แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - story

หน้า: 1 ... 380 381 [382] 383 384 ... 537
5716
กองทัพเรือจัดงาน “รำลึกวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 ครบรอบ 119 ปี” ณ ป้อมพระจุลจอมเกล้า จ.สมุทรปราการ เพื่อเป็นการบอกเล่าประวัติศาสตร์สำคัญในสมัยรัชกาลที่ 5 พร้อมชมกิจกรรมต่างๆ มากมาย 13-14 ก.ค. นี้
       
       วันนี้ (4 ก.ค.) กองทัพเรือ ร่วมกับจังหวัดสมุทรปราการ ชมรมคนรักษ์ป้อมพระจุลจอมเกล้า จัดแถลงข่าวงาน “รำลึกวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 ครบรอบ 119 ปี” ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 13-14 ก.ค. 55 ณ ป้อมพระจุลจอมเกล้า อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ โดยทางกองทัพเรือจะจัดให้มีพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลเนื่องในวันวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 เพื่อเป็นการระลึกถึงวีรกรรมของเหล่าบรรพชนผู้กล้าเป็นประจำทุกปี และวันที่ 13 ก.ค. นี้จะครบ 119 ปี ของวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญในสมัยรัชกาลที่ 5 ในงานจะจัดพิธีสดุดีวีรชน พิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศล และพิธีย่ำพระสุรีย์ศรี ซึ่งเป็นพิธีที่คล้ายกับการสวนสนามเพื่ออำลาชีวิตราชการของผู้บังคับบัญชาระดับสูง โดยจะทำในเวลาใกล้ค่ำ ผู้มาร่วมงานสามารถชมความงามจากไฟประดับและแสงของพระอาทิตย์ อีกทั้งยังมีการเสวนาวิกฤตการ ร.ศ.112 การจัดงานนิทรรศการ การแสดงของวงดุริยางค์ การประกอบอาวุธและการจำหน่ายสินค้า OTOP ของสมุทรปราการ

       สำหรับวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยชาติตะวันตกได้เข้ามาแสวงหาอาณานิคมในแถบเอเชีย ฝรั่งเศสเริ่มแผ่อิทธิพลเข้ามาในอินโดจีนมากขึ้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่าเหตุการณ์ไม่น่าไว้วางใจ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างป้อมพระจุลจอมเกล้าขึ้นเพื่อเป็นการป้องกันประเทศ ต่อมาเมื่อวันที่ 13 ก.ค. 2436 เรือรบฝรั่งเศสได้รุกล้ำผ่านสันดอนปากน้ำเจ้าพระยา จึงเกิดการยิงต่อสู้กันที่ป้อมพระจุลจอมเกล้า แต่ในที่สุดเรือรบฝรั่งเศสก็แล่นมาถึงกรุงเทพฯ ครั้งนั้น ฝรั่งเศสยื่นคำขาดให้รัฐบาลไทย ยอมยกดินฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้กับตน ทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียดินแดนครั้งสำคัญที่สุด คือ ดินแดนลาวเกือบทั้งหมด รวมทั้งแคว้นสิบสองจุไทยไปเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส

ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 กรกฎาคม 2555

5717
สวัสดี “รอบรั้วการศึกษาฯ” ประจำวันที่ 5 ก.ค.และแล้ววาระงบประมาณจัดซื้อครุภัณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ตามโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 หรือโครงการเงินกู้ดีพีแอล (DPL) จำนวน 3,426 ล้านบาท ก็ไม่ถูกนำขึ้นถกในวาระประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)
       
       งานนี้ไม่รู้ใครได้ใครเสียระหว่าง วิทยา บุรณศิริ เจ้ากระทรวงหมอ ที่ออกปากรับคำชัดเจนว่า ยังไงๆ ก็ต้องเอาเข้า ครม.แน่ๆ กับ นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท ผู้นำทีมเจ้าหน้าที่แพทย์-พยาบาลโรงพยาบาลชุมชน ไหว้วอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ “จุดเทียน” เอาฤกษ์เอาชัย เพื่อดันเข้าสู่ที่ประชุม ครม.เมื่อวันที่ 3 ก.ค.ที่ผ่านมา แต่สรุปว่าเหนื่อยฟรีทั้งคู่ เพราะ ครม.ไม่รับไม้...ต่อบท

       ที่แน่ๆ แว่วว่า เรื่องนี้มีอะไรในกอไผ่ชัวร์ ก็เขาเมาท์กันแซด ว่า งานนี้มีทั้งการเรียกคุยส่วนตัวและการโทรศัพท์ แต่ที่เห็นเย้วๆ ก็แค่แสดงแอคชั่นตามสคริปต์เท่านั้น แต่อย่างไรก็ต้องลุ้นกันต่อไปว่า จะเข้า ครม.อีกครั้งเมื่อไหร่
       
       อุ๊!! แม่เจ้า สรุปงานนี้แค่ปาหี่หรือเปล่าหนอ เฮ้อ ...

ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 กรกฎาคม 2555

5718
อย.ร่วมตำรวจ ตรวจจับแหล่งลักลอบนำเข้าเครื่องมือแพทย์และเครื่องสำอางผิดกฎหมาย ย่านรัชดา พบผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางบำรุงผิวลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศไม่จดแจ้ง และไม่มีฉลากภาษาไทย พร้อมพบอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ไม่แจ้งรายการละเอียด และไม่มีหนังสือประกอบรับรองการนำเข้าหลายรายการ โดยเปิดขายผ่านทางเว็บไซต์ และสื่อสิ่งพิมพ์ มูลค่าของกลางกว่า 3 ล้านบาท
       
       วันนี้ (4 ก.ค.) เจ้าหน้าที่ อย.ภายใต้การอำนวยการของ นพ.นรังสันต์ พีรกิจ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ร่วมกับตำรวจ บก.ปคบ.กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง นำทีมโดย พล.ต.ต.นิพนธ์ เจริญผล ผบก.ปคบ.และ พ.ต.อ.พฤทธิพงษ์ ประยูรศิริ ผกก.4 บก.ปคบ.ร่วมกันแถลงกรณีที่ อย.ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภค ว่า มีบริษัทแห่งหนึ่ง โดย นพ.นรังสันต์ กล่าวว่า บริษัทดังกล่าว ย่านรัชดา ลักลอบนำเข้าเครื่องมือแพทย์และเครื่องสำอางผิดกฎหมายหลายรายการ รวมทั้งพบขายผ่านเว็บไซต์ www.sariyathailand.com และขายให้กับคลินิกและสถานเสริมความงาม โดย อย.ได้ตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ 0 2642 8100 และ 0 2642 8700 และประสานไปยังตำรวจ ปคบ. เพื่อสืบสวนตามหมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าว และพบมีการขายผลิตภัณฑ์ที่ผิดกฎหมายจริง ดังนั้น ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2555 อย.ร่วมกับตำรวจ ปคบ.นำหมายค้นของศาลอาญารัชดา เข้าตรวจค้นบริษัท ศริยาแกลลอรี่ จำกัด เลขที่ 731 อาคาร พี.เอ็ม.ทาวเวอร์ ชั้นที่ 23 แขวงดินแดง กรุงเทพฯ ซึ่งผลการตรวจ พบผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย ได้แก่ พบเครื่องมือแพทย์ที่ไม่แจ้งรายการละเอียด และไม่มีหนังสือรับรองประกอบการนำเข้า เช่น เครื่องบำบัดด้วยแสงความเข้มสูง (IPL) ใช้เพื่อปรับลดริ้วรอยเครื่องนวดตัวด้วยสุญญากาศ เครื่องสลายไขมันด้วยระบบคลื่นวิทยุและอุลตร้าโซนิค
       
       2.พบเครื่องสำอางลักลอบนำเข้ามาจากต่างประเทศ โดยไม่ได้จดแจ้งรายการละเอียด และไม่ได้ขออนุญาตนำเข้า รวมทั้งไม่มีฉลากภาษาไทย ประเภทผลิตภัณฑ์บำรุงผิวรูปแบบต่างๆ ยี่ห้อ Sariya Gallery ได้แก่ เซรั่มเข้มข้น อ้างเติมเต็ม ลดริ้วรอยทุกชนิด (Beauty Concentrate Eye/Face Serum), โลชั่นซากุระ กระชับผิว (Sakura Veil-Lotion), โลชั่นกุหลาบ ลดริ้วรอย (Rose Petal Lotion), ผงมาร์คและแผ่นมาร์คหน้าทุกชนิด และครีมบำรุงผิวจำนวนมาก 3.พบผลิตภัณฑ์สเต็มเซลล์ วิตะมินซี โบท็อกซ์ และผลิตภัณฑ์โกรท แฟคเตอร์ ที่ใช้สำหรับกระตุ้นให้ดูอ่อนกว่าวัย ที่นำเข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต เจ้าหน้าที่ทำการยึดของกลางทั้งหมดเพื่อดำเนินคดี และนำผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางส่งตรวจวิเคราะห์ หาสารห้ามใช้ต่อไป มูลค่าของกลางกว่า 3,000,000 บาท
       
       นพ.นรังสันต์ กล่าวต่อว่า ส่วนของการดำเนินคดี ในเบื้องต้นได้ตั้งข้อหา ดังนี้ คดีเครื่องมือแพทย์ 1.จำหน่ายเครื่องมือแพทย์ที่ไม่มีหนังสือรับรองประกอบการนำเข้า ซึ่งเป็นเครื่องมือแพทย์ที่ห้ามขาย มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 2.นำเข้าเครื่องมือแพทย์โดยไม่แจ้งรายการละเอียด มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 3.นำเข้าเครื่องมือแพทย์โดยไม่จดทะเบียนสถานประกอบการนำเข้า มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับ ไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ คดีเครื่องสำอาง 1.นำเข้าเครื่องสำอางที่ไม่ได้จดแจ้ง มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
       
       2. ขายเครื่องสำอางไม่แสดงฉลากภาษาไทย มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 3.นำเข้าเพื่อขายเครื่องสำอางที่มีการแสดงฉลากไม่ถูกต้องไม่ครบถ้วน มีโทษจำคุก 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ คดียา ขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
       
       นพ.นรังสันต์ กล่าวต่อไปว่า ขอเตือนผู้ประสงค์จะจำหน่ายเครื่องมือแพทย์ หากเป็นเครื่องมือแพทย์ที่ไม่มีหนังสือรับรองประกอบการนำเข้า จะมีความผิดและระวางโทษสูงสุดถึง 5 ปี อีกทั้งขอเตือนประชาชน โปรดสังเกต และตรวจสอบเครื่องมือที่ใช้ โดยเฉพาะเครื่องมือที่นำมารักษาใบหน้า เช่น เครื่องเลเซอร์เสริมความงาม เครื่องอัลตราซาวนด์ ไอออนโต Ionto อินฟราเรด IPL เทอร์มาจ เป็นต้น ว่า ได้มีการขออนุญาตถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ รวมทั้งคลินิกและสถานเสริมความงาม ควรสั่งซื้อ ผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ที่ได้รับอนุญาตถูกต้อง อย่าตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อโฆษณาตามเว็บไซต์ต่างๆ และซื้อผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฎหมายมาให้บริการลูกค้า นอกจากนี้ ส่วนของการเลือกซื้อเครื่องสำอางควรให้ความใส่ใจและระมัดระวัง โดยซื้อจากร้านค้าที่มีหลักแหล่งแน่นอน มีฉลากภาษาไทย ที่มีข้อความบังคับครบถ้วน หากเป็นเครื่องสำอางลักลอบนำเข้า ไม่แสดงฉลากภาษาไทย อาจได้รับอันตราย จากการใช้ รวมทั้งไม่สามารถหาผู้ผลิต/ผู้จำหน่ายมารับประกัน หากเกิดความผิดปกติหรือเกิดผลข้างเคียงต่อร่างกาย หากผู้บริโภคพบเห็นการผลิต/จำหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพใดผิดกฎหมาย แจ้งร้องเรียนได้ที่ สายด่วน อย.1556 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัดที่พบปัญหา เพื่อ อย.จะได้ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดและตำรวจ บก.ปคบ.ตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมาย เพื่อคุ้มครองประชาชนให้ได้รับความปลอดภัย


ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 กรกฎาคม 2555

5719
รมช.สธ.เผยความคืบหน้าโครงการไข่ใหม่แลกยาเก่า 2 วันที่ผ่านมา ได้รับยาคืนแล้ว 8.7 ล้านเม็ด คาดสิ้นสุดโครงการในวันที่ 5 ก.ค.นี้ จะได้รับยาเก่าคืนประมาณ 20 ล้านเม็ด
       
       วันนี้ (4 ก.ค.) ที่ศูนย์การประชุมอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี นายแพทย์ สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมช.) ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้าโครงการไข่ใหม่ แลกยาเก่า ว่า กระทรวงสาธารณสุขได้จัดงบประมาณให้แต่ละจังหวัดๆ ละ 100,000 บาท เพื่อแลกคืนยาเก่าที่เป็นยาแผนปัจจุบัน ประชาชนไม่ได้ใช้แล้ว รวบรวมนำมาคัดแยกทำลายยาที่หมดอายุ หรือเสื่อมสภาพ และนำยาที่ยังใช้ได้กลับเข้าสู่ระบบบริการ ผลการดำเนินงาน 2 วันที่ผ่านมา ได้รับยาเก่าคืนมาจำนวน 8.7 ล้านเม็ด คาดว่า ตลอดช่วงของการรับแลกตั้งแต่วันที่ 2-5 กรกฎาคมนี้ จะได้รับยาคืนทั้งหมดประมาณ 20 ล้านเม็ด และหากพบว่ายังมีประชาชนที่เก็บยาเก่าไว้เหลือค้าง ต้องการที่จะมาแลกไข่เพิ่ม ก็จะพิจารณาขยายเวลาและงบประมาณเพิ่มเติม

   
       นายแพทย์ สุรวิทย์ กล่าวต่อว่า งบประมาณในการจัดซื้อไข่เพื่อนำมาแลกกับยากลับคืนจากประชาชนนั้น ไม่น่ามีปัญหาเพราะใช้งบประมาณไม่มาก ยกตัวอย่างเช่น ใช้เงินสำหรับการซื้อไข่จำนวน 4,000 บาท แต่ได้ยาคืนมูลค่าประมาณ 70,000-80,000 บาท ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่คุ้มค่า และเป้าหมายที่แท้จริงของโครงการนี้ ก็คือ ต้องการเก็บคืนและรวบรวมยาเก่าที่ไม่ได้ใช้ ทั้งยาที่ประชาชนซื้อหาเองจากร้านขายยา หรือได้รับยาจากสถานพยาบาลต่างๆ แล้วใช้ไม่ตรงตามที่แพทย์แนะนำหรือลืมรับประทาน ทำให้มียาเหลืออยู่ ซึ่งหากเป็นยาที่หมดอายุแล้วประชาชนนำไปใช้อาจจะเกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ รวมทั้งจะทำให้ทราบจำนวนยาเก่าที่ประชาชนไม่ได้ใช้ว่ามีมากน้อยเพียงใด
       
       “ในอนาคตกระทรวงสาธารณสุขจะมีนโยบายควบคุมการใช้ยา เพื่อไม่ให้มีการใช้ยามากเกินจำเป็น โดยปัจจุบันประเทศไทยใช้ยาปีละประมาณ 100,000 ล้านบาท ซึ่งจะต้องมีระบบการควบคุมกระบวนการต่างๆ และจะเร่งสร้างจิตสำนึกในเรื่องของการใช้ยา ทั้งในส่วนของผู้ป่วยและแพทย์ผู้จ่ายยาต่อไปด้วย ในอนาคตสถานบริการแต่ละแห่ง จะมีถุงยาให้กับคนไข้ที่มาตรวจรักษาที่โรงพยาบาล เพื่อใส่ยาที่เหลือมาพบแพทย์ในการตรวจรักษาครั้งต่อไป เพื่อให้แพทย์สั่งจ่ายยาได้อย่างเหมาะสม”
       
       ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าบางพื้นที่ยังไม่ได้รับงบประมาณในการจัดซื้อไข่นั้น รมช.สธ.กล่าวว่า คิดว่าเป็นเรื่องการบริหารจัดการภายในของแต่ละจังหวัด อย่างไรก็ตาม จะเร่งรัดติดตามการดำเนินงานในทุกพื้นที่ หากจังหวัดใดที่ยังไม่ได้รับเงินงบประมาณก็สามารถสำรองจ่ายไปก่อนได้ หรือหากเงินไม่พอกระทรวงสาธารณสุขพร้อมที่จะบริหารจัดการดูแลในเรื่องนี้

ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 กรกฎาคม 2555

5720
สธ. แนะ ปรับเปลี่ยนค่านิยม ป้องกัน ซึมเศร้าฆ่าตัวตาย ย้ำ ความงามไม่ใช่เพียงรูปร่างหน้าตา
       
       นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รมช.สธ. กล่าวว่า การทำศัลยกรรมความงามแล้วไม่พอใจผลการทำศัลยกรรม สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของวัยรุ่นและคนหนุ่มสาวในปัจจุบัน ที่ให้คุณค่ากับเรื่องรูปร่างหน้าตา สะท้อนค่านิยมของสังคมในภาพรวม ทั้ง การลดความอ้วน การดัดฟันการผ่าตัด หรือการฉีดเพื่อความสวยงาม ฯลฯ ทั้งนี้ พบว่า ส่วนหนึ่ง อาจมีปัญหาสุขภาพจิต กลุ่มแรก คือ กลุ่มที่วิตกกังวลเกินเหตุ กลุ่มที่สอง คือ คิดว่ารูปร่างหน้าตาตัวเองบกพร่องตลอดเวลา ซึ่งจะพยายามทำศัลยกรรมครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่พอใจในสิ่งที่ทำ และกลุ่มสุดท้าย คือ มีภาวะซึมเศร้า ทำให้มองตัวเองติดลบ ซึ่งมองไปถึงความไม่พอใจรูปร่างหน้าตา
       
       รมช.สธ. กล่าวต่อว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นอกจากจะให้คุณค่ากับรูปร่างหน้าตา พ่อแม่ เพื่อน วัยรุ่น โรงเรียน แพทย์ ตลอดจนสื่อมวลชน ควรมีการส่งเสริมความสามารถหรือเน้นคุณค่าทางบวกที่จะทดแทนและมีคุณค่าเหนือกว่าเรื่องรูปร่างหน้าตา รวมทั้ง พึงระวังว่า ความไม่พอใจรูปร่างหน้าตา นอกจากเป็นเรื่องค่านิยมแล้ว อาจมีปัญหาสุขภาพจิตอื่นๆ ตามมาได้ โดยเฉพาะภาวะซึมเศร้า ซึ่งอาจเป็นต้นเหตุ หรือเป็นผลจากการทำศัลยกรรมตกแต่งก็ได้ ดังนั้น หากมีอาการซึมเศร้าร่วมด้วย ก็จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ทั้งนี้ เมื่อสภาวะจิตใจดีขึ้นแล้วอาจต้องทำจิตบำบัดให้เขาเห็นคุณค่าของตัวเองให้มากขึ้น
       รมช.สธ. กล่าวเพิ่มเติมว่า บทบาทของวิชาชีพ โดยเฉพาะแพทย์ ทันตแพทย์และเภสัชกร ที่เกี่ยวข้องกับการรักษารูปร่างหน้าตา โดยจะต้องมีจรรยาแห่งวิชาชีพในการให้บริการ คำนึงว่าผู้รับบริการมีปัญหาสุขภาพจิตหรือไม่ โดยการพูดคุยสังเกตเบื้องต้น และส่งต่อจิตแพทย์เมื่อพบปัญหา มากกว่าคำนึงถึงแต่การป้องกันการฟ้องร้อง
       
       นพ.สุรวิทย์ กล่าวว่า ถึงเวลาที่ต้องปรับเปลี่ยนค่านิยมที่เน้นความสวยงามมากกว่าความรู้ความสามารถ หรือการทำความดี ช่วยเหลือสังคม ซึ่งต้องปลูกฝังกันตั้งแต่เด็ก ทั้งนี้ การศัลยกรรม หากทำแล้วไม่เป็นที่พอใจหรือดูแย่กว่าที่เป็นอยู่ก็ยิ่งทำให้เกิดความเครียดมากยิ่งขึ้น ซึ่งครอบครัว เพื่อน หรือผู้ใกล้ชิดต้องคอยสังเกตและเตือน ตลอดจนให้กำลังใจ และปลอบประโลมจิตใจเป็นอย่างมาก เพราะอาจส่งผลให้เกิดภาวะซึมเศร้าและเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายได้ในที่สุด จึงต้องคำนึงถึงผลดีผลเสียที่เกิดขึ้นให้มากด้วย อย่างไรก็ตาม สามารถปรึกษาปัญหาสุขภาพจิต ได้ที่สายด่วน 1323 ตลอด 24 ชั่วโมง


ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 กรกฎาคม 2555

5721
รมว.สธ.มอบ สปสช.เร่งพัฒนาข้อมูล อปท.ร่วมกันเพื่อขยายความครอบคลุมการให้บริการเจ็บป่วยฉุกเฉินและสวัสดิการรักษาพยาบาล ให้กับข้าราชการ/พนักงานส่วนท้องถิ่น คาด สรุปผลได้ภายใน 3 เดือน ด้านนายกสมาคมพนักงานเทศบาลแห่งประเทศไทย ชี้ ท้องถิ่นจะได้รับการดูแลด้านรักษาพยาบาลเพื่อคนท้องถิ่น
       
       เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2555 ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุม เรื่อง รับฟังความคิดเห็นต่อการขยายความครอบคลุมการให้บริการเจ็บป่วยฉุกเฉิน และการคุ้มครองความมั่นคงสิทธิด้านการรักษาพยาบาลสำหรับข้าราชการ/พนักงานส่วนท้องถิ่น
       
       นายวิทยา กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายสร้างความเสมอภาคของ 3 กองทุน โดยเริ่มที่บริการเจ็บป่วยฉุกเฉิน ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 เป็นต้นมา ซึ่งให้ความคุ้มครองกับสวัสดิการข้าราชการ ประกันสังคม และหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ 30 บาทรักษาทุกโรค แต่ยังไม่สามารถดำเนินการครอบคลุมข้าราชการและพนักงานส่วนท้องถิ่นจำนวนกว่า 400,000 คนได้ อีกทั้งสถานการณ์ปัจจุบันท้องถิ่นประสบปัญหาเรื่องค่ารักษาพยาบาลโดยเฉพาะโรคค่าใช้จ่ายสูงเนื่องจากท้องถิ่นต้องรับภาระค่าใช้จ่ายเอง เนื่องจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีกฎหมายและระเบียบเฉพาะรวมทั้งการเบิกจ่ายค่ารักษาแยกส่วนแต่ละองค์กร และแตกต่างจาก 3 กองทุน จากประเด็นนี้นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อให้นโยบายสร้างความเสมอภาค 3 กองทุนคุ้มครองทุกคนอย่างแท้จริง ภายใต้มาตรฐานเดียวกันทุกคนทุกสิทธิ
       
       รมว.สธ.กล่าวต่อว่า แนวทางการแก้ไขนั้น ในส่วนของการเพิ่มสิทธิการรักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน และรวมถึงบริการสาธารณสุขอื่นๆที่จะมีการบูรณาการต่อไปตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อให้ครอบคลุมข้าราชการและพนักงาน อปท.ให้ได้สิทธิรับบริการสาธารณสุขตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 เรื่อง ขอบเขตของสิทธิรับบริการสาธารณสุขของบุคคลที่กำหนดขึ้นสำหรับส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ รวมทั้งบิดา มารดา คู่สมรส บุตร หรือบุคคลอื่นใดที่ได้รับสวัสดิการการรักษาพยาบาลโดยอาศัยสิทธิของบุคคลจากหน่วยงานข้างต้น โดยให้คณะกรรมการมีหน้าที่จัดการให้บุคคลดังกล่าวสามารถได้รับบริการสาธารณสุขตามที่ได้ตกลงกัน การให้สิทธิรับบริการสาธารณสุขตาม พ.ร.บ.นี้ได้เมื่อใด ให้เป็นไปตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา ซึ่งการกำหนดสิทธิประโยชน์ให้เป็นไปตามที่เจรจาตกลงร่วมกัน
       
       ทั้งนี้ ภายหลังการประชุม ได้ข้อสรุปในเบื้องต้นว่า มีความเห็นร่วมกันตั้งกองทุนดูแลสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ พนักงานส่วนท้องถิ่น โดยมีการออกเป็นพระราชกฤษฎีกาภายใต้มาตรา 9 ของพรบ.หลักประกันสุขภาพฯ ซึ่งสิทธิประโยชน์ต่างๆ ภายใต้กองทุนสวัสดิการนี้ เป็นการเห็นชอบร่วมกันระหว่างท้องถิ่น และ สปสช.ซึ่งจะคล้ายกับ 3 กองทุนโดยงบประมาณกองทุนจะมาจากการขอกันเงินที่จ่ายอุดหนุนประจำปีให้ อปท.ทุกแห่ง เพื่อใช้เป็นเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ สำหรับเรื่องสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ/ท้องถิ่น รวมทั้งจะมีการตั้งคณะทำงานประกอบด้วยท้องถิ่นทุกฝ่ายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขึ้นเพื่อจัดทำรายละเอียดสิทธิประโยชน์ ร่างเป็นพระราชกฤษฎีกาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ จะได้นำข้อสรุปที่ได้ในการประชุมครั้งนี้เสนอต่อนายกรัฐมนตรีต่อไป ขณะเดียวกัน สปสช.เตรียมยกร่างสิทธิประโยชน์และแผนบูรณาการร่วมกัน ในเรื่องความมั่นคงสิทธิการรักษาพยาบาลสำหรับข้าราชการ/พนักงานส่วนท้องถิ่น เสนอให้คณะทำงานพิจารณาออกเป็นพระราชกฤษฎีกาภายใน 3 เดือนนี้
       
       ด้าน นายสรณะ เทพเนาว์ นายกสมาคมพนักงานเทศบาลแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เห็นด้วยกับการที่ท้องถิ่นจะได้รับการดูแลทางด้านสวัสดิการรักษาพยาบาล เพราะสมาคมได้ให้ความสำคัญกับการดูแลทางด้านรักษาพยาบาลเนื่องจากได้รับการร้องเรียนสิทธิต่างๆ จากพนักงานมาตลอด โดยเฉพาะการเข้าไม่ถึงระบบหลักประกันสุขภาพ ซึ่งจากข้อสรุปในเบื้องต้นในครั้งนี้นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการดูแลสุขภาพของคนไทยเพื่อให้เกิดการบูรณาการของประชาชนทุกคนต่อไป
       
       ทั้งนี้ ตัวแทนที่เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วย นายสรณะ เทพเนาว์ นายกสมาคมพนักงานเทศบาลแห่งประเทศไทย และ นายนพดล แก้วสุพัฒน์ นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย นายวิจารณ์ กุลชนะรัตน์ ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาญจนบุรี นายกสมาคมข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย นางบุณยรัตน์ สุขจิตต์ ตัวแทนนายกสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย และตัวแทนจากสมาคมข้าราชการและพนักงานจ้างท้องถิ่นแห่งประเทศไทย สมาคมข้าราชการส่วนตำบลและเทศบาล ตัวแทนสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย สมาคมลูกจ้างประจำองค์การบริหารจังหวัดแห่งประเทศไทย เป็นต้น


ASTVผู้จัดการออนไลน์   3 กรกฎาคม 2555

5722
เอเจนซีส์/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - ผู้เชี่ยวชาญยืนยันค้นพบ “แมลงวันสายพันธุ์ใหม่” ของโลกในประเทศไทย ชี้เป็นแมลงวันที่มีขนาด “เล็กที่สุด” เท่าที่เคยมีการค้นพบบนโลกใบนี้
       
       รายงานข่าวของสื่อต่างประเทศหลายสำนักระบุว่า แมลงวันที่มีขนาดเล็กที่สุดของโลกได้ถูกค้นพบแล้วในประเทศไทย โดยขนาดของเจ้าแมลงวันสายพันธุ์ไทยนี้เล็กกว่าแมลงวันผลไม้ทั่วไปถึง 5 เท่า และมีขนาดเล็กกว่าเม็ดเกลือหรือพริกไทยเสียอีก นอกจากนั้น ผู้เชี่ยวชาญยังระบุว่า ขนาดของแมลงวันชนิดนี้มีขนาดเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้นของแมลงดูดเลือดจำพวก “ริ้นน้ำเค็ม”
       
       ไบรอัน บราวน์ ผู้เชี่ยวชาญจากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติในลอสแองเจลิส เคาน์ตี สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้ยืนยันการค้นพบแมลงวัน “ซูเปอร์จิ๋ว” สายพันธุ์ดังกล่าว ออกมาเปิดเผยเมื่อวันจันทร์ (2) โดยระบุว่า เจ้าแมลงวันที่ค้นพบในประเทศไทยชนิดนี้มีขนาดเล็กมากจนแทบจะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แม้จะเอามันไปวางบนแผ่นสไลด์ของกล้องจุลทรรศน์ก็ตาม
       
       “แมลงวันที่พบตามบ้านทั่วไปจะกลายเป็นไดโนเสาร์ก็อดซิลลาในทันทีเมื่อเทียบกับขนาดของแมลงวันตัวน้อยชนิดนี้” บราวน์กล่าวเปรียบเทียบ
       
       ข้อมูลจากสื่อต่างประเทศระบุว่า แมลงวันตัวที่ถูกค้นพบนั้นเป็นเพศเมีย โดยถูกพบในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นอุทยานแห่งชาติที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ในเขตจังหวัดเพชรบุรีและจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ทางตะวันตกของประเทศ โดยมีความเป็นไปได้ที่แมลงวันชนิดนี้อาจดำรงชีพอยู่ได้โดยการ “ฆ่าตัดหัว” สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กชนิดอื่น เช่น มด แล้วจึงเข้าไปอาศัยและวางไข่ภายในร่างไร้วิญญาณเหล่านั้น
       
       ทั้งนี้ มีรายงานว่ารายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับการค้นพบแมลงวันขนาดเล็กที่สุดของโลกบนแผ่นดินไทยในครั้งนี้ จะถูกตีพิมพ์เผยแพร่ผ่านทางวารสารชื่อดัง The Entomological Society of America (ESA) ของสหรัฐฯ ในเดือนนี้

ASTVผู้จัดการออนไลน์    3 กรกฎาคม 2555

5723
งบ DPL ล่ม ครม. ไร้วาระถก หมอชนบทคอตก แจงขอเวลาหารือทีมเตรียมเคลื่อนไหวต่อไป
       
       หลังจากชมรมแพทย์ชนบทออกมาเรียกร้องจุดเทียน คบไฟ บริเวณหน้าสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ผลักดันงบประมาณจัดซื้อครุภัณฑ์ของ สธ.ตามโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 หรือโครงการเงินกู้ดีพีแอล(DPL) จำนวน 3,426 ล้านบาท โดยนายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรี สธ. ให้ข้อมูลว่า พร้อมจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี(ครม.) นั้น
       
       นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท กล่าวว่า ทราบมาว่าการประชุมครม.ในวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา ไม่มีการบรรจุวาระดังกล่าว ซึ่งไม่เข้าใจเหตุผล เนื่องจากโดยหลักการแล้ว หาก สธ.ยืนยันความจำเป็นไปยังกระทรวงการคลัง หลังจากนั้นกระทรวงการคลังจะต้องเสนอเรื่องต่อครม.เพื่อพิจารณาตามขั้นตอน ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้นตามที่ปรากฎในข่าว ทราบว่า นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรี สธ.ได้ยืนยันและเสนอเรื่องไปยังกระทรวงการคลังทั้งหมดแล้ว แต่ไม่เข้าใจว่ากระทรวงการคลังได้เสนอเข้าครม.แล้วหรือไม่ จึงอยากฝากถามความชัดเจน เพราะรู้สึกผิดหวังมาก ส่วนจะมีการเคลื่อนไหวหรือไม่ ทางชมรมฯ ขอหารือเรื่องนี้อีกครั้ง แต่เบื้องต้นคงต้องขอบริจาคซื้อครุภัณฑ์กันเองก่อน
       
       นพ.เกรียงศักดิ์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของงบดีพีแอลนั้น ที่ผ่านมาตนเคยส่งเรื่องไปยังผู้ตรวจการแผ่นดิน และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ให้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าว โดยเฉพาะการทำงานของรัฐมนตรี สธ. ซึ่งล่าสุดในวันที่ 3 กรกฎาคม ผู้ตรวจการแผ่นดินได้เรียกตนเข้าชี้แจงเพิ่มเติม และทราบมาว่าจะทำหนังสือไปยัง สธ. เพี่อให้เข้าชี้แจงภายในสัปดาห์นี้ด้วย อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับเรื่องนี้ อยากวอนทางป.ป.ช. ให้เร่งดำเนินการเรื่องนี้ด้วย

ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 กรกฎาคม 2555

5724
สภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่หรือ มช.มีมติเลือกดำรงตำแหน่งอธิการบดีคนใหม่ ตามผลการสรรหาของคณะกรรมการสรรหา ขั้นตอนต่อไป มช.จะดำเนินการเสนอชื่อเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง

เกิดเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2492 การศึกษา วิทยาศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยม) สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ มช., แพทยศาสตรบัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ มช., ประกาศนียบัตรชั้นสูงทางวิทยาศาสตร์การแพทย์คลินิก (อายุรศาสตร์) บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล

ปี 2521 วุฒิบัตรแสดงความรู้หรือความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขาอายุรศาสตร์ แพทยสภา

บรรจุเข้ารับราชการครั้งแรก 3 เมษายน 2521 สังกัด ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มช. ผ่านการดำรงตำแหน่งต่างๆ อาทิ ตำแหน่ง อาจารย์ ระดับ 4-6, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ระดับ 6-8, รองศาสตราจารย์ ระดับ 9, พ.ศ.2551-ปัจจุบัน ตำแหน่ง รองศาสตราจารย์

ตำแหน่งหน้าที่บริหาร ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายโรงพยาบาล คณะแพทยศาสตร์2529-2531, ผู้ช่วยคณบดีคณะแพทยศาสตร์ 2531-2533, รองคณบดีคณะแพทยศาสตร์ 2537-2541, รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ คณะแพทยศาสตร์ 2537-2541

รองคณบดีคณะแพทยศาสตร์ 2541-2545, ผอ.โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ 2541-2545, ผอ.

สถานบริการสุขภาพพิเศษ มช. 2541-2545, นายกสมาคมนักศึกษาเก่า มช.2548-2552

คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มช. 2549-2553, 2553-ปัจจุบัน ผลงานอาทิ ริเริ่มผลักดันงานก่อสร้างอาคารศูนย์เวชศาสตร์ผู้สูงอายุ และเตรียมการรองรับ เมดิคอลฮับ ด้วยการสร้างอาคารศูนย์ผ่าตัด ห้องพิเศษโรงพยาบาล รวมถึงพัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์

รับตำแหน่งใหม่นี้ มีงานท้าทายรออยู่ ในเรื่อง การพัฒนาอาจารย์ หลักสูตรการเรียนการสอน ยกระดับงานวิจัย ให้เป็นที่เชื่อถือในระดับนานาชาติ


มติชนออนไลน์ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

5725
5. ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีและแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข
 
คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอดังนี้
   1. อนุมัติให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 27 กันยายน 2537 เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ประเด็นอนุมัติวิธีการสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิโดยให้มีการจับสลากออก 3 คน เมื่อครบวาระของกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข  และให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่เหลืออยู่พิจารณาเสนอชื่อผู้ทรงคุณวุฒิเพิ่มเติมจนครบ 7 คน จากนั้นจึงเสนอคณะกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขเพื่อให้ความเห็นชอบก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งต่อไป
   2. อนุมัติแต่งตั้งบุคคลดังรายนามต่อไปนี้ ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข

1) ศาสตราจารย์ภิเศก ลุมพิกานนท์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

2) ศาสตราจารย์ชัยเวช  นุชประยูร ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและบำบัดโรคมะเร็ง ศูนย์วิจัยจุฬาภรณ์

3) นายประยูร  กุนาศล อดีตอธิบดีกรมควบคุมโรคติดต่อ

4) ศาสตราจารย์อมร  ลีลารัศมี ศาสตราจารย์ระดับ 11 ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

5) นายบุญปลูก ชายเกตุ อดีตเลขาธิการ ก.พ.

6) นายนิพนธ์  ฮะกีมี รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

7) นางสาวรพีสุภา  หวังเจริญรุ่ง นักวิจัยอาวุโส ผู้ช่วยผู้อำนวยการมูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2555 เป็นต้นไป 


มติชนออนไลน์ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

5726
ไชน่าเดลี - …รักใดเล่าจะเท่ารักของแม่...
       
       เพียงอุ้มท้องบุตร 9 เดือนก็หนักหนาคณานัปแล้ว แต่คุณแม่แซ่จังวัย 96 ปีผู้นี้ ยังต้องใช้เวลาบั้นปลายชีวิตไปกับการดูแลปฐมพยาบาลบุตรชายที่เป็นอัมพาตวัย 59 ปี เป็นเวลานานกว่า 20 ปี ในบ้านเก่า ๆ เมืองปั๋วโจว มณฑลอานฮุย
       
       ทศวรรษ 1970 นายซีว์ เฉวียนอี้ ผู้เป็นลูกเริ่มมีอาการทางประสาท และในปี 1992 เขาก็สูญเสียความสามารถ กลายเป็นอัมพาต พูดไม่ได้ ภาระการดูแลทั้งหมดจึงตกสู่มารดาผู้ชราภาพ
       
       มีนักธุรกิจเซี่ยงไฮ้ต้องการจะบริจาคเงินให้ 100,000 หยวน แต่คุณแม่จังปฏิเสธ ด้วยเกียรติและศักดิ์ศรี คุณแม่ยังพอมีเรี่ยวแรงดูแลลูก และขอใช้เงินสงเคราะห์จากรัฐบาลเพียงเดือนละ 340 หยวนเท่านั้น

ถึงเวลาทำความสะอาด แม่จังจะหยิบผ้าชุบน้ำบิดพอหมาด ๆ เช็ดตัวให้ลูกชาย (ภาพเอเชียนิวส์)
       

คุณแม่จังเล่าเรื่องราวความเป็นมาของบุตรชายที่เป็นอัมพาตมานานให้นักข่าวฟัง (ภาพเอเชียนิวส์)
       

แม่จังบรรจงเช็ดตัวให้ลูกชาย อาจจะไม่คล่องแคล่วเพราะแม่แก่มากแล้ว (ภาพเอเชียนิวส์)
       

ในห้องธรรมดา กับชีวิตของผู้เฒ่าธรรมดา แต่คุณค่าความรักนั้นยิ่งใหญ่นัก คุณแม่จังตระเตรียมเสื้อผ้าให้ลูกชายสวมใส่หลังเช็ดตัวเสร็จ... กิจวัตรเหล่านี้ดำเนินไปทุกวันตั้งแต่เช้ายันค่ำ (ภาพเอเชียนิวส์)

ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 กรกฎาคม 2555

5727
สธ.จับมือ วท.บริการฝังรากฟันเทียมฟรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ด้อยโอกาสจำนวน 8,400 ราย ตั้งแต่วันนี้ถึงปี 2557 เพื่อเฉลิมพระเกียรติในหลวง
       
       วันนี้ (2 ก.ค.) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมด้วย นายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) นายพรชัย รุจิประภา ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และแพทย์หญิง วิลาวัณย์ จึงประเสริฐ อธิบดีกรมการแพทย์ และศาสตราจารย์พิเศษทันตแพทย์หญิงท่านผู้หญิงเพ็ชรา เตชะกัมพุช ผู้อำนวยการหน่วยทันตกรรมพระราชทาน ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร่วมเปิดโครงการรากฟันเทียมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 และมอบนโยบายในการปฏิบัติงานให้แก่หน่วยบริการฝังรากฟันเทียม
       
       นายวิทยา กล่าวว่า เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระชนมพรรษาครบ 7 รอบ ในวันที่ 5 ธันวาคม 2554 กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จัดโครงการเฉลิมพระเกียรติฯ ให้บริการฝังรากฟันเทียมฟรี ให้แก่ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ด้อยโอกาส ที่มีปัญหาหลังใส่ฟันเทียมทั้งปากแต่ยังใช้เคี้ยวอาหารไม่ได้ดี จำนวน 8,400 รายฟรี ดำเนินการระหว่าง พ.ศ.2555-2557 โดยในปี 2555 มีเป้าหมาย 2,000 ราย ปี 2556 จำนวน 2,800 ราย และปี 2557 จำนวน 3,600 ราย เป็นการต่อยอดโครงการรากฟันเทียมเฉลิมพระเกียรติฯ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ซึ่งบรรลุเป้าหมายจำนวนกว่า 10,000 ราย ตั้งแต่ พ.ศ.2550-2554 ผู้ที่ได้รับการฝังรากฟันเทียมมีความพึงพอใจ สามารถใช้ฟันบดเคี้ยวอาหารได้ดี ทั้งนี้ การฝังรากฟันเทียมตามปกติจะมีค่าใช้จ่ายสูงมาก ราคาประมาณ 50,000-100,000 บาท เนื่องจากต้องนำเข้ารากฟันเทียมจากต่างประเทศ ทำให้ประชาชนไทยจำนวนมากที่มีปัญหา เข้าไม่ถึงบริการนี้
       
       ด้านแพทย์หญิง วิลาวัณย์ กล่าวว่า ในโครงการนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯดำเนินการผลิตรากฟันเทียม ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานนามรากฟันเทียม ว่า “ข้าวอร่อย” เนื่องจากรากฟันเทียมจะทำให้ผู้ที่สวมใส่ฟันเทียมบดเคี้ยวอาหารได้สะดวกยิ่งขึ้น ทำให้มีสุขภาพและคุณภาพชีวิตดีขึ้นกว่าเดิม ส่วนกระทรวงสาธารณสุขได้ให้สถาบันทันตกรรม กรมการแพทย์เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการให้บริการฝังรากฟันเทียม อบรมทันตบุคลากรเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ในการให้บริการ รวมทั้งสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการฝังรากฟันเทียมให้แก่หน่วยบริการต่างๆ ซึ่งมี 126 แห่ง อยู่ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข คณะทันต- แพทยศาสตร์ กระทรวงกลาโหม และกระทรวงมหาดไทย โดยทันตแพทย์จะผ่าตัดฝังรากฟันที่บริเวณขากรรไกรล่างทั้ง 2 ข้าง เพื่อเป็นตัวยึดฟันเทียมทั้งปากไว้ไม่ให้ขยับไปมาเวลาเคี้ยวอาหาร
       
       ประชาชนที่ต้องการฝังรากฟันเทียมดังกล่าว สามารถลงทะเบียนที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไปทุกจังหวัดทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยต้องเป็นผู้ที่ไม่มีฟันจริงเหลืออยู่เลย และใส่ฟันเทียมทั้งปากอยู่แล้ว หรือมีฟันเหลืออยู่ไม่กี่ซี่ มีสุขภาพแข็งแรง หากมีโรคประจำตัวต้องควบคุมได้ดี ไม่เคยฉายรังสีรักษามะเร็งบริเวณศีรษะและคอ และสามารถมาตามที่ทันตแพทย์นัดหมาย 6-7 ครั้งได้

ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 กรกฎาคม 2555

5728
“วิทยา” แย้ม ประชาชนให้ความสนใจโครงการยาเก่าแลกไข่ ขณะนี้นำยาเก่าคืนแล้วกว่า 2 ล้านเม็ด ย้ำ ต้องรอประเมินผลหลังวันที่ 5 ก.ค.
       
       วันนี้ (2 ก.ค.) นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้าโครงการไข่แลกยาเก่า ว่า ได้รับรายงานจากนายแพทย์นิทัศน์ รายยวา รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ว่า ขณะนี้ได้รับยาเก่าคืนเข้าสู่ระบบแล้ว 2 ล้านเม็ด เป็นมาตรการสร้างแรงจูงใจและกระตุ้นจิตสำนึกในการใช้ยา โดยให้นำยาหมดอายุและยาใหม่ที่ไม่ได้ใช้แล้วมาแลกไข่ เนื่องจากการบริโภคยาของประชาชนไทยที่ผ่านมา มีมูลค่าปีละนับแสนล้านบาทเป็นค่าใช้จ่ายที่สูง เริ่มที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลทุกแห่งทั่วประเทศซึ่งอยู่ใกล้บ้านที่สุด เบื้องต้นนี้จะมีการจัดคูปองแลกไข่เพื่อให้เหมาะสมกับปริมาณยา ยาที่รับคืนมาจะมีการตรวจสอบ หากพบว่าหมดอายุหรือเสื่อมสภาพจะนำไปทำลาย โครงการนี้จะประหยัดค่าใช้จ่ายด้านยาของประเทศได้หลายพันล้านบาท อย่างน้อยผู้ที่มียาอยู่แล้วไม่ได้ใช้ ก็สามารถส่งคืนสถานบริการเพื่อใช้ประโยชน์ หรือเก็บทิ้งเนื่องจากหมดอายุ
       
       นายวิทยา กล่าวต่อว่า ยาที่เก็บคืนมาได้บางชนิดเป็นยาที่มีราคาแพง เช่น ยาลดไขมันในเลือด เมื่อผู้ป่วยหมดความจำเป็นในการใช้ก็นำมาส่งคืน หรือในกรณีที่ยังใช้ยาชนิดนั้นอยู่ก็นำยาที่เหลือไปเมื่อพบแพทย์ครั้งต่อไป เพื่อให้รับยาเพิ่มจำนวนพอดีกับวันนัด ก็จะประหยัดการใช้ยาได้ หากประเมินผลหลังวันที่ 5 กรกฎาคมแล้ว พบว่า ยังมียาจากประชาชนส่งคืนอีกก็อาจจะขยายโครงการต่อไป
       
       นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ระหว่างปฏิบัติราชการที่จังหวัดนครราชสีมา ว่า นโยบายยาเก่าแลกไข่ เป็นการแก้ไขปัญหาการใช้ยาของประชาชนที่ใช้กันอย่างฟุ่มเฟือย โดยสถิติประชาชนไทยใช้ยาเฉลี่ยวันละ 128 ล้านเม็ด บางส่วนซื้อจากร้านขายยา บางส่วนไปรับยาจากสถานบริการของรัฐ บางครั้งรับมาแล้วไม่ได้ใช้ยาตามแพทย์สั่ง หรือเป็นโรคเดียวแต่ไปรักษารSendพ.หลายแห่ง ทำให้มียาเหลือค้างอยุ่ที่บ้าน ทำให้สูญเสียเศรษฐกิจของประเทศชาติอย่างมาก กระทรวงสาธารณสุขจึงมีแนวคิดที่จะเริ่มปรับการใช้ยาของประชาชน โดยจะเริ่มจากยาเก่าที่ค้างอยู่ที่บ้าน เฉพาะยาแผนปัจจุบัน ไม่รวมยาสมุนไพร ยาที่ได้รับคืนจะนำมาคัดแยก เพื่อนำยาที่หมดอายุนำไปทำลาย ส่วนยาที่ยังใช้ได้ จะแนะนำประชาชนในการใช้ยา หากไม่ใช้จะเก็บกลับไปให้สถานบริการเพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์ ซึ่งโครงการนี้เริ่มต้นที่จังหวัดเชียงราย โดยโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในอ.เมืองเชียงราย ได้ทดลองซื้อไข่ 4,000 บาท แลกยาที่ประชาชนไม่ได้ใช้มูลค่ากว่า 50,000 บาท คาดว่า ยาไม่ได้ใช้ที่ค้างตามบ้านน่าจะมีมูลค่าประมาณ 1 แสนล้านบาท
       
       ส่วนจำนวนไข่ที่ให้จะเป็นเท่าใดนั้นไม่ได้คำนวณจากจำนวน หรือราคายา แต่จะดูตามจำนวนสมาชิกในครอบครัว อาจให้ไข่ 5 ฟอง หรือมากกว่านั้นตามความเหมาะสม โดยในอนาคต อาจใช้วิธีแจกถุงยาให้ผู้ป่วยใส่ยาที่เหลือมาให้แพทย์ดูในการตรวจครั้งต่อไป ยาตัวใดที่ยังใช้ได้ก็จะให้ใช้ต่อไป จะเป็นการเริ่มต้นที่จะไม่ให้มียาเหลือไปเหน็บข้างฝาบ้านเหมือนอย่างเช่นปัจจุบัน

ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 กรกฎาคม 2555

5729
สบส.ดัน กม.วิชาชีพการแพทย์แผนไทย หวังสร้างสภาการแพทย์แผนไทย คุมมาตรฐาน จรรยาบรรณวิชาชีพ เทียบชั้นแพทยสภา เชื่อสามารถรองรับเมดิคัลฮับ
       
       นพ.สมชัย ภิญโญพรพาณิชย์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กล่าวว่า กรมฯ ได้ยกร่าง พ.ร.บ.วิชาชีพการแพทย์แผนไทย พ.ศ....ซึ่งขณะนี้อยู่ในการพิจารณาวาระ 2 ของสภาผู้แทนราษฎร โดยสาระสำคัญ เช่น ฉบับนี้จะหมายรวมครอบคลุมถึงผู้ที่ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยทั้งในลักษณะของเวชกรรมไทย เภสัชกรรมไทย การผดุงครรภ์ไทย การนวดไทย การแพทย์พื้นบ้านไทย รวมถึงผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์ ที่ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยโดยการใช้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ นอกจากนี้ยังมีสาระในด้าน ของการทำหน้าที่ควบคุม กำกับ ดูแลมาตรฐานการให้บริการของผู้ประกอบวิชาชีการแพทย์แผนไทยและการประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์ อีกทั้งควบคุมความประพฤติ จริยธรรมของผู้ประกอบวิชาชีพให้เป็นไปตามจรรยาบรรณวิชาชีพ นอกจากนี้ มีหน้าที่ในการรับขึ้นทะเบียนและออกใบอนุญาตการประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยให้กับผู้ประกอบวิชาชีพ อีกด้วย
       
       นพ.สมชัย กล่าวต่ออีกว่า พ.ร.บ.ดังกล่าว ทำให้ผู้ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการแพทย์แผนไทยทั้งหมอพื้นบ้าน และนักศึกษาการแพทย์แผนไทยในมหาวิทยาลัยต่างๆ ต้องขึ้นทะเบียนโดยมีสภาวิชาชีพที่เทียบเท่ากับแพทยสภาของแพทย์แผนปัจจุบัน ทำหน้าที่ในการดูแล กำกับมาตรฐานวิชาชีพและการพิจารณาออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย จากที่ปัจจุบันมีเพียงคณะกรรมการวิชาชีพสาขาการแพทย์แผนไทย ในสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ กรม สบส.กำกับดูแล แต่ไม่มีสภาวิชาชีพ ซึ่งจะทำให้ประชาชนคนไทยมีความปลอดภัยในการใช้บริการมากขึ้นและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ป่วยต่างชาติที่จะเข้ารับบริการจากการที่ประเทศไทยจะเป็นเมดิคัลฮับ

ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 กรกฎาคม 2555

5730
“วิทยา” เรียก “หมอเกรียง” คุยก่อนจุดคบเพลิงหน้ากระทรวงหมอ รับปากดันโครงการเงินกู้ DPL เข้า ครม.พรุ่งนี้แน่ แต่ไม่รับประกันจะได้งบทั้งหมดหรือไม่ อยู่ที่ดุลพินิจของ ครม.ด้านชมรมแพทย์ชนบทยกหูล็อบบี้ “เฉลิม” ช่วยหนุนงบเครื่องมือแพทย์ที่สนับสนุนบริการผู้ป่วย สับ สธ.ขอให้งบช้า
       
       วันนี้ (2 ก.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น.ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมแพ ในฐานะประธานชมรมแพทย์ชนบท พร้อมด้วย นพ.อารักษ์ วงศ์วรชาติ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสิชล จ.นครศรีธรรมราช นำแพทย์ในฐานะอดีตประธานชมรมแพทย์ชนบท และ นพ.วชิระ บถพิบูลย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมพวง จ.นครราชสีมา นำเจ้าหน้าที่สาธารณสุขโรงพยาบาลชุมชน (รพช.) กว่า 200 คน เดินทางมาจุดเทียนและคบไฟ เพื่อส่งสัญญาณและเรียกร้องให้ นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และรัฐบาลให้ความสำคัญกับการอนุมัติงบประมาณการจัดซื้อครุภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์ของกระทรวงสาธารณสุขทั้งหมด 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มสัมผัสกับผู้ป่วยโดยตรง อย่างการช่วยผู้ป่วยฉุกเฉิน เช่น เครื่องช่วยหายใจ 2.กลุ่มสนับสนุนบริการผู้ป่วย และ 3.กลุ่มสนับสนุนบริการแบบไม่สัมผัสผู้ป่วยโดยตรง เช่น เครื่องนึ่งฆ่าเชื้อโรค เครื่องเอ็กซ์เรย์ เครื่องกำเนิดกระแสไฟฟ้าสำรอง และเครื่องซักผ้า ตามโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 (โครงการเงินกู้ DPL) จำนวน 3,426 ล้านบาท เนื่องจากก่อนหน้านี้ มีข่าวอนุมัติงบส่วนหนึ่งและสอง แต่กลับไม่พิจารณางบส่วนที่สาม ซึ่งบางส่วนเป็นของรพช. กว่า 600 แห่ง ราว 800 ล้านบาท ทั้งๆ ที่มีรายงานเครื่องมือแพทย์ที่จำเป็นไม่ต่างจากกลุ่มอื่น
       
       นพ.เกรียงศักดิ์ กล่าวว่า การเรียกร้องครั้งนี้ เนื่องจากความล่าช้าของ รมว.สาธารณสุขในการขอใช้งบดังกล่าว ทั้งที่เป็นงบของ สธ.โดยแท้ เพียงแต่รอคำยืนยัน เพราะงบ DPL เป็นงบเงินกู้ของแคนาดาในสมัยรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งอนุมัติงบให้ สธ.ทั้งสิ้น 3,426 ล้านบาท โดยโรงพยาบาลแต่ละแห่งได้มีการประกวดราคาเรียบร้อย เหลือเพียงรอเงินมาดำเนินการ กระทั่งเปลี่ยนรัฐบาล งบดังกล่าวจึงต้องมีการยืนยันตามระเบียบ ซึ่งกระทรวงการคลังเรียก สธ.ไปยืนยันรับงบถึง 3 ครั้งด้วยกัน แต่รมว.สาธารณสุข กลับล่าช้า โดยให้เหตุผลว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ไปทำการทบทวนในรายละเอียดอีกครั้ง ซึ่งตนมองว่าทบทวนอย่างไรก็ไม่ควรล่าช้าถึงเพียงนี้ เพราะกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ยังยืนยันงบตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม 2554 และได้รับเงินจนซื้อเครื่องมือแพทย์ต่างๆ หมดแล้ว พวกตนจึงต้องมาเรียกร้อง หลังจากเคยเรียกร้องเรื่องนี้ไปยังผู้ตรวจการแผ่นดิน และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็อยากเรียกร้องรมว.สาธารณสุข ให้ผลักดันเรื่องนี้อย่างจริงจังอีกครั้ง
       
       “ก่อนการรวมตัวจุดคบไฟ ตนได้เข้าหารือกับ รมว.สาธารณสุข ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ ประมาณ 30 นาที จึงได้ข้อยุติถึงเรื่องเดินหน้าโครงการเงินกู้ DPL โดย รมว.สาธารณสุข รับปากว่า จะนำเรื่องเข้าที่ประชุม ครม.วันพรุ่งนี้ (3 ก.ค.) ซึ่งพวกตนจะรอคำตอบว่า ครม.จะอนุมัติงบโครงการ DPL หรือไม่ ทั้งนี้จะนำรายชื่อรพช.ทั้งหมด 700 กว่าแห่งเสนอต่อกระทรวงการคลัง ในวันเดียวกันด้วย เพื่อประกอบการยืนยันว่า รพช.ต้องการเครื่องมือเหล่านี้จริงๆ” นพ.เกรียงศักดิ์ กล่าว
       
       ประธานชมรมแพทย์ชนบท กล่าวอีกว่า หาก ครม.ไม่อนุมัติ และไม่มีความชัดเจนใดๆ จะมีการพิจารณาว่าจะเคลื่อนไหวอย่างไรต่อไป โดยอาจมาเรียกร้องที่กระทรวงสาธารณสุขอีก หรืออาจไปที่ทำเนียบรัฐบาล โดยยืนยันว่า ไม่ได้ต้องการสร้างความเดือดร้อนให้ใคร แต่ต้องการเรียกร้องว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันส่งผลกระทบจริงๆ เนื่องจากเครื่องมือส่วนใหญ่ที่ไม่ได้รับการพิจารณา เป็นเครื่องมือพื้นฐานของ รพ.ทุกแห่งต้องมี ทั้งนี้ ตนยังได้นำเรื่องนี้โทรศัพท์หารือกับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี และอดีต รมว.สาธารณสุข เพื่อขอให้ช่วยสนับสนุนความจำเป็นดังกล่าว ร.ต.อ.เฉลิม ก็รับปากให้การสนับสนุน
       
       ทั้งนี้ โครงการงบประมาณเงินกู้ DPL ดังกล่าว ได้แบ่งออกเป็น 4 โครงการ ได้แก่
1.โครงการของรพ.ชุมชน ระดับปฐมภูมิ จำนวน 600 แห่ง
2.โครงการรพ.ชุมชน ระดับทุติยภูมิ จำนวน 120 แห่ง
3.โครงการรพ.ทั่วไป ระดับตติยภูมิ จำนวน 60-70 แห่ง และ
4.โครงการ รพ.ศูนย์ที่มีแพทย์เชี่ยวชาญอีก 27 แห่ง โดยแต่ละระดับจะได้เครื่องมือแพทย์ที่เฉลี่ยกันแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ
1.กลุ่มสัมผัสกับผู้ป่วยโดยตรง อย่างการช่วยผู้ป่วยฉุกเฉิน เช่นเครื่องช่วยหายใจ
2.กลุ่มสนับสนุนบริการผู้ป่วย และ
3.กลุ่มสนับสนุนบริการแบบไม่สัมผัสผู้ป่วยโดยตรง เช่น เครื่องนึ่งฆ่าเชื้อโรค โดยงบทั้งหมดรวม 3,426 ล้านบาท
       
       ด้าน นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวยืนยันว่า สธ.ทำหน้าที่ตามมติ ครม.ซึ่งมีมติให้ทบทวนและจัดลำดับความสำคัญ และให้ขยายกรอบการจัดซื้อจัดจ้างจนถึงเดือนกันยายน 2556 และนำเรื่องดังกล่าวเสนอเข้าคณะอนุกรรมการกลั่นกรองการเงิน การคลัง ที่มี นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นประธานคณะอนุกรรมการ เพื่อดูภาพรวมโครงการทั้งหมด ซึ่งในส่วนของ สธ.เป็นหน้าที่ของฝ่ายข้าราชการประจำที่จะทำงานเรื่องการทบทวนงบประมาณ และสอบถามความจำเป็นของส่วนราชการอีกครั้ง ว่า ยังมีความจำเป็นหรือไม่ และจะสามารถปรับลดงบประมาณส่วนไหนลงไปได้อีกบ้าง เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่องบประมาณโดยรวมของประเทศ เบื้องต้นได้จัดกลุ่มตามอันดับความจำเป็น เช่น อุปกรณ์เครื่องช่วยหายใจ เครื่องเอกซเรย์ โดยจัดเป็น 3 กลุ่ม ซึ่งเบื้องต้นกลุ่ม 1-2 คาดว่า จำเป็นก่อน ส่วนกลุ่ม 3 ราว 800 ล้านบาท อยู่ระหว่างพิจารณา แต่ทั้งหมดจะเสนอเข้า ครม.วันที่ 3 กรกฎาคมนี้ โดยทุกอย่างขึ้นอยู่กับดุลพินิจของ ครม.

ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 กรกฎาคม 2555

หน้า: 1 ... 380 381 [382] 383 384 ... 537