ผู้เขียน หัวข้อ: 'พราหมณ์หลวง'ชี้ 'พิธีไล่น้ำ'มีจริงสมัยร.3 แจงกทม.ทำไม่ครบพระราชพิธี-โหรแนะบูชา  (อ่าน 1143 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9759
    • ดูรายละเอียด
โหรชื่อดังฟันธง!คนไทยยังคงทุกข์ระดมต่อ ระบุหลังอุทกภัยคลี่คลายเตรียมรับมือกับแผ่นดินไหว - ดินถล่มเหตุเพราะเดือน พ.ย.- ธ.ค.จะเกิดอุปราคาในแนวราศีธาตุดิน พร้อมเตือนประชาชนอย่าตื่นตระหนกหากต้องการสร้างขวัญและกำลังใจให้นำพระพุทธรูป “ปางห้ามสมุทร” มาบูชาได้ ขณะที่พระครูวามเทพมุนี ระบุพิธีไล่น้ำของ กทม.เป็นแค่การขอพรพระแม่คงคา แต่พิธีกรรมจริงๆต้องเป็น “พระราชพิธีไล่เรือ” ชี้เป็นพระราชพิธีโบราณที่สำคัญที่เคยทำมาแล้วในสมัยรัชกาลที่ 3
       
       การเกิดอุทกภัยเป็นภัยธรรมชาติที่เกิดมาแล้วทุกปีแต่ปีนี้มีความหนักหนาสาหัสมากกว่าและขยายวงกว้างออกไปในหลายจังหวัด กรณีนี้ตามหลักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเกิดจากภาวะโลกร้อนทำให้เกิดอากาศวิปริตแปรปรวน ในขณะที่ผู้ที่ร่ำเรียนวิชาโหราศาสตร์เชื่อว่าเหตุการณ์นี้เกิดจากการโคจรของดาวบาปเคราะห์ เช่น ดาวพุธ ดาวมฤตยู ดาวราหูโคจรเข้ามาอยู่ในราศี กรกฏซึ่งเป็นราศีธาตุน้ำพร้อมกัน
       
       เตือนให้ระวัง
       “แผ่นดินไหว-ดินถล่ม”
       
       อาจารย์ภิญโญ พงศ์เจริญ นายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ บอกว่า เคยทำนายเรื่องอุทกภัยครั้งใหญ่มาตั้งแต่ปลายปีที่แล้วและมันก็เกิดขึ้นจริงๆสาเหตุสำคัญเพราะดาวบาปเคราะห์ เช่น ดาวพุธ ดาวราหู ดาวมฤตยู ได้โคจรเข้าสู่ราศีธาตุน้ำนั่นคือราศีกรกฏ และราศีมีน ตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2554 เป็นต้นมาซึ่งมาถึงวันนี้จะมีอิทธิพลทำให้มีน้ำมากตามราศี
       
       นอกจากนี้ดาวอังคารซึ่งเป็นดาวใหญ่มีอิทธิพลมากได้โคจรเข้ามาร่วมในราศีกรกฏอีกดวงยิ่งส่งผลกระทบมากขึ้นจนกว่าจะถึงวันที่ 31 ต.ค.2554 จึงจะย้ายจากราศีธาตุน้ำนั่นแสดงว่าเหตุการณ์นี้จะยังคงอยู่และอาจจะมี่ความรุนแรงไปจนถึงสิ้นเดือนนี้แน่นอน
       
       อย่างไรก็ตามแม้ปัญหาอุทกภัยครั้งนี้จะทุเลาลงไปแต่จะยังคงเกิดปัญหานี้ขึ้นมาซ้ำๆแต่จะเปลี่ยนพื้นที่เกิดโดยจะย้ายจากภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน ไปเป็นภาคใต้ตอนบนไล่ลงไปเรื่อยๆเพราะหลังจากเดือนพฤศจิกายนนี้เป็นต้นไปดาวอังคารซึ่งเป็นดาวธาตุลมจะย้ายไปทำมุมสามเหลี่ยมกับดาวราหูและดาวมฤตยูในราศีตุลย์ ซึ่งเป็นราศีธาตุลมประกอบกับจะเกิดสุริยุปราคาในวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 เวลา 13.10 น.ในราศีพิจิกอาโปธาตุ(ธาตุน้ำ)จะก่อให้เกิดปัญหาวาตภัยและอุทกภัยที่รุนแรง หรืออาจจะเกิดสึนามิ เกิดพายุหมุนและฝนฟ้าคะนองอย่างรุนแรง บางพื้นที่เกิดฝนตกหนัก น้ำท่วมสร้างความเสียหายให้กับประชาชนจำนวนมาก มีการตายจากการจมน้ำ เกิดอุบัติภัยในแม่น้ำทะเลมหาสมุทร
       
       “ไม่ใช่เฉพาะเดือนพฤศจิกายนเท่านั้นที่เกิดอุปราคา ในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2554 เวลา 21.38 น.ยังจะเกิดจันทรุปราคาในราศีพฤษภ ซึ่งเป็นปฐวีธาตุ(ธาตุดิน) เหตุการร์นี้จะเตือนให้ระมัดระวังเรื่องดิน ความเสียหายเกี่ยวกับแผ่นดิน การสูญเสียที่ดิน แผ่นดินทรุด แผ่นดินไหว แผ่นดินถล่ม การพังทลายของดิน อาคารตึกรามบ้านช่องสิ่งก่อสร้างพังทลาย ทำให้เกิดผลเสียหายกับพืชผลทางการเกษตรอย่างหนัก แต่จะเปลี่ยนพื้นที่จากตอนบนไปยังตอนใต้ของประเทศ”

       แนะบูชาปางห้ามสมุทร
       สวด 'อภยปริตร'ทุกบ้าน
       
       โดยปกติแล้วคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธส่วนมากจะมีพระพุทธรูปบูชาไว้ทุกบ้านแต่จะมีน้อยคนที่รู้ว่าพระพุทธรูปปางต่างๆที่นำมาบูชานั้นนอกเหนือจะเป็นที่ยึดเหนี่ยวแล้วยังสามารถป้องกันภัยอันตรายที่เกิดขึ้นทั้งจากน้ำมือมนุษย์และภัยจากธรรมชาติได้เช่นกัน
       
       อาจารย์ภิญโญ บอกว่า คนเราปกติจะมีการบูชาพระพุทธรูปอยู่แล้วแต่ในกรณีที่เกิดเหตุจากภัยธรรมชาติ เช่นแผ่นดินไหว อุทกภัย วาตภัย คนโบราณได้ถ่ายทอดความเชื่อต่อๆกันมาว่าให้บูชาพระพุทธรูปปางห้ามสมุทรและสวดพระคาถาในบทอภยปริต ซึ่งจะสามารถช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ เรื่องนี้คนสมัยใหม่อาจจะไม่เชื่อแต่ในเมื่อเกิดเหตุการณ์แล้วเราจะทำก็ไม่ได้เสียหายอะไร โดยเฉพาะการสวดอภยปริตรนั้นเป็นบทสวดที่ป้องกันและต้านทานภัยจากธรรมชาติได้อย่างไม่น่าเชื่อ
       
       “เรื่องนี้เป็นเรื่องของนามธรรมคนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยได้เห็นแต่การบูชาพระพุทธรูปและการสวดพระปริตรในบทต่างๆนั้นทำมากันตั้งแต่สมัยโบราณพระมหากษัตริย์ทุกๆพระองค์ก็ทำมาตลอดจนกลายเป็นประเพณีปฏิบัติแต่หากจะให้ได้ผลดีประชาชนคนไทยควรจะทำกันให้ได้ทุกบ้านเพื่อการผ่อนหนักเป็นเบา”
       
       พระราชพิธี “ไล่น้ำ” มีจริง
       
       อย่างไรก็ดีวิกฤตน้ำท่วมครั้งนี้ ในส่วนของกทม.โดยม.ร.ว สุขุมพันธ์ บริพัทธ ผู้ว่าฯกรุงเทพมหานครก็ได้ประกอบพิธีไล่น้ำเพื่อปลุกขวัญกำลังใจให้กับคน กทม. ซี่งในเรื่องนี้ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยและมองว่าเป็นเรื่องงมงาย ขณะที่อีกกลุ่มก็มองว่าเป็นการปลอบขวัญให้คนไม่รู้สึกหวาดวิตกกับเหตุการณ์น้ำท่วมได้เช่นกัน
       
       สำหรับในเรื่องนี้พระราชครูสามเทพมุนี หัวหน้าคณะพราหมณ์ประจำสำนักพระราชวัง บอกว่า ที่ กทม.ทำพิธีไล่น้ำนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ไม่ใช่เรื่องที่เสียหาย แต่คงจะทำเพื่อขอพรจากพระแม่คงคาเท่านั้น ซึ่งก็เป็นการปลุกปลอบขวัญให้คนไทยส่วนหนึ่งได้สู้กับอุทกภัยครั้งนี้อย่างมีสติ ซึ่งการประกอบพิธีในลักษณะดังกล่าวนี้มีอยู่จริงๆเรียกว่า “พระราชพิธีไล่เรือ” ซึ่งพิธีนี้จะเริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยเมื่อถึงฤดูน้ำหลากจนเกิดน้ำท่วมเรือกสวนไร่นา จนไม่สามารถที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้คนสมัยก่อนเขาก็จะมีประเพณีที่จะทำให้ น้ำลดหรือให้น้ำไหลออกไปจากไร่นาเพื่อที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ซึ่งเขาจะเรียกพิธีนี้ว่า “การไล่เรือหรือพิธีไล่น้ำ” ซึ่งนับว่าเป็นพิธีกรรมที่สำคัญอย่างมาก
       
       โดยขั้นตอนของการประกอบพิธีไล่น้ำที่สมบูรณ์และถูกต้องตามโบราณราชประเพณี นั้นพระราชครูสามเทพมุนี บอกว่า พระเจ้าแผ่นดินต้องประทับเรือพระที่นั่ง และขุนนางผู้ใหญ่ตามเสด็จเป็นขบวนใหญ่ โดยขบวนเสด็จพยุหยาตราชลมารคจากพระนครศรีอยุธยาแล้วล่องตามลำแม่น้ำลงไปทางทิศใต้ เมื่อล่องเรือไปถึงสถานที่ที่กำหนดก็ทำพิธีอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมาก่อน เช่น ตั้งเครื่องบัดพลีทำพิธีเรียกขวัญสู่ขวัญแม่พระคงคา มีการร้องลำนำเห่กล่อม
       
       หลังจากนั้นพระเจ้าแผ่นดิน “เสด็จออกยืน” กลางเรือพระที่นั่ง แล้ว “ทรงพัชนี” ซึ่งก็คือการถือพัดศักดิ์สิทธิ์โบกไปมาเหนือน้ำ โดยจะโบกในลักษณะจากเหนือลงใต้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้พัดที่ทรงถือและโบกนั้น ขอให้เกิดลมมาพัดกระแสน้ำให้ไหลลงเร็วๆ น้ำจะได้ลดลงนอกจากนี้แล้วในการประกอบพิธีก็อาจจะมีการใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์ ฟันสายน้ำให้ขาดเพื่อเร่งรัดให้น้ำลดลงอีกด้วย
       
       “พิธีการไล่ชลหรือไล่เรือนี้เป็นพระราชพิธีศักดิ์สิทธิ์มาก ตามหลักฐานพบว่าทำครั้งสุดท้ายในสมัยรัชกาลที่ 3 จากนั้นพิธีนี้ก็ไม่ได้จัดขึ้นมาอีกเลย”พระครูวามเทพมุนีกล่าวในที่สุด

ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์    13 ตุลาคม 2554