เมื่อตอนที่เราเป็นเด็กอยู่ในวัยเรียนจะเห็นว่า หากเด็กคนไหนหัวดี เรียนเก่ง สอบได้คะแนนหรือมีเกรดเฉลี่ยที่ดี(ตั้งแต่ 3-3.5 ขึ้นไป) มักถูกผู้ใหญ่หรือพ่อแม่แนะนำให้เรียนด้านที่เมื่อจบออกมาแล้ว สามารถสร้างรายได้จำนวนมากๆ เช่น แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร หรือวิศวกร เด็กส่วนใหญ่จำนวนมาก จึงต่างต้องการสอบเข้าเรียนต่อในอาชีพดังกล่าว โดยเฉพาะคณะแพทย์ศาสตร์ แต่ในความเป็นจริงมหาวิทยาลัยที่มีคณะแพทย์มีความสามารถรับได้อย่างจำกัด
ในปัจจุบันงานหรืออาชีพซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานและของสังคมอย่างมาก แต่มีผู้ที่สามารถเข้ามาทำได้จำนวนจำกัด นอกจากวิชาชีพแพทย์แล้ว อาจมีอยู่หลายอาชีพ แต่ขอยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ อาชีพด้านกฎหมายได้แก่ อัยการและผู้พิพากษาที่มีความต้องการมาก แต่มีผู้เข้ามาทำได้น้อย เนื่องจากงานด้านอัยการและผู้พิพากษานั้น กว่าจะเข้ามาทำได้นอกจากต้องสำเร็จการศึกษากฎหมายและสอบเป็นเนติบัณฑิตแล้ว ยังต้องประกอบอาชีพทางกฎหมายอื่นมาไม่น้อยกว่า 2 ปี เมื่อมีคุณสมบัติครบถ้วนแล้ว ก็ต้องทำการสอบข้อเขียนที่ว่ากันว่า ข้อสอบอัยการหรือผู้พิพากษานั้น เป็นข้อสอบกฎหมายที่ยากที่สุด
แม้สำนักงานอัยการสูงสุดหรือศาลยุติธรรมจะมีความต้องการคนเข้ามาเป็นอัยการ ผู้พิพากษาจำนวนมาก เพื่อรองรับกับปริมาณคดีที่มีจำนวนมากขึ้น แต่ปรากฏว่ามีผู้ที่สามารถสอบผ่านข้อเขียนและเข้ามาเป็นอัยการหรือผู้พิพากษาได้ มีเพียงประมาณปีละไม่เกิน 5-10%เท่านั้น เมื่อหันไปดูด้านปลายทาง แต่เดิมได้กำหนดให้อัยการผู้พิพากษาต้องเกษียณ เมื่ออายุ 60 ปีบริบูรณ์ มีผู้ที่เกษียณจากการทำงานแต่ละปีจำนวนมากกว่าที่สอบเข้ามาได้ ทำให้เกิดสภาพที่ปริมาณอัยการ-ผู้พิพากษาไม่พอกับจำนวนคดีที่เพิ่มมากขึ้น ผู้ที่รับผิดชอบด้านกำลังคน จึงเห็นว่า แม้อัยการหรือผู้พิพากษาจะมีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์แล้ว แต่ส่วนใหญ่ยังสามารถทำงานต่อไปได้ จึงได้แก้ไขระเบียบให้อัยการและผู้พิพากษาที่ต้องเกษียณอายุสามารถทำงานต่อไปได้กระทั่งอายุครบ 70 ปีบริบูรณ์ โดยเป็นการลงมาทำงานคดี เช่น การนั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น อันเป็นการใช้ความรู้และประสบการณ์ที่ผ่านมา ช่วยในการทำงานคดี โดยไม่ต้องทำงานด้านบริหารที่มีตำแหน่งในงานด้านยุติธรรม
วิธีการที่ใช้ในศาลยุติธรรมดังกล่าว เป็นวิธีการที่ช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนกำลังคนของศาลยุติธรรมได้ในระดับหนึ่ง อีกทั้งยังสามารถทำให้ผู้บริหารศาลยุติธรรมระดับต่าง ๆ ขึ้นสู่ตำแหน่งบริหารได้ตามลำดับขั้นต่อไป
จากตัวอย่างการแก้ปัญหากำลังคนของอัยการและศาลแล้ว ทำให้เห็นได้ว่า ยังมีวิชาชีพ ซึ่งเป็นที่ต้องการของสังคม แต่สามารถผลิตบุคลากรในแต่ละปีได้น้อย ไม่พอกับความต้องการอีกวิชาชีพหนึ่งก็คือวิชาชีพแพทย์ ตามที่กล่าวมาข้างต้นนั่นเอง เนื่องจากในปัจจุบันแพทย์ที่ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลของรัฐก็ถือเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญทั่วไป ที่ตามกฎหมายกำหนดให้เกษียณเมื่ออายุ 60 ปีบริบูรณ์ หากเมื่อเกษียณแล้วมิได้ประกอบวิชาชีพแพทย์ต่อหรือออกไปทำงานในโรงพยาบาลเอกชนจะทำให้โรงพยาบาลของรัฐต้องขาดแพทย์ที่มีประสบ การณ์ในด้านต่าง ๆ ไปโดยเปล่าประโยชน์
จากผลการศึกษาเกี่ยวกับบุคลากรทางการแพทย์พบว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีแพทย์ที่สามารถทำเวชปฏิบัติได้ประมาณ 32,000 คนเศษ เป็นแพทย์ของกระทรวงสาธารณสุขประมาณ 12,000 คน อีกประมาณ 20,000 คน เป็นแพทย์ภาครัฐที่กระจายตามหน่วยงานต่าง ๆ เช่น กรุงเทพมหานคร กระทรวงกลาโหม หรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อย่างไรก็ตาม แพทย์ของกระทรวงสาธารณสุขจำนวนดังกล่าวก็มิได้เป็นแพทย์ที่ทำเวชปฏิบัติทั้งหมด โดยแพทย์ที่เป็นผู้บริหารระดับสูง กลางและระดับต้นที่ทำงานในกระทรวงสาธารณสุขที่ไม่ต้องทำเวชปฏิบัติเลย และที่กำลังศึกษาต่อในคณะแพทย์ทั่วประเทศรวมแล้วมีจำนวนเกือบถึง 4,000 คน ฉะนั้นจึงมีแพทย์ในกระทรวงสาธารณสุขที่ทำเวชปฏิบัติจริงๆประมาณ 8,000 คน ทำให้เมื่อคำนวณเป็นสัดส่วนต่อประชากรในประเทศไทยแล้วอยู่ที่ประมาณ 1 : 7,875 คน ซึ่งไม่เป็นไปตามเกณฑ์องค์การอนามัยโลกกำหนดสัดส่วนแพทย์ต่อประชากรไว้ที่ 1 : 5,000 คน
หากกระทรวงสาธารณสุขสามารถทำการแก้ไขกฎระเบียบให้แพทย์ที่มีอายุครบ 60 ปี สามารถทำงานต่อไปได้อีกระยะหนึ่งจนอายุ 70 ปี เหมือนอัยการหรือผู้พิพากษา โดยไม่ต้องมีตำแหน่งหรือทำงานบริหารโรงพยาบาล ก็จะทำให้โรงพยาบาลของรัฐมีแพทย์ที่มีประสบการณ์มาช่วยในการวินิจฉัยและรักษาผู้ป่วยได้อีกมาก อย่างน้อยสามารถนำเอาประสบการณ์ในการปฏิบัติงานแพทย์ที่จำเป็น เช่น การวินิจฉัยโรค มาช่วยเหลือให้คำปรึกษาแก่แพทย์ที่จบใหม่และเริ่มปฏิบัติงานได้ไม่นาน และอาจจะเป็นการป้องกันปัญหาการวินิจฉัยโรคผิดพลาด ซึ่งทำให้การรักษาไม่ถูกต้องได้อีกด้วย
นอกจากปัญหาขาดแคลนแพทย์อันเนื่องจากกฎเกณฑ์หรือระเบียบทางราชการที่ไม่เอื้อต่อแพทย์ที่ต้องเกษียณดังกล่าวแล้ว สิ่งหนึ่งที่เป็นแรงดึงดูดแพทย์จากระบบราชการก็คือ การขยายตัวของโรงพยาบาลเอกชนในประเทศไทย ซึ่งแต่ละปีโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังบางแห่งมีรายได้จากการรักษาพยาบาลเป็นเงินที่สูงกว่าหนึ่งหมื่นล้านบาท ทำให้สามารถให้ค่าตอบแทนอัตราสูงมากกว่าแพทย์ที่ทำงานภาครัฐ นอกจากนี้ในปัจจุบันโรงพยาบาลเอกชนในประเทศไทยมีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนจำนวนมาก ทั้งในรูปแบบการร่วมลงทุนหรือเข้ามาลงทุนโดยตรง ตลอดจนมีแพทย์ต่างชาติเข้ามาเป็นที่ปรึกษาจำนวนมากขึ้น เพื่อให้บริการแก่คนไทยที่ฐานะดีตลอดจนชาวต่างชาติที่นิยมเข้ามารับการรักษาพยาบาลในประเทศไทยมากขึ้น
หากภาครัฐยังปล่อยให้ปัญหาการขาดแคลนแพทย์ที่มีฝีมืออันเนื่องมาจากการไม่สร้างแรงจูงใจหรือไม่แก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานของแพทย์ที่มีประสบการณ์แล้ว ก็จะทำให้แพทย์ที่มีฝีมือ มีประสบการณ์หลั่งไหลไปสู่การทำงานในโรงพยาบาลเอกชนที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า จนอาจทำให้โรงพยาบาลของรัฐ ซึ่งเป็นที่พึ่งของคนระดับล่าง ขาดแพทย์ที่มีฝีมือมารักษาได้
รุจิระ บุนนาค
แนวหน้า 2 มีนาคม 2555