แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: 1 ... 543 544 [545] 546 547 ... 653
8161


การมีหลักประกันสุขภาพนับเป็นสวัสดิการที่ดีมากๆสำหรับประชาชน แต่ยังมีสิ่งที่ควรแก้ไขอีกมาก เพื่อให้ประชาชนได้รับการบริการที่สะดวก ปลอดภัยและมีมาตรฐาน ตัวอย่างของสิ่งที่จะต้องแก้ไข เช่น

1.การจัดสรรงบประมาณที่ไม่เพียงพอ

2.การบังคับให้แพทย์สั่งยารักษาผู้ป่วยบางโรค เช่นมะเร็งได้ในบางรายการเท่านั้น ทั้งๆที่สปสช.ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญการรักษาโรคมะเร็ง ซึ่งอาจจะทำให้ผู้ป่วยไม่หายจากอาการ ดื้อยา หรือโรคไม่ตอบสนองต่อการรักษา

3.ประชาชนมาใช้บริการมากเกินกำลังเจ้าหน้าที่ ทำให้ประชาชนเสี่ยงอันตรายจากความเสียหาย เนื่องจากบุคลากรไม่มีเวลาพิถีพิถันในการสั่งการหรือดำเนินการรักษาโรค

4.สปสช.ยังจ่ายเงินให้โรงพยาบาลไม่ครบตามงบประมาณเหมาจ่ายรายหัวที่สปสช.ได้รับมาจากเงินภาษีประชาชน โดยสปสช.แบ่งเงินไว้ทำโครงการในการรักษาโรคบางอย่างเอง(vertical program) 

5.สปสช.ไม่ชำระเงินค่า “บริการสาธารณสุข” ให้แก่โรงพยาบาลอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

6. สปสช.จ่ายเงินเดือน ค่าตอบแทน ในการจ้างบุคลากร จ้างที่ปรึกษาในอัตราสูงเกินที่กม.กำหนด 

7.ยังมีปัญหาการบริหารจัดการที่ผิดพลาดของสปสช.อีกมากมาย ที่ได้มีการกล่าวไว้ในรายงานการตรวจสอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) รวมทั้งการผูกขาดตำแหน่งกรรมการและอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในกลุ่มก๊วนเดิมๆ

  ทั้งนี้สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ มีเอกสารหลักฐานยืนยันทั้งสิ้น

 แต่ทำไมกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจึงออกมากล่าวหาว่า “มีกลุ่มก๊วนที่วางแผนล้มระบบหลักประกันฯ ทั้งนี้จะขอสรุปเหตุการณ์ดังนี้

1.การให้หลักประกันสุขภาพแก่ประชาชนทั้งไม่จนและจนเพียงแค่ 48 ล้านคน ถือว่าไม่ยุติธรรมแก่ประชาชนในระบบประกันสังคม ต้องแก้ไขให้ประชาชนในกลุ่มประกันสังคม ได้รับสิทธิในหลักประกันสุขภาพเหมือนกัน

2. การจัดงบประมาณเหมาจ่ายรายหัวนั้นไม่เพียงพอที่จะจัดบริการให้ "มีมาตรฐานทางการแพทย์ที่ทันสมัยได้จริง" และทำให้โรงพยาบาลในระบบหลักประกันสุขภาพหลายร้อยแห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขขาดสภาพคล่องทางการเงิน

3. สปสช.lส่อว่าอาจจะผิดกฎหมายและมีผลประโยชน์ทับซ้อน โดยเฉพาะมีผลประโยชน์ต่อคนในกลุ่มก๊วนชมรมแพทย์ชนบทและกลุ่มเอ็นจีโอสาธารณสุข เมื่อคนเหล่านี้ไม่ได้รับคัดเลือกเป็นกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เช่น ภญ.สำลี ใจดี คนที่อยู่ใน กลุ่มก๊วน เดียวกันจึงออกมาโวยวาย และประท้วงโดยการไม่เข้าประชุมกรรมการถึง 3 ครั้งในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา

 ถ้าเราไปดูรายชื่อคนที่ออกมาประท้วง ก็จะเห็นว่าคือกลุ่มคนที่เคยเป็นหรือกำลังเป็นกรรมการ/อนุกรรมการในสปสช.เป็นส่วนมาก และเมื่อการประท้วงไม่สำเร็จ ไม่สามารถผลักดันให้ภญ.สำลี ใจดี ได้เป็นกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ คนในชมรมแพทย์ชนบทจึงออกมาโวยวาย ว่ามีคนจ้อง "ยึดอำนาจ"การบริหาร สปสช”.และใส่ความว่า “คนจ้องจะล้มระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” ซึ่งคนที่ออกมาพูดนี้คือนพ.เกรียงศักดิ์ วัชระนุกูลเกียรติ และคนในกลุ่มเอ็นจีโอสาธารณสุขคือนายนิมิตร เทียนอุดม (voice TV)

3.ก่อนหน้านี้ มีคนกลุ่มหนึ่งได้จัดการประชุมที่โรงแรมริชมอนด์ แล้วออกมาแถลงว่า พวกตนได้จัดตั้งกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพแห่งชาติโดยได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 1/2555 โดยมีหัวหน้ากลุ่มคือนายจอน อึ๊งภากรณ์  มีผู้ประสานงานคือนางสุรีรัตน์ ตรีมรรคา ณัฐกานต์ กิจประสงค์ โฆษกกลุ่มคือนางสุภัทรา นาคะผิว กชนุช แสงแถลง บารมี ชัยรัตน์   โดยผู้ที่เปิดตัวออกมาให้ข้อมูลแก่สื่อสาธารณะ ได้แก่นายจอน อึ๊งภากรณ์

และยังได้กล่าหาว่ามี “กลุ่มก๊วนที่วางแผนล้มหลักประกันสุขภาพแห่งชาติคือ สมาคมผู้วิจัยและผลิตเภสัชภัณฑ์ (พรีม่า) สมาคมโรงพยาบาลเอกชน ชมรมโรงพยาบาลเพื่อพัฒนาระบบบริการประกันสังคม สหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขแห่งประเทศไทย (สผพท.) แพทยสภา กระทรวงสาธารณสุขและการเมือง โดยได้กล่าวถึงปัญหา(ที่บิดเบือนจากความจริง) และกล่าวว่ากลุ่มคนเหล่านี้กำลังทำอะไรอยู่ โดยบิดเบือนข้อมูลอีกเช่นกัน และอื่นๆอีกมากตามรายละเอียดที่กลุ่มคนรักหลักประกันได้เผยแพร่ออกมาทั่วไปในสื่อสาธารณะ

4.ประกอบกับตำแหน่งเลขาธิการสปสช.กำลังจะหมดวาระลงในเร็วๆนี้ และจะต้องมีการสรรหาใหม่ โดยเลขาธิการคนปัจจุบันกำลังถูกตั้งกรรมการสอบสวนตามประเด็นความผิดที่สตง.ชี้มูล จึงอาจจะทำให้พวกพ้องของ “กลุ่มคนรักหลักประกันฯ” ไม่ได้รับการพิจารณาแต่งตั้งเป็นเลขาธิการเป็นสมัยที่ 2

5. ถ้าไปดูรายชื่อคณะกรรมการและอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติย้อนหลังไปในรอบ ๑๐ ปีที่ผ่านมา จะพบว่าคนที่เป็นกรรมการและอนุกรรมการเหล่านี้ ล้วนเป็นคนในกลุ่ม “กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ”หรือเกี่ยวข้องกับ “ชมรมแพทย์ชนบท”เช่นนพ.วิชัย โชควิวัฒน์ เป็นกรรมการหลักประกันในนามผู้ทรงคุณวุฒิการแพทย์แผนไทย แล้วสลับร่างมาเป็นกรรมการในฐานะผู้แทนองค์กรเอกชนด้านผู้สูงอายุ และเป็นประธานอนุกรรมการประสานยุทธศาสตร์ของสปสช. ที่มีมติให้สปสช.ซื้อยาและเครื่องมือแพทย์ที่องค์การเภสัชกรรม ไม่ได้ผลิตเอง แต่ทำตัวเป็นพ่อค้าคนกลาง ซื้อของมาขายให้สปสช. แล้วมีเปอร์เซ็นต์ตอบแทนสปสช.หลายร้อยล้าน นับว่าหมอวิชัยในฐานะประธานองค์การเภสัช ค้าขายเอากำไร กับหมอวิชัยในฐานะประธานอนุกรรมการประสานยุทธศาสตร์สปสช. แล้วหมอวิชัยในนามองค์การเภสัช ยังให้ผลประโยชน์ตอบแทนกับหมอวิชัยในนามสปสช.อีกด้วย

 ในฐานะที่สผพท.เป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นหนึ่งใน “กลุ่มก๊วนที่วางแผนจะล้มระบบหลักประกันสุขภาพ” โดยไม่มีมูลความจริง จึงขอให้กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ได้แสดงหลักฐานของการที่จะล้มระบบหลักประกันสุขภาพ ที่เป็นจริง(มิใช่กล่าวหาอย่างบิดเบือนข้อมูล) มิฉะนั้นจะถือว่ากลุ่มรักหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่มีนายจอน อึ๊งภากรณ์เป็นหัวหน้า ได้กล่าวหาหรือใส่ความสผพท.โดยไม่มีมูลความจริง  สผพท.และมวลสมาชิกของสผพท.อาจจะพิจารณาแจ้งความกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพในคดีหมิ่นประมาทใส่ความผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นเสียหาย ได้รับการดูหมิ่นเกลียดชังจากประชาชนทั่วไป

 มวลสมาชิกของสผพท. ขอเรียกร้องให้รัฐบาล ดำเนินการสอบสวนการบริหารงานที่ผิดกฎหมายของสปสช. และคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ วาระตั้งแต่ปีพ.ศ. 2548-2554 เพื่อหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ เพื่อไม่ให้มีการนำเงินงบประมาณภาษีประชาชน ไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้องอีกต่อไป และขอเรียกร้องให้ปปช.ได้ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของกรรมการและอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ รวมทั้งของเลขาธิการสปสช.ในวาระดังกล่าวทุกปีด้วย เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากเป็นผู้ที่รับผิดชอบบริหารงบประมาณแผ่นดินจำนวนมากถึงปีละ 200,000 ล้านบาท

 และควรตรวจสอบด้วยว่า กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้งบประมาณในการจัดประชุมที่โรงแรมมาจากหน่วยงานหรือเอกชนใด

๑๔ มค. ๕๕
พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา
ประธานสหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขแห่งประเทศไทย

8162
จดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี
๑๒ มกราคม ๒๕๕๕

เรื่อง  ข้อเสนอในการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพ

เรียน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี

อ้างถึง ข้อเสนอของกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ

สิ่งที่ส่งมาด้วย บทความเรื่องกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพควรจะรู้อะไรอีกบ้าง

  จากการที่กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ได้ส่งข้อเสนอให้รัฐบาลเกี่ยวกับการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพนั้น ทางสหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขแห่งประเทศไทย (สผพท.) ก็ขอยื่นข้อเสนอต่อนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ให้ดำเนินการในเรื่องต่างๆอย่างเร่งด่วน ในการที่จะพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ให้เกิดประโยชน์สุขแก่ประชาชนอย่างแท้จริง งบประมาณในการรักษาประชาชนได้ใช้อย่างมีประสิทธฺภาพ มีผลให้การบริการสาธารณสุขมีมาตรฐานที่ดี มีความสะดวกสบายและปลอดภัย เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนดังนี้คือ

๑.สอบสวนการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายหลายฉบับของเลขาธิการสปสช. และคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๕๓ ตามที่สตง.ได้ชี้ประเด็นความผิดทั้งหมด 7 ประเด็น ซึ่งการกระทำเหล่านี้ทำให้เงินงบประมาณด้านการบริหารสปสช.และเงินงบประมาณเหมาจ่ายรายหัวในการรักษาประชาชน ไม่ได้ตกถึงหน่วยบริการที่จะได้ใช้รักษาประชาชนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทำให้โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั้งหมดที่ต้องรับภาระรักษาประชาชนต้องขาดเงินในการดำเนินงาน ทำให้ประชาชนเสี่ยงอันตรายจากการไปรับบริการสาธารณสุข

๒.ขอให้พิจารณาสอบสวนการบริหารงานในหน้าที่ของปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ไพจิตร วราชิต ที่มีความบกพร่องในการแก้ปัญหาการทำงานในกระทรวงสาธารณสุขดังนี้คือ

๒.๑ ไม่แก้ไขปัญหาขาดแคลนงบประมาณในการดำเนินการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ทั้งๆที่มีรายงานจากกลุ่มประกันสุขภาพ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขว่าโรงพยาบาลต่างๆได้รับงบประมาณไม่คุ้มกับต้นทุนการดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่องหลายปีโดยที่ปลัดกระทรวงมีตำแหน่งเป็นทั้งผู้บริหารสูงสุดในสายข้าราชการประจำของกระทรวงสาธารณสุข และยังเป็นกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติอีกด้วย ควรจะประสานงานกับสปสช.ให้จ่ายเงินให้รพ.ตามงบประมาณจริงที่ได้มา เพื่อให้โรงพยาบาลสามารถพัฒนาการบริการสาธารณะด้านสาธารณสุขแก่ประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ มีมาตรฐาน แต่ไม่เคยปรากฏว่า ปลัดกระทรวงจะเคยพูดเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้ให้ที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือรัฐมนตรีให้ช่วยแก้ไขใดๆ ปล่อยให้แต่ละโรงพยาบาลพยายามดิ้นรนกันไปตามยถากรรม

๒.๒ไม่ได้ดูแลบุคลากรให้ได้รับการบรรจุแต่งตั้งและได้รับค่าตอบแทนให้เหมาะสม ทำให้บุคลากรในกระทรวงสาธารณสุขต้องออกมาชุมนุมเรียกร้องการจัดสรรตำแหน่ง ค่าตอบแทน และเรียกร้องขอเงินงบประมาณในการดำเนินการบริการรักษาประชาชนเอง

 ๒.๓ ไม่ได้รายงานรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรี ให้แก้ไขการบริหารงบประมาณของกระทรวงสาธารณสุข ให้ได้รับงบประมาณเงินเดือน ค่าตอบแทนโดยตรงจากสำนักงบประมาณ แต่กลับต้องไปขอรับงบประมาณนี้ส่วนมากมาจากงบประมาณเหมาจ่ายรายหัวในการรักษาประชาชนจากสปสช. ทำให้สปสช.มีเงินงบประมาณบริหารสปสช.เพิ่มขึ้นอีกมากมายโดยไม่จำเป็น (เพราะงบบริหารสปสช.คิดจากงบเหมาจ่ายรายหัว ๑% ) และทำให้ข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข เป็นกลุ่มข้าราชการที่แปลกประหลาดที่สุดที่ต้องไปรับเงวินเดือนและค่าตอบแทนจากองค์กรอิสระที่ไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาโดยตรง อันน่าจะไม่ถูกต้องตามกฎหมายลัระเบียบปฎิบัติของข้าราชการ โดยที่ปลัดกระทรวงไม่เคยคิดที่จะแก้ไข

   ทั้งนี้ จึงเรียนมาเพื่อให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการให้มีการดำเนินการโดยด่วน เพื่อพัฒนาระบบบริการสาธารณะด้านสาธารณสุขและระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ให้มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล  ให้มีการใช้เงินงบประมาณแผ่นดินให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยของประชาชนต่อไป
ขอแสดงความนับถือ


(พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา )ประธานสผพท.   (พญ.อรพรรณ์ เมธาดิลกกุล ) รองประธานสผพท.

8163
จากข่าวในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์เรื่องที่นพ.วิจารณ์ พาณิชได้กล่าวว่า ประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นประธานจัดการประชุมนานาชาติรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล เวทีแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และความคิดเห็นของผู้นำด้านสาธารณสุขจากนานาประเทศ ในประเด็นด้านสาธารณสุขที่สำคัญระดับโลก เพื่อประโยชน์ด้านสุขภาพของมนุษยชาติ โดยในปีนี้ มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ร่วมกับ กระทรวงสาธารณสุข, ม.มหิดล และองค์กรสุขภาพในระดับโลก อาทิ องค์การอนามัยโลก, ธนาคารโลก, องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ ไจก้า เป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมวิชาการประจำปี 2012 ภายใต้หัวข้อ “ก้าวสู่หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า : เร่งพัฒนาระบบการเงินสุขภาพ” ระหว่างวันที่ 24-26 ม.ค. 2555 ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์แอทเซ็นทรัลเวิลด์

   ผู้เขียนได้ไปร่วมการประชุมนี้เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๕๓ (ค.ศ. 2010)ที่มีผู้ร่วมจัดแบบเดียวกับในปีนี้ และได้เข้าร่วมฟังการอภิปรายเรื่องหลักประกันสุขภาพในประเทศไทยที่เลขาธิการสปสช.คือนพ.วินัย สวัสดิวร ได้ไปร่วมอภิปรายในเวทีนานาชาติแห่งนี้ ที่ได้อ้างความสำเร็จของประเทศไทยว่า มีประชาชนได้รับการประกันสุขภาพทั้งหมด ๙๘% ของประชาชนทั้งประเทศ โดยกล่าวว่าประเทศไทยมีระบบประกันสุขภาพ ๓ ระบบคือระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(บัตรทอง) ระบบประกันสังคม และระบบสวัสดิการข้าราชการ ทำให้นานาประเทศชื่นชมยินดีว่าประเทศไทยก็ไม่ได้ร่ำรวยหรือมีฐานะทางเศรษฐกิจดี ทำไมจึงสามารถจัดให้มีการประกันสุขภาพอย่างทั่วถึงได้

ผู้เขียนในฐานะไปร่วมฟังการอภิปรายจึงยกมือขอพูดบ้างว่า การที่ประเทศไทยอ้างว่ามีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือ Universal Coverage (UC) นั้นฟังดูเหมือนว่าประเทศไทยประสบความสำเร็จแล้ว แต่ผู้เขียนได้บอกว่า ประเทศไทยยังต้องแก้ไขหรือปฏิรูประบบหลักประกันสุขภาพใหม่ เนื่องจากเวลานี้ ระบบหลักประกันสุขภาพไทยยังจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลให้แก่โรงพยาบาลแบบขาดดุล กล่าวคือโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขขาดทุนในการดำเนินการรักษาผู้ป่วยในระบบบัตรทอง จนมีโรงพยาบาลหลายแห่งขาดสภาพคล่องทางการเงิน จนไม่มีเงินซื้อยามารักษาประชาชน เนื่องจากบริษัทยาไม่ยอมส่งยาให้เนื่องจากติดหนี้ค่ายาเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้น ระบบบัตรทองยังบังคับแพทย์ให้ใช้ยารักษาโรคตามข้อกำหนดของสปสช.(ทั้งๆที่สปสช.ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในการรักษาโรค) ทำให้แพทย์ไม่สามารถใช้ดุลพินิจในการสั่งยาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละคน ทำให้ผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาที่มีมาตรฐานและทันสมัยเหมือนผู้ป่วยในระบบอื่น เนื่องจากใช้เงินมาเป็นข้อจำกัดในการสั่งการรักษาของแพทย์

 และมีการโฆษณาเชิญชวนให้ประชาชนไปใช้บริการฟรีอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ส่งเสริมให้ประชาชนเอาใจใส่ในการสรางสุขภาพและป้องกันโรค ทำให้มีผู้ป่วยไปโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นมากมายถึง ๒๐๐ ล้านครั้งต่อปี  จนโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขมีภาระงานในการรักษาผู้ป่วยมากเกินกำลังของบุคลากร จนทำให้ประชาชนมีความเสี่ยงอันตรายจากการไปรับการตรวจรักษาหรือรับบริการสาธารณสุขเนื่องจากบุคลากรทางการแพทย์ทำงานมากเกินกำลังจนไม่อาจรักษามาตรฐานวิชาชีพแพทย์ได้ ทำให้มีการฟ้องร้องแพทย์มากขึ้น และทำให้แพทย์ลาออกจากโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุขมากขึ้น

  เมื่อผู้เขียนได้พูดถึงข้อมูลจริงในฐานะผู้ปฏิบัติงานอย่างนี้ พิธีกรในการอภิปรายได้หันไปถามนายอัมมาร สยามวาลา ที่เป็นผู้ร่วมอภิปรายบนเวทีว่า ที่ผู้เขียนพูดไปนั้นเป็นจริงหรือไม่นายอัมมาร สยามวาลา ได้รับรองว่าที่ผู้เขียนกล่าวไปนั้น เป็นความจริงทุกประการ และกล่าวบนเวทีต่อหน้าผู้ฟังจากทั่วโลกว่า โรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุขไทยนั้นไม่มีมาตรฐานทางการแพทย์ทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไป หรือโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์
ฉะนั้น เมื่อเลิกประชุม จึงมีผู้ร่วมประชุมจำนวนมาก มารุมซักถามผู้เขียน ในเรื่องระบบประกันสุขภาพไทย และว่า “มิน่าล่ะเขาไม่เข้าใจว่า ระบบประกันสุขภาพไทยให้เงินในการรักษาน้อยเหลือเกินมันจะเป็นไปได้อย่างไร”

  ในปีนี้จะจัดการประชุมแบบเดียวกันนี้อีก และก็จะมีแต่กลุ่มผู้บริหารกองทุนไปให้ข้อมูลด้านเดียวแก่ชาวโลก ผู้เขียนได้ติดต่อขอเข้าร่วมการประชุมนี้ แต่ได้รับการปฏิเสธ แสดงว่าเขาไม่ต้องการเผยแพร่ข้อมูลรอบด้าน ให้นานาชาติได้รับทราบปัญหาและอุปสรรคในการจัดการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งจะทำให้ระบบประกันสุขภาพไทยล้มเหลว มาตรฐานทางการแพทย์ที่ต้องปฏิบัติการในการดูแลรักษาประชาชนจะเลวลงทุกวัน ถ้ายังขาดเงินงบประมาณที่เหมาะสม ขาดบุคลากร และประชาชนไม่มีส่วนร่วมในการสร้างสุขภาพ แต่ปล่อยปละละเลยการดูแลตัวเอง และหวังพึ่งการรักษาฟรีอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น
และจะทำให้มาตรฐานการแพทย์ในระบบกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นบริการสาธารณะเพื่อประชาชนส่วนมากต้องถอยหลังลงคลองในไม่ช้า จะทำให้การบริการทางการแพทย์ไทยมีหลายมาตรฐาน และประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่ใช้ระบบบัตรทองอาจจะไม่ได้รับการบริการที่มีมาตรฐานอีกต่อไป

พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา
ประธานสหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์ และสาธารณสุขแห่งประเทศไทย (สผพท.)
๑๓ ม.ค. ๕๕

8164
แถลงการณ์เรื่องสผพท.ไม่ได้จ้องล้มจะล้มระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
แต่ต้องการตรวจสอบการบริหารงาน และบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๕๔๘- ๒๕๕๔
สหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขแห่งประเทศไทย(สผพท.)


   ตามที่มีการแถลงข่าวของกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่อ้าว่ามีกลุ่มคนที่จ้องจะทำลายระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และได้กล่าวว่าสหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขแห่งประเทศไทย (สผพท.)ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนจ้องทำลายระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาตินั้น

สผพท.ขอแถลงว่า สผพท.ไม่ได้คิดจ้องทำลายระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ แต่สผพท.ต้องการตรวจสอบทำงานบริหารกองทุนอย่างสุจริต โปร่งใสให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนอย่างแท้จริง เพื่อที่จะสามารถพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพให้มีคุณภาพมาตรฐาน เพื่อให้ประชาชนได้รับความปลอดภัยและได้รับประโยชน์สูงสุดจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ  ได้รับการดูแลรักษาอย่างมีมาตรฐานทางการแพทย์ที่ดี  ไม่เกิดความเสียหายต่อชีวิตและสุขภาพ เพื่อที่จะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี
สผพท.ในฐานะเป็นกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ผู้ปฏิบัติการในการดูแลรักษาประชาชนหรือเดี๋ยวนี้เรียกว่าผู้ให้บริการสาธารณสุขนั้น ต้องการให้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติควบคุมการบริหารจัดการของสปสช.ให้บริหารเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่บริหารจัดการด้านการเงินอย่างฉ้อฉล ไม่ให้บริหารการเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในการให้ผลประโยชน์ตอบแทนแก่กลุ่มพวกพ้อง ที่เป็นเจ้าหน้าที่ในสปสช. เป็นคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและเป็นอนุกรรมการต่างๆในสปสช. ดังที่สตง.ได้ชี้มูลความผิดมาแล้ว ๗ ประเด็น และยังไม่ได้ชี้มูลความผิดอีกมาก ซึ่งเห็นว่าควรจะมีการสอบสวนเพื่อลงโทษเลขาธิการสปสช. และคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติตั้งแต่ปีพ.ศ. 2548-2553 ตามการชี้ประเด็นของสตง.

  อนึ่งการอ้างว่ามีตัวแทนภาคประชาชน ได้รับเลือกเข้าไปเป็นกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ นั้น การคัดเลือกกรรมการเหล่านี้ก็ไม่ได้ประกาศรับสมัครให้ประชาชนรู้อย่างแพร่หลาย การเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิก็เลือกในกลุ่มพวกพ้องของตนเองเท่านั้น  จนสามารถบริหารจัดการในด้านเงินบริหารสำนักงาน เพื่อให้ประโยชน์แก่พวกพ้องตนเองได้ และบริหารเงินกองทุนหลักประกันฯโดยผิดกฎหมาย เอื้อประโยชน์ให้โรงพยาบาลเอกชนบางแห่ง ได้เงินไปผ่าตัดผู้ป่วยต้อกระจก โดยสปสช.จัดซื้อเล็นส์แก้วตาเทียมด้อยคุณภาพ แต่คิดกำไรเกินควรส่งให้รพ.เอกชนที่เข้าร่วมโครงการ และรพ.เอกชนขนาดเล็กที่หมอเกรียงศักดิ์เอ่ยถึงในทำการผ่าตัดต้อกระจกแล้วก็ไม่รับผิดชอบดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัด เทื่อผู้ป่วยมีอาการแทรกซ้อน ผู้ป่วยต้องหันมาพึ่งการดูแลจากรพ.ภาครัฐที่ไม่ได้เป็นผู้ทำผ่าตัดนั้นๆฉะนั้นจึงถือว่าสปสช.เอื้อประโยชน์ให้รพ.เอกชนบางแห่ง และไม่ปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน

  นอกจากนี้ยังมีพฤติการณ์อีกมากมายที่สปสช.และคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้บริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพ ผิดมติครม. ผิดระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ผิดประกาศสตง. ผิดพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ผิดระเบียบของสปสช.เอง ตามประเด็นที่สตง.ชี้มูลความผิดแล้ว ๗ ประเด็น และยังมีประเด็นอื่นๆที่สตง.กำลังตรวจสอบอยู่อย่างเข้มข้น

  เราจึงขอแถลงว่าเราสผพท.ไม่ได้ต้องการล้มระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติตามที่ถูกกล่าวหา แต่เราต้องการตรวจสอบการทำงานของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและสปสช.ตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๕๔๘ –๒๕๕๔ ว่ามีการทุจริตและทำผิดกฎหมายหลายๆฉบับดังกล่าวหรือไม่อย่างไร เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ให้เงินกองทุนหลักประกันฯ ไปตกอยู่ในกระเป๋าของกรรมการหลักประกันฯและพวกพ้อง แทนที่จะส่งไปยังโรงพยาบาลที่ให้บริการสาธารณสุขหรือหน่วยที่ปฏิบัติงานดูแลรักษาประชาชน ให้สามารถรักษาคุณภาพมาตรฐานการแพทย์และการรักษาประชาชนให้ดียิ่งๆขึ้น

  ฉะนั้น ถ้ากลุ่มรักหลักประกันสุขภาพต้องการให้มีระบบหลักประกันสุขภาพที่ดีมีมาตรฐานเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนจริง  ควรจะมาร่วมมือกับสผพท.ที่ก็เป็นประชาชนเช่นเดียวกัน ในการตรวจสอบความสุจริต โปร่งใส และการบริหารเงินกองทุนของสปสช.ว่าเป็นประโยชน์แก่ประชาชนอย่างแท้จริง

  อนึ่ง ขอเรียกร้องให้ปปช.ช่วยตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและเลขาธิการสปสช.เป็นประจำทุกปี เนื่องจากเป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบบริหารเงินงบประมาณแผ่นดินจำนวนมหาศาลถึงปีละ ๒๐๐๐,๐๐๐ ล้านบาท

8165
สมเด็จพระสังฆราชประทานพระวรธัมโมวาท วันเด็กแห่งชาติ ปี 2555 แนะผู้ใหญ่ในชาติเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เยาวชน เพราะอนาคตของเด็ก คือ อนาคตของชาติ...

เมื่อวันที่ 13 ม.ค. สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระวรธัมโมวาท เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ พุทธศักราช 2555 ความว่า วันสำคัญอีกวันหนึ่งของชาติ คือวันเด็กแห่งชาติ ที่ผู้ใหญ่คือคณะรัฐมนตรีประกาศยอมรับความสำคัญของวันเด็ก ด้วยการให้จัดเฉลิมฉลองเป็นประจำทุกปีในวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคม เด็กเป็นอนาคตของชาติ จริงดังที่รู้กันและกล่าวถึงกันอยู่ตลอดมา นับเป็นความสำคัญอย่างยิ่งของเด็ก แต่ผู้ใหญ่เป็นอนาคตของเด็ก ผู้ใหญ่จึงเป็นความสำคัญที่สุดของชาติ เห็นได้ชัดเจนเป็นลำดับดังนี้ อนาคตของชาติอยู่ในมือของเด็ก และอนาคตของเด็กอยู่ในมือของผู้ใหญ่ นั่นก็เท่ากับชาติอยู่ในมือของผู้ใหญ่ในชาตินั่นเอง ผู้ใหญ่เป็นแบบอย่างอย่างไรให้เด็กดูให้เด็กรู้ให้เด็กเห็น จนฝังจิตฝังใจ จนรับไว้เป็นนิสัยใจคอการปฏิบัติของเด็กไปโดยไม่รู้ตัวเป็นอนาคตของเด็ก นั่นก็คือเป็นอนาคตของชาติด้วยผู้ใหญ่ในปัจจุบันเป็นอย่างไร อนาคตของชาติจะเป็นเช่นนั้น โดยมีเด็กในปัจจุบันนั่นเองเป็นผู้สืบสาน เด็กในปัจจุบันที่จะเป็นอนาคตของชาติ หรือเป็นผู้ใหญ่ในอนาคตก็คือเป็นผู้ที่รับสิ่งที่พบเห็น เป็นการพูดการทำของผู้ใหญ่ไว้เป็นแบบอย่าง คิดตามพูดตามทำตามตั้งแต่ยังเป็นเด็ก จนกระทั่งเป็นผู้ใหญ่ คือเป็นอนาคตของชาตินั่นเอง

กล่าวโดยสรุปว่า ยุคสมัยปัจจุบันเป็นยุคที่เรามองโลกทั้งใบ เด็กๆ ทุกคนถือว่าเป็นสมบัติของมนุษยชาติ เด็กยังเป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง เปรียบเหมือนผ้าขาว เอาสีอะไรไปใส่ย่อมเป็นสีนั้น จึงขอฝากเด็กๆ ไว้กับผู้ใหญ่ ฝากอนาคตของชาติไว้กับเด็กๆ เพราะเขาเป็นความหวังของประชาชน การศึกษาถึงโลกในใจของเด็กๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิดของพวกเขา เป็นหนึ่งในแบบฝึกหัดที่สำคัญที่สุดของผู้ใหญ่.

ไทยรัฐออนไลน์ 13 มค 2555

8166
ย่างเข้าสู่เดือนมกราคม เพียงไม่ถึงครึ่งเดือน ก็พลันให้เห็นข่าวดีคนนู้นแต่งงาน  คนนี้แต่งงาน  ออกเหย้าออกเรือนกันเป็นแถบๆ

เหตุผลหนึ่งก็อาจด้วยเป็นปีมังกรทองที่ใครๆ ว่าช่วงครึ่งปีแรกนี่ล่ะฤกษ์งามยามดีสุดๆ ด้วยเลข พ.ศ.2555 ที่อ่านออกเสียงแล้ว ดูท่าน่าจะเฮฮา  สำราญใจกันถ้วนหน้า   กับอีกเหตุผลหนึ่งที่ดูเหมือนหลายๆ งานจะมากระจุกออรวมกันจัดงานวิวาห์แน่นเอี้ยดในเดือนแรกของปีก็ด้วยเพราะเลื่อนงานมาจากช่วงปลายปีที่ต่างก็ประสบปัญหาน้ำท่วมกันเป็นแถบๆ นั่นล่ะ

ว่ากันว่า ความรักอย่างเดียว คงไม่พอ...

แต่เมื่อคนสองคนได้ลองทำความรู้จักคบหาดูใจกันไประยะหนึ่งแล้วจะกี่เดือนกี่ปีก็แล้วแต่   เมื่อได้เวลาความพร้อมเหมาะสม ไม่ว่าจะด้วยวัยหรือหน้าที่การงาน ทั้งสองฝ่าย ก็มักจะลงเอยด้วยการเข้าพิธี "แต่งงาน"  ซึ่งนับเป็นการเริ่มต้นสำหรับการใช้ชีวิตคู่ที่ถูกต้องและสมบูรณ์ของมนุษย์ปุถุชน ทั่วโลก ภายใต้  ประเพณีและวัฒนธรรมแต่ละท้องถิ่น ที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย ที่เริ่มตั้งแต่มีพิธีการซับซ้อน ไปจนถึงพิธีอย่างเรียบง่าย

ปัจจุบันเราจึงเห็นงานแต่งงาน ทั้งแบบเป็นเบสิกทั่วไป ที่มีพิธีหมั้น พิธีแต่ง และพิธีฉลองมงคลสมรส   ทั้งแบบไท๊ยไทย คือ มีขบวนขันหมาก รดน้ำสังข์ ผูกข้อไม้ข้อมือ ทำบุญเลี้ยงพระ  หรือแบบจีน กับพิธีกรรมยกน้ำชา คารวะฟ้าดินญาติผู้ใหญ่บรรพบุรุษ   หรือแบบแขก  ที่เจ้าสาวสวมชุดส่าหรี่ เจ้าบ่าวโพกผ้าอยู่ในชุดโบราณ  หรือแบบฝรั่ง เจ้าสาวในชุดสวยสีขาว ใส่ผ้าคลุม  เจ้าบ่าวสวมสูท เข้าโบสถ์คริสต์ก็ว่ากันไป

ทว่า...งานแต่งงาน ไม่ใช่เรื่องของคนแค่สองคน  แต่มันเป็นพิธีกรรม ที่ต้องประกาศให้สังคมรับรู้ทั่วกันว่า  คู่รักคู่หนึ่งๆ พร้อมจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน  ท่ามกลางความยินดีของคนในครอบครัว เพื่อน ญาติรวมถึงคนรู้จักของคู่บ่าวสาว  ที่มาร่วมเป็นสักขีพยานความรักฉันสามี-ภรรยา ของคนทั้งสองอย่างน่าอิจฉา

 งานวิวาห์ จึงกลายเป็นข้อบังคับทางกฎเกณฑ์ทางสังคมที่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ไปแล้ว

อยากรู้ไหมว่า งานแต่งงานหนึ่งๆ ค่าใช้จ่ายเบ็ดเสร็จ เขาจ่ายกันไปงานละเท่าไหร่  ตั้งแต่งานเล็กๆเรียบง่าย จนไปกระทั่งถึงงานระดับช้าง ของคนมีชื่อเสียงคนสำคัญต่างๆ ในประเทศ

มติชนออนไลน์ จะรวบรวม จำแนกรายละเอียดค่าใช้จ่าย ขั้นตอน พิธีการ รวมไปถึงพร็อบ ของการจัดงานแต่งงาน  โดยยกตัวอย่างระดับของงานแต่งที่แตกต่างกันไปอย่างคร่าวๆ มาให้ดูกัน...

แน่นอนล่ะว่า หลังจากที่บ่าวสาวตกลงปลงใจจะใช้ชีวิตร่วมกันแล้ว  ทีนี้ก็เป็นเรื่องของการวางแผนที่จะจัดงานแต่งงานให้ลงเอย พร้อมเปิดอู่ เป็นเรื่องเป็นราวกันเสียที...เริ่มแรกของการควักกระเป๋าสตางค์ก็หนีไม่พ้นการไปดูฤกษ์ดูยาม ว่าจะมีการหมั้นกันวันไหน แต่งเมื่อไหร่ มีงานเลี้ยงฉลองยังไง ผ่านการใช้บริการหมอดู พระ หรือชินแส ซึ่งระดับค่าใช้จ่ายก็ขึ้นอยู่กับระดับความมีชื่อเสียงของบุคคลนั้นๆ มีราคาตั้งแต่ 500 บาทขึ้นไป จนถึงเป็นหมื่น

เมื่อฤกษ์ยามมาแล้ว ทีนี้ก็เป็นการวางแผนแล้วบางคู่ถ้าไม่อยากยุ่งยากจัดการเอง    และมีสะตุ้งสตางค์ร่วมกันมากพอ ก็จะพึ่งบริการพวก  Wedding Studio ไปเลย ซึ่งก็มีหลายเจ้าดังๆที่เค้ามีบริการจัดงานแต่งครบวงจรเริ่มตั้งแต่การวางแผนให้ รวมถึงดำเนินการจัดงานให้เสร็จสรรพ  ไม่ว่าจะเป็นพวกการถ่ายรูป  PreWedding  ชุดพิธีหมั้น  ชุดงานแต่งทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาว  แต่งหน้า ทำผม จัดสถานที่  งานเลี้ยง ของชำร่วย ฯลฯ

งานแต่งแต่ละงาน จะแตกต่างไปตามความต้องการของคู่บ่าวสาวและคนในครอบครัวทั้งคู่ อย่างหลากหลาย เป็นไปตามคอนเซปต์ตามธีม  แต่ก็ล้วนมีรูปแบบคล้ายๆกัน   ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับจำนวนแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน เพื่อที่จะดูงบประมาณและทุนทรัพย์ที่มีอยู่ของแต่ละคู่บ่าวสาวด้วย

บางรายก็ศึกษากันเองผ่านทางเว็บไซต์ ทางโลกไซเบอร์ที่เกิดขึ้นมากมายโดยเว็บไซต์พวกนี้  จะรวบรวมข้อมูล รายละเอียด เคล็ดลับข้อแนะนำเกี่ยวกับงานแต่งงานไว้อย่างหลากหลาย ทั้งแบบพึ่งพาตัวเอง และแนะนำบริษัทรับจ้างจัดงานแต่งงานรวมถึงพวกสตุดิโอต่างๆ ให้เราได้เลอืกสรรค์รูปแบบ ตามความพอใจ

ดังนั้น มติชนออนไลน์ จึงขอจึงขอหยิบยกเอาหัวข้อคร่าวๆ พื้นฐานค่าใช้จ่ายของงานแต่ง ของบุคคลที่อยู่ในฐานะกลางๆ มาให้ดูกัน  ว่ามีรายละเอียดอะไรปลีกย่อยบ้างนอกเหนือจากการผ่านการดูฤกษ์ยามมาแล้ว   ดังลิสต์ต่อไปนี้

เริ่มจากค่าใช้จ่าย  PreWedding    พวกถ่ายภาพเก๋ๆ ชิคๆ หรือจะสวยงาม  น่ารัก ของบ่าวสาว รวมถึงวิดีโอ  ไว้โชว์ในวันก่อนงานแต่งจริงไม่ว่าจะสตูดิโอหรือนอกสถานที่ ราคาก็จะอยู่ที่ 20,000-70,000 บาท (แล้วแต่ตามตกลงกันเองด้วย)

มาที่ชุดหมั้น และชุดหลั่งน้ำสังข์  และชุดแต่งงาน  ซึ่งบางรายจะแยกออกจากงานเลี้ยงฉลอง ของผู้หญิง ก็แล้วแต่ว่า  จะจัดแบบไหนถ้าเป็นชุดหมั้นแบบไทยๆ   ชุดเจ้าสาวแบบสากล ส่วนใหญ่จะสั่งตัดใหม่เลยราคาก็จะอยู่ที่ราวๆชุดละ  5,000-30,000 บาท   ส่วนของฝ่ายเจ้าบ่าว ก็อาจจะถูกลงมาหน่อยเนื่องจากส่วนใหญ่จะใช้สูทสากลราคาก็จะอยู่ราวๆ 2,000-10,000 บาท

บางรายก็ไม่รวมกับค่าแต่งหน้าทำผมที่อาจต้องจ่ายราคาแยกต่างหากอีก รวมเจ้าบ่าว-เจ้าสาว  ตกอยู่ที่ 2,000-20,000 บาท  ถ้าใครอยากเพิ่มเครื่องประดับรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆก้แล้วแต่ว่าจะเป็นการเสริมไปที่อะไร จุดไหน

ส่วนพวกการ์ดเชิญแขกเหรื่อ  ขึ้นอยู่กับจำนวนของคนที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะเชิญด้วย บางรายอาจมีทั้งการ์ดเชิญมาในงานหมั้น-หลั่งน้ำสังข์ และวันเลี้ยงฉลองสมรสบางรายก็รวบยอดให้อยู่ในการ์ดใบเดียวกันไปเลย ขึ้นอยู่กับกำลังแรงและรูปแบบความยากง่ายของการ์ดที่เจ้าบ่าว เจ้าสาวตกลงกัน ค่าใช้จ่ายจะอยู่ราวๆ 1,000 บาทต้นๆ ไปจนถึง 20,000 บาท

มาเข้าเรื่องของพิธีต่างๆในงานหมั้น งานแต่งงานเลี้ยงฉลอง

ถ้าเป็นการแต่งตามแบบพิธีไทยมีการหลั่งน้ำสังข์ ทำบุญเลี้ยงพระ พิธีทางสงฆ์  ใส่ซองต่างๆ  รวมไปถึงขบวนขันหมาก  ส่วนใหญ่จะนิยมจัดกันที่บ้านเจ้าสาวเลยเพื่อเป็นการไม่เปลืองค่าเช่าสถานที่ แต่อาจจะไปรวมพวกค่าพร็อบตกแต่ง อย่างพวกดอกไม้ และอุปกรณ์ต่างๆ   ค่าใช้จ่ายเริ่มที่ตั้งแต่ราคา 30,000-200,000 บาท

บางงานก็จะมีงานเลี้ยงต้อนรับแขกอีกด้วยก็จะเพิ่มค่าอาหารไป อีกราวๆ 30,000-100,000 บาท ขึ้นไป ไม่รวมค่าเครื่องดื่ม

ข้ามมาที่ งานเลี้ยงฉลอง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพิธีเย็นหลายๆงานเลือกที่จะใช้บริการสถานที่และอาหารจากโรงแรมซึ่งก็ต้องดูว่าเป็นโรงแรมระดับไหน ถ้าเป็น 5 ดาวก็แพงหน่อย  หรือเป็นสถานที่ให้เช่าอย่างพวกสมาคม สโมสรต่างๆซึ่งสถานที่เหล่านี้ส่วนใหญ่จะคิดราคาเหมาเป็นงานจัดเลี้ยงรวมอาหาร+เครื่องดื่ม  ก็ต้องขึ้นอยู่กับเจ้าของงานว่าอยากได้แบบไหน ไม่ว่าจะเป็นแบบโต๊ะจีน    หรือจะเป็นงานเลี้ยงแบบบุฟเฟ่ต์  แบบค็อกเทล แบบเซตอาหารฝรั่งไปเลย  ซึ่งจะมีเมนูอาหารให้เราเลือกเป็นแพคเกจว่าต้องการอาหารประเภทไหน บางที่ก็คิดเป็นราคาต่อหัวของแขก ไปเลย รวมถึงก็ขึ้นอยู่กับขนาดห้องจัดเลี้ยงหรือ พื้นที่จัดเลี้ยงอีกซึ่งรวมๆ ค่าสถานที่ ค่าจัดดอกไม้    ค่าอาหาร เครื่องดื่ม ตัดเค้ก งานพิธีการบนเวที จะตกอยู่ที่ประมาณ 50,000 บาทขึ้นไป (บางงานอาจจะมีพร็อบเสริมบางอย่างของตัวเองต่างหากก็แล้วแต่จะจ่ายเพิ่มเท่าไหร่)

ของชำร่วย  อันนี้ก็แล้วแต่เจ้าของงานจะสั่งมาให้พอดีหรือมากกว่าจำรนวนคนที่มางานซึ่งต้องขึ้นอยู่กับรูปแบบของของชำร่วยอีกต่างหากว่าเป็นอะไร เริ่มตั้งแต่ 2,000 บาทขึ้นไป (ถ้าแบบพิเศษมากก็จะอีกราคาหนึ่ง)

ที่ขาดไม่ได้ บางงานก็จะมีพวกวงดนตรีมาเล่นสดสร้างสีสันซึ่งจะมีทั้งดนตรีลูกทุ่ง วงสตริง หรือดนตรีคลาสสิค ขึ้นอยู่กับความดัง และความแรงของวงดนตรีนั้นๆหรือจะเป็นวงดนตรีประจำสถานที่จัดงานซึ่งพวกนี้ต้องว่าจ้างต่างหาก  ราคาก็แล้วแต่ความสนิทสนมรู้จักตกลงกันเอง และบางวงคิดราคาระยะเวลาเล่นเป็นชั่วโมง  มีตั้งแต่ 7,000 บาทขึ้นไป จนกระทั่งระดับเป็นแสน    ถ้าเป็นวงเพื่อนๆ กันเองของเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็อาจมีราคาที่ถูกลงมาหน่อย

ช่างถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอ ในวันงานก็สำคัญ ซึ่งส่วนใหญ่งานแต่งมักจะจ้างช่างภาพมือโปรมาคอยตามถ่ายเจ้าบ่าวเจ้าสาว  รวมถึงครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง  แขกเหรื่อ ระหว่างงานให้ออกมาสวยงามสร้างความประทับใจกันอยู่แล้ว ราคาค่าจ้างช่างภาพเหล่านี้ มักจะเป็นไปในราคาเหมา จะงานวันเดียวหรือสองวันก็ได้ ราคาค่าจ้างเริ่มที่ 5,000 บาทขึ้นไป

นี่คือรายละเอียดค่าใช้จ่ายคร่าวๆสำหรับงานแต่งงานในระดับงานกลางๆ ไม่ใหญ่โตหรืออลังการมาก  ซึ่งส่วนใหญ่จะดำเนินการกันเองไม่ได้พึ่งพาออแกไนซ์ หรือจ้าง พวก Wedding Planner เข้ามยุ่งเกี่ยวมาก  สนนราคาค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะงานหมั้นงานแต่งงานเลี้ยง หรือรวมๆกัน ถ้าในเมืองกรุงหรือในเขตเมืองใหญ่ๆก็ 100,000 บาทขึ้นไป สถานที่ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกโรงแรม ร้านอาหาร สมาคมสโมสร   แต่ถ้าเป็นตามต่างจังหวัด ก็ 50,000  บาทขึ้นไป  ไม่ร่วมพวกค่าสินสอดทองหมั้น แหวนเจ้าบ่าวเจ้าสาว  ฯลฯ

มาที่บ่าวสาวที่ใช้บริการพวกเว็ดดิ้งสตูดิโอ มีออแกไนซ์จัดงานพร้อมสรรพ   อันนี้จะสะดวกสบายหน่อย ไม่ต้องมานั่งเป็นแม่งานจัดการเอง  โดยออแกไนซ์เซอร์จากสตูดิโอที่มีชื่อเสียง อันนี้ก็จะราคาค่อนข้างสูง แต่รับจ้างจัดการงานแต่ง งานให้ทุกอย่างเสร็จสรรพครบวงจร ตั้งแต่เริ่มจนจบเหมารวมๆไปเลยอยู่ระหว่าง 400,000 บาท ขึ้นไป  จนกระทั่งระดับเป็นล้านบาทเลยทีเดียว  เรียกว่า ฟูลออฟชั่นสุดๆ

และจากการสำรวจของ มติชนออนไลน์    พบว่างานแต่งงานที่มีงบจัดงานสูงสุดในรอบ 5 ปี( ตั้งแต่ปี 2008)   ต้องยกให้ งานวิวาห์ระดับช้าง ของ ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน จารุวรรณ โชติเทวัญ ของ ดร.ปัญญา-ดร.มนูญศรี โชติเทวัญ ประธานกรรมการกลุ่มสหฟาร์ม กับ  ชลัคร ชีวเกษมสุข บุตรชายคนเดียว ณัฐวุฒิ-กรองทอง ชีวเกษมสุข  ซึ่ง ใช้งบประมาณถึง 30 ล้านบาท  โดยจัดงานแต่งที่บ้านเจ้าสาวที่ บ้านสุขาวดี อ.บางระมุง จ.ชลบุรี 

 อีกงานก็อลังการงานวิวาห์ของ ทายาทช่อง 3(ปี 2009) อ๋อง - วรวรรธน์ มาลีนนท์   บุตรนายประวิทย์และนางอรัญญา มาลีนนท์ กับ อุราภา ทายาทของนายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ ใช้งบไปทั้งสิ้นราว 10 ล้านบาท จัดที่โรงแรมโฟร์ ซีซั่นส์  ซึ่งงานนี้เฉพาะค่าตกแต่งด้วยดอกกล้วยไม้ไทย พันธุ์ฟาแลนนอปซิสและเดนโนเดียมสีขาวใช้เงินไปถึง 2 ล้านบาท

ถัดมาเป็นงานแต่งของ สาวนาเดีย นิมิตรวนิช กับ คุณ ภิ - ม.ล. อภิมงคล โสภณกุล  ที่โรงแรม แมนดาริน โอเรียนเต็ล  ใช้งบประมาณราว 3 ล้านบาท

ขณะที่งานแต่งที่เรียกว่าระดับใหญ่ และเป็นที่จับตามากที่สุด  ส่งท้ายปลายปี 2011  คงหนีไม่พ้นงานมงคลของ   เอม - พินทองทา ชินวัตร บุตรสาวคนกลางของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ นักธุรกิจหนุ่ม อหังสาริมทรัพย์  ที่จัดงานหมั้นและงานแต่งรวบยอดกันไปเลยที่  โรงแรมสวิสโซเทล นายเลิศ ปาร์ค กรุงเทพ  เมื่อ 11 พ.ย. 54  และงานเลี้ยงฉลองมงคลสมรส  ณ  โรงแรมพลาซ่าแอทธินี รอยัล เมอริเดียน เมื่อ  12 ธันวาคม 2554

แม้งานนี้ จะไม่ได้รับการเปิดเผยข้อมูลว่า งานบิ๊กของลูกอดีตนายกรัฐมนตรีคนดัง  ในฐานะหลานของนายกรัฐมนตรีคนสวย ณ ปัจจุบัน  จะมีราคาค่าสินสอดระดับเท่าไหร่  ทุ่มงบประมาณไปมากเพียงใด  ด้วยทางเจ้าของงานเน้นย้ำว่าเป็นงานเล็กๆและเรียบง่าย (อย่างเขาว่า) แต่เชื่อว่า รวมๆแล้วน่าจะอยู่ในขั้นหลักหลายล้านบาทอยู่...(เชียวนะ)  ซแค่ลำพังชุดเจ้าสาวชุดเดียวก็ปาเข้าไป3 แสนกว่าบาทแล้ว ไม่นับรวมพิธีการ ของชำร่วยงานจัดเลี้ยงต่างๆอีกมาก

แต่สำหรับคู่บ่าวสาวที่ไม่เน้นงานเอิกเริก มากพิธี  หลากขั้นตอน   หรือไม่มีญาติผู้ใหญ่พี่น้องเพื่อนฝูงคอยเป็นธุระจัดการให้ หรือไม่มีเวลามากพอที่จะจัดเตรียมงานได้หลายๆวัน  รวมถึงหาสถานที่ อาหารต่างๆ ไม่ได้   รวมถึงไม่อยากฟุ่มเฟือยเกินจำเป็นกับงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด   แต่เน้นวิวาห์แบบได้บุญ สร้างกุศล  แนะนำให้มาร่วมกันจัดพิธีมงคลสมรสที่โรงพยาบาลสงฆ์   ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่คู่บ่าวสาวนิยมมาจัดงานแต่งงานมากที่สุด    ด้วยเพราะมีการจัดพิธีสมรสให้แก่คู่บ่าวสาวในแพ็คเกจราคาประหยัด  เริ่มตั้งแต่การตั้งขบวนขันหมาก  กั้นประตูเงิน  ประตูทอง ประตูนาค  มีการกล่าวคำสู่ขอ  การมอบสินสอด  การสวมแหวน รวมทั้งการรับไหว้คุณพ่อ คุณแม่ ญาติผู้ใหญ่ที่บ่าวสาวเชิญมาร่วมงาน  และการหลั่งน้ำพระพุทธมนต์  ปิดท้ายด้วยการถ่ายภาพ เป็นอันเสร็จพิธี   โดยพิธีการทุกอย่างจะเหมือนกับการจัดงานที่บ้านทุกประการ  เพียงแต่ว่ามาใช้สถานที่ของโรงพยาบาลสงฆ์แทน ขึ้นอยู่กับคู่บ่าวสาวอยากจะจัดงานสมรสแบบหมู่ ร่วมกับคนอื่นหรือแบบเดี่ยวๆ  สนนค่าใช้จ่ายพิธีการไม่ถึง 1 หมื่นบาท 

นอกจากคู่บ่าวสาวจะมาประกอบพิธีแต่งงาน ครบกระบวนการตามวิถีแห่งศาสนาพุทธ  แล้วยังจะได้มาช่วยบำบัดรักษาพระอาพาธด้วย  ทั้งค่ายา  ค่าเวชภัณฑ์  ค่าอาหาร และค่าโลหิต  เพราะที่นี่รักษาพระอาพาธโดยไม่มีการคิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น    ซึ่งหากคู่รักไหนที่เตรียมตัวจะสละโสดสนใจ ลองโทรศัพท์สอบถามรายละเอียดที่โรงพยาบาลสงซ์ดูได้

คำนวนๆ ค่าใช้จ่ายดูแล้ว พิธีแต่งงานในแต่ละงาน ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับความต้องการ วัตถุ ปัจจัยสถานะทางสังคม และกำลังทรัพย์ของคู่บ่าวสาวทั้งนั้น ...เรียกว่า  มีแต่รายจ่ายเพื่อความสมบูรณ์แบบของอีกหนึ่งวันสำคัญของชีวิตกันแบบให้ออกมาดูดีที่สุดกันก็ว่าได้

 การพบรักอาจไม่ใช่เรื่องง่าย  แต่การใช้ชีวิตร่วมกับคนที่เรารักให้อยู่รอดนั้นเป็นเรื่องยากกว่า  หลายคู่ที่ตกลงปลงใจแต่งงาน จัดงานพิธีใหญ่โต ลงทุนทุ่มไปกับรูปแบบงานแต่งงานให้เลิศหรู อลังการ งานสร้าง คล้อยหลังไม่กี่ปี  ชีวิตคู่กับล่มสลายแยกทางเดินกันไปก็มีมาก เป็นเรื่องน่าเสียดาย... หากคุณอยากให้ความรักดำรงอยู่ไว้ เหมือนเมื่อครั้งความรักล้นเสียจนต้องตกลงปลงใจมาใช้ชีวิตร่วมกัน คงต้องหันไปพินิจารณาถึงความสัมพันธ์ที่มีอยู่ เปลี่ยนนานาปัญหาให้เป็นความเข้าใจ รู้จักให้อภัย  เปิดใจยอมรับ  พร้อมที่จะก้าวข้ามผ่านปัญหาเผชิญอุปสรรคไปด้วยกันมากกว่า ...

คงจริงอย่างที่ว่า  เรื่องของชีวิตคู่ ความรักอย่างเดียว ไม่พอ...และ งานแต่ง ต่อให้ใหญ่แค่ไหน ถ้าไม่เข้าใจกัน สุดท้ายก็ต้องเลิก!!!

มติชนออนไลน์ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

8167
"ยิ่งลักษณ์" เอาจริงแก้ปัญหาน้ำท่วมรอบสอง ลั่นเอาตำแหน่งนายกฯการันตี ท่วมน้อยกว่าปีที่แล้ว สั่งกางโรดแมปเตรียมรับมือน้ำท่วมรอบใหม่ เร่งสร้าง-เสริมแนวคันดินทุกจุด งัดไม้แข็งลงดาบสั่งฟ้องพวกก่อสร้างอาคาร-ทำการเกษตรกีดขวางทางน้ำ ด้านกรมชลประทานไล่ฟ้องผู้บุกรุกแนวฟลัดเวย์-พื้นที่แก้มลิง 10,000 ราย "ชัชวาล" รองอธิบดีกรมชลฯ ชี้แก้ยากเพราะส่วนใหญ่เป็นฐานเสียงนักการเมืองตั้งแต่ระดับชาติถึงท้องถิ่น เตรียมชงรัฐบาลทำเป็นวาระแห่งชาติ

นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า รัฐบาลได้จัดเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ภัยพิบัติน้ำในปี 2555 ไว้อย่างรัดกุมและการันตีจะเร่งความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับเอกชนและภาคประชาชนช่วยกันจัดการน้ำทุกช่องทาง โดยมอบหมายให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์วางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) เป็นศูนย์กลางวางแผนจัดการน้ำอย่างยั่งยืน ซึ่งรัฐเห็นปัญหา มีบทเรียน จึงขอย้ำให้ความมั่นใจจะทำปีนี้ให้ดีกว่าปีที่ผ่านมา

เบื้องต้นก่อนน้ำจะมาปีนี้ได้ขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายเร่งสร้างแนวคันป้องกันน้ำให้แข็งแรงทุกพื้นที่ทุกจุด ควบคู่กับเดินหน้ามาตรการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ขนาดใหญ่หรืออาคารสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่กีดขวางทางน้ำ ทั้งเขตพื้นที่อาศัยซึ่งเป็นบ้านเรือนประชาชน พื้นที่การเกษตร โดยจะส่งเจ้าหน้าที่และตัวแทนเข้าไปเจรจากับเจ้าของพื้นที่ทุกแห่ง แนวทาง คือ จะหารือเพื่อสรุปแนวทางการทำงานช่วยดูแลป้องกันร่วมกัน โดยรัฐบาลพร้อมจะเยียวยาหรือจ่ายชดเชยเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนที่ต้องนำพื้นที่มาเป็นจุดรับน้ำ แทนที่จะปล่อยให้ท่วมขังเป็นเวลานานซ้ำรอยเหมือนปี 2554

แผนงานคร่าว ๆ ตอนนี้ กยน.และรัฐบาลเห็นพ้องที่จะกันพื้นที่บางส่วนไว้เป็นจุดรับน้ำ และขอบางส่วนเปิดทางเพื่อระบายน้ำที่จะไหลบ่าลงสู่ทะเลให้เร็วที่สุด หากวันนี้ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกันถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องเตรียมรับสถานการณ์น้ำ เมื่อถึงเวลาก็จะได้แก้ปัญหาได้อย่างราบรื่น

นอกจากนี้ได้สั่งการให้ทุกกระทรวงกำชับหน่วยงานในสังกัดในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ เตรียมอุปกรณ์ เครื่องสูบน้ำให้พร้อม เพื่อนำมาใช้ทันท่วงที พร้อมทั้งขอยืนยันในฐานะนายกรัฐมนตรีจะดูแลน้ำปีนี้ให้ท่วมน้อยกว่าปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม โดยภาพรวมแล้วทุกอย่างคงจะไม่สามารถทำให้ปัญหาเรื่องน้ำท่วมหายไปได้ 100% เพียงแต่จะใช้ทุกวิธีเพื่อทำให้ทุกอย่างออกมาดีที่สุด

นายกฯยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ยินดีและพร้อมสนับสนุนเครือบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ในโอกาสครบรอบ 35 ปี จัดทำโครงการฟื้นฟูขุดลอกคูคลอง โดยทางกระทรวงศึกษาธิการเข้ามาเป็นตัวแทนรัฐบาลช่วยดูแลโครงการนี้ เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมระยะยาว ซึ่งขณะนี้รัฐบาลได้จัดทำแผนกำหนดพื้นที่คูคลอง เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วจะกลับมาขอความร่วมมือจากเอกชนและภาคประชาชนร่วมกันแก้ไขอย่างจริงจังต่อไป

นายชัชวาล ปัญญาวาทีนันท์ รองอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เพื่อป้องกันแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่แต่ละปีก่อให้เกิดความเสียหายทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมาก ในฐานะเป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบดูแลเรื่องการบริหารจัดการน้ำ นอกจากกรมชลประทานจะดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล โดยร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทำมาตรการทั้งในระยะสั้นและระยะยาวรับมือภัยน้ำท่วมซึ่งนับวันสถานการณ์ ยิ่งมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ในส่วนของกรมชลประทานเองได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่กรมชลประทานทำการสำรวจและหาทางแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินในพื้นที่ชลประทานโดยเร่งด่วน

สำหรับพื้นที่เป้าหมายหลักที่จะดำเนินการจะเน้นไปที่พื้นที่ซึ่งเป็นเขตเส้นทางระบายน้ำ หรือ Flood way ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่ภาคเหนือตอนล่างจนถึงภาคกลางซึ่งปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมอย่างรุนแรง ทั้งนี้ จากการสำรวจล่าสุดพบว่ามีผู้บุกรุกเขตเส้นทางระบายน้ำของกรมชลประทานทั่วประเทศมากกว่า 10,000 ราย ขั้นตอนต่อจากนี้ไปจะดำเนินการตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรมเพื่อประโยชน์ของแผ่นดินด้วยการฟ้องร้องตามข้อเท็จจริงต่อไป

นายชัชวาลกล่าวว่า กรมชลประทานดำเนินการเป็นประจำตลอดทุกปี แต่ยอมรับว่า ในบางพื้นที่ติดปัญหาเรื่องมวลชน เนื่องจากผู้บุกรุกส่วนใหญ่เป็นฐานเสียงของพรรค การเมืองและนักการเมืองทั้งระดับ ท้องถิ่นและระดับชาติ ดังนั้นจึงต้องใช้ความพยายามและหาทางป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา แม้กว่ากระบวนการทางกฎหมายจะสิ้นสุดคงต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร นอกจากนี้กรมชลประทาน จะเสนอให้รัฐบาลเร่งหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง โดยอาจต้องทำให้เป็นวาระแห่งชาติ

ขณะเดียวกันตนได้แจ้งหนังสือเวียนเป็นการภายในถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ถือปฏิบัติในเรื่องการฟ้องร้องบุกรุกที่ดินเขตเส้นทางระบายน้ำ ซึ่งกรมชลประทานเคยมีข้อพิพาทกับผู้บุกรุกและชนะคดี มาเป็นแนวทางในการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืนควบคู่กันไปด้วย โดยคดีดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อปี 2538 ที่ผ่านมา และศาลจังหวัดสมุทรปราการ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 และศาลฎีกาตัดสินให้คู่ความ รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาททั้ง 3 ศาล ส่งผลให้ที่ดินที่มีปัญหาซึ่งอยู่ติดกับเขตชลประทานโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาชลหารพิจิตรที่คู่พิพาทครอบครองและปลูกสร้างห้องแถว บ้าน และตลาดสด เป็นของแผ่นดิน โดยคำพิพากษาระบุว่า ที่ดินที่ตกเป็นของทางราชการแล้ว แม้เอกชนจะครอบครองนานเท่าใดก็ไม่ได้ไปซึ่งสิทธิครอบครอง

แหล่งข่าวจากกรมชลประทานเปิดเผยเพิ่มเติมว่า พื้นที่รับน้ำและที่ดินในเขตเส้นทางระบายน้ำซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของกรมชลประทานที่มีผู้บุกรุกกว่า 10,000 รายทั่วประเทศ กระจายอยู่หลายจังหวัดทั่วประเทศ ในจำนวนนี้มีทั้งการบุกรุกเข้าไปก่อสร้างอาคารและ สิ่งปลูกสร้าง ทั้งที่อยู่อาศัย พื้นที่พาณิชย กรรม เกษตรกรรม ส่วนนี้จะเร่งแก้ไขโดยเร็วที่สุด หากบุกรุกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายจะดำเนินการฟ้องร้องขับไล่ ขณะที่พื้นที่ทางน้ำหลากที่ชาวบ้านครอบครองโดยถูกต้องตามกฎหมาย หากมีความจำเป็นต้องใช้เป็นพื้นที่ทางน้ำหลากหรือฟลัดเวย หรือแก้มลิงก็จะมีการจ่ายค่าชดเชยให้ตามความเหมาะสม ซึ่งแนวทางดังกล่าว กยน.ได้หารือเบื้องต้นกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว

สำหรับพื้นที่ซึ่งเป็นเขตเส้นทางระบายน้ำสำคัญที่กรมชลประทานสั่งการให้สำนักงานชลประทานซึ่งกระจาย อยู่ทั่วประเทศดูแลเป็นพิเศษส่วนใหญ่จะอยู่ในจุดที่ประสบปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากรุนแรง แถบภาคเหนือตอนล่างจนถึงภาคกลาง ตั้งแต่ จ.พิจิตร พิษณุโลก นครสวรรค์ ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี นครปฐม สมุทรปราการ สมุทรสาคร รวมทั้งบางทำเลในกรุงเทพมหานคร (กทม.)

โดยเฉพาะพื้นที่โครงการลุ่มต่ำหรือพื้นที่นาลุ่มซึ่งเป็นพื้นที่แก้มลิงตามธรรมชาติ ในเขตลุ่มน้ำปิง วัง ยม น่าน รวมทั้งลุ่มน้ำเจ้าพระยาซึ่งมีประมาณ 13 จุด คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 3,129 ตร.กม. แยกเป็นพื้นที่นาลุ่มในภาคเหนือตอนล่าง 5 จุด อีก 8 จุดเป็นพื้นที่นาลุ่มในภาคกลาง อาทิ พื้นที่นาลุ่มต่ำตะพานหิน-บางมูลนาค-โพธิ์ทะเล จ.พิจิตร ขนาดความจุรับน้ำ 240 ล้าน ลบ.ม., พื้นที่ลุ่มต่ำพิจิตร-โพธิ์ประทับช้าง จ.พิจิตร ความจุรับน้ำ 145 ล้าน ลบ.ม., บางกระทุ่ม จ.พิษณุโลก ความจุรับน้ำ 300 ล้าน ลบ.ม., ชุมแสง-เก้าเลี้ยว จ.นครสวรรค์ ความจุ 238 ล้าน ลบ.ม., บึงบอระเพ็ด จ.นครสวรรค์ 233 ล้าน ลบ.ม.

ทุ่งภูเขาทอง-บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา ความจุ 249 ล้าน ลบ.ม., ทุ่งดอนพุด-มหาราช จ.ลพบุรี ความจุ 157 ล้าน ลบ.ม., ทุ่งผักไห่-ป่าโมก จ.พระนครศรีอยุธยา 125 ล้าน ลบ.ม., ทุ่งผักไห่-บางยี่หน จ.พระนครศรี อยุธยา ความจุ 257 ล้าน ลบ.ม.,ทุ่งไชโย-บ้านแพรก จ.อ่างทอง 259 ล้าน ลบ.ม., อ่างทองตะวันตก จ.อ่างทอง ความจุ 186 ล้าน ลบ.ม. เป็นต้น

พื้นที่ลุ่มต่ำหรือแก้มลิงธรรมชาติอาทิ ทุ่งเชียงราก ในพื้นที่ อ.สรรพยา จ.ชัยนาท อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ อ.อินทร์บุรี และ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี, ทุ่งฝั่งซ้ายคลองชัยนาท-ป่าสัก ในพื้นที่ อ.บ้านหมี่, ทุ่งท่าวุ้ง พื้นที่ อ.เมือง, จ.ลพบุรี, ทุ่งบางกุ่ม พื้นที่ อ.บางปะหัน, ทุ่งบางบาล อ.บางบาล อ.เสนา อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา อ.ดอนพุด จ.สระบุรี

ประชาชาติธุรกิจ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

8168
บอร์ด สปสช.วุ่น “วิทยา” ตั้งคณะอนุ กก.ไม่สำเร็จ ภาคประชาชน-ส่วนราชการ ค้าน หวั่นตั้งกลุ่มผลประโยชน์ล้วงลูกกองทุนหลักประกันสุขภาพฯ พร้อมจับตานายทุนพรรคจับมือผู้แทนสมาคม รพ.เอกชน ปิดห้องจัดโผตั้งอนุ กก.
       
       นพ.อารักษ์ วงศ์วรชาติ ประธานคณะทำงานจัดทำข้อเสนอเพื่อพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ชมรมแพทย์ชนบท อดีตประธานชมรมแพทย์ชนบท เปิดเผยว่า แผนล้มระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 4 ขั้นตอน ของกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ กำลังเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยทางชมรมได้รับข้อมูลจากข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข ที่เป็นห่วงการล้วงลูกของฝ่ายการเมือง และกลุ่มไม่หวังดีต่อระบบบัตรทอง ว่า เมื่อบ่ายวันที่ 11 ม.ค.ที่ผ่านมา มีการปิดห้องปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ประชุมลับระหว่าง นพ.ประดิษฐ์ สินธวณรงค์ นายทุนพรรคเพื่อไทย และ นพ.เอื้อชาติ กาญจนพิทักษ์ ผู้แทนสมาคม รพ.เอกชน เพื่อจัดโผแต่งตั้งอนุกรรมการการเงินการคลัง ซึ่งเป็นคณะอนุกรรมการที่มีความสำคัญที่สุดของบอร์ด สปสช.เพราะเป็นผู้เสนองบประมาณเหมาจ่ายรายหัว และการจัดสรรงบ สปสช.ให้แต่ละพื้นที่ และในวันนี้ยังมีการจัดรายชื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ เข้าสู่คณะอนุกรรมการ สปสช.อีก 12 ชุด เพื่อยึดครองกำหนดนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าแบบเบ็ดเสร็จตามแผนขั้นที่หนึ่งนำไปสู่การล้ม พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ร่วมกับ นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ และภาคประชาชนได้เริ่มต้นไว้
       
       “เคลื่อนไหวล้มระบบบัตรทองโดยนักการเมืองของพรรคเพื่อไทย ที่บริหารกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับกลุ่มแพทย์พาณิชย์ และบริษัทยาข้ามชาติ เพื่อหวังล้มระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ทำกันมาเกือบสิบปี จะได้รับการคัดค้านจากกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ และเครือข่ายผู้ป่วยต่างๆ ทั่วประเทศ รวมทั้งชมรมแพทย์ชนบท และเครือข่ายอย่างเต็มที่ โดยชมรมจะประชุมกรรมการทั้งเก่าและใหม่ทั่วประเทศ ในวันที่ 20 ม.ค.นี้ และจะมีการเคลื่อนไหวคัดค้านความพยายามที่จะล้มระบบหลักประกันสุขภาพอย่างเต็มที่ อยากให้ท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ามาดูเรื่องนี้ เพื่อไม่ให้มีผู้ป่วยโรคไต หัวใจ มะเร็ง คนพิการ และผู้สูงอายุ ที่เป็นโรคต้อกระจกทั่วประเทศต้องลำบากไปที่ทำเนียบรัฐบาล” นพ.อารักษ์ กล่าว
       
       อดีตประธานชมรมแพทย์ชนบท กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สมัย นายวิทยา บูรณศิริ รมว.สธ.เป็นประธาน มีการประชุมเพียงแค่สองครั้ง และแต่ละครั้งมีปัญหาการยื่นหนังสือคัดค้านจากกลุ่มต่างๆ รวมทั้งปัญหาเรื่องการฟ้องศาลปกครองเกี่ยวกับการคัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิว่าผิดกฎหมาย และเหมือนเดิมไม่สามารถผลักดันให้มีการตั้งคณะอนุกรรมการชุดต่างๆ ตามที่ต้องการได้ เพราะมีเสียงคัดค้านจากกรรมการภาคประชาชน และส่วนราชการบางกระทรวง ทำให้งานของ สปสช.หยุดชะงัก ต่างจากอดีตที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน มีความวิตกของนักวิชาการว่าระบบหลักประกันสุขภาพของไทยจะล่มสลายเพราะจะมีการกดดันให้เสนอเพิ่มงบเหมาจ่ายให้ใกล้เคียงกับระบบประกันสังคมที่พรรคเพื่อไทยกำกับอยู่และเพิ่มขึ้นสูงกว่าสวัสดิการข้าราชการ ซึ่งจะทำให้งบประมาณเฉพาะผู้ป่วยในของระบบบัตรทองต้องเพิ่มขึ้นจากขณะนี้ 34,000 ล้านบาท เป็น 82,500 ล้านบาทเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว กระทบต่อระบบการเงินของประเทศครั้งใหญ่ จนต้องล้มระบบบัตรทอง กลับไปเป็นระบบสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อย ผู้ป่วยอนาถา ในที่สุด
       
       ด้าน นพ.เอื้อชาติ กล่าวว่า เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนในเรื่องดังกล่าว เพราะความเป็นจริงไม่ได้เป็นอย่างอดีตประธานชมรมกล่าวอ้าง เนื่องจากตนไปประชุมที่แพททยสภา เกี่ยวกับแพทย์ประจำบ้าน ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกันกับการตั้งคณะกรรมการการเงินการคลังแต่อย่างใด และหลังจากประชุมบอร์ด สปสช.ตนก็ไม่ได้เจอกับ นพ.ประดิษฐ์ เลย จึงไม่เข้าใจข่าวที่ออกมาลักษณะนี้

ASTVผู้จัดการออนไลน์    12 มกราคม 2555

8169
 อย.ประสานกรมวิทยาศาสตร์ฯ สุ่มตรวจวิเคราะห์คุณภาพอาหาร พบวัตถุกันเสียในผลิตภัณณ์ลูกชิ้น เกินมาตฐาน อย.กำหนด ผู้ผลิตเจอโทษหนัก พร้อมสั่งระงับผลิตภัณฑ์
       
       วันนี้ (12 ม.ค.) ภญ.ศรีนวล กรกชกร รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า จากการที่ อย. ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบแหล่งผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพ พบว่า มีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ (ลูกชิ้นหมู) บรรจุถุงเปลือย ไม่แสดงฉลาก ในท้องตลาด จึงขยายผลติดตามไปยังแหล่งผลิต ซึ่งพบว่าผู้ผลิต คือ ร้านลูกชิ้นหมูสยาม ตั้งอยู่เลขที่ 42/14 หมู่ที่ 5 ซอยเวฬุวนาราม 36 ถ.เวฬุวนาราม แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กทม.และได้เข้าตรวจสอบสถานที่ดังกล่าว พบว่ามีลักษณะเข้าข่ายเป็นโรงงาน ได้รับใบอนุญาตผลิตอาหารที่ 10-0-15849 โดยขณะตรวจสอบพบการผลิตลูกชิ้นหมู ตราหมูสยาม และพบผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปพร้อมจำหน่ายจำนวน 3 รายการ ได้แก่ ลูกชิ้นหมู ตราหมูสยาม อย.10-1-15849-1-0001 ลูกชิ้นเอ็นหมู ตราหมูสยาม อย.10-1-15849-1-0002 และลูกชิ้นเนื้อวัว อย. 10-1-15849-1-0003 ซึ่งทั้ง 3 รายการ ฉลากระบุ “ผลิตโดย ลูกชิ้นหมูสยาม จำหน่ายโดย บ. หมูสยามฟู้ด จำกัด 42/14 แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กทม.ส่วนประกอบสำคัญ... ปราศจากสารบอแรกซ์และวัตถุกันเสีย” จึงได้ทำการเก็บตัวอย่างส่งตรวจวิเคราะห์ ณ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยผลการตรวจพบว่ามีวัตถุกันเสีย (กรดเบนโซอิก) ในผลิตภัณฑ์ทั้ง 3 รายการ พบลูกชิ้นหมู ตราหมูสยาม มีวัตถุกันเสีย เท่ากับ 3,745 ลูกชิ้นเอ็นหมู ตราหมูสยาม มี วัตถุกันเสียเท่ากับ 4,731 และละลูกชิ้นเนื้อวัว ตราหมูสยาม มีวัตถุกันเสียเท่ากับ 4,770 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
       
       "ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ฉบับที่ 281 พ.ศ.2548 เรื่องวัตถุเจือปนอาหาร และมาตรฐาน Codex มิได้กำหนดให้ใช้กรดเบนโซอิกในผลิตภัณฑ์ดังกล่าว และการใช้วัตถุเจือปนอาหารที่นอกเหนือจากที่ประกาศกำหนดจะต้องได้รับ ความเห็นชอบจาก อย.ซึ่งจากการตรวจสอบไม่พบการอนุญาตแต่อย่างใด ในกรณีนี้ผู้ผลิตมีความผิดต้องระวางโทษปรับ ไม่เกินสองหมื่นบาท และ อย.ได้กำหนดค่าความปลอดภัยกรดเบนโซอิกของผลิตภัณฑ์ลูกชิ้นตั้งแต่ 4,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม เข้าข่ายจัดเป็นอาหารไม่บริสุทธิ์ ดังนั้น การตรวจพบวัตถุกันเสียในลูกชิ้นเอ็นหมู ตราหมูสยาม เท่ากับ 4,731 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และลูกชิ้นเนื้อวัว เท่ากับ 4,770 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม จึงเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายอาหารไม่บริสุทธิ์ ผู้ผลิตต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” ภญ.ศรีนวล กล่าว
       
       รองเลขาธิการ อย.กล่าวต่อว่า กรณีที่ผู้ผลิตแสดงฉลากระบุข้อความ “ปราศจากวัตถุกันเสีย” ซึ่งขัดกับผลการตรวจวิเคราะห์ที่พบว่ามีวัตถุกันเสียในผลิตภัณฑ์ ถือเป็นการแสดงข้อความที่ทำให้ผู้บริโภคเกิดความหลงเชื่อโดยไม่สมควร และทำให้เข้าใจผิดในสาระสำคัญ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสามหมื่นบาท และยังเข้าข่ายเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายอาหารที่มีฉลากเพื่อลวงหรือพยายามลวงผู้ซื้อให้เข้าใจผิดในเรื่องคุณภาพ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี และปรับตั้งแต่ห้าพันบาทถึงหนึ่งแสนบาท ทั้งนี้ อย.ได้สั่งระงับการผลิต และเรียกคืนผลิตภัณฑ์ทั้ง 3 รายการจากท้องตลาดทันที เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับความปลอดภัย

ASTVผู้จัดการออนไลน์    12 มกราคม 2555

8170
ยู​เอ็น ม.มหิดล ​และองค์กร​เครือข่ายสุขภาพฯ ร่วมผลักดัน​ให้​ผู้หญิง​ไทย​ได้มี​โอกาส​ใช้ถุงยางอนามัยสำหรับสตรี ชี้มีผลดี ​เพิ่มอำนาจต่อรอง​ให้กับ​เพศหญิง​ใส่ถุงยางอนามัย​เอง ป้องกัน​ความ​ไม่พร้อม​การตั้งครรภ์ ​โรคติดต่อ ​แต่​ไม่ลด​ความรู้สึก​การมี​เพศสัมพันธ์

​เมื่อ​เวลา 09.00 น. วันที่ 11 มกราคม 2555 กองทุนสหประชาชาติ ร่วมกับสำนักงานศึกษาน​โยบายสาธารณสุข สวัสดิ​การ​และสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ​เครือข่ายสุขภาพ​และ​โอกาส มูลนิธิสร้าง​ความ​เข้า​ใจ​เรื่องสุขภาพ​ผู้หญิง (สคส.) ​และ​แผนงานสร้าง​เสริมสุขภาวะทาง​เพศภาย​ใต้​การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุน​การสร้าง​เสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกันจัดงานระดมสมอง​เรื่องทิศทางของน​โยบาย​การ​ให้บริ​การด้านถุงยางอนามัย​ผู้หญิง​ในประ​เทศ​ไทย ​เพื่อนำ​เสนอผล​การดำ​เนินงานส่ง​เสริม​การ​ใช้ถุงยางอนามัย​ใน​ผู้หญิง ​และผล​การวิจัย​ใน​เรื่องดังกล่าว

​โดยนางสาวทฤษฎี สว่างยิ่ง ​ผู้จัด​การ​เครือข่ายสุขภาพ​และ​โอกาส กล่าวว่า ​การรณรงค์​การ​ใช้ถุงยางอนามัยสำหรับ​ผู้หญิงมีมากว่า 10 ปี ​โดยกรมควบคุม​โรค​เป็น​ผู้ดำ​เนิน​การ จนสามารถต่อสู้​ให้สำนักงานคณะกรรม​การอาหาร​และยา (อย.) จัดผลิตภัณฑ์ดังกล่าว​ไว้​ในกลุ่ม​เครื่องมือ​แพทย์​แทนกลุ่ม​เครื่องสำอาง ​จึง​ทำ​ให้ราคาถูกลง ​แต่​ก็ปัจจุบัน​ก็ยังคงมีราคา​แพงอยู่ ​และยัง​ไม่มีขายทั่ว​ไปภาย​ในประ​เทศ อีก​ทั้ง​การลด​การส่ง​เสริม​เรื่องดังกล่าว​ในระยะหลัง​จึง​ทำ​ให้​การ​ใช้ถุงยางอนามัยสำหรับ​ผู้หญิง​ไม่​เป็นที่รู้จักของคนทั่ว​ไป

ดังนั้น​เครือข่ายสุขภาพ​และ​โอกาส​จึงดำ​เนิน​การส่ง​เสริม​การ​ใช้ถุงยางอนามัยสำหรับ​ผู้หญิงอีกครั้ง ​แต่​การรณรงค์​ในช่วง​แรกจะติดปัญหา​เรื่อง​การ​เข้า​ถึง วิธี​การ​ใช้ผลิตภัณฑ์ ​และทัศนคติ​ใน​เรื่อง​เพศของสังคม ​เพราะ​การ​ใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะต้องสอด​ใส่​เข้า​ไป​ในช่องคลอด​ผู้หญิง ​ซึ่ง​เป็น​เรื่องที่​ผู้หญิง​ไม่คุ้นชิน ​จึง​ได้ร่วมกับ​แผนงานสร้าง​เสริมสุขภาวะทาง​เพศจัด​ทำหลักสูตรอบรม​เรื่องสุขภาวะทาง​เพศควบคู่​ไปกับ​การ​ใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอย่าง​เป็นระบบมากขึ้น​ในกลุ่มที่ต้องอยู่ร่วมกับ​ผู้ติด​เชื้อ​เอช​ไอวี กลุ่ม​ผู้หญิงขายบริ​การ กลุ่มชายรักชาย ​และสาวประ​เภทสอง

จาก​การอบรมพบว่า จุด​แข็งของถุงยางอนามัยสำหรับ​ผู้หญิงจะช่วย​เพิ่มอำนาจ​ใน​การต่อรอง ​เพราะ​ผู้หญิง​เป็นคน​ใส่​เอง ​ซึ่ง​ไม่​ได้ลด​ความสุข​ใน​การร่วม​เพศ​แต่อย่าง​ใด ที่สำคัญคือช่วยป้องกัน​โรคติดต่อทาง​เพศสัมพันธ์ ​ไม่ว่าจะ​เป็น​โรค​เอดส์ ​เริม ​หรือหูด​ได้อีกด้วย ขณะที่ห่วงของถุงยางด้านนอกยังป้องกัน​การติด​เชื้อ​เอชพีวี​ซึ่ง​เป็นสา​เหตุของ​การ​เกิด​โรคมะ​เร็งปากมดลูก​ใน​ผู้หญิง​ได้อีกด้วย

ด้าน ดร.กนกวรรณ ธราวรรณ สำนักงานศึกษาน​โยบายสาธารณสุข สวัสดิ​การ​และสังคม ​ในฐานะ​ผู้วิจัย​โครง​การทาง​เลือก​เชิงน​โยบายด้านถุงยางอนามัยสำหรับ​ผู้หญิง กล่าวว่า ​การ​ทำวิจัย​เรื่องดังกล่าว​เพื่อดูว่ามี​ผู้​ใช้ถุงยางอนามัยสำหรับ​ผู้หญิงมากน้อย​เพียง​ใด หากมี​ความต้อง​การ​ใช้มากจะจัดหามาบริ​การ​โดย​การ​แจก ​หรือขาย ​โดย​ได้​ทำวิจัยกลุ่ม​เป้าหมายที่ผ่าน​การอบรมของ​เครือข่ายสุขภาพ​และ​โอกาส 6 กลุ่ม คือ

1.คู่สามี-ภรรยา
2.​ผู้อยู่ร่วมกับ​ผู้ติด​เชื้อ​เอช​ไอวี
3.สาวประ​เภทสอง
4.ชายรักชาย
5.​ผู้ขายบริ​การทาง​เพศ ​และ
6.​ผู้​ให้บริ​การด้านสุขภาพ
จำนวน 309 คน

​ทั้งนี้ ผล​การวิจัยพบว่ากลุ่ม​เป้าหมายทุกกลุ่มมี​ความ​เห็นตรงกันว่าควรจะมีถุงยางอนามัยสำหรับ​ผู้หญิงจำหน่าย​ในประ​เทศ​ไทย ​ในราคา​เฉลี่ยชิ้นละ 18 บาท ​และต้องจัดวาง​ในสถานที่ที่สะดวกสำหรับทุกคน ​เช่น ​ใน​โรงพยาบาล ผับ บาร์ ร้านคารา​โอ​เกะ ​และสถานบัน​เทิงทั่ว​ไป รวม​ถึง​ให้​ความรู้ผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ทั่ว​ไป

"ขอ​ให้รัฐ​เริ่มคิด​เรื่องนี้​ได้​แล้ว อย่างน้อย​ก็​เริ่ม​ในกลุ่ม​ผู้มี​ความจำ​เป็นต้อง​ใช้​ก็​ได้ ​แต่​ไม่​ได้หมาย​ความว่า​เราจะทิ้งประชาชนกลุ่มอื่นๆ ​โดย​แนวปฏิบัติที่​เป็น​ไป​ได้คือ​การมีทัศนคติที่ดีต่อ​การ​ใช้ถุงยางประ​เภทนี้ ​และรณรงค์​ให้​เห็นว่า​เป็น​การป้องกัน​โรคติดต่อทาง​เพศสัมพันธ์​และ​การท้อง​ไม่พร้อม​ได้ด้วย" ดร.กนกวรรณกล่าว ​และว่า นอกจากนี้ 3 กองทุนสุขภาพ ​ทั้งสำนักงานหลักประกันสุขภาพ​แห่งชาติ สำนักงานประกันสังคม ​และกรมบัญชีกลาง ควรกลับ​ไปศึกษา​เปรียบ​เทียบระหว่างค่า​ใช้จ่าย​ใน​การรักษา​ผู้ป่วยด้วย​โรคติดต่อทาง​เพศสัมพันธ์ทุกชนิดกับ​การป้องกัน อย่าง​ไหนคุ้มค่ากว่ากัน

พร้อมกันนี้ นพ.ทวีทรัพย์ ศิรประภาศิริ กองทุนประชากร​แห่งสหประชาชาติ กล่าวว่า ถุงยางอนามัยสำหรับ​ผู้หญิง​เกิดขึ้น​เมื่อปี 2553 ครอบคลุม 130 ประ​เทศทั่ว​โลก ​โดย​ในจำนวนนี้กว่า 100 ประ​เทศสามารถผลิตผลิตภัณฑ์ดังกล่าว​ใช้ด้วยตัว​เอง ที่​เหลือนำ​เข้ามาจำหน่ายผ่านหน่วยงาน​หรือองค์กรต่างๆ ส่วนประ​เทศ​ไทยยังต้องสั่งนำ​เข้าจากต่างประ​เทศ ​จึง​ทำ​ให้มีราคา​แพง ​แต่​ในอนาคตอาจจะนำ​เข้าจากประ​เทศมา​เล​เซีย​ซึ่งจะมีราคาถูกลงบ้าง

​ทั้งนี้ ​เมื่อปี 2551 ที่ผ่านมา พบว่าทั่ว​โลก​ใช้ถุงยางอนามัยสำหรับ​ผู้หญิง​เพิ่มขึ้นกว่า 33 ล้านชิ้น ​หรือคิด​เป็นร้อยละ 1 ​ซึ่งถือว่าน้อยมาก​เมื่อ​เทียบกับ​ความนิยม​ใช้ถุงยางอนามัยสำหรับ​ผู้ชาย นั่น​เป็น​เพราะ​ผู้​ใช้รู้สึกว่า​ไม่คุ้น​เคย ​แต่ตน​เห็นว่าถุงยางอนามัยสำหรับ​ผู้หญิง​ก็​เหมือนกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ลอง​ใช้ครั้ง​แรก​แล้วอาจจะ​ไม่ชอบ ต้องทดลอง​ใช้อย่างน้อย 3 ครั้ง หากยัง​ไม่ชอบอีก​จึงถือว่าอาจจะ​ไม่​ใช่รสนิยมของตัว​เอง

"ที่สำคัญคือ​เราต้องส่ง​เสริม​การ​ใช้ถุงยางอนามัยสำหรับ​ผู้หญิง​ให้​เป็นอีกทาง​เลือกหนึ่ง​ใน​การป้องกัน​โรคติดต่อทาง​เพศสัมพันธ์ ​แต่สิ่งสำคัญที่​เราต้องหาคำตอบคือ ประ​เทศ​ไทยจำ​เป็น​หรือ​ไม่ที่ต้องมี​เรื่องอย่างนี้" นพ.ทวีทรัพย์กล่าว.

ไทย​โพสต์  12 มกราคม 2555

8171
คนจำนวน​ไม่น้อยที่มี​ความ​เชื่อว่า "จิบ​เหล้า ช่วย​แก้หนาว" ทว่า ​การศึกษาวิจัยทาง​การ​แพทย์ที่ผ่านมา รวม​ถึงองค์​การอนามัย​โลก (WHO) ต่างออกมายืนยันว่า ​การดื่ม​เหล้า​หรือ​เครื่องดื่ม​แอลกอฮอล์​เพื่อบรร​เทา​ความหนาว​เย็น ​เป็น​ความ​เชื่อที่อันตรายต่อสุขภาพ ​และอาจส่งผลร้าย​ถึงขั้น​เสียชีวิต​ได้

จาก​การศึกษาวิจัยทาง​การ​แพทย์ ระบุว่า ​การดื่ม​แอลกอฮอล์ 1 ​แก้ว ​ทำ​ให้ร่างกายรู้สึก​ถึง​ความอบอุ่น​ได้​ในชั่วขณะสั้นๆ ​เนื่องจากฤทธิ์​แอลกอฮอล์​ทำ​ให้ร่างกายสูบฉีด​เลือด​ไปที่บริ​เวณผิวหนัง ​เพื่อกระตุ้น​การขับ​เหงื่อออกมากขึ้น ​ซึ่ง​ทำ​ให้อุณหภูมิภาย​ในร่างกายลดต่ำลงอีก

นอกจากนี้ ฤทธิ์ของ​แอลกอฮอล์ที่กดประสาทส่วนกลาง ​ทำ​ให้มีอา​การง่วง งง ซึม ​และหมดสติ ​และหากดื่มสุรา​ในช่วงอากาศ​เย็นยิ่ง​เพิ่ม​ความ​เสี่ยงมากขึ้น ​เนื่องจาก​ความหนาว​เย็น​ทำ​ให้​การ​ไหล​เวียนของ​เลือดยากลำบากมากขึ้น ​ทำ​ให้อวัยวะขาดออกซิ​เจน ส่งผล​ให้หัว​ใจต้องสูบฉีด​โลหิต​ไป​เลี้ยงทั่วร่างกาย​และ​ทำงานหนักขึ้น ​ซึ่ง​เป็นสา​เหตุที่​ทำ​ให้​เกิดอา​การช็อก​และ​เสียชีวิต​ในที่สุด

ดังนั้น ​การดื่มสุรา​ในช่วงฤดูหนาวจะ​เป็นภาวะ​เสี่ยงต่อ​การ​เสียชีวิตที่หลายคนอาจ​ไม่​เคยทราบมาก่อน จากรายงาน​การ​เฝ้าระวัง​การ​เสียชีวิต​เนื่องจากภาวะอากาศหนาว​ในประ​เทศ​ไทย ​เดือนตุลาคม-​เดือนกุมภาพันธ์ 2554 พบว่า กลุ่ม​ผู้​เสียชีวิตจาก​การดื่มสุรามีสัดส่วนมาก​ถึงร้อยละ 60 ​โดยจำ​แนก​เป็นกลุ่มที่ดื่มสุรา​เป็นประจำ ​แต่​ไม่มี​โรคประจำตัว ร้อยละ 33.3 ​และกลุ่มที่มี​โรคประจำตัว​และดื่มสุรา ร้อยละ 26.7

นอกจากนี้ ​การดื่ม​เครื่องดื่มชูกำลัง​และยาชุด ยัง​เป็นอีก​เหตุปัจจัยที่นำ​ไปสู่​การ​เสียชีวิต​ใน

นอกจากนี้ ​การดื่ม​เครื่องดื่มชูกำลัง​และยาชุด ยัง​เป็นอีก​เหตุปัจจัยที่นำ​ไปสู่​การ​เสียชีวิต​ในช่วงหน้าหนาว ​โดยมี​ผู้​เสียชีวิตจากกรณีดังกล่าวประมาณร้อยละ 10

จากรายงาน​การ​เฝ้าระวัง​การ​เสียชีวิต​เนื่องจากภาวะอากาศหนาว​ในประ​เทศ​ไทย ​เดือนตุลาคม-​เดือนกุมภาพันธ์ 2554 พบว่า กลุ่ม​ผู้​เสียชีวิตจากกรณีดังกล่าวที่มีประวัติ​การดื่มสุรา ส่วน​ใหญ่มัก​เสียชีวิตที่สวนสาธารณะ​หรือสถานที่สาธารณะ ประมาณร้อยละ 44

นอกจากนี้ยังพบอีกว่า บางส่วน​เสียชีวิต​ในกระท่อม ประมาณร้อยละ 11 รถ​โดยสาร ร้อยละ 6 ​และบริ​เวณห้อง​เ​ก็บของ​ในวัดอีกร้อยละ 6 ในขณะที่​ผู้​เสียชีวิตภาย​ในบ้านกลับมีสัดส่วนน้อยกว่า ประมาณร้อยละ 33

​ในสภาวะอากาศปกติ "​การดื่มสุรา" ​เป็น​เหตุปัจจัยที่นำ​ไปสู่​การ​เสียชีวิตอันดับ​แรกๆ ของ​ในสภาวะอากาศปกติ "​การดื่มสุรา" ​เป็น​เหตุปัจจัยที่นำ​ไปสู่​การ​เสียชีวิตอันดับ​แรกๆ ของคน​ไทย ​การดื่ม​เครื่องดื่ม​แอลกอฮอล์​ในสภาพอากาศที่หนาว​เย็น ยิ่ง​เพิ่ม​ความ​เสี่ยงต่อ​การ​เสียชีวิตมากขึ้น ดังนั้น​การลด​และ​เลิกดื่มสุรา​เป็นปัจจัยที่ช่วยลด​ความ​เสี่ยงต่อ​การ​เสียชีวิต​ได้อย่างมาก ​ทั้ง​ในภาวะปกติ​และสภาพอากาศหนาว​เย็น รายงานข่าวสรุป​ในตอนท้าย.

​ไทย​โพสต์ 11 มกราคม 2555

8172
สธ.จับอีก 2 คลินิกรักษาโรคเถื่อน ปทุมธานี ตำรวจ เร่งขยายผลคดี หลังพบไม่มีแพทย์ประจำคลินิก
       
       วันนี้ (11 ม.ค.) นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และเจ้าหน้าที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) พร้อมด้วย พ.ต.อ.เพิ่มเกียรติ สุริยวงศ์ ผกก.สภ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เข้าล่อซื้อบริการคลินิกการแพทย์รังสิต คลอง 3 อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี พบคลินิกดังกล่าวไม่มีแพทย์ประจำการ โดยมีเพียงพยาบาลทำหน้าที่ตรวจและสั่งจ่ายยา จึงดำเนินการจับกุมพร้อมของกลางเป็นยาแก้ปวด ยาฆ่าเชื้อที่สั่งจ่ายโดยพยาบาล ใบรับรองแพทย์ที่ระบุชื่อแพทย์ลงนามเป็น นพ.จักราวุธ แสนสืบ และใบเบิกค่ารักษาพยาบาลของบริษัท การบินไทย ที่มีลายเซ็นแพทย์เซ็นไว้ล่วงหน้า เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัว น.ส.ธนิสร แสนสิงห์ อายุ 53 ปี พยาบาลที่สั่งจ่ายยาให้กับผู้ป่วยไปสอบปากคำ
       
       โดย นายพสิษฐ์ กล่าวว่า จากหลักฐานเบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งข้อหาต่อสถานพยาบาลดังกล่าว 4 ข้อหาหลัก ได้แก่
1.มาตรา 16 พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 ฐานความผิด ดำเนินการสถานพยาบาล โดยไม่ได้รับอนุญาต โทษ จำคุกไม่เกิน 3 ปีหรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

2.แพทย์ที่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการคลินิก จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 ฐานเป็นผู้ดำเนินการไม่ควบคุมและดูแลปล่อยให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่เป็นผู้ประกอบวิชาชีพทำการประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล โทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

3.ผู้ทำการรักษาแทนแพทย์ มีความผิดตาม พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 ฐานประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยไม่ได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาต โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 4.มีความผิดตาม พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 ฐานขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท และ 5.ปลอมแปลงใบรับรองแพทย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 269 โทษ จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
       
       วันเดียวกัน จ้าหน้าที่อีกทีมเข้าล่อรักษาและจับกุมคลินิก เอ็น เจ การแพทย์คลินิกเวชกรรม ภายในหมู่บ้านพฤกษา B อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี พบ นางพรรนี หนูแก้ว อายุ 43 ปี พยาบาลทำการรักษาผู้ป่วยแทนแพทย์ จึงควบคุมตัวไปสอบปากคำพร้อมของกลางเป็นใบรับรองแพทย์ที่ระบุชื่อ พญ.สาลี่ พลอยแสงสาย ซึ่งเจ้าหน้าที่เห็นว่า นางพรรนี เป็นคนลงชื่อแทนแพทย์คนดังกล่าว
       
       คลินิกแห่งนี้เข้าข่ายความผิด 3 ข้อหา ได้แก่ 1.มาตรา 16 พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 ฐานความผิด ดำเนินการสถานพยาบาล โดยไม่ได้รับอนุญาต โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 0,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 2.มีความผิดตาม พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 ฐานประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยไม่ได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาต โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 30,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และ 3.ปลอมแปลงใบรับรองแพทย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 269 โทษ จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ASTVผู้จัดการออนไลน์    11 มกราคม 2555

8173
สธ.หนุนบริการแพทย์แผนไทย-แพทย์ทางเลือก ใน รพ.ทุกแห่ง พร้อมตั้งเป้าเป็นผู้นำด้านการแพทย์ดั้งเดิมในอาเซียน
       
       วันนี้ (11 ม.ค.) ที่ จ.นครนายก นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมด้วยนพ.สมชัย นิจพานิช รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เปิดประชุม “การนำนโยบายด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกสู่การปฏิบัติ” พร้อมบรรยายพิเศษ เรื่อง “นโยบายการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” โดยมี นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ และผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมกว่า 300 คน
       
       นายวิทยา กล่าวว่า ใน ปี 2555 สธ.ได้มีโครงการพัฒนา 4 โครงการ คือ
1.การพัฒนาศูนย์ยาไทยและสมุนไพรไทย 
2.การขึ้นทะเบียนหมอพื้นบ้าน ซึ่งปัจจุบันมีขึ้นทะเบียนประมาณ 5 หมื่นคนแล้ว และโดยรวบรวมองค์ความรู้  ตำรับ ยา ภูมิปัญญาหมอพื้นบ้าน ผลิตเป็นตำรา
3.การพัฒนาโรงพยาบาลแพทย์แผนไทยต้นแบบ ปัจจุบันมี 9 แห่ง ดังนี้
รพ.พระปกเกล้า จ.จันทบุรี
รพ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี
รพ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ
รพ.สมเด็จพระยุพราชเด่นชัย จ.แพร่ 
รพ.เทิง จ.เชียงราย
รพ.ท่าโรงช้าง จ.สุราษฎร์ธานี 
รพ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว 
รพ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว
รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี
และจะเพิ่มในปีนี้อีก 3 แห่งด้วยกัน คือ คณะการแพทย์แผนไทย ม.สงขลานครินทร์ ม.เทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสกลนคร วิทยาลัยการแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์ทางเลือก ม.ราชภัฏเชียงราย  และ การพัฒนาแพทย์แผนไทยดั้งเดิมในกรอบอาเซียน
       
       นายวิทยา กล่าวต่อว่า ขณะนี้มีแพทย์แผนไทยและบริการการแพทย์แผนไทย/การแพทย์ทางเลือกในโรงพยาบาล ทุกระดับ ตั้งแต่ตำบลถึงจังหวัด มียาจากสมุนไพรในบัญชียาแห่งชาติเกือบ 100 รายการ การนวด การอบสมุนไพร การประคบ การทับหมอเกลือ ที่สำคัญ การบริการดังกล่าวอยู่ในสิทธิประโยชน์ของระบบหลักประกันสุขภาพแล้ว ซึ่งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สนับสนุนงบในปี 2555 นี้ ประมาณ 365 ล้านบาท
       
       ทั้งนี้ ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community-AEC) ในปี 2558 ส่งผลให้การเดินทางเพื่อเจรจาการค้าระหว่างกันเพิ่มมากขึ้น ที่ผ่านมา ตลาดสินค้าสมุนไพร ยาแผนดั้งเดิม อาหาร และผลิตภัณฑ์สุขภาพ ภาพรวมในประเทศ ในปี 2554 มีมูลค่าถึง 2,000 ล้านบาท และคาดว่า ในปี 2558 มูลค่าอุตสาหกรรมที่ใช้สมุนไพรจะสูงถึง 30,000 ล้านบาท ซึ่งประเทศสมาชิก ต้องดำเนินการตามยุทธศาสตร์อาเซียนที่กำหนดไว้  รวมทั้งไทยที่ตั้งเป้าหมายจะเป็นผู้นำด้านการแพทย์ดั้งเดิมในภูมิภาคอาเซียน  โดยในปี 2555 ได้วางแผนการดำเนินการ 3 ด้าน คือ 1.ด้านงบประมาณ ได้แก่ การบริหารจัดการนายทะเบียนจังหวัด การขึ้นทะเบียนหมอพื้นบ้าน การสร้างเครือข่าย  2.ด้านวิชาการ ได้แก่ การวิจัยเพื่อสนับสนุนการใช้ยาสมุนไพรไทย การพัฒนาแนวทางการเบิกค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยในสำหรับโรงพยาบาลแพทย์แผนไทย จัดทำราคากลางอ้างอิงยาแผนไทยในสถานบริการสาธารณสุข 3.การพัฒนาหน่วยผลิตยาสมุนไพรมาตรฐานจีเอ็มพี (GMP)และพัฒนาโรงพยาบาลแพทย์แผนไทยต้นแบบ 
       
ASTVผู้จัดการออนไลน์    11 มกราคม 2555

8174
การมีรูปร่างหน้าตาดีนั้นถือ​ได้ว่ามีชัย​ไปกว่าครึ่ง ​ไม่​เว้น​แม้กระทั่งอาชีพคุณหมอ​หรือ​แพทย์ ที่​เกี่ยวข้องกับ​เรื่องของ​ความสวย​ความงาม อย่าง​เช่น ​แพทย์ผิวหนัง ​แพทย์ศัลยกรรมตก​แต่ง ที่ต้องอาศัยรูปร่างหน้าตา ​เพื่อ​ใช้​เป็น​แม่​เหล็กดึงดูดลูกค้า ​หรืออีกนัยหนึ่งคือ​เพื่อสร้าง​ความน่า​ไว้วาง​ใจ ​และ​ความน่า​เชื่อถือ​ให้กับลูกค้าที่มา​ใช้บริ​การนั่น​เอง ​และนอกจาก​เรื่องของ​ความสวย​ความหล่อ​แล้ว ​การ​ทำตน​เอง​ให้ดูดี​เพื่อภาพพจน์ขององค์กร​ก็

​เป็นสิ่งที่สำคัญ​ไม่​แพ้กัน ​เพราะคุณหมอ​เหล่านี้ถือ​ได้ว่า​เป็นหน้าตา​ให้กับองค์กร​ก็ว่า​ได้

อย่าง​ไร​ก็ตาม ​เหล่าบรรดา​แพทย์รุ่น​ใหม่จากหลากหลายสถานประกอบวิชาชีพ ​ได้​เผย​ให้ทราบ​ถึงมุมมองของตน​เอง ที่มีต่อกระ​แส

สวยหล่อมาก่อน ​ความสามารถ​เป็น​เรื่องรองที่ต้องพิสูจน์ ​โดย นาย​แพทย์​เริงศักดิ์ ​แสนสุข​แพทย์​เวชปฏิบัติทั่ว​ไป จากอินทัช​เมดิ​แคร์ คลินิก​เวชกรรมรักษา​โรคทั่ว​ไป กล่าวว่า ​โดยทั่ว​ไป​แล้ว​ไม่มี​ความจำ​เป็นที่​แพทย์จะต้องสวย​หรือดูดี​เพื่อ​เรียกคน​ไข้ ​แต่​ทั้งนี้​ก็ขึ้นอยู่กับ​การ​ทำงานว่า​เป็น​แพทย์ด้าน​ไหน ​เพราะถ้า​ทำงาน​เกี่ยวข้องกับ​ความสวย​ความงามนั้น หน้าตา​หรือบุคลิกดี​ก็​เป็นส่วนสำคัญที่สร้าง​แรงจูง​ใจ​ให้กับคน​ไข้ ​เพราะคน​ไข้ที่มารักษา​เกี่ยวกับ​ความสวย​ความงามนั้น ​ก็อยากสวย ดูดี​เหมือน​แพทย์ที่รักษาตนนั่น​เอง

คุณหมอกล่าวต่อว่า ​โดยส่วนตัวนั้น​การที่จะ​ทำ​ให้คน​ไข้​ไว้วาง​ใจ​และ​เชื่อถือ ​ไม่​ได้อยู่ที่หน้าตา​เพียงอย่าง​เดียว ​เพราะ​การที่มีบุคลิกหน้าตาดีนั้น ​เป็น​เพียงกำ​ไร​หรือต้นทุนที่​ทำ​ให้ชีวิตดีขึ้นมากกว่า ​แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่​การปฏิบัติตนด้วย​ความสุภาพอ่อนน้อม ​และ​การสื่อสารที่ดีกับคน​ไข้ ​เพราะหาก​แพทย์ที่​เรียน​เก่ง​และ​ได้รับ​เกียรตินิยมนั้น ​แต่​ไม่สามารถสื่อสารข้อมูลกับคน​ไข้​ได้ ​ก็​ไม่ก่อ​ให้​เกิดประ​โยชน์​แต่อย่าง​ใด ส่วน​การคง​ความสวยหล่อ​เพื่อสร้างภาพพจน์​ให้กับองค์กรนั้น คุณหมอรุ่น​ใหม่​ให้​เหตุผลว่า หาก​เป็น​แพทย์ที่ประกอบอาชีพด้าน​ความงาม​ก็ถือ​เป็นสิ่งที่สำคัญ ​เพราะสิ่ง​เหล่านี้นอกจากจะสร้าง​ความน่า​เชื่อถือ​ให้กับลูกค้า​ได้​แล้ว ยังสร้าง​ความมั่น​ใจ​ให้กับ​แพทย์ด้วย​เช่นกัน ​ซึ่ง​การดู​แลตน​เอง​ให้ดูดีนั้น​ก็​เป็นสิ่งที่​ไม่ยาก สำหรับ​แพทย์ที่รู้วิธี​และดู​แลตน​เอง​เป็นประจำอยู่​แล้ว

ด้าน​แพทย์ศึกษาต่อ​เฉพาะทาง ชั้นปีที่ 1 นาย​แพทย์ปิติพร พริคัมพันธุ์นิพ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะ​แพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า สำหรับหมอยุค​ใหม่ที่จะต้องดูสวยหล่อนั้น มองว่าน่าจะ​เป็น​แพทย์ที่​ทำงานด้าน​ความสวย​ความงาม ​เช่น ​แพทย์ผิวหนัง ​แพทย์ศัลยกรรมมากกว่า ​เพราะหาก​แพทย์ที่​ทำ​การรักษา​ไม่ดู​แลผิวพรรณตน​เอง ปล่อย​ให้ผิวพรรณหมองคล้ำ​หรือดู​ไม่ค่อยสะอาด ​ก็จะ​ทำ​ให้​ความ​ไว้วาง​ใจ​หรือ​ความน่า​เชื่อถือนั้นลดลง พูดง่ายๆ ว่ารูปร่างหน้าตาของ​แพทย์ด้าน​ความงาม มีผลต่อ​การตัดสิน​ใจ​เข้า​ไปรักษานั่น​เอง นอกจากนี้​การ​แต่งกาย​ให้สุภาพ ​เหมาะกับกาล​เทศะ ​และสื่อสารกับคน​ไข้ด้วยถ้อยคำที่​ไพ​เราะ​เข้า​ใจง่าย ​ก็สามารถช่วยสร้าง​ความอบอุ่น​และ​ความสบาย​ใจ ​และ​ทำ​ให้คน​ไข้​ไว้วาง​ใจ​ได้มากขึ้น ส่วนถ้า​เป็น​แพทย์ที่​เกี่ยวกับ​เวชกรรม​หรือรักษาทั่ว​ไป ​เรื่องของหน้าตานั้น​ไม่จำ​เป็นต้อง​เน้น ​แต่ควร​เน้น​ให้​เวลากับคน​ไข้​ให้มากที่สุด​ใน​การรับฟังปัญหา ​เพื่อนำมา​ซึ่ง​การรักษาที่ตรงจุดต่อ​ไปจะดีกว่า

ส่วนมุมมอง​ใน​เรื่องของดู​แลตน​เอง​ให้ดูดีของ​แพทย์ที่ประกอบวิชาชีพ​เกี่ยวกับ​ความสวย​ความ ​เพื่อช่วยสร้างภาพพจน์​ให้กับองค์กรนั้น คุณหมอ​ให้​แนวคิดว่า ขึ้นอยู่กับองค์กรว่า​เป็นองค์กรประ​เภท​ใด ​เพราะถ้า​เป็นองค์กรรัฐบาล มองว่าอาจจะ​ไม่จำ​เป็น ​แต่ถ้า​เป็นองค์กร​เอกชน ​และดำ​เนินธุรกิจ​เกี่ยวกับ​ความสวย​ความงาม​ก็ถือ​เป็นสิ่งที่สำคัญ ​เพราะนอกจากจะช่วยสร้าง​ความน่า​เชื่อถือ​ให้กับคน​ไข้ที่มา​ใช้บริ​การ​แล้ว ยังช่วย​ทำ​ให้สุขภาพของ​แพทย์ดี​ไปพร้อมกัน ​เพราะ​ได้ดู​แลตน​เอง​ในระยะยาว ​และคาดว่าคง​ไม่​เป็น​การ​เสีย​เวลา​หรือยุ่งยากสำหรับ​แพทย์ด้าน​ความสวย​ความงาม ที่มักดู​แลตน​เองอย่างสม่ำ​เสมออยู่​แล้ว

​แพทย์​เวชปฏิบัติทั่ว​ไป รพ.ขอน​แก่น ​และดีกรีรองนางสาว​ไทยอันดับหนึ่ง ปี 2552 อย่าง พญ.กอบกุลยา ​จึงประ​เสริฐศรี ​เผยว่า ​โดยส่วนตัว​แล้วมองว่า ​การศึกษาด้าน​การ​แพทย์นั้น ​เป็นศาสตร์ที่​เน้น​ใน​เรื่องของ​การรักษา มากกว่ามอง​เป็น​เรื่องของ​เชิงพาณิชย์​หรือ​เชิงธุรกิจ ดังนั้นตน​จึงมองว่าหน้าตา​ไม่​ได้​เป็นสิ่งที่สำคัญที่ดึงดูดลูกค้าสำหรับคน​เป็น​แพทย์ ​เพราะสิ่งที่จะดึงดูด​และสร้าง​ความน่า​เชื่อถือจากคน​ไข้​ไปสู่​แพทย์นั้น มองว่าอยู่ที่​การ​ใช้​ความรู้​ความสามารถที่มี ถ่ายทอด​ไปสู่

คน​ไข้ด้วยถ้อยคำที่ง่ายที่สุด ​เพื่อนำมาสู่​การร่วมมือ ​และช่วย​ทำ​ให้​โรคภัยที่​เป็นอยู่บรร​เทาลง ​เป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่า

คุณหมอดีกรีนางงามกล่าวต่อว่า ​แม้ว่า​เรื่องของ​ความสวย​ความงาม จะ​เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่​แพทย์ต้องมี ​แต่​ไม่ควรมาก​หรือน้อยจน​เกิน​ไป พูดง่ายๆ ควร​แต่งตัว​ให้​เรียบร้อย ​ไม่ตาม​แฟชั่นมากจน​เกิน​ไป ​เพื่อสร้าง​ความน่า​เชื่อถือ​ให้กับคน​ไข้นั่น​เอง ส่วน​เรื่องของ​การคง​ความสวยงาม ​เพื่อสร้างภาพพจน์​ให้กับองค์กรนั้น พญ.กอบกุลยากล่าวว่า ​โดยส่วนตัว

มองว่า​การควบคุม​เรื่องของบุคลิกภาพ ​และลักษณะของ​การ​เป็น​แพทย์ ​เช่น​เรื่อง​ความสะอาด ​การมีบุคลิกภาพที่น่า​เชื่อถือ ​การ​ใช้คำพูดที่สุภาพกับคน​ไข้
ด้วย​ความอ่อน​โยนนั้น ​เป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่า​การคง​ความหน้าตาสวยหล่อ.

ไทย​โพสต์  11 มกราคม 2555

8175
แพทย์ ชนบทยันแผนล้มบัตรทองมีจริงแพทย์เชิงพาณิชย์ ข้าราชการนักการเมืองจับมือกลุ่มธุรกิจยาข้ามชาติวางแผนล้มระบบหลักประกัน สุขภาพแห่งชาติ แพทย์ชนบทเตือนจะพาระบบสาธารณสุขของไทยถอยหลัง ประชาชนผู้ป่วยเดือดร้อน ฝากรัฐบาลเพื่อไทยอย่าทำด้วยมือ ลบด้วยเท้า
       
       นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท เปิดเผยว่าเครือข่ายแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของรพ.ชุมชนทั่วประเทศจะ ประชุมเพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มผลประโยชน์ที่ต้องการล้มระบบบัตร ทองและท่าทีของฝ่ายการเมือง ขอยืนยันว่าแผนล้มระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมีจริง โดยเริ่มต้นจากผู้บริหารของกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)ส่วนหนึ่งที่รับไม่ได้กับ บทบาทที่อำนาจที่หายไปจึงได้จับมือกับกลุ่มแพทย์พาณิชย์ที่เคยคัดค้านนโยบาย บัตรทองของนายกทักษิณ ชินวัตร เปิดวอร์รูมขึ้นที่ห้องผู้บริหารของกระทรวงท่านหนึ่ง เมื่อสามปีที่แล้วและขยายเอาฝ่ายการเมืองและบริษัทยาข้ามชาติเข้ามาร่วมด้วย โดยมี 4 ขั้นตอน ในการล้มระบบหลักประกัน
       สุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ได้แก่ ขั้นตอนที่หนึ่ง ฝ่ายการเมืองเปิดทางให้กลุ่มแพทย์ที่ไม่เห็นด้วยกับระบบหลักประกันสุขภาพรวมทั้งนายทุนพรรคเพื่อไทยเข้ายึดครองบอร์ด สปสช. เพื่อจัดคนของตัวเองเข้าสู่อนุกรรมการการเงินการคลังและอนุกรรมการชุดต่างๆ รวมทั้งปรับนโยบายหลักประกันสุขภาพที่เดิมยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางเปลี่ยนเป็นยึดหน่วยบริการเป็นหลักขั้นตอนที่สอง เปลี่ยนเลขาธิการ สปสช.เอาตัวแทนของฝ่ายการเมืองเป็นแทน เพื่อยึดครองสปสช.และลดบทบาทการปฏิรูปและตรวจสอบระบบบริการ ขั้นตอนที่สาม ของบประมาณเหมาจ่ายรายหัวเพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกับที่ประกันสังคมเพิ่มครั้งใหญ่และที่สวัสดิการข้าราชการได้รับเพื่อสร้างเงื่อนไขภาระงบประมาณให้รัฐบาล
       
       ขั้น ตอนที่สี่สร้างกระแสสังคมให้ยุบเลิกหรือแก้ไขสาระสำคัญของ พรบ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พศ. 2545 เป็นการสิ้นสุดยุคปฏิรูประบบสุขภาพที่ นพ.สงวน นิตยารัมพงศ์ และนายกทักษิณ ชินวัตร ร่วมกับภาคประชาชน เริ่มต้นไว้เมื่อสิบปีที่ผ่านมาแผนทั้งสี่ขั้นตอนนี้ได้เริ่มกันมาประมาณสาม ปีโดยมีกลุ่มแพทย์ที่ไม่ชอบบทบาทการตรวจสอบของภาคประชาชนเป็นหัวหอกเพราะ ระบบและพรบ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นอุปสรรคกับการขายยาราคาแพงของ บริษัทยาข้ามชาติ กระทบต่อธุรกิจของ รพ.เอกชน ลดบทบาทอำนาจของกระทรวงสาธารณสุข และทำให้ฝ่ายการเมืองเข้าล้วงลูกหาผลประโยชน์จากกองทุนหลักประกันสุขภาพได้ ยาก จึงต้องยกเลิกหรือแก้ไขสาระสำคัญของกฎหมาย
       
       ประธานชมรมแพทย์ชนบท กล่าวต่อว่า ขณะนี้มีการเคลื่อนไหวจะล้มระบบบัตรทองที่รัฐบาลนายกทักษิณ ชินวัตร พรรคไทยรักไทยได้เริ่มต้นไว้โดยรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย จนเกิดกระแสต่อต้านจากสังคม เกิดกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพขึ้นและการคัดค้านนี้จะขยายตัวออกไปเรื่อยๆ จึงขอเรียกร้องให้ท่านนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดูแลเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนก่อนที่ระบบนี้จะล้มสลายเกิดเหตุการณ์เข้าทำนอง ทำด้วยมือลบด้วยเท้า
       
       “ชมรมแพทย์ชนบทเห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ และจะประชุมตัวแทนสมาชิก ทั่วประเทศเพื่อเคลื่อนไหวเรื่องนี้ในเร็วๆนี้” นายแพทย์เกรียงศักดิ์ กล่าว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    11 มกราคม 2555

หน้า: 1 ... 543 544 [545] 546 547 ... 653