหน้าแบบคอมมิวนิสต์นั้นมีแล้วในระบบบัตรทองนี้นี่เอง ดังนั้นถ้าพวกคุณดูแลตัวเองได้ มีระบบของคุณอยู่แล้ว จะดีชั่วอย่างไร ก็เป็นเงินของคุณ อยู่ในอำนาจของคุณที่จะปรับแก้ให้ดีขึ้นได้ ก็ขออย่ามาเป็นภาระเพิ่มลงไปในระบบบัตรทองที่กำลังจะตายมิตายแหล่ และไม่มีคนจะดูแลรับผิดชอบได้อีกเลยความไม่เสมอภาค
ต่อปัญหาที่กลุ่มเอ็นจีโอพยายามดันหลังให้ผู้ใช้แรงงานกลุ่มหนึ่งไปฟ้องศาลปกครองว่ารัฐบาลเลือกปฏิบัติไม่ให้ผู้ใช้แรงงาน ๙ ล้านคนเข้าโรงทานคือรับการรักษาฟรีในระบบบัตรทองโดยเสมอภาคกับผู้อื่นนั้น ก็ปรากฏข้ออภิปรายโต้แย้งโดยชัดเจนดังนี้
๑) สำหรับข้อที่รัฐธรรมนูญระบุว่า บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในบริการสาธารณสุขที่เหมาะสมและได้มาตรฐานนั้น ก็หาได้หมายความว่าต้องมีระบบประกันสุขภาพระบบเดียว อย่างเช่นที่เอ็นจีโอเข้าใจเอาเองแต่อย่างใดไม่ จะมีหลายระบบก็ได้แต่ต้องเกินมาตรฐานขั้นต่ำทุกระบบ และทุกคนต้องเข้าถึงได้เท่านั้นเอง
๒) ที่ประชุมเห็นต่อไปว่า ปัญหาความไม่เสมอภาคที่แท้จริงนั้น น่าจะอยู่ตรงที่การให้คนที่พออยู่พอกินที่อยู่นอกระบบเงินเดือน ไปแย่งคนจนเพื่อรับรักษาฟรีมากกว่า ซึ่งผู้ใช้แรงงานก็จะไม่ขอยอมไปร่วมแย่งกับเขาด้วย
การปฏิบัติต่อคนจนแร้นแค้นกับคนพอมีฐานะโดยให้การรักษาฟรีเสมอกันด้วยระบบบัตรทองเช่นนี้ต่างหาก คือความไม่เสมอภาค ที่จะต้องแก้ไข โดยดึงคนเหล่านี้มาเข้าสู่ระบบประกันสังคม ไม่ใช่เอาคนในระบบประกันสังคมไปเข้าโรงทานเพิ่มขึ้นอีก
อิสระชน “ ผมมีงานมีการทำ....ไม่ต้องการไปขอทานใคร! ”
จากเนื้อหาที่นำเสนอกันในที่ประชุมผู้ใช้แรงงานเช่นที่ผมได้ลำดับมา ผมจึงฟังคำกล่าวนี้
ด้วยความซาบซึ้งและคารวะในจิตใจอิสระชนของท่านผู้พูดเป็นอย่างยิ่ง
นี่คือ “อิสระชน” ที่เป็นอิสระจากความโลภ รู้จักละอาย เมื่อเห็นว่าตนเองยังพอช่วยตัวเองได้ ก็ไม่ขอเห็นแก่เล็กแก่น้อยไปแย่งโอกาสเบียดเสียดกับคนจน
นี่คือ “อิสระชน” ที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้ต้องอ้อนวอนเฝ้ารอของฟรี รอสินค้าประชานิยมต่างๆนานาจากรัฐหรือนักการเมือง หรือร่วมเคลื่อนไหวกับนายหน้าค้าความจนทั่วราชอาณาจักรเช่นเอ็นจีโอปัจจุบันนี้
นี่คือ “อิสระชน” ที่ประกาศว่า เงินประกันสังคมคือสิทธิของผู้ใช้แรงงาน ข้าราชการเป็นแค่ผู้จัดการและเสมียนเท่านั้น ผู้ใช้แรงงานจะต้องเข้ามีส่วนร่วมจัดการ ตรวจสอบ และติดตามตรงนั้นตรงนี้
คนอย่างนี้ สำนึกอย่างนี้นี่เอง ที่ต้องเบิกบานขึ้นมากๆ ให้เต็มแผ่นดินโดยไม่จำกัดชนชั้น ราวกับดอกไม้ร้อยชนิดร้อยสีร้อยดอก เพื่อพาสังคมให้พ้นจากความเจ็บป่วยทางความคิดนานาที่ สิงสู่ผู้คนจนทำให้บ้านเมืองต้องตกปลักไปไหนไม่เป็น เช่นทุกวันนี้
แก้วสรร อติโพธิ
9092
« เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2011, 22:14:29 »
ปภ.รณรงค์ 10 ปี แห่งความปลอดภัยทางถนน ตามเจตนารมณ์ขององค์การสหประชาชาติ เผยคนไทยตายจากอุบัติเหตุวันละ 25 คน คิดเป็นมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจกว่าปีละ 2.3 แสนล้านบาท ...
เมื่อวันที่ 11 พ.ค. ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ( ศปถ.) โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ( ปภ.) ได้จัดงานประกาศเจตนารมณ์ทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน พ.ศ 2554-2563 โดยนายวิเชียร ชวลิต ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเปิดงานว่า ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเฉลี่ยวันละ 25 คน คิดเป็นมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจกว่าปีละ 2.3 แสนล้านบาท หรือร้อยละ 2.8 ของจีดีพี ทั้งนี้ องค์การสหประชาชาติ ได้ประกาศให้ปี ค.ศ.2011-2020 หรือ พ.ศ.2554-2563 เป็นทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน และสนับสนุนให้มีการประกาศเจตนารมณ์พร้อมกันทุกประเทศ ในวันที่ 11 พ.ค. สำหรับเป้าหมายของประเทศไทยนั้น คือ ผลักดันให้ทุกฝ่ายร่วมกันสร้างความปลอดภัยทางถนนตามมาตรฐานสากล โดยลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนของไทยให้ต่ำกว่า 10 คนต่อแสนประชากร การจัดงานนี้เป็นจุดเริ่มต้นของทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ เอกชน องค์กรมูลนิธิ ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน ได้ร่วมกันลดอัตราอุบัติเหตุ และสร้างความปลอดภัยของไทยให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล 10 ปีจากนี้ ศปถ.จะมุ่งสร้างถนนทุกสายในประเทศไทย ให้เป็นถนนสายปลอดภัย
นายวิเชียร กล่าวต่อว่า สำหรับนโยบายรัฐที่รณรงค์ให้เกิดเป็นรูปธรรม อาทิ 1 ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย 100% โดยให้ทุกหน่วยงานมีมาตรการส่งเสริม 2 ลดพฤติกรรมเสี่ยงจากการเมาแล้วขับ 3 แก้ไขพื้นที่ที่เป็นจุดเสี่ยงทุกจุด 4 ปรับพฤติกรรมการใช้ความเร็วของผู้ขับขี่ 5 สร้างมาตรฐานยานพาหนะสาธารณะปลอดภัย 6 พัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉิน.
ไทยรัฐออนไลน์ 11 พฤษภาคม 2554
9093
« เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2011, 16:53:08 »
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 10 พ.ค. กระทรวงสาธารณสุข และ จ.ตาก ได้ส่งหนังสือการแต่งตั้ง น.ส.พนิดา กาวิน่า พยาบาลวิชาชีพ 7 เป็นรอง ผอ.ด้านการพยาบาลหรือหัวหน้าพยาบาล รพ.แม่สอด จ.ตาก ให้ รพ.แม่สอดทบทวนใหม่ แม้จะอ้างว่าเป็นการเลือกตั้งจากพยาบาลและเจ้าหน้าที่ทั้งหมด เพราะผู้ที่จะดำรงตำแหน่งดังกล่าวต้องเป็นซี 8 เท่านั้น นางพนิดาจึงขาดคุณสมบัติ ซึ่งหนังสือตีกลับนี้นับเป็นครั้งที่ 2 แล้ว ซึ่งแหล่งข่าวเปิดเผยว่า การคัดสรรมีมาตั้งแต่เดือน ส.ค.53 โดยใช้การเลือกตั้ง มีผู้ได้รับการพิจารณา 3 คนคือ น.ส.พนิดา กาวิน่า พยาบาลวิชาชีพ 7 นางสุนารี แสนพรหม พยาบาลชำนาญการพิเศษซี 8 และว่าที่ ร.ต.ฉวีวรรณ เชาวกีระติพงษ์ พยาบาลชำนาญการพิเศษซี 8 แต่ผลการเลือกตั้ง น.ส.พนิดามีคะแนนมาเป็นอันดับ 1 จนมีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่ามีการเกณฑ์พยาบาลและ จนท.ไปลงคะแนนตามที่มีการชี้นำ.
ไทยโพสต์ 11 พฤษภาคม 2554
9094
« เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2011, 16:51:24 »
คนกินเส้นหายห่วง อย.มีมาตรการกำกับดูแลโรงงานก๋วยเตี๋ยวรอบด้าน ทั้งทางกฎหมาย การสุ่มตรวจการเฝ้าระวัง และการฝึกอบรมทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค มุ่งพัฒนาสถานที่ผลิตให้ได้ตามหลักเกณฑ์จีเอ็มพี เพื่อผลักดันให้เป็นโรงงานต้นแบบ กรณีฝ่าฝืนกฎหมาย อย.จะดำเนินการขั้นเด็ดขาด มีโทษทั้งจำทั้งปรับ แนะ ผู้บริโภคที่จะซื้อเส้นก๋วยเตี๋ยวมาทำอาหารเอง ควรเลือกซื้อเส้นแห้ง และเส้นก๋วยเตี๋ยวที่มีฉลากจะดีที่สุด นพ.นรังสันต์ พีรกิจ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า ในฐานะที่สำนักงานคณะกรรมการ-อาหารและยา (อย.) เป็นหน่วยงานที่คุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพให้ได้บริโภคอาหารที่ ปลอดภัย คุ้มค่า และสมประโยชน์ กรณีเส้นก๋วยเตี๋ยวซึ่งเป็นอาหารที่ผู้บริโภคนิยมบริโภค และมีผู้ประกอบการ ทั่วประเทศกว่า 160 ราย ซึ่งอันตรายที่อาจพบในเส้นก๋วยเตี๋ยว อาทิ วัตถุเจือปนอาหารประเภทวัตถุกันเสีย หรือ สารกันบูด ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด รวมทั้งน้ำมันทาเส้นก๋วยเตี๋ยวที่มีสารโพลาร์เกินมาตรฐาน ดังนั้น เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับความปลอดภัยจากการบริโภคก๋วยเตี๋ยว อย.จึงมีมาตรการทางกฎหมายเพื่อกำกับดูแลหลายมาตรการ ได้แก่ ประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยเรื่อง วัตถุเจือปนอาหาร, สารโพลาร์ในน้ำมันที่ใช้ทอดหรือประกอบอาหารเพื่อจำหน่าย ฉลาก และภาชนะบรรจุ รวมทั้ง ได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขกำหนดวิธีการผลิต เครื่องมือเครื่องใช้ในการผลิต และการเก็บรักษาอาหาร หรือจีเอ็มพี (GMP) สำหรับก๋วยเตี๋ยวและเส้นหมี่ที่ทำจากแป้งข้าวเจ้า ซึ่งประกาศฉบับใหม่นี้มีผลบังคับใช้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2554 และสำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตอยู่ก่อนวันที่ประกาศนี้มีผลบังคับใช้ ให้เป็นไปตามประกาศฉบับนี้ภายใน 2 ปี คือ ภายในวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2556 รอง เลขาธิการฯ อย.กล่าวต่อไปว่า ขอผู้บริโภควางใจการดำเนินงานของ อย.ในการควบคุม กำกับดูแลสถานที่ผลิตก๋วยเตี๋ยว อย.มีมาตรการกำกับดูแลอย่างเข้มงวด ทั้งการสุ่มเก็บตัวอย่าง การเฝ้าระวังสถานที่ผลิตและจำหน่ายเส้นก๋วยเตี๋ยว รวมทั้งดำเนินโครงการพัฒนาสถานที่ผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยวทั่วประเทศให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์จีเอ็มพี ซึ่งหากปฏิบัติได้ตามเกณฑ์ อย.จะยกระดับให้เป็นต้นแบบโรงงานเส้นก๋วยเตี๋ยว นอกจากนี้ อย.ยังจัดอบรมให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการเส้นก๋วยเตี๋ยว เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญ อย.ยังมีมาตรการทางกฎหมายร่วมด้วย โดยห้ามมิให้ผู้ใดผลิตเพื่อจำหน่ายอาหาร โดยไม่ได้รับอนุญาต กรณีฝ่าฝืน อย จะ ดำเนินคดีตามกฎหมายจำคุก 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ กรณีโรงงานผลิตก๋วยเตี๋ยวและเส้นหมี่ที่ทำจากเส้นแป้งข้าวเจ้าไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจีเอ็มพี มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และกรณีฉลากไม่เป็นไปตามกฎหมาย มีโทษปรับไม่เกิน 30,000 บาท และเรื่องของคุณภาพเส้นก๋วยเตี๋ยว หากตรวจพบวัตถุกันเสียเกินมาตรฐาน มีโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท รองเลขาธิการฯ อย.กล่าวในตอนท้ายว่า อย.ขอแนะวิธีการเลือกซื้อเส้นก๋วยเตี๋ยวมาทำอาหารเพื่อบริโภคควรเลือกเส้นก๋วยเตี๋ยวที่มีภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท และสังเกตฉลากที่ระบุชื่อผลิตภัณฑ์ สถานที่ผลิต วันที่ผลิตหรือ วันหมดอายุ และส่วนประกอบที่สำคัญ เป็นต้น นอกจากนี้ ควรซื้อเส้นแห้งมาบริโภค เนื่องจากสามารถเก็บไว้ ได้นาน กรณีซื้อเส้นสดมาเพื่อบริโภค ไม่ควรเก็บไว้นาน ข้อสังเกตคือ หากเส้นสดสามารถเก็บไว้ได้นาน โดยยังคงสภาพเดิมให้พึงระวัง เนื่องจากอาจมีส่วนผสมของวัตถุกันเสียที่เกินมาตรฐาน เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 พฤษภาคม 2554
9095
« เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2011, 16:49:17 »
คณะทำงานวิชาการกลูโคซามีน เสียงแข็ง ยันผลศึกษายากลุ่มข้อเข่าเสื่อมประสิทธิผลไม่ชัดเจน ส่วนกรมบัญชีกลางจะทบทวนประกาศยกเลิกการเบิกจ่ายหรือไม่ เป็นสิทธิของหน่วยงาน วันนี้ (10 พ.ค.) ที่สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) นพ.พงษ์พิสุทธิ์ จงอุดมสุข ผู้อำนวยการ สวรส.ในฐานะรองประธานคณะทำงานวิชาการทางการแพทย์ภายใต้คณะกรรมการบริหารระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง แถลงข่าวเรื่อง คณะทำงานวิชาการทางการแพทย์ชี้แจงกระบวนการทำงานวิชาการและข้อค้นพบพร้อมหลักฐานสำคัญที่เสนอยกเลิกเบิกยากลูโคซามีน ว่า หลังจากที่กรมบัญชีกลางได้ประกาศยกเลิกการการเบิกจ่ายยากลุ่มกลูโคซามีน เมื่อวันที่ 1 ม.ค.2554 โดยได้มีคณะทำงานวิชาการฯ ศึกษาข้อมูลเพื่อนำเสนอประกอบการตัดสินใจไปนั้น จนถึงปัจจุบันได้มีข้อถกเถียงกันมาก แต่ยังคงยืนยันเหมือนเดิม ว่า การศึกษาที่เสนอให้กับกรมบัญชีกลางนั้น อ้างอิงมาจากผลงานวิจัยที่เชื่อถือได้ แต่กรมจะตัดสินใจอย่างไรจะกลับลำให้มีการเบิกจ่ายหรือไม่ก็แล้วแต่จะตัดสินใจ ด้าน นพ.สัมฤทธิ์ ศรีธำรงสวัสดิ์ เลขานุการคณะทำงานวิชาการฯ กล่าวว่า การศึกษาวิจัยได้ทำการศึกษาอย่างรอบด้าน โดยได้รวบรวมและศึกษาทบทวนเอกสารวิชาการเกี่ยวกับกลุ่มยากลูโคซามีนจากทั่วโลก และคัดเลือกงานวิจัยที่อ้างอิงได้จำนวน 134 ฉบับ โดยไม่ยอมรับงานวิจัยที่มีบริษัทยาสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ซึ่งปรากฏว่า ยากลุ่มดังกล่าวมีประสิทธิผลไม่ชัดเจน และก่อนจะสรุปทางคณะทำงานฯ ได้ส่งรายงานไปยังหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งราชวิทยาลัยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ฯ ราชวิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู มูลนิธิโรคข้อ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) เป็นต้น ซึ่งเมื่อมีข้อโต้แย้งกลับมาก็ได้ชี้แจงกลับแล้วเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่างานวิจัยทั้งหมดเชื่อถือได้ ส่วนจะทบทวนหรือไม่นั้น ขณะนี้ยังไม่มีผลการศึกษาใหม่ๆ หากมีข้อโต้แย้งใดๆ ก็พร้อมจะพิจารณารับฟังและพิจารณาแต่ต้องมีข้อมูลทางวิชาการที่ชัดเจน ผศ.นพ.พิสนธิ์ จงตระกูล อนุกรรมการส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ กล่าวว่า ข้อสรุปของการศึกษาเรื่องนี้ คือ กลูโคซามีนมีประสิทธิผลไม่ชัดเจน ซึ่งไม่ได้บอกว่าไม่มีประสิทธิผล แต่ผลลัพธ์ของการใช้ยาไม่ชัดเจน เนื่องจากจะพบว่า ข้อมูลที่สรุปว่ายาดังกล่าวมีประสิทธิผลนั้น มาจากผลการศึกษาที่มีคุณภาพแต่เป็นการนำผลงานหลายระดับมาปะปน แต่หากวิเคราะห์เฉพาะผลการศึกษาคุณภาพสูงที่มีการประเมินชัดเจนนั้น จะพบว่า กลูโคซามีนให้ผลพอๆกับการไม่ใช้ยา ขณะเดียวกันกลูโคซามีนเป็นยาที่ไม่มีความคุ้มค่า เพราะมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 7.3 ถึง 26 เท่าของเกณฑ์มาตรฐานความคุ้มค่าในการใช้ยาของประเทศไทย “จากการทบทวนข้อมูลทั่วโลก ทั้งสหราชอาณาจักร สกอตแลนด์ สาธารณรัฐไอร์แลนด์ และสวีเดน ก็ไม่ได้แนะนำหรือไม่อนุมัติให้มีการเบิกจ่ายยาเหล่านี้ในระบบสาธารณสุขของรัฐบาล เนื่องจากพบว่า งานวิจัยที่มีคุณภาพไม่สามารถแสดงให้เห็นว่า กลูโคซามีนมีประโยชน์อย่างชัดเจนทางการแพทย์ ซึ่งสอดคล้องกับข้อสรุปของคณะทำงานฯ ของไทย”
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 10 พฤษภาคม 2554
9096
« เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2011, 16:40:51 »
การเงินการคลังของระบบบริการสาธารณะด้านสาธารณสุข
ถึงเวลาที่หน่วยงานภาครัฐ ต้องตรวจสอบสปสช.อย่างเข้มข้นแล้วหรือยัง?
กระทรวงสาธารณสุข เป็นหน่วยงานหลักของประเทศในการที่จะจัดการให้มีบริการสาธารณะด้านการแพทย์และสาธารณสุขแก่ประชาชนทุกคน โดยรัฐบาลผู้บริหารประเทศต้องจัดหาสิ่งที่จำเป็นในการดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุขดังนี้คือ
1.งบประมาณ
2.บุคลากร ทั้งผู้บริหารและผู้ปฏิบัติการ
3.อาคารสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกในการทำงาน
ทั้งนี้เพื่อให้มีบุคลากรทำงานอย่างมีคุณภาพมาตรฐาน ประชาชนได้รับความสะดวกสบาย มีความปลอดภัย ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ
ซึ่งบทความนี้ จะกล่าวถึงเรื่องงบประมาณที่กระทรวงสาธารณสุขได้รับจากรัฐบาลทั้งในยุคก่อนและหลังระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
1.งบประมาณก่อนระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
ก่อนระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ งบประมาณในการดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุข ได้รับมาจากงบประมาณแผ่นดินในการดำเนินงานทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างและพัฒนาอาคารสถานที่ จัดหาสิ่งจำเป็นในการดำเนินงาน รวมทั้งเงินเดือนให้แก่บุคลากรและข้าราชการทั้งหมด นอกจากนั้น โรงพยาบาลยังสามารถเรียกเก็บเงินจากประชาชนที่มารับการตรวจรักษาจากโรงพยาบาล (ในราคาถูก ถือว่าเป็นสวัสดิการแก่ประชาชน) เงินเหล่านี้ เรียกว่าเงินบำรุงโรงพยาบาล ซึ่งผู้บริหารโรงพยาบาลสามารถนำเอาเงินเหล่านี้ ไปใช้จ่ายหมุนเวียนในการทำงานได้ตามระเบียบของทางกระทรวงสาธารณสุข
2. งบประมาณของกระทรงวสาธารณสุขภายหลังระบบประกันสุขภาพแห่งชาติ
ก่อนจะเริ่มระบบหลักประกันสุขภาพ งบประมาณแผ่นดินด้านสาธารณสุขประมาณ 64,500ล้านบาท ปัจจุบันประมาณ 200,000 ล้านบาท โดยงบประมาณด้านสาธารณสุขจะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยประมาณ 4.37% ต่อปี แต่หลังมีระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติแล้ว งบประมาณด้านสาธารณสุขจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 12 % ต่อปี และมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
โดยงบประมาณสาธารณสุขก่อนมีระบบหลักประกันสุขภาพส่วนใหญ่มากกว่า 90% เป็นงบประมาณของกระทรวงสาธารณสุข แต่หลังจากมีระบบนี้แล้ว งบประมาณของกระทรวงสาธารณสุขลดลงเหลือเพียง 30.4%ในปีพ.ศ. 2554
ทั้งนี้ เนื่องจากงบประมาณด้านสาธารณสุขส่วนใหญ่ ถูกจัดสรรผ่านไปให้สปสช. แม้แต่เงินเดือนของบุคลากร การซ่อมแซมและพัฒนาอาคารสถานที่ การจัดซื้อยาและเวชภัณฑืบางอย่าง ก็ต้องไป “ขอ” มาจากสปสช.
โดยงบประมาณค่ารักษาประชาชนตามรายหัว(จำนวน)ประชาชน เพิ่มจาก 1,202 บาทต่อคนเพิ่มเป็น 2,895 บาท หรือเพิ่มจาก 51,408 ล้านบาทในปีพ.ศ. 2545 เป็น 117,969 ล้านบาทในปีพ.ศ. 2552และจะเพิ่มขึ้นเป็น 140,000 ล้านบาทในปีพ.ศ. 2555
หลังจากระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติผ่านไปแค่ 2 ปี จำนวนโรงพยาบาลทั้งน้อยใหญ่มีงบการเงินติดลบ (เงินบำรุง วัสดุคงคลัง ลดลง หนี้สินเพิ่มขึ้น ) พร้อมๆกับที่โรงพยาบาลจำนวนไม่น้อยปรับลดการลงทุน(ซ่อมแซม พัฒนาอาคารสถานที่ และจัดหาเครื่องมือ เทคโนโลยี) เนื่องจากไม่มีเงิน
งบประมาณของสปสช.เพิ่มขึ้นอย่างมากมายมหาศาล ในขณะที่โรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขก็มีตัวเลขรายงานการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง
ถึงแม้ว่าผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข จะได้รายงานการขาดทุนเหล่านี้ไป สปสช.ก็ไม่เพิ่มเงินให้แก่โรงพยาบาลให้สมดุลกับค่าใช้จ่ายเลย
กระทรวงสาธารณสุขจึงได้พยายามแก้ไขปัญหาการขาดทุนเอง โดยการปรับขึ้นราคาค่าบริการโรงพยาบาลทุกชนิด เพื่อหารายได้ของโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นให้สมดุลกับต้นทุนค่าใช้จ่าย
แต่อัตราเพิ่มเหล่านี้ ไม่สามารถเรียกเก็บได้จากสปสช. เนื่องจากสปสช.จะปฏิเสธการจ่ายเงินตามอัตราเหล่านี้ แต่จะตั้งราคากลาง ซึ่งมีอัตราต่ำกว่าต้นทุนของโรงพยาบาล
แต่ถึงแม้สปสช.จะตั้งราคากลางไว้แล้ว เมื่อถึงเวลาจ่ายเงินให้โรงพยาบาล สปสช.ก็จะไม่จ่ายตามราคากลางที่ตนตั้งไว้ โดยอ้างว่าไม่มีเงินแล้ว
แต่สปสช.จะแบ่งเงิน(เอาไว้ก่อนแล้ว) เพื่อเอาไปทำโครงการรักษาผู้ป่วยเอง เป็นโครงการเฉพาะเรื่องเรียกว่า Vertical Program และจ่ายเงินเหล่านี้ให้แก่โรงพยาบาลที่อยากเข้าร่วมรายการ และแบ่งไป(อ้างว่า)ไว้ “จ่ายหนี้ค้างชำระ” อีกปีละหลายหมื่นล้านบาท โดยไม่ได้เอาไปชำระหนี้ตามอ้าง แต่เอาไปทำอย่างอื่นตามอำเภอใจของสปสช. โดยไม่จ่ายเงินที่ยังจ่ายไม่ครบให้แก่กระทรวงสาธารณสุข
ฉะนั้น ไม่ว่าสปสช.จะของบประมาณเพิ่มขึ้นตามราคารายหัวมากขึ้นเท่าใดก็ตาม โรงพยาบาลก็จะยังขาดทุนในการดำเนินงานต่อไป แต่สปสช.จะยังมีเงินหลายหมื่นล้านไว้เงินใช้จ่ายตามโครงการที่สปสช.กำหนดทั้งๆที่ไม่ใช่หน้าที่ของสปสช.
การกระทำของสปสช.นี้ ทำโดยการอ้างมติของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่มีกรรมการโดยตำแหน่งมากมาย ซึ่งอาจจะส่ง “ผู้แทน”เข้าประชุม ทำให้ไม่รู้เท่าทันแผนการของคณะกรรมการที่มาจากกลุ่มพวกที่อยู่เบื้องหลังเลขาธิการสปสช. จึงทำให้มีมติการประชุมออกมาตามการ “จัดการ” (manipulation) ของเลขาธิการสปสช.ได้
และยังไม่มีหน่วยงานตรวจสอบใด สามารถตรวจสอบการกระทำอันไม่ชอบด้วยกฎหมายของสปสช.ได้
แนวโน้มของงบประมาณของสปสช.ยังเพิ่มขึ้นอีกต่อไป ถ้ายังไม่มีการแก้ไขระบบให้ดีกว่านี้ โดยสปสช.จะมีอำนาจของบประมาณ มีอำนาจ “จัดสรรเงิน” และใช้เงิน เนื่องจาก “มีเงิน” อยู่ในมือ
แต่กระทรวงสาธารณสุขซึ่งมีภาระการทำงานก็จะยังขาดเงินในการทำงานอีกอย่างต่อเนื่อง
สำหรับแนวโน้มของงบประมาณในอนาคตนั้น ก็ยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอีกอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งนี้มีเหตุผลสำคัญดังนี้คือ
1.คนไทยมีสาเหตุของปัญหาด้านสุขภาพเพิ่มขึ้น มีชีวิตยืนยาวขึ้น
2. มีโรคอุบัติใหม่เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งปัญหาภัยพิบัติจากสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น
3.ประชาชนคาดหวังว่าคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จึงควรจะมีบริการด้านสุขภาพที่มีคุณภาพและครอบคลุมมากขึ้น
4. มีเทคโนโลยีทางการแพทย์และเวชภัณฑ์ใหม่ ซึ่งมีราคาสูงเกิดขึ้นตลอดเวลา สามารถช่วยให้ผู้ป่วยรอดชีวิตได้ แต่เป็นโรคเรื้อรังเพิ่มขึ้น
5.รัฐบาลเป็นผู้สนับสนุนงบประมาณสำหรับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติฝ่ายเดียว โดยประชาชนไม่ต้องร่วมจ่ายเลย ทำให้มีการใช้บริการด้านสาธารณสุขเพิ่มขึ้น
ปัญหาที่จะต้องเผชิญในอนาคต
หากงบประมาณด้านการสาธารณสุขยังเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่าอัตราการเพิ่มงบประมาณในการพัฒนาประเทศด้านอื่น จะส่งผลถึงความยั่งยืนของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในอนาคต
ระบบการจ่ายเงินงบประมาณให้สปสช.แบบนี้ เป็นระบบที่แปลกประหลาดที่สุดสำหรับกระทรวงสาธารณสุข เพราะทำให้กระทรวงสาธารณสุขมีภาระงานที่จะต้องรับผิดชอบดำเนินการในการรักษาประชาชนแทนรัฐบาลผู้บริหารประเทศ แต่กระทรวงสาธารณสุขไม่สามารถวางแผนจัดทำงบประมาณได้เอง ไม่สามารถกำหนดงบประมาณตามภาระงานที่ต้องรับผิดชอบ และไม่ได้รับงบประมาณโดยตรงจากรัฐบาลที่มอบหมายให้ทำงาน แต่ต้องไปรับงบประมาณจากหน่วยงานอิสระที่ไม่อยู่ใต้การบังคับบัญชาของผู้บริหารสูงสุดของกระทรวงสาธารณสุข
ถ้าไม่มีการตรวจสอบที่เข้มแข็ง และรู้ทันสปสช. งบประมาณด้านสาธารณสุขของประเทศจะถูกใช้ไปอย่างไม่ถูกต้อง และไม่เกิดประโยชน์แก่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศอย่างแท้จริง
ถึงเวลาที่หน่วยงานภาครัฐ ต้องตรวจสอบสปสช.อย่างเข้มข้นแล้วหรือยัง?
พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา ประธานสหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้นการแพทย์ และสาธารณสุขแห่งประเทศไทย(สผพท.) 10 พ.ค. 54
9097
« เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2011, 06:08:20 »
โตเกียว--10 พ.ค.--เกียวโด เจบีเอ็น — เอเชียเน็ท / อินโฟเควสท์ - คาดว่าจะช่วยป้องกันโรคทางเดินอาหารอักเสบซึ่งระบาดหนักในบ้านพักคนชรา
แผนกปฏิบัติการวิจัยโปรไบโอติกของวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยจุนเทนโด (นากาตะ ซาโตรุ, ยามาชิโร่ ยูอิจิโร่ และอื่นๆ) ได้ทำการศึกษาด้วยการให้นมเปรี้ยวผสมโปรไบโอติก (แบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย) กลุ่มแลคโตบาซิลลัส คาเซอิ สายพันธุ์ชิโรต้า (LcS) แก่ผู้สูงอายุในบ้านพักคนชรา และผลที่ได้ยืนยันว่าเครื่องดื่มดังกล่าวช่วยลดไข้ที่เกิดจากโรคทางเดินอาหารอักเสบเฉียบพลัน ซึ่งมีสาเหตุมาจากเชื้อโนโรไวรัส
ผลการวิเคราะห์แบคทีเรียในอุจจาระพบว่า การดื่มนมเปรี้ยวผสม LcS ช่วยเพิ่มแบคทีเรียที่มีประโยชน์ (ไบฟิโดแบคทีเรีย, แลคโตบาซิลลัส) ช่วยลดแบคทีเรียที่มีอันตราย (แบคทีเรียกลุ่มโคลิฟอร์ม) และช่วยเพิ่มกรดไขมันสายสั้น แสดงให้เห็นว่าแบคทีเรียในลำไส้และสภาพลำไส้ที่ดีขึ้นจะช่วยบรรเทาอาการของโรคทางเดินอาหารอักเสบ
โนโรไวรัสเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคทางเดินอาหารอักเสบเฉียบพลัน ซึ่งบางกรณีอาจมีความรุนแรงมาก โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอทำให้เสี่ยงต่อการเกิดภาวะขาดน้ำ ในระยะหลังไวรัสดังกล่าวระบาดอย่างหนักในบ้านพักคนชราหลายแห่ง การป้องกันการติดเชื้อจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายความสามารถ
ปัจจุบันเรามีข้อมูลน้อยมากเกี่ยวกับประสิทธิผลของโปรไบโอติกอย่างแลคโตบาซิลลัส และเท่าที่เรารู้ก็ยังไม่มีรายงานเกี่ยวกับโนโรไวรัสเลย
การค้นพบของเราแสดงให้เห็นว่า การให้โปรไบโอติกเป็นอาหารเสริมอาจเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคทางเดินอาหารอักเสบ ซึ่งรวมถึงการติดเชื้อโนโรไวรัสในบ้านพักคนชรา ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผู้สูงอายุที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอมาอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม
ผลวิจัยนี้ได้รับการเผยแพร่ในวันที่ 27 เมษายน 2554 ในวารสารวิทยาศาสตร์ British Journal of Nutrition ฉบับออนไลน์ 1. ภูมิหลัง
โนโรไวรัสเป็นสาเหตุหลักของโรคทางเดินอาหารอักเสบเฉียบพลัน โนโรไวรัสสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ทางปากจากนิ้วมือและอาหารที่มีเชื้อ ส่งผลให้เกิดการอาเจียน ท้องเสียและ/หรือปวดท้อง เมื่อไวรัสเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วในลำไส้ ผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงอาจมีอาการเพียงเล็กน้อยและฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว แต่สำหรับเด็กทารกและผู้สูงอายุที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอจะมีอาการรุนแรง และอาจถึงขั้นเสียชีวิตเพราะโรคปอดบวมจากการสำลักอาหารและน้ำเข้าปอดหลังการอาเจียน หรือเพราะการขาดน้ำอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในบ้านพักคนชราซึ่งมีผู้สูงอายุที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอมาอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม การป้องกันโรคติดเชื้อต่างๆมีความสำคัญมาก แต่การควบคุมการติดเชื้อได้อย่างสมบูรณ์ก็เป็นเรื่องยากมาก ดังนั้นการลดอันตรายจากการติดเชื้อให้เหลือน้อยที่สุดจึงถือเป็นเรื่องที่ท้าทายความสามารถ
ทีมวิจัยของเราได้ศึกษาประสิทธิผลของการป้องกันการติดเชื้อโนโรไวรัส ด้วยการดื่มเครื่องดื่มผสมแลคโตบาซิลลัส (แลคโตบาซิลลัส คาเซอิ สายพันธุ์ชิโรต้า หรือ LcS) ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าช่วยป้องกันการติดเชื้อและมีสารควบคุมการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน 2. รายละเอียดการศึกษา
ทีมวิจัยได้ทำการศึกษาในผู้สูงอายุ 77 คนที่อาศัยอยู่ในบ้านพักคนชรา (อายุเฉลี่ย 84 ปี) โดยมีการแบ่งผู้สูงอายุออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกได้รับ LcS (39 คน) และกลุ่มที่สองไม่ได้รับ (38 คน) กลุ่มที่ได้รับนมเปรี้ยวผสม LcS (หนึ่งขวดมีขนาด 80 มิลลิลิตร ประกอบด้วย LcS จำนวน 4 หมื่นล้านตัว) หนึ่งขวดทุกวันเป็นเวลานานโดยเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2549 จากนั้นมีการตรวจสุขภาพของผู้สูงอายุทั้งสองกลุ่มจากประวัติสุขภาพประจำวัน และหากพบว่ามีอาการท้องเสีย จะมีการเก็บตัวอย่างอุจจาระไปตรวจด้วยชุดตรวจโนโรไวรัส ผลปรากฏว่าผู้สูงอายุหลายคนเริ่มติดเชื้อโนโรไวรัสในทางเดินอาหารในเดือนธันวาคมปี 2549 แม้ว่าทั้งสองกลุ่มจะมีจำนวนผู้ติดเชื้อไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ช่วงเวลาที่กลุ่มที่ได้รับ LcS เป็นไข้ที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียสหรือสูงกว่านั้น จะสั้นกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับ LcS
ผู้สูงอายุ 10 คนที่อาศัยอยู่ในสถานที่เดียวกัน (อายุเฉลี่ย 83 ปี) ได้รับนมเปรี้ยวผสม LcS แบบเดียวกันทุกวันเป็นเวลา 2 เดือน และมีการเปรียบเทียบแบคทีเรียในอุจจาระก่อนและหลังได้รับนมเปรี้ยว ผลปรากฏว่าแบคทีเรียที่มีประโยชน์อย่างไบฟิโดแบคทีเรียและแลคโตบาซิลลัสมีจำนวนเพิ่มขึ้นหลังดื่มนมเปรี้ยวผสม LcS ในทางตรงกันข้าม แบคทีเรียอันตรายอย่างโคลิฟอร์มมีจำนวนลดลง ขณะเดียวกันอัตราการตรวจพบแบคทีเรียสูโดโมนาส ซึ่งอาจก่อให้เกิดโรคติดเชื้อฉวยโอกาสและ/หรือโรคติดเชื้อในโรงพยาบาล ก็ลดลงเช่นกัน นอกจากนั้นการดื่มนมเปรี้ยวผสม LcS ยังช่วยเพิ่มความเข้มข้นโดยรวมของกรดไขมันสายสั้นในอุจจาระด้วย 3. การอภิปรายและความคาดหมายในอนาคต
การศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า การดื่มนมเปรี้ยวผสม LcS มีประสิทธิภาพในการลดไข้ที่เกิดจากการติดเชื้อโนโรไวรัส นอกจากนั้นยังช่วยเพิ่มจำนวนแบคทีเรียที่มีประโยชน์อย่างไบฟิโดแบคทีเรียและแลคโตบาซิลลัส ช่วยลดจำนวนแบคทีเรียอันตรายอย่างโคลิฟอร์มและสูโดโมนาส รวมถึงช่วยเพิ่มความเข้มข้นของกรดไขมันสายสั้น (กรดอะซิติกพื้นฐาน) ซึ่งกรดไขมันสายสั้นในลำไส้ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคในคน อาทิ แบคทีเรียกลุ่มโคลิฟอร์ม ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมน้ำและอิเล็กโทรไลต์รวมถึงการบีบตัวของทางเดินอาหาร และยังเป็นแหล่งพลังงานสำหรับเซลล์เอนเทอโรไซต์ นอกจากนั้นการดื่มนมเปรี้ยวผสม LcS อย่างต่อเนื่องยังช่วยฟื้นฟูเซลล์เพชฌฆาต สรุปว่าการดื่มนมเปรี้ยวผสม LcS ช่วยให้แบคทีเรียในลำไส้และระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น จึงช่วยทำให้ไข้ลดลง
ผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า LcS อาจเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคทางเดินอาหารอักเสบ ซึ่งรวมถึงการติดเชื้อโนโรไวรัส การติดเชื้อทางเดินหายใจ และการติดเชื้ออื่นๆ ในสถานที่ที่ผู้สูงอายุที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอมาอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม
Asianet Press Release 10 พฤษภาคม 2554
9098
« เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2011, 06:04:53 »
องคมนตรีติง ตั้งหน่วยงานตระกูล “ส.” ต้นเหตุทำแพทย์ทะเลาะกัน พ้อไม่รู้ทำไม ล่าสุดห่วงสปสช.กับสปส.ขัดแย้ง นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ “พระมหาบารมี 84 พรรษา กับการแพทย์ไทย” ในงานเทิดพระเกียรติและถวายเป็นพระราชกุศลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสพระชนมายุ 84 พรรษา และครบ 73 ปี รพ.หัวเฉียว ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับด้านการแพทย์ และการสาธารณสุขมาโดยตลอด ทรงจัดตั้งหน่วยแพทย์เพื่อลงพื้นที่ให้บริการประชาชนในถิ่นทุรกันดาร เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2508 ทรงจัดตั้งแพทย์หลวงเคลื่อนที่พระราชทาน พ.ศ.2512 ทรงจัดตั้งหน่วยแพทย์พระราชทาน พ.ศ.2513 ทรงจัดตั้งหน่วยจักษุแพทย์พระราชทาน ขณะเดียวกัน นอกจากการรักษาพยาบาลแล้วพระองค์ยังทรงให้ความสำคัญไปถึงการโภชนาการ การเจริญเติบโต รวมไปถึงการประกอบอาชีพ ดังนั้นพระองค์จึงทรงจัดตั้งสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ และบางครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังทรงจัดการแสดงดนตรีเพื่อหาทุนมาช่วยผู้ป่วยด้วย นพ.เกษม กล่าวต่อไปว่า ในส่วนพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับการป้องกันและควบคุมโรคนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระมหากรุณาธิคุณมาก โดยเมื่อครั้งอหิวาตกโรคระบาดในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ.2486-2490 และ พ.ศ.2501-2502 พระองค์ทรงจัดตั้งกองทุนปราบอหิวาตกโรคขึ้นเมื่อ พ.ศ.2501 และเมื่อเกิดการระบาดของโรคโปลิโอเมื่อ พ.ศ.2495 พระองค์ก็ทรงจัดตั้งกองทุนโปลิโอ เพื่อสงเคราะห์และให้การรักษาผู้ป่วย นอกจากนี้พระองค์ทรงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ให้สภากาชาดไทยผลิตวัคซีนรักษาวัณโรค ทั้งยังทรงตั้งสถาบันราชประชาสมาสัยเพื่อรักษาผู้ป่วยโรคเรื้อน และทรงตั้งโรงเรียนราชประชาสมาสัย เพื่อให้บุตร หลาน ของผู้ที่เป็นโรคเรื้อนแต่ยังไม่ติดโรคเรื้อนได้เข้ามาศึกษาแบบอยู่ประจำ เพื่อป้องกันการติดต่อโรคเรื้อน ซึ่งถือว่าเป็นแนวทางที่ได้รับการชื่นชมจากองค์กรอนามัยโลกว่าเป็นแนวทางที่ป้องกันการระบาดของโรคนี้ได้อย่างดี องคมนตรี กล่าวด้วยว่า ขณะเดียวกัน พระองค์ยังทรงชื่นชมในความสามัคคีของแพทย์ด้วย โดยเมื่อครั้งเสด็จฯเปิดอาคารของแพทยสมาคม ซ.ศูนย์วิจัย เมื่อ 43 ปีที่แล้ว ทรงมีพระราชดำรัสชื่นชมแพทย์ว่ามีความสามัคคีกันมาก แต่ปัจจุบันพอได้อ่านข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ในปัจจุบัน กลับพบแต่ข่าวแพทย์ทะเลาะกัน โดยเฉพาะข่าวในขณะนี้ก็เป็นข่าวการทะเลาะกันของแพทย์ ในส่วนของ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กับแพทย์ของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) และเท่าที่สังเกตหากมีหน่วยงานตระกูล ส. ตั้งขึ้นมาเมื่อใด จะมีข่าวแพทย์ออกมาทะเลาะกันทุกครั้ง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไม จากเดิมที่แพทย์ไม่ค่อยจะทะเลาะกัน ก็ทะเลาะกันมาก
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 10 พฤษภาคม 2554
9099
« เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2011, 06:03:34 »
สธ.เร่งเชื่อมระบบฐานข้อมูลให้ผู้ประกันตนรักษาได้ทุก รพ.ในสังกัด คาดได้ข้อสรุปทำ MOU ร่วมกับ สปส. 1-2 สัปดาห์ "สารี" โต้ปลัดแรงงานจงใจให้ร้าย ปัดเอาเงิน สปส.รวมกับบัตรทอง
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่า การกระทรวงสาธารณสุข แถลงภายหลังการ ประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงสาธารณ สุข (สธ.) ถึงกรณีที่ สธ.ร่วมกับสำนักงานประกันสังคม (สปส.) เตรียมความพร้อมในการให้ผู้ประ กันตนในระบบประกันสังคมสามารถเข้ารับบริ การทางการแพทย์ได้ทุกโรงพยาบาลในสังกัด สธ. ว่า ที่ประชุมมีข้อสรุปดังนี้ 1.เร่งพัฒนาระบบ ฐานข้อมูลและการเชื่อมโยงกับฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยว ข้องร่วมกัน เพื่อให้บริการแก่ผู้ประกันตน และ 2.พิจารณาทบทวนเพิ่มค่าใช้จ่ายแบบเหมาจ่ายรายบุคคลในทุกปีอย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดการขาดทุน ซึ่งปัจจุบันเหมาจ่ายที่ 1,404 บาทต่อคน
ทั้งนี้ หากข้อตกลงทั้งหมดเป็นที่ยอมรับของทั้ง 2 ฝ่าย จะมีการแต่งตั้งคณะทำงานร่วมและลงนามในข้อตกลงร่วมกัน (MOU) ต่อไป โดยเบื้องต้น นพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน คาดว่าจะสามารถดำ เนินการให้ได้ข้อสรุปใน 1-2 สัปดาห์
ด้าน น.ส.สารี อ๋องสมหวัง โฆษกชมรมพิทักษ์สิทธิผู้ประกันตน กล่าวว่า การที่ชมรมเคลื่อนไหวเพื่อให้มีการยกเลิกการร่วมจ่ายสม ทบสิทธิสุขภาพในระบบประกันสังคมนั้น ไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการที่จะนำเงินของ สปส.มารวมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) แต่การที่นายสมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดแรงงานพูดเรื่องนี้ซ้ำๆ เป็นการขยายความเข้าใจผิดไปเรื่อยๆ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าข้อเท็จจริงคืออะไร ซึ่งตนตระหนักดีว่านี่เป็นเงินสม ทบของลูกจ้างทุกคนที่ไม่ควรไปรวมอยู่ในกอง ทุนไหนทั้งสิ้น ดังนั้นขอให้สบายใจได้ว่า ไม่ใช่การยึดกองทุนแน่นอน วาทกรรมแบบนี้เป็นการจับแพะมาชนแกะ.
ไทยโพสต์ 10 พฤษภาคม 2554
9100
« เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2011, 06:02:00 »
บอร์ด สปสช.เห็นชอบตั้งกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการระดับจังหวัด เปิดโอกาสให้ผู้พิการเกือบ 8 แสนคน เข้าถึงบริการด้านสุขภาพ ตั้งเป้า 12 แห่ง ภายในปี 2555 วันนี้ (9 พ.ค.) นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ว่า วันนี้มติบอร์ด สปสช.ได้เห็นชอบในเรื่อง “การกำหนดหลักเกณฑ์การดำเนินงานและบริหารจัดการกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพที่จำเป็นต่อสุขภาพระดับจังหวัด” ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาและฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของผู้พิการ ซึ่งขณะนี้มีคนพิการลงทะเบียนในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจำนวน 795,000 ราย เพิ่มจากในปี 2548 ที่มีอยู่เพียงจำนวน 380,000 ราย ที่ผ่านมาพบปัญหาการเข้าถึงบริการของคนพิการ คือ คนพิการที่จำเป็นต้องได้รับบริการฟื้นฟูสมรรถภาพหรืออุปกรณ์เครื่องช่วยจำนวนมากยังไม่ได้รับบริการทั่วถึง เนื่องจากข้อจำกัด เช่น ระยะเวลาการพักฟื้นในโรงพยาบาล และระยะเวลาการครองเตียงสั้น ต้องกลับไปฟื้นฟูเองที่บ้าน การขาดแคลนบุคลากรด้านการฟื้นฟูในโรงพยาบาล ความยากลำบากในการเดินทาง ความร่วมมือกับหน่วยงานในท้องถิ่นยังมีไม่มาก นพ.วินัยกล่าวต่อว่า ในปี 2554 สปสช.จัดสรรงบรายหัวเพื่อตั้งเป็นกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์ 12 บาทต่อประชากร รวมเป็น 573.6 ล้านบาท สำหรับสนับสนุนโรงพยาบาลจัดบริการฟื้นฟูทั้งในด้านกายภาพบำบัด กิจกรรมบำบัด จิตบำบัด พฤติกรรมบำบัด การฟื้นฟูการได้ยิน การแก้ไขการพูด การฟื้นฟูการเห็น และมีรายการอุปกรณ์ที่เบิกจ่ายมากสุด เช่น 1.เท้าเทียมที่ต้องใส่ร่วมกับขาเทียมแบบต่างๆ 2.สายเข็มขัดเทียม 3.แป้นสายเข็มขัด 4.รถนั่งคนพิการ 5.เบ้าขาเทียมใต้เข่า 6.ไม้เท้าอะลูมิเนียมแบบสามขา 7.ไม้เท้าสำหรับคนตาบอด 8.ไม้ค้ำยันรักแร้ เป็นต้น โดยได้นำร่องจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการในระดับจังหวัดตั้งแต่ปี 2552-2553 ในพื้นที่ 3 จังหวัด คือ อำนาจเจริญ อุบลราชธานี และหนองบัวลำภู เพื่อดูแลช่วยเหลือคนพิการได้อย่างครบวงจร โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะเร่งเชิญชวนภาคท้องถิ่นให้เข้ามาร่วมกองทุนฯ ให้ได้อย่างน้อย 12 จังหวัด ภายในปีงบประมาณ 2555 “ในเรื่องของการจัดตั้งงบประมาณนั้น สปสช. จะสนับสนุนงบประมาณและมีการสมทบงบประมาณจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดและท้องถิ่นอื่น เพื่อให้กลุ่มดังกล่าวเข้าถึงบริการได้ทั่วถึง รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนาระบบ รูปแบบการดูแล และสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจึงมีมติออกเป็นประกาศเพื่อการดำเนินการในระดับจังหวัดทั่วประเทศต่อไป” นพ.วินัยกล่าว
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 พฤษภาคม 2554
9101
« เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2011, 06:00:25 »
สภาเทคนิคการแพทย์ รับรอง 11 สถาบัน ผู้ผลิตบัณฑิตเทคนิคการแพทย์ เพื่อใช้เป็นข้อมูลให้นักเรียนและผู้ปกครองใช้ในการตัดสินใจเลือกเข้าศึกษาในสถาบันที่ได้รับการรับรองแล้ว...
รศ.สมชาย วิริยะยุทธกร นายกสภาเทคนิคการแพทย์เปิดเผยว่า สภาเทคนิคการแพทย์เป็นองค์กรวิชาชีพที่มีอำนาจหน้าที่ในการควบคุมผู้ประกอบวิชาชีพเทคนิคการแพทย์ให้บริการที่ได้มาตรฐานมีคุณภาพแก่ประชาชนผู้ใช้บริการ โดยผู้ประกอบวิชาชีพเทคนิคการแพทย์ต้องมีใบอนุญาตในการประกอบวิชาชีพเทคนิคการแพทย์ ตาม พ.ร.บ.วิชาชีพเทคนิคการแพทย์ พ.ศ. 2547 และขณะนี้ทางสภาเทคนิคการแพทย์ได้ให้การรับรองสถาบันผู้ผลิตบัณฑิตเทคนิคการแพทย์ 11 แห่ง เพื่อประโยชน์ในการสมัครเป็นสมาชิกของสภาเทคนิคการแพทย์ในการขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเทคนิคการแพทย์ หลังสำเร็จการศึกษา หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต (เทคนิคการแพทย์) และเพื่อเป็นข้อมูลให้นักเรียนและผู้ปกครองใช้ในการตัดสินใจเลือกเข้าศึกษาในสถาบันที่ได้รับการรับรองแล้วได้แก่ คณะเทคนิคการแพทย์ ม.มหิดล, ม.เชียงใหม่, ม.ขอนแก่น, ม.รังสิต, ม.หัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ, คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาฯ, ม.ธรรมศาสตร์, ม.นเรศวร, ม.พะเยา, สำนักวิชาสหเวชศาสตร์และสาธารณสุขศาสตร์ ม.วลัยลักษณ์, โครงการจัดตั้งคณะเทคนิคการแพทย์ ม.สงขลานครินทร์.
ไทยรัฐออนไลน์ 11 พค 2554
9102
« เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2011, 05:59:03 »
ประชุมร่วมนัดแรก ผู้แทนสองบอร์ด "สปส.-สปสช." ไม่ได้ข้อสรุป ม.10 พ.ร.บหลักประกันสุขภาพฯ มีมติเลื่อนประชุมครั้งหน้า 9 มิ.ย. ให้แต่ละบอร์ดกลับไปทำการบ้านเสนอใหม่อีกครั้ง...
10 พ.ค. ที่สำนักงานประกันสังคม (สปส.) มีการประชุมร่วมผู้แทนของคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ด สปส.) นำโดย นายปั้น วรรณพินิจ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) และคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) นำโดย นพ.วิชัย โชควิวัฒน ประธานคณะอนุกรรมการยุทธศาสตร์ บอร์ด สปสช. เพื่อหารือถึงประเด็นมาตรา 10 ของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 เกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมในการให้บริการสาธารณสุขแก่ผู้ประกันตน โดยการประชุมยาวนานร่วม 2 ชั่วโมง ซึ่งบรรยากาศภายในการประชุม มีนายพนัส ไทยล้วน ประธานฝ่ายลูกจ้าง บอร์ด สปส. ไม่เห็นด้วยกับแนวทางตามมาตรา 10 โดยเกรงว่า หากนำผู้ประกันตนไปรวมอยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ บัตรทอง จะส่งผลต่อการรับบริการทั้งสิทธิประโยชน์ ความแออัดของโรงพยาบาล การได้รับบริการต่างๆ
นพ.วิชัย โชควิวัฒน ประธานคณะอนุกรรมการยุทธศาสตร์ บอร์ด สปสช. ในฐานผู้แทนเจราจาฝ่ายบอร์ด สปสช. และยังเป็นหนึ่งในกรรมการแพทย์ บอร์ด สปส. กล่าวภายหลังประชุมว่า การประชุมครั้งนี้ มีมติให้ตนและเลขาธิการ สปส.เป็นประธานร่วมการหารือในแต่ละครั้ง ซึ่งครั้งนี้ที่ประชุมยังไม่ได้ข้อสรุปชัดเจน เนื่องจากเป็นการประชุมครั้งแรก แต่เบื้องต้นได้ข้อสรุปในหลักการ 3 เรื่อง ได้แก่ 1.การเจรจาจะต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติฯ เน้นหลักมาตรา 10 และมาตรา 66 รวมทั้งหมายเหตุท้าย พ.ร.บ.ซึ่งมีสาระสำคัญในเรื่องการลดปัญหาสิทธิซ้ำซ้อน และการจัดทำระบบใหม่ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งต้องลดค่าใช้จ่ายในการบริหาร
"ประเด็นการลดสิทธิซ้ำซ้อน ปัจจุบันไม่ใช่ปัญหามากนัก แต่จะมุ่งไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพ ความเท่าเทียมกัน เพื่อลดปัญหาการไปรับบริการแล้วถูกถามว่าอยู่ในสิทธิใด ซึ่งไม่ถูกต้อง แพทย์ไม่ควรมีการถามถึงสิทธิ แต่ควรทำหน้าที่ในการให้บริการรักษา ขณะเดียวกันต้องมีการดำเนินการเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ประกันตน และต้องให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อระบบสาธารณสุขในภาพรวมของประเทศ" นพ.วิชัย กล่าว
นพ.วิชัย กล่าวอีกว่า 2. ในการหารือเพื่อให้บรรลุตามหลักการทุกประเด็นต้องให้ได้ฉันทามติทั้งสองฝ่าย หากไม่ได้ให้รอไปก่อน และ 3. จากการหารือครั้งนี้ได้มีการหยิบยกประเด็นต่างๆ ซึ่งเป็นประโยชน์มากในแง่ของการแสดงความคิดเห็น การแสดงความห่วงใยของทั้งสองฝ่าย ซึ่งนำไปสู่การเตรียมพร้อมในการประชุมครั้งหน้า ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 9 มิถุนายน 2554 ที่สปสช. โดยได้มอบหมายแต่ทั้งสองหน่วยงานไปทำการบ้าน เพื่อนำมาหารือในประเด็นของตน คือ สปส.มีความห่วงใยในเรื่องใดบ้างเกี่ยวกับการหารือเรื่องนี้ และ สปสช.มีความพร้อมในแง่ใดในการบริหาร อย่างไรก็ตาม แม้ครั้งนี้จะยังไม่ได้ข้อสรุปลึกซึ้ง แต่อย่างน้อยก็เป็นสัญญาณที่ดีที่ได้รับทราบความคิดเห็นของทั้งสองฝ่าย ส่วนผลจะออกมาอย่างไร ยังไม่ทราบ ทั้งหมดเป็นการปฏิบัติตามหน้าที่ตามกฎหมาย หากได้รับผลลัพธ์อย่างไรต้องเสนอให้ทั้งสองบอร์ด
ส่วนจะมีประชาพิจารณ์ หรือสอบถามผู้ประกันตนหรือไม่ เรื่องนี้ยังไม่ได้หารือ ผู้สื่อข่าวถามว่า มีข้อห่วงใยในมาตรา 10 หรือไม่ นพ.วิชัย กล่าวว่า ยังไม่ได้เจาะลึกเรื่องนี้ เพียงแต่มอบหมายให้แต่ละหน่วยงานไปดำเนินการหน้าที่ของตน เพื่อเสนอในการประชุมครั้งต่อไป
ไทยรัฐออนไลน์ 11 พค 2554
9103
« เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2011, 05:56:55 »
สปสช.จัดระบบเครือข่าย ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบเฉียบพลัน ดึง 700 รพ.เข้าร่วมโครงการ เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยในระบบหลักประกันสุขภาพ...
เมื่อวันที่ 9 พ.ค. นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า โรคหลอดเลือดสมอง เป็นโรคที่ทำให้เกิดความพิการในระดับต้นๆ ซึ่งเป็นปัญหาของระบบสาธารณสุขไทย เมื่อเกิดอาการโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลันแล้ว ผู้ป่วยเหล่านี้ต้องได้รับการรักษาภายใน 3 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม ในปีงบประมาณ 2553 ที่ผ่านมาพบว่ามีผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือดทันเวลา มีเพียงร้อยละ 0.90 เท่านั้น ซึ่งทำให้มีอัตราการเสียชีวิตและความพิการสูงมาก จึงมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วน ที่ต้องมีระบบการดูแลรักษาที่ถูกต้องรวดเร็ว และมีความพร้อมจะช่วยลดความพิการและอัตราเสียชีวิตลงได้ ทั้งนี้ ที่ผ่านมา สปสช.ได้ใช้วิธีการบริหารจัดการเฉพาะสำหรับโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน โดยจัดเป็นระบบเครือข่ายบริการเพื่อให้ผู้ป่วยในระบบหลักประกันสุขภาพเข้าถึงบริการได้ทันเวลา ลดภาวะแทรกซ้อน ลดอัตราการเสียชีวิตและทุพพลภาพ เพิ่มคุณภาพชีวิต
เลขาธิการ สปสช. กล่าวต่อว่า สำหรับอาการเบื้องต้น ที่แสดงถึงภาวะหลอดเลือดสมองตีบ หรืออุดตันเฉียบพลัน คือ มีอาการหน้าเบี้ยวข้างใดข้างหนึ่ง เมื่อบอกให้ผู้ป่วยยิ้มหรือยิงฟัน มีอาการแขนตกข้างใดข้างหนึ่ง โดยให้ผู้ป่วยยกมือยื่นตรงทั้ง 2 ข้าง เมื่อให้ผู้ป่วยลองกำมือ จะมีแรงลดลงข้างใดข้างหนึ่ง และมีการพูดผิดปกติ เมื่อมีอาการญาติติดต่อเข้ารับบริการที่ รพ.ใกล้ที่สุดก่อน ไม่ต้องเป็น รพ.ตามสิทธิ หรือติดต่อสายด่วน สปสช. 1330 ซึ่งเจ้าหน้าที่จะซักประวัติเบื้องต้น หากเข้าเกณฑ์ภาวะหลอดเลือดสมองตีบ หรืออุดตันเฉียบพลัน ก็จะแนะนำให้เข้ารับบริการที่ รพ.ในโครงการ และหากผู้ป่วยมีภาวะวิกฤติก็จะประสานสายด่วน 1669 ในการให้บริการรถนำส่ง รพ.
อย่างไรก็ตาม โรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันเป็นโรคที่ต้องได้รับการรักษาโดยการฉีดยา ละลายลิ่มเลือดทันเวลาภายใน 3 ชั่วโมง ปัจจุบันมี รพ.ทั่วประเทศเข้าร่วมกว่า 700 แห่ง เป็นโรงพยาบาลที่สามารถให้ยาละลายลิ่มเลือดได้กว่า 130 แห่ง ซึ่งสอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วน สปสช. 1330
ไทยรัฐออนไลน์ 11 พค 2554
9104
« เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2011, 21:41:20 »
"ปชป.แจงอาทิตย์หน้าขรก.เบิกจ่ายยา กลูโคซามีนซัลเฟตได้แล้ว หลังเกิดปัญหาถูกตัดจากบัญชีรักษาพยาบาล พร้อมเดินหน้ากู้เงินจากโครงการบ้านหลังแรก
นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ได้รับแจ้งจากกระทรวงการคลังว่า สัปดาห์หน้า กรมบัญชีกลาง จะแก้ไขระเบียบให้ข้าราชการให้สามารถเบิกจ่ายยา กลูโคซามีนซัลเฟต ( Glucosamine sulfate) ที่จะใช้รักษาโรคไขข้อเสื่อม ให้กับข้าราชการสูงอายุได้แล้วตั้งแต่สัปดาห์หน้า เป็นต้นไป หลังจากที่เคยมีปัญหาถูกตัดออกจากสิทธิการรักษาและมีการข้าราชการออกมาร้องเรียน
เนชั่นทันข่าว 8 พค. 2554
9105
« เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2011, 21:18:16 »
“จุรินทร์” เผยข้อสรุปร่วมกับประกันสังคม มอบหมายปลัด สธ.ประสานปลัด รง.เร่งพัฒนาระบบข้อมูลเชื่อมโยงเครือข่าย พร้อมทั้งพิจารณางบเหมาจ่ายรายหัวทุกปี หากข้อตกลงเป็นที่ยอมรับ พร้อมลงนามข้อตกลงในการทำงานร่วมกันต่อไป วันนี้ (9 พ.ค.) ที่กระทรวงสาธารณสุข นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมผู้บริหาร ว่า เรื่องการดำเนินการร่วมกันระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ซึ่งได้มอบหมายให้นายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประสานงานกับปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานกองทุนประกันสังคม ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้า 3 ข้อ คือ 1.กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงแรงงาน จะพัฒนาระบบฐานข้อมูลและระบบการเชื่อมโยงฐานข้อมูลไปสู่เครือข่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมกัน เพื่อใช้เป็นฐานในการที่จะให้ผู้บริการผู้ประกันตนอย่างมีศักยภาพต่อไป 2.เรื่องค่าใช้จ่ายเหมาจ่ายรายหัวซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 1,404 บาทจะมีการพิจารณาทบทวนทุกปีเพื่อให้ได้ตัวเลขที่มีความเหมาะสม และให้กระทรวงสาธารณสุขในฐานะหน่วยบริการให้บริการได้อย่างมีคุณภาพและศักยภาพเป็นอย่างดี 3.หากข้อตกลงทั้งหมดเป็นที่ยอมรับทั้ง 2 ฝ่ายจะให้มีคณะทำงานร่วมกันเพื่อดำเนินการร่างข้อตกลง เพื่อลงนามร่วมกันต่อไป ซึ่งเบื้องต้นปลัดกระทรวงแรงงานคาดว่าจะสามารถดำเนินการให้ได้ข้อสรุปภายใน 1-2 สัปดาห์ ในส่วนของการเบิกจ่ายเมื่อมีผู้ประกันตนมาใช้บริการสถานพยาบาลในสังกัดของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 40 ที่ผู้ประกันตนจะมาใช้บริการ ได้มอบหมายให้กลุ่มประกันสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข เชื่อมข้อมูลกับสำนักงานประกันสังคม ซึ่งจะทราบว่ามีการใช้บริการอย่างไรบ้าง และขณะเดียวกันจะติดตามการจ่าย หากพบว่าไม่มีการจ่ายกระทรวงสาธารณสุขจะเป็นผู้กำกับให้เกิดการจ่ายร่วมกับประกันสังคม นายจุรินทร์ กล่าว
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 พฤษภาคม 2554
หน้า: 1 ... 605 606 [607] 608 609 ... 651
|