ผู้เขียน หัวข้อ: เคล็ดลับป้องกัน “ผิวแตกลาย” รับลมหนาว  (อ่าน 1066 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9779
    • ดูรายละเอียด
“การขวนขวายหาสารพัดเครื่องประทินผิวในช่วงฤดูหนาว กลายเป็นกระแสนิยมมานานสำหรับทุกสภาพผิว ทว่า หนาวปีนี้เราอยากเห็นคนผิวมันหยุดพักใช้สารเคมีบ้างก็ดี” ภญ.สุภาภรณ์ ปิติพร  หัวหน้าโครงการสาธิตการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวด้วยอารมณ์ขัน
       
       ภญ. สุภาภรณ์ อธิบายเพิ่มเติมว่า ในความจริงแล้วการเกิดมาเป็นคนผิวมันนั้นดี เนื่องจากสามารถสะสมความชุมชื้นของผิวได้ดี เว้นแต่ผิวหน้าที่อาจเจอปัญหาสิวบ้างสำรับคนเผชิญฝุ่น ควัน หรือสิ่งสกปรกในช่วงหน้าร้อน แต่หากเป็นฤดูหนาว คนผิวมันโชคดีกว่าคนผิวแห้งมาก เนื่องจากผิวไม่มีรอยแตก รอยแยกให้แบคทีเรียหรือเชื้อโรคอื่นๆ เข้าสู่ร่างกายได้เลย ซึ่งหลายคนมักแสดงอาการของเชื้อโรครบกวนด้วยการเกา และผลที่ตามมาเกิดเป็นแผลอักเสบ
       
       สำหรับสาวยุคนี้ การมีผิวแตกเป็นปัญหาความงามอย่างมาก เพราะนอกจากจะลดความมั่นใจในการโชว์เรียวขาแล้ว ยังยากต่อการบำรุงดูแลให้ผิวมีสุขภาพดีด้วย ดังนั้นจึงควรเลือกสรรหาครีมบำรุงผิวที่มีค่าความเข้มข้นสูง เพื่อให้สามารถเก็บความชื้นไว้ในสภาพอากาศแห้ง เช่น การหาครีมที่มีส่วนผสมของน้ำมันงา น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว ครีมมะขามป้อม เป็นต้น หรือหากหาไม่ได้ก็สามารถซื้อครีมบำรุงธรรมดาที่มีวิตามินอี แล้วเลือกน้ำมันมาสักประเภทเพื่อหยดผสมกับครีมก่อนทาทั่วร่างกาย ซึ่งใช้แค่ 2-3 หยดต่อครั้งเท่านั้น ซึ่งสามารถทาได้ทั้งข้อศอก ล้นเท้า แขน ขา เว้นแต่ทาริมฝีปากปากต้องใช้น้ำมันอย่างเดียว

       นอกจากการใช้น้ำมันสารสกัดจากธรรมชาติในระยะเวลาสั้นๆ ข้างต้นแล้ว สำหรับคนที่มีเวลาว่างมากพอก็อาจเลือกดูแลผิวส้นเท้าในแบบพิถีพิถันมากกว่าเดิม โดยการผสมน้ำอุ่นครึ่งถัง เกลือ 1 ช้อนโต๊ะน้ำนมครึ่งถ้วยตวง น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาวครึ่งถ้วยตวงแล้วแช่เท้าไว้นาน ประมาณ 15นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด เพียงแค่สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ก็ย่อมมีสุขภาพผิวที่ดี ไร้ปัญหา แขน ขา แตกลายในฤดูหนาวแล้ว
       
       “ต้องจดจำไว้อย่างหนึ่งว่า การบำรุงผิวในช่วงหน้าหนาวนั้น ต้องหลีกเลี่ยงภาวะที่ทำให้ผิวบอบช้ำ เช่น การขัดด้วยหิน หรือการขัดส้นเท้าด้วยแปรงแข็ง ก็จะทำให้ระบมง่าย และควรใช้สบู่ทั่วไปให้น้อยที่สุด พยายามใช้ออยหรือน้ำมันสำหรับดูแลผิวทากายช่วงหลังอาน้ำเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวและมีน้ำมันหล่อเลี้ยงอย่างเพียงพอ” ภญ.สุภาภรณ์ กล่าวย้ำ
       
       หลายคนมองว่าการผัดแป้งและแต่งหน้านั้นก็เป็นเรื่องจำเป็นแต่กรณีที่ผิวขาดความเอิบอิ่ม การทาแป้งมากไปอาจทำให้ผิวลอกเป็นขุย ดูเป็นอุปสรรคในการเสริมความงามอย่างมาก กรณีนี้ ภญ.สุภาภรณ์มีคำแนะนำว่า พยายามอย่าใช้สบู่ทั่วไปที่มีความเป็นเบส สูงเกินไป หลังจากนั้นให้ซับหน้าเบาๆ ให้แห้งก่อนทาครีมบำรุงผิวลงไป แต่ควรทารองพื้นบางๆและผัดแป้งเบาๆ ไม่ต้องหนามาก เนื่องจากแป้งตลับส่วนมากมีคุณสมบัติระงับความมันบนใบหน้า หรือถ้าไม่มั่นใจก็ควรปรึกษาสภาพผิวกับผู้เชี่ยวชาญก่อนเลือกซื้อแป้งด้วย
       
       “การบำรุงผิวด้วยวิธีข้างต้น ไม่ใช่การปรนเปรอผิวเพื่อความงามชั่วขณะ แต่หมายถึงการปกป้องผิวไม่ให้เปราะบางและสามารถนำไปสู่การสร้างภูมิต้านทานอย่างเหมาะสม ไม่เปิดทางให้เชื้อโรคเข้าสู่ผิวหนังชั้นใน ดังนั้นขั้นตอนอาจช้าบ้าง เร็วบ้าง แต่ก็เพื่อปลายทางของผิวที่แข็งแรง ดังนั้นก็ต้องดูแลย่างเต็มที่”
       
       นอกจากนี้ ควรมีการพักผ่อนและทานอาหารอย่างเหมาะสมด้วย และดื่มน้ำให้มากๆ เพราะผิวทุกคนต้องการความชุ่มชื้นจากน้ำที่บริสุทธิ์ ซึ่งถ้าหากทำได้ผิวก็จะสุขภาพดีมีเกราะป้องกันเชื้อโรคได้ไม่ยาก

ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 มกราคม 2555