ผู้เขียน หัวข้อ: เปิดผลวิจัยผัก-สมุนไพรไทย พบประโยชน์สารพัด  (อ่าน 972 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9779
    • ดูรายละเอียด
เปิดผลวิจัยพบผักพื้นบ้านไทยคุณค่าเพียบ มีสารหลายชนิดป้องกันโรคมะเร็ง ชะลอแก่ สธ.หนุนประชาชนไทย หันมากินผักพื้นบ้าน4 ภาคในปี 2555
       
       วันนี้ (3 ม.ค.) นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า จากการที่สำนักโภชนาการ กรมอนามัย ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับคุณค่าของผักพื้นบ้านที่คนไทยทั้ง 4 ภาคนิยมกินกันอยู่ทั่วไปทั้งดอก ใบ ยอดอ่อน ฝัก ผล หัวและรากนั้น และพบว่าพืชผักของไทยมีประโยชน์สารพัดนั้น ทาง สธ.จะมอบหมายให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) เผยแพร่ส่งเสริมประชาชนใช้บริโภคและให้โรงพยาบาลในสังกัดของกระทรวงสาธารณสุขนำมาปรุงเป็นอาหารของผู้ป่วยเป็นตัวอย่างประชาชน เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลอย่างทั่วถึง
       
       ด้าน นพ.สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ประเทศไทยมีผักพื้นบ้านมากกว่า 300 ชนิด ส่วนใหญ่จะขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น ริมห้วย หนองคลองบึง และป่าเขา ในการศึกษาผักพื้นบ้านในปี 2554 นี้ กรมอนามัยได้เก็บตัวอย่างผักพื้นบ้าน รวม 45 ชนิด จาก 4 ภาค ประกอบด้วย ภาคกลาง 12 ชนิด ภาคเหนือ 6 ชนิด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5 ชนิด และภาคใต้ 22 ชนิด โดยศึกษาปริมาณสารอาหารที่มีความสำคัญต่อร่างกาย 9 ชนิด ได้แก่
1.พลังงาน
2.โปรตีน
3.ไขมัน
4.คาร์โบไฮเดรต
5.เบตาแคโรทีน
6.วิตามินซี
7.ใยอาหาร
8.ธาตุเหล็ก 
9.แคลเซียม
ผลการศึกษาเมื่อเปรียบเทียบน้ำหนักทุก 100 กรัมเท่ากัน พบว่าผักพื้นบ้านของไทยทุกชนิดให้พลังงาน โปรตีน ไขมันและคาร์โบไฮเดรตน้อยมาก จึงกล่าวได้ว่าผักเหล่านี้กินแล้วไม่ทำให้อ้วน
       
       ผักที่มีแคลเซียมสูงที่สุด 10 อันดับ ได้แก่
1.หมาน้อย มี 423 มิลลิกรัม
2.ผักแพว มี 390 มิลลิกรัม
3.ยอดสะเดา มี 384 มิลลิกรัม
4.กะเพราขาว มี 221 มิลลิกรัม
5.ใบขี้เหล็ก มี 156 มิลลิกรัม
6.ใบเหลียง มี 151 มิลลิกรัม
7. ยอดมะยม มี 147 มิลลิกรัม
8.ผักแส้ว มี 142 มิลลิกรัม
9.ดอกผักฮ้วน มี 113 มิลลิกรัม
10.ผักแมะ มี 112 มิลลิกรัม
โดยแคลเซียม มีบทบาทหลักคือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของกระดูก และป้องกันโรคกระดูกพรุน ช่วยในการทำงานของระบบประสาท กล้ามเนื้อ หัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้ยังช่วยในการแข็งตัวของเลือดและควบคุมการหลั่งของฮอร์โมนบางชนิด
       
       ผักที่มีธาตุเหล็กสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
1.ใบกะเพราแดง มี 15 มิลลิกรัม
2. ผักเม็ก มี 12 มิลลิกรัม
3.ใบขี้เหล็ก มี 6 มิลลิกรัม
4.ใบสะเดา มี 5 มิลลิกรัม 
5.ผักแพว มี 3 มิลลิกรัม
ส่วนธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการสร้างฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง เพื่อนำออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย และมีบทบาทในด้านพัฒนาการและการเรียนรู้ สมรรถภาพในการทำงาน สร้างภูมิต้านทานโรค และเกี่ยวข้องกับการเจริญพันธุ์ ธาตุเหล็กจะถูกดูดซึมได้ดีต้องรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีควบคู่ด้วย
       
       ผักที่มีใยอาหารสูง 10 อันดับ ได้แก่ 
1.ยอดมันปู มี 16.7 กรัม
2.ยอดหมุย มี 14.2 กรัม
3. ยอดสะเดา มี 12.2 กรัม
4.เนียงรอก มี 11.2 กรัม
5.ดอกขี้เหล็ก 9.8 กรัม
6.ผักแพว 9.7กรัม
7.ยอดมะยม 9.4 กรัม
8.ใบเหลียง 8.8 กรัม
9.หมากหมก 7.7 กรัม
10.ผักเม่า มี 7.1 กรัม
ซึ่งใยอาหารในผัก ทำให้ร่างกายขับถ่ายอุจจาระได้เร็วขึ้น ท้องไม่ผูก ช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และทำให้การดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดช้าลงส่งผลให้ลดระดับการใช้อินซูลิน นอกจากนี้ใยอาหารบางชนิดยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
       
       ผักที่มีเบตาแคโรทีนสูง 10 อันดับ ได้แก่
1.ยอดลำปะสี มี 15,157 ไมโครกรัม
2.ผักแมะ มี 9,102 ไมโครกรัม
3.ยอดกะทกรก มี 8,498 ไมโครกรัม
4.ใบกระเพราแดง มี 7,875 ไมโครกรัม
5.ยี่หร่า มี 7,408 ไมโครกรัม
6.หมาน้อย มี 6,577 ไมโครกรัม
7.ผักเจียงดา มี 5,905 ไมโครกรัม
8.ยอดมันปู มี 5,646 ไมโครกรัม
9.ยอดหมุย มี 5,390 ไมโครกรัม
10.ผักหวาน มี 4,823 ไมโครกรัม
       
       ส่วนผักที่มีวิตามินซีสูง 10 อันดับ ได้แก่
1.ดอกขี้เหล็ก มี 484 มิลลิกรัม
2.ดอกผักฮ้วน มี 472 มิลลิกรัม
3.ยอดผักฮ้วน มี 351 มิลลิกรัม
4.ฝักมะรุม มี 262 มิลลิกรัม
5.ยอดสะเดา มี 194 มิลลิกรัม
6.ผักเจียงดา มี 153 มิลลิกรัม
7.ดอกสะเดา มี 123 มิลลิกรัม
8.ผักแพว มี 115 มิลลิกรัม
9.ผักหวาน มี 107 มิลลิกรัม
10.ยอดกะทกรก มี 86 มิลลิกรัม
โดยทั้งเบต้าแคโรทีนและวิตามินซี เป็นสารอาหารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ลดการอักเสบ เสริมสร้างภูมิต้านทานโรคในร่างกาย ทำให้ร่างกายแก่ชราช้าลงด้วย
       
       นพ.สมยศกล่าวอีกว่า การนำผักพื้นบ้านประจำถิ่นมาปรุงประกอบอาหาร นับได้ว่าเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทยในการสร้างเสริมสุขภาพและรักษาโรคโดยไม่ต้องพึ่งยาและสารเคมีในแต่ละภาคของประเทศไทยมีผักพื้นบ้านสามารถเลือกรับประทานได้ตลอดปีและประชาชนควรเพิ่มการกินผักพื้นบ้านให้มากขึ้น เพราะนอกจากจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายแล้ว ยังเป็นการอนุรักษ์ผักพื้นบ้านให้ลูกหลานรู้จักและบริโภคต่อได้

ASTVผู้จัดการออนไลน์    3 มกราคม 2555