แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: 1 ... 546 547 [548] 549 550 ... 653
8206
เมื่อวันที่ 6 มกราคม ที่ศาลปกครองกลาง ถนนแจ้งวัฒนะ นายเอกณัฐ จิณเสน ตุลาการศาลปกครองกลาง เจ้าของสำนวนมีคำสั่งไม่รับฟ้อง คดีที่นางสมจิต วัชราเกียรติ พร้อมพวก รวม 13 คนซึ่งเป็นผู้ป่วยโรคบวมน้ำเหลืองที่รักษาอาการโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ในโครงการรักษาโรคบวมน้ำเหลืองด้วยวิธีภูษาบำบัดและขันชะเนาะ ยื่นฟ้องคณบดีคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นผู้ถูกฟ้อง เรื่องเป็นหน่วยงานทางปกครอง ออกคำสั่งโดยมิชอบด้วยกฎหมาย กรณีที่คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้ถูกฟ้อง ออกประกาศวันที่ 14 ตุลาคม 2554 เรื่องยุบโครงการรักษาโรคบวมน้ำเหลืองด้วยวิธีภูษาบำบัดและขันชะเนาะ ดังกล่าวที่ให้ยุบเลิกโครงการและให้ขนย้ายทรัพย์สินจากพื้นที่ รพ.เวชศาสตร์เขตร้อนและส่งมอบพื้นที่คืนให้แก่โรงพยาบาลภายใน 30 ตุลาคม 2554 ซึ่งเป็นการใช้อำนาจมิชอบขัดต่อรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 51, 57 และการยุบเลิกโครงการดังกล่าวเป็นอำนาจ คณะรัฐมนตรี ตามมาตรา 54 พ.ร.บ.มหาวิทยามหิดล พ.ศ.2550 ขณะที่การสั่งให้งดกิจการเกี่ยวกับบริการ การดำเนินรักษาผู้ป่วยในโครงการรักษาโรคบวมน้ำเหลืองด้วยวิธีภูษาบำบัดและขันชะเนาะ เป็นอำนาจของแพทยสภา ตาม พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม


โดยศาลพิเคราะห์คำฟ้องและกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นว่าประกาศของผู้ถูกฟ้องไม่ได้มีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไปหรือใช้บังคับกับผู้ฟ้องทั้ง 13 รายโดยตรง จึงไม่มีสภาพเป็นกฎหรือคำสั่งทางปกครอง ประกาศของผู้ถูกฟ้องจึงเป็นการเพียงการกระทำอื่น และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าโครงการรักษาโรคบวมน้ำเหลืองฯ ได้ทำการศึกษาวิจัยและทดลองเพื่อให้บริการรักษาผู้ป่วยโรคเท้าช้างโดยมีองค์กรแพทย์คอยควบคุมดูแลโครงการดังกล่าว และในระหว่างทดลองวิจัยจะไม่รับผู้ป่วยที่มีโรคแทรกซ้อน แต่ต่อมาได้รับการร้องเรียนว่าแพทย์ที่ทำการรักษา ได้ให้บริการเกินกรอบของโครงการทำให้มีผู้รักษาจำนวนมาก ประกอบกับใบอนุญาตเวชกรรมในประเทศไทยที่ผู้ถูกฟ้องขอให้แพทย์ที่ทำการรักษาได้สิ้นสุดลงวันที่ 14 ตุลาคม 2554 ผู้ถูกฟ้องจึงออกประกาศยุบเลิกโครงการดังกล่าว จึงเห็นว่าประกาศนั้นเป็นเพียงการบริหารงานภายในคณะเวชศาสตร์เขตร้อน ยังไม่มีผลกระทบสิทธิผู้ฟ้องในการได้รับการรักษาโรค เพราะผู้ฟ้องยังคงมีสิทธิรักษาด้วยวิธีการอื่น ผู้ฟ้องจึงยังไม่ใช่ผู้เดือดร้อนเสียหาย ศาลจึงไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ


นายไพโรจน์ มินเด็น ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองกลาง ในฐานะโฆษกศาลปกครองกลาง ชี้แจงว่า การที่ศาลปกครองกลางได้เคยมีคำสั่งรับฟ้องคดีนางสมจิต วัชราเกียรติ กับพวกรวม 13 คนซึ่งเป็นผู้ป่วยโรคบวมน้ำเหลืองที่รักษาด้วยวิธีภูษาบำบัดและขันชะเนาะ ฟ้องคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ก่อนหน้านั้น เนื่องจากขณะนั้น ศาลได้ฟังข้อมูลเบื้องต้นแล้วเห็นว่า คดีดังกล่าวมีมูลน่าจะรับฟังไว้ได้ แต่ต่อมาเมื่อเข้าสู่การพิจารณาไต่สวนในภายหลังพบว่า นางสมจิตและพวกไม่ใช่ผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียหายโดยตรงในคดีนี้ การที่ศาลจะมีคำสั่งรับคำฟ้องไว้พิจารณาและดำเนินกระบวนพิจารณาต่อมาเป็นการดำเนินกระบวนการพิจารณาที่ผิดระเบียบตามข้อ 7 วรรคหนึ่ง แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2543 จึงมีคำสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาในชั้นการรับคำฟ้องไว้พิจารณา อย่างไรก็ตาม นางสมจิตและพวกยังสามารถใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์ในคดีนี้ต่อศาลปกครองสูงสุดได้ภายใน 30 วัน

มติชนออนไลน์  6 มกราคม พ.ศ. 2555

8207
วารสารวิชาการ “ประสาทวิทยา” เปิดเผยว่า อาหารที่อุดมด้วยวิตามินและปลา อาจช่วยป้องกันสมองไม่ให้แก่ชราได้ ขณะที่การกินอาหารที่ถือกันว่าเป็นอาหารขยะ กลับทำให้สมองเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว

ผู้สูงอายุที่ตรวจพบว่ามีระดับวิตามินและกรดไขมันโอเมกาในเลือดสูง นอกจากสมองจะเหี่ยวน้อยแล้ว ยังมีสติปัญญาดีขึ้นด้วย ขณะที่ไขมันชนิดที่มีอยู่ในอาหารขยะ มีส่วนทำให้สมองหดแบบที่พบในผู้เป็นโรคสมองเสื่อม

องค์การวิจัยโรคสมองเสื่อมของอังกฤษ ได้เรียกร้องให้มีการศึกษาเรื่องอาหารและความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมให้หนักขึ้น และบอกว่า ข้อแนะนำที่ดีที่สุดในปัจจุบัน คือการให้กินอาหารที่ถูกส่วน ประกอบด้วยผักและผลไม้มาก อย่าสูบบุหรี่ และออกกำลังอยู่ประจำ ควบคุมระดับความดันโลหิตและไขมันในเลือดเอาไว้

คณะผู้เชี่ยวชาญของสหรัฐฯ ได้พบในการวิเคราะห์ตัวอย่างของผู้สูงอายุ อายุเฉลี่ย 87 ปีที่ยังคงแข็งแรงดี และไม่พบว่าป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมมาก่อนว่า ผู้ที่มีระดับวิตามินบี ซี ดี และอี ในเลือดสูง ต่างทำผลการทดสอบความจำและความคิดอ่านได้ดี รวมทั้งผู้ที่มีระดับไขมันโอเมกา3 ซึ่งพบส่วนใหญ่มีอยู่ในปลาด้วย.

ไทยรัฐออนไลน์ 6 มค 2555

8208
มช.สาธารณสุขสรุปความเสียหาย 8 จังหวัดภาคใต้ประสบอุทกภัย มีสถานบริการถูกน้ำท่วม 23 แห่ง รพ.ท่าศาลาพร้อมเปิดให้บริการผ่าตัด 6 ม.ค.นี้ พร้อมสั่งสำรองเซรุ่มแก้พิษงูรับมือฝนหนัก...

เมื่อวันที่ 6 ม.ค. นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น รมช.สาธารณสุข เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมผู้ประสบภัยน้ำหลากที่บ้านปากลง ต.กุงชิง อ.นบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเตียน ต.กุงชิง จากนั้นเดินทางไปตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลท่าศาลา อ.ท่าศาลา และตรวจเยี่ยมสถานการณ์น้ำท่วมที่ อ.เมืองนครศรีธรรมราช ว่า จังหวัดนครศรีธรรมราช มีพื้นที่ถูกน้ำท่วมทั้งหมด 8 อำเภอ หนักที่สุดที่ ต.กุงชิง อ.นบพิตำ ขณะนี้สถานการณ์ดีขึ้น ระดับน้ำลดลงเรื่อยๆ กระทรวงสาธารณสุขได้จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่บริการประชาชน พบผู้เจ็บป่วยไม่มากประมาณ 142 ราย

จากการประเมินความเสียหายด้านการแพทย์ มีสถานบริการในสังกัดถูกน้ำท่วมทั้งหมด 12 แห่งประกอบด้วยโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 10 แห่ง โรงพยาบาลท่าศาลา อ.ท่าศาลา และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครศรีธรรมราช อยู่ระหว่างการประเมินความเสียหาย แต่คาดว่าจะไม่มาก เนื่องจากทุกแห่งได้เตรียมความพร้อมในการป้องกันก่อนหน้านี้ตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข

รมช.สาธารณสุข กล่าวว่า สำหรับที่บ้านปากลง ต.กุงชิง พบการสัญจรไม่สะดวก มีสะพานขาด ทำให้ชาวบ้านที่หมู่ 6 ต.กุงชิง ถูกตัดขาด สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดได้ประสานกับโรงพยาบาลค่ายวชิราวุธ ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้บริการประชาชน พบผู้ป่วย 62 ราย ส่วนใหญ่เจ็บป่วยทั่วไป เช่น ไข้หวัด มีผู้บาดเจ็บเล็กน้อย 1 ราย จากการเหยียบของมีคม ส่วนสถานพยาบาลที่อยู่ในพื้นที่ ซึ่งทั้งหมดเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ไม่ได้รับความเสียหาย สามารถเปิดบริการได้ตามปกติ มีเฉพาะการสัญจรเท่านั้นที่ไม่ค่อยสะดวก

ส่วนโรงพยาบาลท่าศาลา ระดับน้ำลดลงทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค. สามารถเปิดบริการได้เกือบจะครบ 100 เปอร์เซ็นต์ ยังเหลือเพียงห้องผ่าตัด ที่ต้องเตรียมด้านระบบไฟฟ้า ระบบน้ำ คาดว่าจะเปิดบริการในวันพรุ่งนี้ ผลจากน้ำท่วมไม่มีเครื่องมือ และอุปกรณ์การแพทย์ได้รับความเสียหาย เนื่องจากมีประสบการณ์จากสถานการณ์ในปีที่ผ่านมา ปีนี้จึงได้เตรียมการป้องกันไว้เป็นอย่างดี โดยสร้างคันดิน  และจัดเครื่องสูบน้ำไว้ 10 เครื่อง เพื่อสูบน้ำออก โดยในวันนี้ได้รับผู้ป่วยที่ส่งต่อไปรักษาที่โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช จำนวน 20 ราย กลับมาดูแลรักษาทั้งหมดแล้ว

นายต่อพงษ์ กล่าวด้วยว่า สถานการณ์น้ำท่วมในภาคใต้ 8 จังหวัดที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิต 4 ราย พบผู้เจ็บป่วยประมาณ 3,000 ราย ส่วนใหญ่เป็นไข้หวัด ในเบื้องต้นมีสถานพยาบาลถูกน้ำท่วมทั้งหมด 23 แห่ง ประกอบด้วย

สงขลา 5 แห่ง
สุราษฎร์ธานี 5 แห่ง
นครศรีธรรมราช 12 แห่ง
และชุมพร 1 แห่ง

ความเสียหายเบื้องต้นประมาณ 7 แสนบาท อย่างไรก็ตาม ได้กำชับให้สถานพยาบาลทุกแห่ง โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงภัย 8 จังหวัด ตามประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา ได้แก่ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ยะลา ปัตตานี สตูล และนราธิวาส เตรียมพร้อมรับมือภาวะฝนตกหนัก ในช่วงวันที่ 6-10 มกราคม 2555 อย่างใกล้ชิด หากประชาชนเจ็บป่วยฉุกเฉินให้โทร.แจ้ง 1669 ซึ่งสถานพยาบาลทุกแห่งได้เตรียมเวชภัณฑ์ รวมทั้งเซรุ่มแก้พิษงูไว้ทั้งหมดแล้ว

ไทยรัฐออนไลน์ 6 มค 2555

8209
 อย. เผยมาตรการลุยตรวจคลินิกเสริมความงามทุกแห่งทุกสาขาทั่วประเทศ มิให้ผู้ใช้บริการได้รับอันตราย เตือนแพทย์ประจำคลินิก ปฏิบัติตามกฎหมาย
   
       นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า จากนโยบายของนายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในการคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับความปลอดภัยจากการใช้บริการ ณ คลินิกเสริมความงามต่างๆ ที่ขณะนี้เปิดให้บริการแพร่หลายในศูนย์การค้าและแหล่งชุมชนทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ปฏิบัติงานเชิงรุกในการกำกับเฝ้าระวังคลินิกเสริมความงามต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงรอบปี 2554 ได้ดำเนินการตรวจสอบและจับกุมคลินิกเสริมความงามหลายแห่ง พบว่า ส่วนใหญ่มีการนำยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา หรือยาปลอม เช่น กลูตาไทโอน โบท็อกซ์ คอลลาเจน พลาเซนตา รกแกะ วิตามินซี รวมทั้งเครื่องมือแพทย์ที่ไม่ได้แจ้งรายการละเอียดต่อ อย. และยาทาภายนอกมาให้บริการ ซึ่งทำให้ผู้บริโภคไม่ได้รับความปลอดภัย ดังนั้น ในปี 2555 นี้ อย.ได้จัดทำแผนเชิงรุกในการตรวจสอบคลินิกเสริมความงามทั้งรายใหญ่รายเล็กทุกสาขาทุกแห่งทั่วประเทศมิให้กระทำผิดกฎหมาย เพื่อให้ผู้ใช้บริการปลอดภัยในการได้รับยาที่ขึ้นทะเบียนถูกต้อง
       
       เลขาธิการ อย.กล่าวต่อว่า อย.ขอเตือนแพทย์ที่ตรวจรักษาในคลินิก หรือเจ้าของคลินิก ขอให้คัดเลือกยาที่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาจาก อย.แล้ว เนื่องจากยาที่จำหน่ายได้จะต้องผ่านการขึ้นทะเบียนตำรับยา กรณีเป็นยาที่ผลิตในประเทศ ต้องเป็นยาที่ผลิตจากสถานที่ผลิตยาที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นจึงจะถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ใช่สถานที่ผลิตเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ซึ่ง อย.เคยตรวจพบมาแล้ว และหากเป็นยานำเข้าก็จะต้องได้รับอนุญาตมีใบรับรองการนำเข้าและขึ้นทะเบียนถูกต้องจาก อย. หรือหากเป็นยาที่ได้รับการยกเว้นการขึ้นทะเบียน เช่น ยาที่ปรุงหรือผลิตขึ้นเฉพาะการรักษาผู้ป่วยบางราย ซึ่งจะได้รับการยกเว้นการขึ้นทะเบียน แต่ตัวยาที่นำมาปรุงเป็นส่วนประกอบ จะต้องผ่านการขึ้นทะเบียนตำรับยาถูกต้องตามกฎหมายเช่นกัน
       
       สำหรับแพทย์ที่ประกอบวิชาชีพเวชกรรมจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด หากพบกระทำผิด อย. และ บก.ปคบ. จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มงวด โดยผู้เป็นแพทย์กระทำผิดกฎหมาย จะถูกส่งชื่อไปยังแพทยสภาให้ดำเนินการเอาผิดทางจริยธรรมและจรรยาบรรณแพทย์ พร้อมกันนี้ จะส่งเรื่องไปยังสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เพื่อพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาล และใบอนุญาตดำเนินการสถานพยาบาลต่อไป

ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 มกราคม 2555

8210
  ประเทศไทยผ่านช่วงเวลาแสนบอบช้ำ ทั้งจากภัยคุกคามทางธรรมชาติ และปัญหาการเมืองที่ร้อนระอุ ทำให้หลายคนอาจลืมไปแล้วว่า เหตุการณ์ความไม่สงบในชายแดนใต้ยังคงมีข่าวสะเทือนใจอยู่เสมอ
       หนึ่งในอาชีพที่ตกอยู่ภายใต้ความเสี่ยงของเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งต้องเผชิญกับผู้ป่วย ผู้บาดเจ็บ ไม่เว้นแต่ละวัน ก็คือ อาชีพพยาบาล ซึ่งนับวันพยาบาลในชนบทยิ่งขาดแคลนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
       
       กระนั้น สีตีฮายา วาหลง พยาบาลสาว ก็ยังยืนหยัดที่จะอยู่กับชุมชนในพื้นที่ชายแดนใต้อย่างเต็มใจ โดยเธอเล่าว่า เธอก้าวเข้าสู่สายการศึกษาพยาบาลวิชาชีพจากทุนการศึกษาในโครงการ “จีเอสเค พยาบาลเพื่อชุมชน” รุ่นที่ 4 ในวิทยาลัยพยาบาลพระบรมราชชนนี นราธิวาส แล้วประจำการที่โรงพยาบาล (รพ.) เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส โดยปัจจุบันมุ่งมั่นทำงานอย่างเต็มกำลัง เพื่อรับใช้สังคมที่กำลังขาดแคลน บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข เพียงแค่ดำรงอยู่เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยนับร้อยนับพัน ที่เผชิญกับโรคร้ายและอาการป่วยอีกหลายสาเหตุ ซึ่งเธอเองภูมิใจกับภาระงานอันหนักหน่วงอย่างมาก

       “ตลอดชีวิตของการเป็นพยาบาลมาจนปัจจุบัน รู้สึกว่า การได้ช่วยเหลือชีวิตคนเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก แม้ว่าชีวิตการทำงานในช่วงแรกๆ จะมีอันตรายรอบด้าน ต้องอยู่ในความเสี่ยง ก็ต้องอดทนเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาได้ เพราะตระหนักว่าเราคือ พยาบาลที่มีหน้าที่ให้บริการด้านสาธารณสุขให้กับคนในชุมชน โดยมีแนวคิดในการทำงาน ว่า เราไม่จำเป็นต้องให้การพยาบาลอยู่ในเฉพาะสถานบริการเท่านั้น เราเป็นพยาบาลทั้งกายและใจ พร้อมให้การดูแล ช่วยเหลือทุกเมื่อกับคนทุกชนชั้น แม้แต่ในเหตุการณ์ฉุกเฉินทุกสถานการณ์ ก็เพื่อการเข้าถึงคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วย” พยาบาลสาว เท้าความ
       
       ขณะที่นักศึกษาพยาบาลทุนรุ่นที่ 12 อย่าง ขวัญนภา รัตนะ หรือ ฟาร่า นักศึกษาวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ยะลา เผยถึงโอกาสและความหวังหลังจากที่ได้รับทุนว่า ภูมิใจที่ได้รู้ว่าตนได้รับเลือกให้ได้ทุน เพราะอยากเป็นพยาบาล และคิดว่า เมื่อสำเร็จการศึกษาก็จะปฏิบัติหน้าที่ในโรง พยาบาลบ้านเกิดที่ยะลา เพราะเห็นว่าไม่ค่อยมีพยาบาลมากเท่าไร ส่วนในเรื่องสถานการณ์ความไม่สงบยอมรับว่าหวั่นใจเล็กน้อย
       
       “ถ้าพูดถึงสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นก็กังวล แต่ยิ่งมีความรุนแรง ก็ยิ่งมีผู้ป่วยที่ต้องการใช้บริการโรงพยาบาลมากขึ้น เมื่อจบมากก็อยากจะมาทำงานที่ยะลา และคิดว่าพยาบาลที่จะมาทำงานที่จังหวัดนี้คงน้อยเพราะข่าวของความไม่ปลอดภัย และด้วยความที่ตนเองเป็นคนในพื้นที่อยู่แล้วจึงรู้ว่าสถานการณ์ปลอดภัยระดับไหน หรือต่อให้ไม่ปลอดภัยจริงๆ แต่ด้วยวิชาชีพแล้วเราควรจะต้องทำหน้าที่ของเราเพื่อช่วยชีวิตคน ถ้าคิดในมุมของผู้ป่วยเมื่อเขามาถึงโรงพยาบาลเขาต้องการการรักษาต้องการกำลังใจ เราซึ่งเป็นพยาบาลก็ต้องทำหน้าที่ให้เต็มที่” ขวัญนภา กล่าวอย่างภาคภูมิ

       ขณะที่ นพ.สมควร หาญพัฒนชัยกูร ผู้อำนวยการสถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงสถานการณ์พยาบาลวิชาชีพในไทย ว่า ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด้านพยาบาลเป็นปัญหาเรื้อรังมานาน โดยหากเทียบอัตราพยาบาลกับผู้ป่วยแล้ว ขณะนี้พบว่า พยาบาล 1 คน ต้องทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วยเฉลี่ย 400 คน ซึ่งเป็นอัตราค่อนข้างมาก จึงเป็นที่มาของการเดินหน้าผลิตพยาบาลเพื่อชุมชน จากอดีตจนถึงปัจจุบันมี 11รุ่น จำนวน 512 คน และได้ออกปฏิบัติงานในโรงพยาบาลชุมชน (รพช.) โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล (รพ.สต.)และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) กว่า 120 แห่ง ในพื้นที่ 52 จังหวัดทั่วประเทศ โดยพยาบาลทุกรุ่นต้องศึกษาในหลักสูตรเวชปฏิบัติทั่วไปที่ให้นักศึกษาทุนพยาบาลได้ศึกษา ซึ่งเป็นสาขาที่สอนให้พยาบาลสามารถตรวจรักษาโรคเบื้องต้น สั่งจ่ายยารักษาโรคทั่วไปได้เหมือนแพทย์
       
       ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี และประเทศไทยจะอยู่ในสถานะใด อาชีพพยาบาลยังถือเป็นบทบาทสำคัญที่จะขับเคลื่อนระบบบริการสาธารณสุข เพื่อพยุงซึ่งชีวิตของผู้ป่วยทุกคนเสมอ และจากความทุ่มเทของพยาบาลวิชาชีพในทุกรุ่น ซึ่งต้องประจำอยู่ในชนบท อาจเป็นอีกตัวอย่างที่สะท้อนถึงปัญหาภาระงานอันหนักของบุคลากรสาธารณสุขอย่างชัดเจน ดังนั้น คงถึงเวลาแล้วที่กระทรวงสาธารณสุข จะต้องหาทางพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคลากรเหล่านี้อย่างจริงจัง

ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 มกราคม 2555

8211
สพฉ. เผยผลวิเคราะห์การช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินจากเทศกาลปีใหม่ เข้าเป้าตามนโยบาย 3 เร็ว 2 ดี ชี้ช่วยเหลือได้ทันเวลา ลดยอดเจ็บ-ตายโดยไม่สมควร
         
นพ.ชาตรี เจริญชีวะกุล เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวถึง การใช้มาตรการ 3 เร็ว 2 ดี เพื่อลดอัตราการเสียชีวิต ตามนโยบายของนายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข คือ แจ้งเหตุผ่านสายด่วน 1669 เร็ว ชุดปฏิบัติการไปถึงที่เกิดเหตุได้รวดเร็ว ภายในเวลา 10 นาที นำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลเร็ว แพทย์สามารถให้การรักษาเร็ว และคุณภาพการให้บริการดีทั้งในและนอกโรงพยาบาล ทั้งในภาวะปกติและภาวะภัยพิบัติ เพื่อลดอันตรายของการบาดเจ็บและการเสียชีวิตของประชาชน ในช่วงเทศกาลปีใหม่นั้น ทำให้สถิติผู้บาดเจ็บทั้งหมดที่นำส่งด้วยรถปฏิบัติการฉุกเฉินลดลง โดยผู้บาดเจ็บที่นำส่งด้วยรถปฏิบัติการฉุกเฉินทั้งสิ้น 5,193 ราย เสียชีวิต 188 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 3.49 (ปี2554 คิดเป็นร้อยละ 9.55) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการใช้มาตรการดังกล่าวมีผลที่น่าพอใจ อย่างไรก็ตามจะปรับปรุงให้มีการใช้นโยบายที่เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยฉุกเฉิน
       
       นอกจากนี้ จากการปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉินในช่วงเทศกาลปีใหม่โดยยึดหลัก 3 เร็ว 2 ดี ทีมกู้ชีพ และทีมแพทย์ฉุกเฉินทั้งในส่วนของรพ.สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ภาคเอกชน มูลนิธิ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถให้ความช่วยเหลือได้รวดเร็วภายใน 10 นาที ได้มากกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ คือ ร้อยละ 84.63 ซึ่งมีผลทำให้การเสียชีวิตที่ไม่สมควรลดลง อย่างไรก็ตามผู้ป่วยฉุกเฉินหรือประสบอุบัติเหตุ สามารถโทรแจ้งสายด่วน 1669 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งจะมีทีมแพทย์ฉุกเฉินให้ความช่วยเหลือไม่ว่าจะเป็นในช่วงเทศกาลหรือในภาวะปกติ

ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 มกราคม 2555

8212
เลขาฯ สช.ชี้มติที่ประชุม คสช.ยกเลิกเกณฑ์สนับสนุนการจัดสมัชชาสุขภาพเฉพาะพื้นที่ฯ ไม่กระทบระบบขับเคลื่อนนโยบายฯ ย้ำที่ประชุมเสนอหลักเกณฑ์ใหม่ฯ ช่วยให้มีการปรับปรุงที่ดี
       
       จากรณีที่มติของที่ประชุม คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) ครั้งที่ 1/2555 เมื่อวานนี้ (5 ม.ค.) ซึ่งมีพล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมเห็นชอบให้ยกเลิกประกาศคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการในการจัดและการสนับสนุนการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการในการจัดและการสนับสนุนการจัดสมัชชาสุขภาพเฉพาะพื้นที่ หรือสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็น พ.ศ. .... นั้น
       
       วันนี้ (6 ม.ค.) นพ.อำพล จินดาวัฒนะ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า การยกเลิกหลักเกณฑ์ดังกล่าวไม่มีผลในทางปฏิบัติของสมัชชาสุขภาพฯ แต่อย่างใด ทาง คสช.ไม่ได้ยุบหลักเกณฑ์โดยปริยาย แต่เป็นการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย เป็นเรื่องธรรมดารของการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่ธรรมดาในทุกรัฐบาลอยู่แล้ว เนื่องจากการยกเลิกประกาศฯใหม่ที่ใช้มา 4 ปีแล้ว ถือว่าเป็นการปรับปรุงระบบการทำงาน โดยในที่ประชุมมีการเสนอหลักเกณฑ์ใหม่ขึ้นมาในปีพุทธศักราชใหม่ เพื่อแทนที่ ซึ่งตนจะเสนอให้ประธาน คสช.ลงนามรับทราบประมาณสัปดาห์หน้า
       
       ทั้งนี้ สำหรับประเด็นในหลักเกณฑ์ใหม่นั้น จะเน้นที่การขยายความ หมายบางส่วน เช่น กรณีการจำกัดความคำว่า “พื้นที่” ในประกาศฉบับใหม่ ก็จะมีความหมายกว้างขึ้นกว่าเดิม คือ ไม่ได้หมายถึงแค่พื้นที่ทางภูมิศาสตร์ หรือเส้นแบ่งเขตการปกครอง แต่จะหมายรวมถึงพื้นที่ทางวัฒนธรรม ทางลุ่มน้ำ ทางประเพณี ด้วยเพื่อให้ครอบคลุมมากขึ้น รวมทั้งมีการกำหนดระเบียบและรูปแบบการประชุมของสมัชชาสุขภาพระดับพื้นที่ขึ้นมาด้วย เพื่อที่จะให้รูปแบบการประชุมขับเคลื่อนนโยบายเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่จะทำให้การขับเคลื่อนนโยบายต้องสะดุดหรือมีปัญหาใดๆ
       
       อนึ่ง ในที่ประชุมได้เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2555 ที่มีนางศิรินา ปวโรฬารวิทยา กรรมการสุขภาพแห่งชาติเป็นประธานกรรมการ มีเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเป็นกรรมการและเลขานุการ มีกรรมการไม่เกิน 40 คน โดยมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
1. วางแผนการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2555
2. เชื่อมประสานกับกระบวนการทำงานระหว่างกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด
3. อำนวยการ ติดตามและกำกับการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2555 ให้เป็นที่เรียบร้อย
4. ดำเนินการรวบรวมข้อเสนอนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพจากสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ เสนอต่อคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเพื่อผลักดันสู่การปฏิบัติ
5. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการและคณะทำงาน เพื่อดำเนินการ

ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 มกราคม 2555

8213
เมื่อวันที่ 5 มกราคม นางปรียนันท์ ล้อเสริมวัฒนา ประธานเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ กล่าวภายหลังยื่นหนังสือถึงพลเอก ธีรเดช มีเพียร ประธานวุฒิสภา ในการขอคัดค้านการจัดงานสัมมนาของหน่วยงานในสังกัดวุฒิสภากรณีร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ.. ที่รัฐสภา โดยมีเครือข่ายผู้เสียหายฯ ร่วมคัดค้านเดินทางมาด้วยราว 20 คน ว่า เครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ ทราบว่าคณะอนุกรรมาธิการติดตามและตรวจสอบการบังคับใช้กฎหมายในวิชาชีพเวชกรรม คณะกรรมาธิการสาธารณสุข วุฒิสภา ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แพทยสภา และคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จะร่วมกันจัดงานสัมมนาในหัวข้อ กฎหมายที่มีผลกระทบต่อการประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขในปัจจุบันและอนาคตŽ ในวันพุธที่ 11 มกราคมนี้ ที่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งตนมองว่า ห้วงเวลานี้ไม่ควรมาพูดเรื่องนี้แล้ว แต่ควรเดินหน้าหาความร่วมมือในการทำร่างกฎหมายดังกล่าวสู่การบังคับใช้จริง ประเด็นไหนข้องใจก็ควรมาหารือกัน แก้ไขกันได้ เพื่อทุกฝ่ายจะดีกว่า ทำแบบนี้เหมือนเดินถอยหลัง

นางปรียนันท์กล่าวว่า จากรายละเอียดของกำหนดการสัมมนา พบว่าเนื้อหาการสัมมนามีการนำเสนอประเด็นความขัดแย้งในข้อกฎหมายของร่าง พ.ร.บ.ซึ่งปัจจุบันเป็นวาระรอการพิจารณาในสภา โดยกรณีร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวนั้นยังไม่มีข้อยุติ ยังเป็นวาระการพิจารณาของสภา การจัดงานสัมมนา ครั้งนี้อาจจะเป็นการจุดกระแสความขัดแย้งเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ เครือข่ายยังขอเข้าพบนายอุดมเดช รัตนเสถียร ประธานวิปรัฐบาล และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานวิปฝ่ายค้าน ในการขอให้เร่งการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯด้วย

มติชนออนไลน์  5 มกราคม พ.ศ. 2555

8214
พบผู้ป่วยสมองเสื่อมในปี 53 ทั่้วโลก 35 ล้านราย ขณะไทยสุ่มตรวจคัดกรองผู้มีอายุ 60 ปี กว่า 2 หมื่นราย ระหว่างปี 51-52 พบภาวะสมองเสื่อม 12.4%
       
       วันนี้ (5 ม.ค.) สมาคมผู้ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม ร่วมกับเครือข่ายภาคีกว่า 50 องค์กร แถลงข่าวเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเชิงวิชาการ เรื่อง ภาวะสมองเสื่อม และการประชุมภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ขององค์การอัลไซเมอร์นานาชาติ ครั้งที่ 14 ระหว่างวันที่ 11-13 มกราคม 2555 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยสมองเสื่อม และครอบครัวให้ดีขึ้น และผลักดันการดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อมให้เป็นนโยบายสุขภาพระดับชาติ
       
       พญ.สิรินทร ฉันศิริกาญจน หัวหน้าหน่วยเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และนายกสมาคมผู้ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม กล่าวว่า รายงานขององค์การโรคอัลไซเมอร์ระหว่างประเทศ ปี 2553 ระบุว่า มีผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมทั่วโลกมากกว่า 35 ล้านคน อยู่ในเอเชีย 2.4 ล้านคน ในประเทศไทยจากรายงานการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยตรวจร่างกาย ครั้งที่ 4 พ.ศ.2551-2552 โดยสำนักงานสำรวจสุขภาพประชาชนไทย สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุุข ทำการสำรวจประชาชนจำนวน 21,960 คน มีผู้ที่อายุมากว่า 60 ปีขึ้นไป จำนวน 9,720 คน พบว่า มีภาวะสมองเสื่อม 12.4% โดยในผู้ชายพบ 9.8% ผู้หญิง 15.1% แบ่งตามช่วง
อายุ 60-69 ปี อยู่ที่ 7.1%
อายุ 70-79 ปี อยู่ที่ 14.7% และ
อายุ 80 ปี พบสูงถึง 32.5%
ขณะที่ผลการสำรวจประชากรสูงอายุ ปี พ.ศ.2553 สัดส่วนผู้สูงอายุอยู่ที่ 12% และประมาณการว่า จะเพิ่มขึ้นถึง 17% ในปี 2563 โโยประมาณแล้วผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมในไทยมีประมาณ 3 แสนราย ถือว่าเป็นตัวเลขทีี่ไม่น้อย และที่น่าเป็นห่วง คือ ผู้ป่วยรวมทั้งญาติและคนในครอบครัวไม่ทราบว่าป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม พร้อมทั้งในปี 2555 นี้ สมาคมซึ่งเป็นสมาชิกของสมาคมอัลไซเมอร์นานาชาติ (ADI) ได้รับเป็นเจ้าภาพในการประชุมทางวิชาการ เรื่องภาวะสมองเสื่อมและการประชุมภาคพื้นเอเชียนแปซิฟิกขององค์การอัลไซเมอร์นานาชาติ ครั้งที่ 14
       
       “การประชุมครั้งนี้มีกลุ่มเป้าหมาย คือ เครือข่ายผู้ป่วย ผู้ปฏิบัติงาน นักวิชาการ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ผู้ดูแลและครอบครัวของผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อม อาสาสมัครสาธารณสุข สมาชิกชมรมผู้สูงอายุ เครือข่ายภาคประชาสังคม สื่อมวลชน นิสิต นักศึกษา นักเรียน และประชาชนที่สนใจ โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ การประชุมวิชาการ สำหรับภาคสมาชิกขขององค์กรอัลไซเมอร์ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ แพทย์ พยาบาล ผู้ดูแลผู้ป่วย ซึ่งจะมุ่งเน้นเนื้อหาวิชาการด้านการป้องกัน การวินิจฉัยเบื้องต้น การดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม การทำเวิร์กชอปและการนำเสนอรายงานภายใต้แนวคิด “ร่วมมือร่วมใจต้านภัยสมองเสื่อม (it's Time for Action) และอีกส่วนหนึ่ง คือ นิทรรศการรักและเข้าใจ ห่วงใยผู้ป่วยสมองเสื่อมจัดขึ้นเพื่อภาคประชาชน โดยได้เชิญเครือข่ายภาคประชาสังคม เครือข่ายผู้ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมมีส่วนร่วมในการใช้สื่อนวัตกรรม การถามตอบ การสาธิต การทดสอบต่างๆ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการป้องกัน และชะลออาการสมองเสื่อม การคัดกรอง การรักษาและการดูแล ตลอดจนการเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ที่ครอบครัวสามารถเสริมพลังให้ผู้ป่วยสมองเสื่อมได้ โดยได้รับการสนับสนุนด้านความรู้และประสบการณ์จากหน่วยงานเครือข่าย อาทิ นวัตกรรมเพื่อการดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม โดยสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล สถาบันทันตกรรม กรมการแพทย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมูลนิธิกระจกเงา” นายกสมาคม กล่าว
       
       พญ.สิรินทร กล่าวเสริมว่า หากจะให้ปัญหาเรื่องผู้ป่วยสมองเสื่อมดีขึ้น ควรจะหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้นโดยการลดการทานอาหารหวานและมันจัด ทานข้าว และผักเยอะๆ ออกกำลังกายเพียงแค่เดินขึ้นลงบันไดก็ช่วยได้ แต่สำหรับผู้ที่ต้องดูแลผู้ป่วยหากไม่เข้าใจโรคควรจะไปปรึกาาแพทย์เพื่อที่จะได้อยู่ร่วมและเข้าใจผู้ป่วยมากขึ้น เพราะผู้ป่วยสมองเสื่อมต้องการการดูแลเอาใจใส่มากกว่าการทานยาเพราะยาช่วยให้อาการของโรคทรงตัวเพื่อให้ผู้ป่วยดูแลตัวเองได้เท่านั้น
       
       รศ.ดร.มานะ ศรียุทธศักดิ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเพิ่มเติมในเรื่องของนวัตกรรมในการป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับผู้ป่วยเมื่อหายไปจากที่พัก ว่า “เมื่อผู้ป่วยออกไปจากบ้าน มักจะประสบกับอุบัติเหตุและไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ เช่น ในกรณีของอุทกภัย พบว่า มีผู้ป่วยหายไปจากบ้านเป็นจำนวนมาก บางรายก็พบแต่บางรายก็หาไม่พบเนื่องจากเป็นเรื่องยากที่จะตามหา ทางคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงหารือกับสมาคม ประดิษฐ์นวัตกรรมที่จะช่วยตามหาผู้ป่วยเมื่อหาไป โดยจะมี 3 แบบดังนี้ เหรียญสำหรับห้อยคอ การ์ด ริสต์แบนด์ ซึ่งทั้ง 3 สิ่งนี้จะมีโค้ด และ ชิป ซึ่งข้อมูลภายในจะเป็นข้อมูลเบื้องต้น เช่น อายุ กรุ๊ปเลือด ยาที่แพ้ ข้อมูลนี้สำหรับประชาชนทั่วไปที่พบผู้ป่วย แต่หากเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสมาคมจะเป็นข้อมูลของผู้ป่วยที่ลึกว่านี้ ที่ต้องแบ่งแยก ทั้งนี้ ก็เพื่อป้องกันอันตรายทีีจะเกิดกับผู้ป่วยและผู้ที่ดูแล

ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 มกราคม 2555

8215
สธ.ร่วมมือตำรวจล่อซื้อบริการฉีด-นวด เพิ่มขนาดเจ้าโลก เคลื่อนที่ ผู้ต้องหารับสารภาพ ทำมานาน 3 เดือน เบื้องต้น ตร.ตั้งข้อหา เปิดสถานบริการเถื่อน-แพทย์เถื่อน เจอโทษหนัก
       
       วันนี้ (5 ม.ค.) เวลาประมาณ 12.30 น.ที่ลานจอดรถชั้น 2 ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมด้วย นพ.สมชัย ภิญโญพรพาณิชย์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสึขภาพ (สบส.) และ ร.ต.อ.กิตติเมศร์ โชติปิติเจริญรัฐ รองสารวัตรสืบสวนสอบสวนกองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี (รองสว.สส
       .กก.ดส.บช.น.) นำกำลังบุกจับนายจักราวุธ แปรสนม อายุ 35 ปี ชาว จ.พิจิตร บริการฉีดและนวดเพิ่มขนาดอวัยวะเพศชายผิดกฎหมาย
       
       โดย ร.ต.อ.กิตติเมศร์ กล่าวว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เบาะแส พบว่า มีการประชาสัมพันธ์บริการฉีดและนวดดังกล่าวผ่านใบปลิวและสติกเกอร์ ในที่สาธารณะ อย่างห้องน้ำชาย โดยระบุเบอร์โทรศัพท์ไว้อย่างชัดเจน จากนั้นจึงทำงการล่อซื้อบริการ ซึ่งสถานที่นัดเป็นลานจอดรถ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ซึ่งจากการสอบสวนเบื้องต้น ผู้ต้องหารับสารภาพว่า มีการบริการฉีดเพิ่มขนาดแบบเคลื่อนที่ โดยใช้รถยนต์ส่วนตัว และนัดสถานที่ตามความสะดวกของลูกค้า เช่น ลานจอดรถ ห้องพัก โดยคิดค่าบริการครั้งละ 550 บาทต่อครั้ง และ 1 วัน มีการให้บริการประมาณ 3-5 ราย ซึ่งในการจับกุมครั้งนี้ มีการค้นพบของกลางเป็นยานวด เบบี้ออยล์ กวาวเครือ ยาวิตามินซี และ กระบอกฉีด โดยจะมีทั้งบริการนวดและฉีดยาเพิ่มขนาด
       
       ด้าน นายจักราวุธ กล่าวว่า ตนได้เปิดบริการมาแล้วราว 3 เดือน โดยลูกค้าที่เข้ามารับบริการมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป โดยหากต่ำกว่านี้จะไม่ให้บริการ และส่วนมากจะมีปัญหาเรื่องหลั่งเร็ว ขนาดอวัยวะเพศเล็ก ซึ่งจะบริการเองโดยไม่มีผู้ช่วย ซึ่งมีคนสนใจอยากจะมาร่วมเปิดบริการด้วย แต่ยังไม่ได้ตอบตกลงเป็นเครือข่ายกับใคร
       
       นายพศิษฐ์ กล่าวว่า จากการจับกุมครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ตั้งข้อหาเบื้องต้น คือ เปิดสถานพยาบาลเถื่อนไม่ขออนุญาต ผิด พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 ต้องโทษจำคุกไม่เกิด 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และ ผิด พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 คือ ไม่มีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือกล่าวง่ายๆ ว่า เป็นแพทย์เถื่อนนั่นเอง โดยทาง สธ.และเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเร่งขยายผล เพื่อดำเนินคดีต่อไป เนื่องจากเชื่อว่าอาจมีเครือข่ายร่วมด้วย
       
       ขณะที่ นพ.สมชัย กล่าวว่า หลังจากรวบรวมของกลางได้แล้ว ทางเจ้าหน้าที่จำเป็นต้องรวบรวมหลักฐานเพื่อพิสูจน์ผลกระทบทางเภสัชของยาที่ผู้ต้องหาใช้ แมว้าบางตัวเป็นยาสมุนไพรก็จริง แต่บางครั้งไม่ได้รับอนุญาตจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จึงอาจเสี่ยงต่อการเกิดผลกระทบในเชิงลบได้ เช่น บางครั้งผู้ใช้บริการเกิดอาการแพ้ ก็อาจจะมีการเกิดเลือดคั่งในอวัยวะเพศได้ ทำให้ต้องผ่าตัด ซึ่งต้องพิสูจน์ต่อไปว่ามีผลต่อสุขภาพมากน้อยเพียงใด
       
       “อย่างไรก็ตาม ไม่อยากให้ผู้บริโภคหลงเชื่อคำโฆษณา ประชาสัมพันธ์ของบริการดังกล่าว โดยปราศจากการควบคุมของแพทย์ เพราะในความจริงการมีสุขภาพดีนั้น มาจากการดูแลตนเอง ทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายและพักผ่อนอย่างเพียงพอ ก็ย่อมเป็นผลดีแล้ว” นพ.สมชัย กล่าว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 มกราคม 2555

8216
สปสช.จัดงบ 1 พันล้าน พัฒนาศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองปี 55 ตั้งเป้า รพศ.รพท.ทั่วประเทศตั้ง 243 แห่ง ใกล้เมืองมีหมอประจำครอบครัว
       
       นพ. วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายเร่งด่วนเรื่องการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพ มุ่งเน้นการพัฒนาหน่วยบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ หรือเบื้องต้นทั้งในเขตเมืองและในชนบท ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการตอบสนองนโยบายด้วยการพัฒนาศูนย์สุขภาพชุมชนเมือง (ศสม.) เพื่อบริการสาธารณสุขในเขตเมือง ลดความแออัดของ รพ.ใหญ่ และเป็นศูนย์บริการสาธารณสุขใกล้บ้านใกล้ใจ โดยกำหนดให้รพ.ศูนย์ และ รพ.ทั่วไปจัดตั้ง ศสม.2-3 แห่ง ดังนั้น เพื่อเป็นการตอบสนองนโยบายรัฐบาลและการดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุข สปสช.ได้สนับสนุนการพัฒนา ศสม.243 แห่ง โดยใช้งบประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณจากงบค่าเสื่อม งบสนับสนุน และส่งเสริมการจัดบริการและบริการปฐมภูมิ และงบบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค
       
       เลขาธิการ สปสช.กล่าวต่อว่า ซึ่ง ศสม.นี้เป็นการจัดตั้งในเขตเทศบาลในพื้นที่รับผิดชอบของรพ.ศูนย์ และ รพ.ทั่วไป อยู่ในจุดที่ประชาชนเดินทางสะดวก ครอบคลุมประชากรไม่เกิน 30,000 คน ต่อ 1 ศูนย์ มีแพทย์เวชปฏิบัติครอบครัวประจำอย่างน้อย 1 คน ทีมสุขภาพ ได้แก่ เภสัชกร ทันตแพทย์ พยาบาล นักกายภาพภาพบำบัด หรือแพทย์แผนไทย เป็นต้น โดยมีเจ้าหน้าที่ 1 คน ดูแลประชากรไม่เกิน 1: 1,250 คน ซึ่งรพ.แม่ข่ายจะต้องบริหารจัดการให้มีบุคลากร งบประมาณ เครื่องมือแพทย์และระบบดูแลการรักษาที่มีประสิทธิภาพ
       
       “การสนับสนุนของ สปสช.ตามนโยบายของรัฐบาลและการดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุขนั้น ก็เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และเหมาะสมกับภาวะสุขภาพและมั่นใจในการไปรับบริการที่ศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองเป็นที่แรก เพื่อลดความแออัดที่แผนกบริการผู้ป่วยนอกของ รพ.ศูนย์และรพ.ทั่วไป และเพื่อให้มีศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองใกล้บ้านใกล้ใจที่มีคุณภาพและมาตรฐานด้วย” นพ.วินัย กล่าว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 มกราคม 2555

8217
หน่วยกู้ภัยฉุกเฉินในกรุงลอนดอนต้องรับสายโทรศัพท์แจ้งเหตุราว 600 สาย/ชั่วโมง ในช่วงคืนข้ามปี ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษส่วนหนึ่งเมาหัวราน้ำต้อนรับปีใหม่ หนังสือพิมพ์เดลิเมล์รายงานข่าวที่ระบุว่าเป็นเรื่อง “น่าอาย” แม้จะผ่านมากี่ปี ชาวอังกฤษยังฉลองกันเมาเละเทะเหมือนเดิม
       
       หน่วยกู้ชีพทำงานตัวเป็นเกลียวตลอดคืนวันที่ 31 ธันวาคม-เช้าวันที่ 1 มกราคม ขณะที่ในย่านเคมบริดจ์ มีการตั้งหน่วยพยาบาลทหารรักษาดินแดนขึ้นเป็นกรณีพิเศษ เพื่อคอยจัดการกับนักดื่มที่เมาแล้วอาละวาด ด้านหน่วยรถพยาบาลลอนดอน ระบุว่า ช่วงที่เกิดเหตุสูงสุดในคืนข้ามปี มีคนโทรศัพท์แจ้งเหตุร้ายมากกว่า 600 ครั้ง ใน 1 ชั่วโมง สูงกว่าสถานการณ์ปกติถึง 3 เท่า
       
       ขณะที่ผู้คนเริ่มทยอยกลับบ้าน หลังจากรวมตัวกันฉลองปี 2012 ศูนย์กลางของเมืองต่างๆ ก็ปรากฏภาพความรุนแรงจากการวิวาทของคนเมา หรือกลายเป็นสถานที่พักชั่วคราวของคนที่สลบไสลคาพื้นถนน
       
       พนักงานหน่วยรถพยาบาลของกรุงลอนดอนต้องรับโทรศัพท์เกินกว่า 2,000 สาย ระหว่างช่วงคืนข้ามปีจนถึงเช้าตรู่วันปีใหม่ ส่วนตำรวจสกอตแลนด์ยาร์ดเปิดเผยว่า จับกุมผู้ก่อเหตุไม่สงบไป 77 คน
       
       ในกรุงลอนดอน ตั้งแต่เที่ยงคืนวันเสาร์ (31 ธ.ค.)-04.00 น. วันอาทิตย์ (1 ม.ค.) เจ้าหน้าที่หน่วยรถพยาบาลต้องรับโทรศัพท์เฉลี่ย 10 สาย/นาที มีคนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างน้อย 55 คน อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่รายงานว่า บรรยากาศส่วนใหญ่เต็มไปด้วยความสุข เมื่อนักท่องเที่ยวประมาณ 250,000 คน เฝ้าชมการจุดพลุฉลองปีใหม่ริมฝั่งแม่น้ำเทมส์
       
       ผู้ถูกจับกุมส่วนใหญ่ล้วนถูกดำเนินคดีทำร้ายร่างกาย หรือเมาแล้วก่อความไม่สงบ
       
       จอห์น ฮอปสัน หัวหน้าหน่วยกู้ชีพลอนดอน ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “ความต้องการหน่วยกู้ภัยสูงมากในช่วงเลยเที่ยงคืนไปแล้ว ส่วนใหญ่มีความมึนเมาเป็นสาเหตุ ... ช่วงที่ยุ่งสุดๆ เจ้าหน้าที่ของเรารับสายขอความช่วยเหลือมากถึง 638 ครั้ง ในชั่วโมงเดียว มันเพิ่มขึ้นถึง 255 เปอร์เซ็นต์จากช่วงปกติ”

ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 มกราคม 2555

8218
 อย.เผย ผลิตภัณฑ์สำหรับนวดขนาดเล็ก มีผลเพียงนำมาถูนวดร่างกาย เพื่อให้เกิดความเพลิดเพลินเท่านั้น เตือนผู้ประกอบการที่จะนำเข้ามาจำหน่าย ต้องตรวจสอบรายละเอียดผลิตภัณฑ์ ก่อนนำเข้า หากมีการแสดงสรรพคุณทางการแพทย์ จะจัดเป็นเครื่องมือแพทย์ที่ต้องแจ้งรายการละเอียด และอาจเข้าข่ายเป็นเครื่องมือแพทย์ที่ไม่ปลอดภัยในการใช้ ซึ่งห้ามนำเข้า ผู้ฝ่าฝืนจะมีโทษหนักทั้งจำและปรับ พร้อมแนะผู้บริโภคพิจารณาให้ถ้วนถี่ก่อนเลือกซื้อมาใช้

ภาพประกอบข่าวจากอินเทอร์เน็ต
       นพ.พงศ์พันธ์ วงศ์มณี รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ มีผู้ประกอบการจำนวนมากสนใจที่จะนำผลิตภัณฑ์สำหรับนวดขนาดเล็ก (Mini Massager) เข้ามาจำหน่ายเป็นของฝาก หรือของแถมร่วมกับสินค้าอื่นๆ โดยมีลักษณะเป็นอุปกรณ์ขนาดเล็กมีรูปร่างหลากหลาย เช่น รูปตุ๊กตาสัตว์ หรือมีลักษณะด้านบนกลม มีขาต่อ 3 ขา ทำงานโดยการสั่นสะเทือนจากมอเตอร์ ใช้กระแสไฟฟ้าตรงจากถ่านไฟฉายขนาด AA 2 ก้อน สำหรับนำมาใช้ถูนวดร่างกายเพื่อความเพลิดเพลิน โดยไม่มีสรรพคุณทางการแพทย์ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เคยพิจารณาว่าแม้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะทำให้เกิดการสั่น แต่ไม่มีข้อบ่งชี้ว่า แรงสั่นเพียงพอสำหรับการผ่อนคลายกล้ามเนื้อทางการแพทย์ หรือบรรเทาอาการปวดตามที่ต้องการได้ จึงไม่จัดเป็นเครื่องมือแพทย์ ขณะเดียวกัน ในทางการแพทย์มีการใช้เครื่อง หรืออุปกรณ์ที่ให้ผลในการบำบัดด้วยพลังงานกล เช่น เครื่องสั่น (Vibrator) เครื่องนวด (Massager) ซึ่งจัดเป็นเครื่องมือแพทย์ที่ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าต้องแจ้งรายการละเอียดตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 19) เรื่อง เครื่องใช้หรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้เพื่อกายภาพบำบัด ดังนั้น หากผลิตภัณฑ์สำหรับนวดขนาดเล็กแสดงสรรพคุณ ในการบำบัดรักษาโรค หรือใช้ให้เกิดผลทางการแพทย์ต่อร่างกายของมนุษย์ จะจัดเป็นเครื่องมือแพทย์ที่ต้องแจ้งรายการละเอียด แต่เนื่องจากยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการที่น่าเชื่อถือสนับสนุนสรรพคุณทางการแพทย์ จึงอาจเข้าข่ายเป็นเครื่องมือแพทย์ที่ไม่ปลอดภัยในการใช้ ซึ่งห้ามผลิต นำเข้า หรือขาย หากฝ่าฝืนจะมีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 3 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมถึงผู้ขายจะมีความผิดข้อหาขายเครื่องมือแพทย์ที่ไม่ปลอดภัยในการใช้ด้วยเช่นกัน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
       
       นอกจากนี้ ผู้บริโภคควรใช้วิจารณญาณในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เพราะอาจไม่มีสรรพคุณตามที่แสดงไว้ และหากพบผลิตภัณฑ์สำหรับนวดขนาดเล็กมีการโฆษณาสรรพคุณในทางการแพทย์ โปรดแจ้งร้องเรียนที่ สายด่วน อย.1556 เพื่อ อย.จะได้ดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดต่อไป

ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 มกราคม 2555

8219
 สถานพยาบาลสังกัด สธ.เจอพิษน้ำท่วมแล้ว 3 แห่ง แต่ยังให้บริการปกติ ด้าน “วิทยา” ให้ สสจ.ใต้ จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ป้องกันโรคหลังน้ำลด
       
       วันนี้ (3 ม.ค. )นายวิทยา บุรณศิริ   รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วมที่ภาคใต้ว่า ได้รับรายงานว่าขณะนี้มีสถานบริการในสังกัดถูกน้ำท่วม 3 แห่ง คือ โรงพยาบาลหลังสวน จ.ชุมพร และที่ จ.นครศรีธรรมราช 2 แห่ง คือ โรงพยาบาล (รพ.) ท่าศาลา และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ซึ่งระดับน้ำสูงประมาณ 50-80 ซม. ขณะที่ รพ.หลังสวน น้ำท่วม 4 จุด คือ ที่หอผู้ป่วยอายุรกรรมชาย โรงซักฟอก โรงครัว และบ้านพักระดับน้ำสูงประมาณ 1 เมตร ส่วนอาคารผู้ป่วยนอก ยังเปิดบริการได้ตามปกติได้จัดเรือรับส่งผู้ป่วย 1 ลำ ขณะนี้มีผู้ป่วยนอนพักรักษา 100 คนส่วนที่โรงพยาบาลท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช น้ำท่วมในอาคารผู้ป่วยนอกสูงประมาณ 5 ซม. แต่สามารถให้บริการได้และท่วมบ้านพักเจ้าหน้าที่ ระดับน้ำสูงประมาณ 50 ซม. ระดับน้ำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ 6 เครื่อง และย้ายผู้ป่วยไปที่โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช จำนวน 20 ราย ขณะนี้ยังมีผู้ป่วยนอนพักในโรงพยาบาล 50 ราย โดยย้ายขึ้นไปบนหอผู้ป่วยชั้น 2 ทั้งหมด
       
       นายวิทยากล่าวต่อว่า ได้กำชับให้สำนักงานสาธารณสุขทุกแห่งในภาคใต้จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้บริการประชาชนอย่างต่อเนื่องทั้งจุดที่มีน้ำท่วมและที่จุดอพยพชาวบ้านและให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อปรับบริการให้เหมาะสมในพื้นที่ที่น้ำลดแล้วให้เฝ้าระวังป้องกันโรคที่อาจเกิดตามมา
       เช่น โรคฉี่หนู เป็นต้น
       
       นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัด สธ.กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์ที่ จ.สงขลา นั้นเริ่มคลี่คลายแล้ว ผลการออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่พบผู้ป่วย 900 ราย ส่วนใหญ่เป็นไข้หวัดโดยหลังน้ำลดได้ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลาร่วมกับสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 12 (สคร.12) จ.สงขลา เฝ้าระวังและป้องกันโรคหลังน้ำลดที่สำคัญ คือ โรคฉี่หนู และไข้เลือดออก สำหรับที่ อ.หาดใหญ่ สคร.12ได้ดำเนินการกำจัดหนูก่อนหน้าที่จะเกิดน้ำท่วมรวมทั้งจัดการเรื่องขยะสดบริเวณตลาดและที่พักขยะร่วมกับเทศบาลนครหาดใหญ่แล้ว โดยในวันนี้จะพ่นสารเคมีกำจัดแมลงวันตามกองขยะต่างๆ ติดต่อกัน 3 วัน และจะพ่นสารเคมีกำจัดยุงในวันที่ 5 มกราคม 2555 อย่างไรก็ตาม ประชาชนที่ลุยน้ำท่วม และหลังน้ำลด 1 สัปดาห์ หากมีไข้สูง ปวดกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะน่อง เข้าข่ายเป็นโรคฉี่หนู ขอให้รีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อป้องกันการเสียชีวิต
       
       ด้าน ดร.นพ.สุวิช ธรรมปาโล ผู้อำนวยการสำนักงานควบคุมโรคที่ 12 สงขลา กล่าวว่า สคร.12 จัดส่งเจ้าหน้าที่ไปทำงานร่วมกับจังหวัดที่ประสบภัยน้ำท่วม ประกอบด้วย ตรัง พัทลุง สตูล สงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส โดยเร่งรัดการเก็บขยะเปียกที่ตลาดสด และที่พักขยะเพื่อมิให้เป็นแหล่งอาหารของหนู ในเบื้องต้นได้เตรียมรองเท้าบูต 5,000 คู่ ถุงดำใส่ขยะ 2,000 กิโลกรัม สนับสนุนเจ้าหน้าที่ผู้ปฎิบัติงานเตรียมทีมพ่นยุงและแมลงวันจำนวน 30 ทีม โดยหลังน้ำลด 1-3 วัน จะดำเนินการพ่นยากำจัดแมลงวัน และหลังน้ำลด 5 วัน จะส่งทีมเข้าไปพ่นกำจัดยุง
       
       นอกจากนี้ยังได้ส่งทีมสุขภาพช่วยจังหวัดในการเฝ้าระวังและสอบสวนโรค เข้าไปตามชุมชนที่น้ำท่วม หากพบผู้ป่วย เช่น โรคอุจจาระร่วง จะควบคุมโรคป้องกันการระบาดได้ทันที

ASTVผู้จัดการออนไลน์    3 มกราคม 2555

8220
กรมควบคุมโรค มั่นใจไทยไร้เชื้อลิเจียนแนร์ เผย มีระบบเฝ้าระวังดี แจงไม่ใช่เชื้อใหม่ที่น่ากลัว ไม่ถ่ายทอดจากคนสู่คน
   
       จากกรณีรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการของเกาะฮ่องกง ป่วยด้วยเชื้อโรคลีเจียนแนร์ และนำไปสู่การเดินหน้าตรวจดูเชื้อดังกล่าวของรัฐบาลฮ่องกง จนพบว่า มีเชื้อดังกล่าวสูงเกินมาตรฐานถึง 14 เท่า ในอาคารทำการใหญ่ของรัฐบาลฮ่องกง ซึ่งเจ้าหน้าที่ระบุว่า อาจเกิดจากน้ำสกปรกที่มีการก่อสร้างอาคารใหม่นั้น
       
       ล่าสุด วันนี้ (4 ม.ค.)นพ.รุงเรือง กิจผาติ โฆษกกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และผู้อำนวยการสำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า โรคดังกล่าวเป็นโรคที่พบการระบาดครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี 2519 ขณะที่ประเทศไทยเคยพบผู้ป่วยราว 2-3 คนในอดีต แต่ไม่ได้มีการระบาดเป็นกลุ่มก้อน และปีนี้ไม่พบการระบาดแต่อย่างใด ทั้งนี้ สำหรับโรคดังกล่าวนั้นไม่ได้เป็นโรคอุบัติใหม่ที่น่ากลัว เพราะไม่สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ ดังนั้น อยากให้ประชาชนวางใจ ว่า ไม่มีการถ่ายทอดจากนักท่องเที่ยว หรือผู้ที่เดินทางมาจากฮ่องกงอย่างแน่นอน โดยการเกิดขึ้นของเชื้อแบคทีเรียลิเจียนแนร์นั้น เป็นการเกิดขึ้นจากเครื่องปรับอากาศ หรือเครื่องเย็นตามอาคารที่อาจสกปรก จึงก่อเกิดแบคทีเรียชนิดดังกล่าว ซึ่งประเทศไทยเองมีการดำเนินการโดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ในการสุ่มตรวจเครื่องปรับอากาศ ระบบน้ำ และระบบความเย็นอื่นๆ ตามอาคาร ห้องพัก โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งก็ไม่พบเชื้่อดังกล่าวปนเปื้อนแต่อย่างใด จึงอยากให้ประชาชนวางใจในระบบควบคุม และป้องกัน เนื่องจากโรคนี้เคยขึ้นในประเทศใหญ่ๆแล้ว จึงมั่นใจว่า มีประสบการณ์ในการควบคุมที่ดี ทำให้ไม่มีการระบาดในวงกว้าง
       
       นพ.รุ่งเรือง กล่าวด้วยว่า สำหรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อดังกล่าวนั้น จะมีทั้งมีอาการ และไม่มีอาการ โดยผู้ป่วยที่ไปพบแพทย์ส่วนใหญ่มักมีไข้สูง อ่อนเพลีย และหากอาการหนักก็มีปอดอักเสบ หรือปอดบวมได้ ซึ่งแพทย์จะรักษาตามอาการที่พบ อย่างไรก็ตามสำหรับคนไทยที่อาศัยหรือเดินทางไปฮ่องกงหากพบอาการไข้นานหลายวันแล้วไปพบแพทย์ก็ควรแจ้งประวัติให้แพทย์ทราบว่า มีการเดินทางไปพื้นที่ใดของฮ่องกงบ้าง เพื่อจะได้ง่ายต่อการตรวจหาเชื้อโรค ซึ่งหากพบก็รักษาไม่ยาก ส่วนเรื่องการดูแลและป้องกันตัวเองก็หากพบน้ำ หรือเครื่องปรับอากาศสกปรกตามสถานที่พักชั่วคราวก็ควรหลีกเลี่ยง

ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 มกราคม 2555

หน้า: 1 ... 546 547 [548] 549 550 ... 653