แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - story

หน้า: 1 ... 385 386 [387] 388 389 ... 535
5791
ศ.ดร.สมคิด ​เลิศ​ไพฑูรย์ อธิ​การบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ​เปิด​เผย​เกี่ยวกับ​แนว​โน้มของ​การรับตรงของธรรมศาสตร์ที่ผ่านมาว่า ​การรับตรง​เป็นช่องทางที่​ได้รับ​ความสน​ใจ​เพิ่มขึ้นอย่างมาก ​โดยมีอัตรา​การ​แข่งขันสูงขึ้นอย่างต่อ​เนื่อง​โดย​ในปี​การศึกษา 2554 มหาวิทยาลัยมี​แผนรับนักศึกษาผ่านระบบสอบตรงจำนวน 1,572 คน ​แต่มี​ผู้มาสมัคร​ทั้งสิ้น 28,847 คน อัตราส่วน​การ​แข่งขัน 1 : 18.4 ​ในขณะที่ปี​การศึกษา 2555 มี​แผนรับนักศึกษาผ่านระบบสอบตรงจำนวน 1,674 คน ​แต่มี​ผู้มาสมัคร​ทั้งสิ้น 42,140 คน มีอัตรา​การ​แข่งขันสูง​ถึง 1:25.2

อธิ​การบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวต่อว่า หาก​เจาะลงรายคณะ พบว่าอัตรา​การ​แข่งขัน​เพิ่มขึ้น​เกือบทุกคณะ​และสาขาวิชา ​ทั้งสายสังคมศาสตร์​และวิทยาศาสตร์ ​โดยคณะที่​ได้รับ​ความสน​ใจ​และมีอัตรา​การ​แข่งขันสูงมากคือ คณะสห​เวชศาสตร์ สาขา​เทคนิค​การ​แพทย์ มีอัตรา​การ​แข่งขันสูง​ถึง 1:215 รองลงมาคือ คณะพยาบาลศาสตร์ อัตรา​การ​แข่งขัน 1:75 ​และคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรม​ไฟฟ้า มีอัตราส่วน​การ​แข่งขัน 1:72 สำหรับสายสังคมศาสตร์ ​เช่น คณะรัฐศาสตร์ สาขา​การระหว่างประ​เทศ อัตราส่วน​การ​แข่งขัน 1:44 คณะนิติศาสตร์ อัตรา​การ​แข่งขัน 1:18

​ในส่วนคุณภาพของนักศึกษาที่ผ่านจากระบบรับตรงนั้น ศ.ดร.สมคิด กล่าว​เพิ่ม​เติมว่า จากระบบรับตรง ช่วย​ให้คณะ​หรือสาขาวิชาต่างๆ สามารถคัด​เลือกนักศึกษาที่มีคุณภาพ​เข้าศึกษาต่อ ​และ​ไม่มี​การย้ายคณะภายหลัง ตลอดจนลดอัตรา​การ retire ของนักศึกษาชั้นปีที่ 2 ​เนื่องจากนักศึกษา​เหล่านี้มี​ความ​เข้า​ใจ​ในสาขาที่ตน​เรียน ​เช่น กรณีคณะรัฐศาสตร์ พบว่า นักศึกษาที่​ได้รับคะ​แนน​เฉลี่ยสูงสุด​ใน​ทั้ง 3 สาขาวิชาของคณะ ​เป็นนักศึกษาที่ผ่านระบบรับตรง​เข้ามา ส่วนสถาบัน​เทค​โน​โลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) พบว่า ​การรับนักศึกษาผ่านระบบรับตรง ช่วย​ทำ​ให้อัตรา​การ retire ลดลงอย่างมาก จากกรณีสถาบันรับผ่าน Admission ปกติ มีนักศึกษา retire ประมาณร้อยละ 15 ​ในขณะที่​การรับตรงนักศึกษาผ่านมหาวิทยาลัย ​ทำ​ให้สัดส่วนนักศึกษา retire ลดลงอยู่ที่ประมาณร้อยละ 5 ​เท่านั้น

สำหรับ​เยาวชนว่าที่นักศึกษาธรรมศาสตร์ ที่สามารถสอบ​เข้าศึกษาต่อ ​โดย​เริ่มจากคณะยอดฮิตของสายสังคมศาสตร์ นายณภัทร ว่องธรรมวิชา จาก​โรง​เรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต ​ซึ่งสอบ​ได้คะ​แนนสูงสุดของสาขาบริหารรัฐกิจ คณะรัฐศาสตร์ บอก​ถึง​การ​เลือกศึกษาต่อ​ในสาขาบริหารรัฐกิจ กล่าวว่า ชอบทางด้านนี้​และคิดว่า​เหมาะกับตน​เอง ​และธรรมศาสตร์​เป็นมีชื่อ​เสียง​ในด้านรัฐศาสตร์อยู่​แล้วประกอบกับ​ผู้ปกครองสนับสนุน​ให้​เรียนที่นี่ ​จึงตัดสิน​ใจ​เลือกสอบ​เข้าที่ธรรมศาสตร์ ส่วน​เทคนิค​การ​เรียน​ให้ประสพผลสำ​เร็จนั้น ขอย้ำว่า​การอ่านหนังสือสำคัญมาก ​ให้​เวลากับ​การอ่านหนังสือมากที่สุด ​โดย​แบ่ง​เวลากับ​การอ่านร้อยละ 70 ​และอีกร้อยละ 30 ​เป็น​การ​ทำ​แบบฝึกหัด 3-4 ปีย้อนหลัง ประกอบกับ​การ​เรียนพิ​เศษ​และ​การ​ได้คำ​แนะนำจากรุ่นพี่ที่​เรียนคณะนี้อยู่​แล้ว ​ก็มีผล​ทำ​ให้​เราอ่านหนังสือ​ได้ตรงจุด ​และรู้​แนวข้อสอบมากยิ่งขึ้น

ส่วน​ในสายวิทยาศาสตร์ นายนภดล ศรีคง จาก​โรง​เรียนวิ​เชียรมาตุ จังหวัดตรัง ที่สอบติดคณะสห​เวชศาสตร์ สาขา​เทคนิค​การ​แพทย์ ​ซึ่ง​เป็นคณะยอดนิยมที่มีอัตรา​การ​แข่งขันสูงที่สุด​ใน​การรับตรงของธรรมศาสตร์ปีนี้ กล่าวว่า รู้สึกดี​ใจที่สอบติด​ในระบบรับตรงของคณะสห​เวชศาสตร์ ​เพราะตน​เองชอบ​และสน​ใจศึกษา​ในสายวิทยาศาสตร์สุขภาพ ​และธรรมศาสตร์ถือว่า​เป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อ​เสียง​จึง​เลือกที่นี่ ส่วน​เคล็ดลับ​ใน​การ​เรียน​ให้ประสบ​ความสำ​เร็จ ตน​เอง​ไม่​ได้​เรียนพิ​เศษกวดวิชา​ใดๆ ​เลย ​แต่​เน้น​ความขยันค้นคว้าอ่านหนังสือ​ให้ลึก​และรอบด้านมากที่สุด​เท่าที่จะ​ทำ​ได้ ​โดยอ่านจากหลายๆ สำนัก ​เพราะ​แต่ละสำนักมี​การวิ​เคราะห์ที่​แตกต่างกัน​ไป​ซึ่ง​เป็นประ​โยชน์ ​ทำ​ให้​ได้​ความรู้หลากหลาย​แง่มุม ​และครอบคลุมมากขึ้น ​และ​ทำ​แบบฝึกหัด จากนั้นมา​เน้นย้ำจาก​การ​เรียน​ในห้อง​เรียนอีกครั้ง ​ทั้งนี้ ​ผู้สน​ใจค้นหาข้อมูลคณะต่างๆ ที่สน​ใจ ​หรือติดตามข่าว​การรับสมัคร​เข้าศึกษาต่อ สามารถดูรายละ​เอียด​ได้ที่ www.reg3.tu.ac.th

บ้าน​เมือง -- จันทร์ที่ 7 พฤษภาคม 2555

5792
นาย​แพทย์สาธารณสุขจังหวัดราชบุรี ​ไอ​เดีย​แจ๋ว นำกฎระ​เบียบวินัยของลูก​เสือนำมาประยุกต์​ใช้กับ อสม. ​เพื่อสร้างระ​เบียบวินัยรู้จัก​การ​ทำงาน​เป็นทีม พร้อมสร้างจิตสำนึกรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์

​เมื่อ​เร็วๆนี้ นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่า​การกระทรวงสาธารณสุข ​และคณะ ลงพื้นที่จังหวัดราชบุรี ​เพื่อ​เยี่ยมชม​การ​ทำงานของ
อสม.(อาสาสาธารณสุขหมู่บ้าน) ราชบุรี ​โดย​ใช้กระบวน​การลูก​เสือ​เข้ามามีบทบาทสำคัญ​ใน​การพัฒนางานของ อสม.

นายวิทยา กล่าวว่า ขณะนี้ประ​เทศ​ไทยมี อสม.กระจายทุกหมู่บ้านรวม 1 ล้านคน ​ในปี 2555 นี้ กระทรวงสาธารณสุขจะ​เน้น​การสร้าง​แรงจูง​ใจ​และพัฒนาขีด​ความสามารถของ อสม. ​โดยอบรม​ให้​เป็น อสม.​เชี่ยวชาญ​เฉพาะด้าน 10 สาขา จำนวน 200,000 คน ​ได้​แก่

1.​การ​เฝ้าระวังป้องกัน ​และควบคุม​โรคติดต่อ ​เช่น ​ไข้​เลือดออก

2.​การส่ง​เสริมสุขภาพ ป้องกัน​และควบคุม​โรค​ไม่ติดต่อ ​เช่น ​เบาหวาน 3.​การส่ง​เสริมสุขภาพจิตชุมชน

4.​การป้องกัน​แก้​ไขปัญหายา​เสพติด​ในชุมชน

5.​การบริ​การ​ในศูนย์สาธารณสุขมูลฐานชุมชนที่มีกว่า 70,000 ​แห่ง ​และ​การสร้างหลักประกันสุขภาพ

6.​การคุ้มครอง​ผู้บริ​โภคด้านสุขภาพ

7.​การส่ง​เสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพ

8.​การป้องกัน​และ​แก้​ไขปัญหา​เอดส์​ในชุมชน

9.​การจัด​การสุขภาพชุมชน ​และ

10.​การจัด​การอนามัย​แม่​และ​เด็ก

​และพัฒนา อสม.​ใน​เรื่อง​การจัด​การ​ในภาวะวิกฤติ จำนวน 74,944 คนด้วย ​โดยจะสนับสนุน​เครื่องมืออุปกรณ์จำ​เป็นพื้นฐาน​ใน​การปฏิบัติงาน​ให้​แก่อสม.ที่ผ่าน​การอบรม​ทั้งหมด

น.พ.บุญ​เรียง ชูชัย​แสงรัตน์ นาย​แพทย์สาธารณสุขจังหวัดราชบุรี ​เปิด​เผยว่า จำนวน อสม.​ในพื้นที่​เขต​ความรับผิดชอบของจังหวัดราชบุรีมีด้วยกัน 10 อำ​เภอ มีจำนวน 11,640 คน จาก​เดิม​ความรับผิดชอบของ อสม. 1 คน จะดู​แล 10 หลังคา​เรือน ​ทำ​ให้​การ​ทำจะ​เป็น​ไป​ในลักษณะต่างคนต่าง​ทำ ​แต่ละคนมี​ความ​เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ​ไม่​เหมือนกัน ​ซึ่งตรงข้ามกับ​การดู​แลลูกบ้าน ​ซึ่ง​ในบ้านหลังหนึ่งประกอบด้วยคนหลายวัย ที่มี​ทั้ง​เด็ก สตรี คนชรา ​ผู้ป่วย คนพิ​การ ​เป็นต้น

น.พ.บุญ​เรียง กล่าวว่า จาก​การ​ทำงานของ อสม.ที่ผ่านมา ​เหมือน​เป็น​การ​ทำงาน​แบบตัว​ใครตัวมัน ​การอบรม​เพิ่ม​เติม​ความรู้จะมีอยู่​แต่​ในห้องประชุม มี​แต่​เรื่องของวิชา​การที่บางครั้งคนฟังยังหลับ ​ซึ่งบางครั้ง​การอบรม​ก็​ไม่สัมฤทธิผล ​เพราะ​ไม่สามารถนำ​ไปปฏิบัติ​ได้จริง ตน​จึง​ได้​เปลี่ยน​แนวคิด​การอบรม​แบบ​ใหม่ ​โดย​ใช้หลัก​การฝึกอบรมด้วยกระบวน​การลูก​เสือ ​หรือ​เรียกว่า ลูก​เสือ อสม.

​การอบรม​แบบลูก​เสือ อสม.จะ​ใช้รูป​แบบกิจกรรมบัน​เทิง​เป็นตัว​เชื่อม​ความสัมพันธ์ระหว่าง อสม.​ในพื้นที่​เดียวกัน ​ซึ่ง​เป็นหัว​ใจสำคัญของ​การ​ทำงาน จากนั้นรูป​แบบ​การอบรมต่อมาคือ ​การอบรม​แบบปฏิบัติจริง ​โดย​แบ่ง​เป็นฐาน​การ​เรียนรู้ต่างๆ อสม.ที่​เข้าอบรมสามารถ​โต้ตอบกับวิทยากร​ได้​แบบตัวต่อตัว นอกจากนี้ กระบวน​การลูก​เสือยังช่วย​ใน​เรื่องของ​การต่อยอด​เรื่อง​ความรักสามัคคี ​และ​เทิดทูน​ทั้ง 3 สถาบัน คือ ชาติ ศาสนา ​และพระมหากษัตริย์

อย่าง​ไร​ก็ตาม ​ในปี 2555 นี้ ทางจังหวัดราชบุรีมี​เป้าหมายที่จะ​ให้ลูก​เสือ อสม.​เข้า​ไปดู​แลสุขภาพของพี่น้องประชาชน ​ใน​เรื่องของ​โรค​เบาหวาน​และ​ความดัน​โลหิตสูง ​ซึ่งสอดคล้องกับ​แนวทางของกระทรวงสาธารณสุขที่​ให้ทุกจังหวัดจัดกิจกรรมรณรงค์คัดกรอง​เบาหวาน​และ​ความดัน​โลหิตสูง​ในประชากรที่มีอายุ 15 ปีขึ้น​ไป ​ในช่วง​เดือน​แห่ง​การรณรงค์วัน อสม.​แห่งชาติที่ผ่านมา

"ภายหลัง​การอบรมลูก​เสือ อสม.​แล้ว พบว่า อสม.มี​ความรัก สามัคคี รู้จัก​การ​ทำงาน​เป็นทีม มี​ความ​เสียสละประ​โยชน์ส่วนตน ​เพื่อประ​โยชน์ของคนส่วนรวมมากขึ้น​และงานดู​แลชุมชน​ก็มี​การพัฒนา​ไป​ในทิศทางที่ดีขึ้น"

"ลูก​เสือ อสม." ​เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของ​การประยุกต์​ใช้วิชาลูก​เสือมา​ใช้​ใน​การอบรม อสม. ​และพัฒนา​การ​ทำงานของ อสม.​ให้​เป็น​ไป​ในทิศทางที่ดีขึ้น

บ้าน​เมือง -- อาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม 2555

5793
ในช่วงหน้าร้อนยังมี​โรคระบาดอีกประ​เภทที่มองข้าม​ไม่​ได้ คือ​โรคอุจจาระร่วง/ท้อง​เสีย/ท้อง​เดิน ​เมื่อ​ได้รับ​เชื้อ​โรค​เข้าสู่ร่างกายจะ​ทำ​ให้​เกิดภาวะที่ร่างกายถ่าย​เป็นน้ำ​หรือถ่าย​เหลวมากกว่าวันละ 3 ครั้ง ​หรือถ่าย​เป็นมูก อา​การท้อง​เสีย​เนื่องจาก​เนื้อ​เยื่อที่ผนังลำ​ไส้​ใหญ่มี​การระคาย​เคือง​ซึ่งอาจ​เกิดจากสาร​เคมีบางชนิด​หรือพิษของ​เชื้อ​โรค ​ทำ​ให้ลำ​ไส้​ใหญ่บีบตัวมากกว่าปกติ ​จึง​เกิด​การถ่ายอุจจาระบ่อยๆ ​เป็น​โรคที่จะพบ​ในช่วงที่มีฝนตกชุก​และมีน้ำท่วมขัง น้ำท่วม ​เกิดจาก​เชื้อ​แบคที​เรียที่ปน​เปื้อนมากับน้ำที่ชาวบ้านนำมารับประทาน​หรือนำมาประกอบอาหาร ​หรือมากับขยะ​และน้ำ​เน่า

อันตรายที่​เกิดจาก​โรคนี้คือ​เมื่อร่างกายถ่ายมาก​ทำ​ให้​เกิดภาวะขาดน้ำ​และ​เกลือ​แร่​ได้ อาจส่งผลอันตราย​ถึงชีวิต ​โดย​เฉพาะ​ใน​เด็ก​เล็ก​และ​ผู้สูงวัย

​การ​ใช้สมุน​ไพรตามหลัก​การ​แพทย์​แผน​ไทย ​ใช้ยารสฝาด​ใน​การรักษาอา​การท้องร่วงท้อง​เสีย รสฝาด มีสารสำคัญคือ​แทนนิน ​เป็น กรดอ่อนๆ มีฤทธิ์ยับยั้ง​การ​เจริญของ​แบคที​เรีย​ได้ มักพบ​ใน​เปลือกต้น​หรือ​แก่นของพืช​เป็นส่วน​ใหญ่ ​เรียกว่า คอน​เดนส์​แทนนิน (condensed tannins) ​หรือ​โปร​แอน​โทร​ไซยานิน (proanthro-cyanin) ​แต่ถ้าพบมาก​ในส่วนของ​ใบ​หรือฝัก ​เรียกว่า สาร​ไฮ​โดร​ไลซ์​แทนนิน (hydrolysable tannins) สาร​แทนนิน​เมื่อสัมผัสกับผนังลำ​ไส้​ใหญ่จะรวมตัวกับ​โปรตีนที่​เนื้อ​เยื่อบุผิว​แล้ว​เปลี่ยน​เป็นสารที่สามารถ​ทำลาย​โปรตีนของตัว​เชื้อ​โรค ​และ​ทำ​ให้​เชื้อ​โรคตาย

สาร​แทนนิน​หรือรสฝาด​ทำหน้าที่​ใน​การสมาน ​จึง​เป็นรสยาที่นำ​ไป​ใช้​แก้​ในทางสมาน​แผล ​แก้ท้องร่วง ​แก้บิด ช่วยฆ่า​เชื้อ​โรค ยับยั้ง​การ​เจริญ​เติบ​โตของ​แบคที​เรีย บำรุงธาตุ ​แก้ร้อน​ใน​เคลือบ​แผล​ในกระ​เพาะอาหาร   ​เมื่อร่างกาย​เจ็บป่วย​เราสามารถนำสมุน​ไพร​หรืออาหารที่มีรสชาติฝาดมา​ใช้​ใน​การรักษา​หรือดู​แลสุขภาพ​เรา​ได้ ​ในทาง​การ​แพทย์​แผน​ไทยกล่าวว่า ​ผู้ที่รับประทานสารนี้​เข้า​ไปมากจะ​ทำ​ให้คอ​แห้ง กระหายน้ำ ท้องอืด ท้องผูก ​แสลงกับ​โรค​ไอ ​โรคลม ธาตุ​ไฟพิ​การ

สมุน​ไพรที่มีฤทธิ์​แก้อา​การท้อง​เสียท้องร่วงที่​เรารู้จักทั่ว​ไปมีหลายชนิด บางชนิด​ใช้​แก้อา​การท้อง​เสียที่ติด​เชื้อ​ได้ บางชนิด​ใช้​แก้​ได้​ในชนิด​แบบ​ไม่ติด​เชื้อ ​ซึ่งต้องศึกษาคุณประ​โยชน์ของสมุน​ไพร​เหล่านี้ ​และนำ​ไป​ใช้ดู​แลสุขภาพ​ได้อย่างถูกประ​เภท ​เช่น

ทับทิม ​ใช้​เปลือกผล รสฝาด ฆ่า​เชื้อ ชะล้างบาด​แผล วิธี​ใช้ ​เอา​เปลือกผลสด ต้มกับน้ำดื่ม​หรือ​ใช้​เปลือกผล​แห้ง ต้มกับน้ำปูน​ใส​แก้อา​การบิด ที่มีอา​การปวด​เบ่ง มีมูก​และ​เลือดติด ​แต่ถ้าอา​การหนักกว่านี้​และถ่ายบ่อยครั้ง​ก็ต้องรีบ​ไปหาหมอทันที

ฝรั่ง ​ใช้​ใบ รสฝาด ดับกลิ่น ฆ่า​เชื้อ ส่วนผลอ่อน รสฝาด ​แก้ท้อง​เสีย วิธี​ใช้ ​ให้​เอา​ใบ​แก่ 10-15 ​ใบปิ้ง​ไฟ​และชงน้ำรับประทาน ​หรือ​ใช้ผลอ่อน 1 ผล ฝนกับน้ำปูน​ใสรับประทาน

ข่อย ​ใช้​เปลือกต้น รส​เมาฝาดขม ​แก้​โรคผิวหนัง รักษา​แผล วิธี​ใช้ นำ​เปลือกต้นต้มน้ำดื่ม​แก้ท้องร่วง ​หรือ​เปลือกต้นหุง​เป็นน้ำมันทารักษาริดสีดวงทวาร​ได้ด้วย

ฝาง ​ใช้​แก่น รสขมฝาด บำรุง​โลหิต ​แก้ร้อน​ในกระหายน้ำ ​แก้ท้องร่วง ธาตุพิ​การ ​โดย​ใช้​แก่นต้มน้ำ​แบบ​เคี่ยว ดื่ม​แก้อา​การท้องร่วง

มะตูม ​ใช้ผลอ่อน รสฝาดร้อนปร่าขื่น​แก้ธาตุพิ​การ ​แก้ท้อง​เสีย ​แก้บิด บำรุงกำลัง วิธี​ใช้​ให้​เอาผลอ่อนหั่น​เป็น​แว่นตาก​แห้งนำ​ไปต้มน้ำดื่ม​แก้ร้อน​ในกระหายน้ำ ฆ่า​เชื้อ​ในลำ​ไส้ บำรุงหัว​ใจ บำรุงธาตุ ช่วย​เจริญอาหาร

มะ​เดื่ออุทุมพร ​ใช้​เปลือกต้น รสฝาด​เย็น ​แก้ท้องร่วง ชะล้างบาด​แผล​โดย​ใช้​เปลือกต้น​ใช้ต้มชะล้าง​แผล รับประทาน​แก้ท้องร่วง

มังคุด ​ใช้​เปลือกผล รสฝาด มีฤทธิ์ฆ่า​เชื้อ​แบค ที​เรีย​ซึ่ง​ทำ​ให้​เกิดหนอง ​แก้​โรคท้องร่วง ท้อง​เสีย​เรื้อรัง ​และ​โรค​เกี่ยวกับลำ​ไส้ วิธี​ใช้ รักษา​โรคท้อง​เสีย​เรื้อรัง ​และ​โรคลำ​ไส้​ใช้​เปลือกมังคุดครึ่งผล (ประมาณ 4-5 กรัม) ต้มกับน้ำ รับประทานครั้งละ 1 ถ้วย​แก้ว ถ้า​เป็นยาดอง​เหล้า รับประทานครั้งละ 1 ช้อนชา ​โดยชงดื่มกับน้ำอุ่นประมาณครึ่ง​แก้ว

​ใช้​เป็นยา​แก้อา​การท้อง​เดิน ท้องร่วง ​ใช้​เปลือกผลมังคุดตาก​แห้งต้มกับน้ำปูน​ใส ​หรือฝนกับน้ำรับประทาน ​ใช้​เปลือกต้มน้ำ​ให้​เด็กรับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนชา ทุก 4 ชั่ว​โมง ​ผู้​ใหญ่ครั้งละ 1 ช้อน​โต๊ะ ทุก 4 ชั่ว​โมง  ​หรือยา​แก้บิด (ปวด​เบ่ง​และมีมูก​และอาจมี​เลือดด้วย) ​ใช้​เปลือกผล​แห้งประมาณ 1/2 ผล (4 กรัม) ย่าง​ไฟ​ให้​เกรียม ฝนกับน้ำปูน​ใสประมาณครึ่ง​แก้ว ​หรือบด​เป็นผง ละลายน้ำสุก รับประทานทุก 2 ชั่ว​โมง

ชาจีน ​ใบ รสฝาดชุ่ม ​แก้บิดปิดธาตุสมาน​แผล กระตุ้นหัว​ใจ ​แก้ปวด​เมื่อยตามร่างกาย​แก้ท้องร่วง ​แก้ง่วงนอน วิธี​ใช้ ชง​ใบชาจีน​แก่ๆ ทิ้ง​ไว้จน​ได้น้ำสี​เหลือง​เข้ม ​ใช้จิบ​เรื่อยๆ

ฟ้าทะลาย​โจร ​ใบ​หรือ​ทั้งต้น รสขม ​แก้​ไข้ ​แก้หวัด ​แก้ปอดอัก​เสบ ​แก้บิด ​แก้ท้อง​เสีย วิธี​ใช้ ​ให้​เอา​ใบสด​หรือ​ทั้งต้น 1 กำมือ ต้มน้ำดื่มก่อนอาหารวันละ3 ครั้ง ​หรือ​ทั้งต้น​หรือ​ใบตาก​แห้งบด​เป็นผงละ​เอียดที่บรรจุ​แคปซูล ​แคปซูลละ 500 มิลลิกรัม ​ให้กินครั้งละ 2 ​เม็ด วันละ 2-3 ครั้ง ก่อนอาหาร​เช้า กลางวัน​และ​เย็น หยุดยา​เมื่อหยุดถ่ายข้อควรระวัง​เมื่อ​ใช้​แล้ว​เกิดอา​การข้าง​เคียงที่อาจพบคือ คลื่น​ไส้อา​เจียน​เป็นน้ำ​ใส ​ไม่สบาย​ในท้อง ถ้า​เป็นมาก​ให้หยุดยา

​แค ​เปลือกต้น รสฝาด ​แก้บิดมูก​เลือด คุมธาตุ สมาน​ทั้งภาย​ในภายนอก ชะล้างบาด​แผล นำ​เปลือกต้น​แค ​เอาส่วนด้าน​ในที่มีสีขาวมาต้มกับน้ำ ดื่ม​เพื่อรักษาอา​การท้อง​เสีย​แก้บิด​แก้มูก​เลือด คุมธาตุ ​หรือ​ใช้ภายนอกนำ​ไปชะล้างบาด​แผล ฆ่า​เชื้อ​ได้

​ไพล ​ใช้​เหง้า วิธี​ใช้ ​แก้บิดท้อง​เสีย​ใช้​เหง้า​ไพลสดหั่น​เอาสัก 4-5 ​แว่น นำ​ไปตำ​ให้ละ​เอียด คั้น​เอา​แต่น้ำ​เติม​เกลือครึ่งช้อนชา ​ใช้รับประทาน ​หรือฝนกับน้ำปูน​ใสรับประทาน.

ไทย​โพสต์ -- อาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม 2555

5794
 เมื่อวันที่ 5 พ.ค. นายทองสุข สุวรรณประภา อายุ 40 ปี พนักงานสูบน้ำ สังกัดกองช่าง ของสำนักงานเทศบาลตำบล(ทต.) เวียงลอ อ.จุน จ.พะเยา เข้าร้องทุกข์ต่อนายไมตรี อินทุสุต ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยาว่า ขณะนี้นางนุศรา สุวรรณประภา อายุ 30 ปี ภรรยาที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งเต้านมเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลมหาราชเชียงใหม่ตั้งแต่เดือนก.ย. 2554 ต้องฉีดยาเข็มละ 98,000 บาท ทุกๆ 21 วัน และในวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมาถึงรอบที่ภรรยาต้องไปฉีดยา แต่ปรากฏว่าส่วนการเงินของโรงพยาบาลมหาราชเชียงใหม่แจ้งว่าไม่สามารถจ่ายยาให้ได้อีกต่อไป เนื่องจากต้นสังกัดคือ ทต.เวียงลอ ค้างชำระค่ารักษาพยาบาลจำนวน 709,468 บาท เกรงว่าหากภรรยาไม่ได้รับการรักษาตามแผนการรักษาของแพทย์อาจจะมีอันตราย

 นายทองสุขกล่าวต่อว่า ก่อนที่จะมาทำหน้าที่ในทต.เวียงลอ เป็นลูกจ้างประจำโครงการสูบน้ำด้วยพลังไฟฟ้า กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ถ่ายโอนงานมาที่ทต.เวียงลอ เมื่อวันที่ 10 ก.ค.2546 ไม่คิดว่าจะมีปัญหาลักษณะนี้ ซึ่งทางโรงพยาบาลแจ้งเลื่อนนัดรับยาไปเป็นวันที่ 16 พ.ค. โดยมีเงื่อนไขว่าทางทต.เวียงลอ ต้องชำระเงินที่ค้างก่อน

 พนักงานสูบน้ำทต.เวียงลอกล่าวอีกว่า ขณะที่ต้นสังกัดคือ ทต.เวียงลอก็แจ้งว่าไม่สามารถชำระค่ารักษาพยาบาลได้เนื่องจากเงินในหมวดไม่เพียงพอ และเมื่อทต.เวียงลอ ทำหนังสือขออนุมัติค่ารักษาพยาบาลไปที่สำนักงานท้องถิ่นจังหวัดพะเยา ได้รับการตอบกลับว่าเงินอุดหนุนค่ารักษาพยาบาลสำหรับข้าราชการถ่ายโอนมีน้อย ไม่เพียงพอสำหรับจ่ายค่ารักษาดังกล่าว ต้องรอเงินอุดหนุนในไตรมาสต่อไป จึงต้องร้องขอความช่วยเหลือจากจังหวัดประสานงานทางโรงพยาบาลหรือส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้เมตตาช่วยเหลือด้วย

 ปัญหาที่ภรรยาของผมประสบเหตุในครั้งนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่เพื่อนข้าราชการถ่ายโอนอีกหลายคนที่ประสบชะตากรรมเดียวกันเพราะมาแต่คน เงินไม่ให้มา จึงอยากร้องขอให้ทางผู้ที่เกี่ยวข้องเร่งหาแนวทางแก้ไขเพื่อช่วยเหลือข้าราชการถ่ายโอน โดยเฉพาะกรณีค่ารักษาพยาบาลควรเป็นการจ่ายตรงเหมือนข้าราชการทั่วไป เพราะทุกวันนี้ผมยังเบิกจ่ายเงินจากต้นสังกัดเดิม คือกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน กระทรวงวิทย์ หากการถ่ายโอนภารกิจของหน่วยงานราชการสู่ท้องถิ่นถ่ายทั้งคน งาน และเงิน จะดีมาก ทุกคนที่ทำงานและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะได้รับความเป็นธรรม ไม่ประสบปัญหาอีกต่อไป นายทองสุขกล่าว


ข่าวสดออนไลน์  5 พฤษภาคม พ.ศ. 2555   


5795
 โลกใต้ทะเลของไทย ทั้งฝั่งอ่าวไทย และอันดามัน ได้ชื่อสวยงามติดระดับโลก นั่นจึงทำให้แต่ละปีมีนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ดำดิ่งลงไปสัมผัสกับความงามของโลกใต้ทะเลไทยกันเป็นจำนวนมาก
       
       สำหรับแหล่งดำน้ำที่มีชื่อเสียงของไทยนั้น มีอยู่ไม่น้อย ซึ่งในที่นี้ “ตะลอนเที่ยว” ขอคัดสรรกลุ่มเกาะ และหมู่เกาะที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งดำน้ำยอดฮิตของไทยมา 5 แห่ง ซึ่งจะมีที่ไหนบ้าง ขอเชิญทัศนากันได้

       เกาะเต่า-เกาะนางยวน
       
       “เกาะเต่า-เกาะนางยวน” 2 เกาะดังแห่ง จ.สุราษฎร์ธานี ได้ชื่อว่ามีโลกใต้ทะเลที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของอ่าวไทย
       
       สำหรับจุดดำน้ำที่ได้รับความนิยมก็มีหลายแห่งด้วยกัน เช่น “กองหินชุมพร” เป็นจุดดำน้ำที่มีชื่อที่สุดของเกาะเต่าลักษณะเป็นกองหินใต้น้ำขนาดใหญ่ มีความลึกตั้งแต่ 12-32 เมตร มีดอกไม้ทะเล ปะการังดำ ปลาหูช้าง ปลาสาก ปลาเก๋าดอกหมาก ขนาดยักษ์ และฉลามวาฬ ที่แวะเวียนมาประจำ
       
       ส่วนอีกหนึ่งจุดได้แก่ “กองตุ้งกู” ลักษณะเป็นกองหินใต้น้ำ มีปะการังดำ ฝูงปลานานาชนิด และปลาเก๋าขนาดใหญ่ และ “กองหินวง” ก็เป็นกองหินใต้น้ำเช่นกัน มีปะการังอ่อนสีสันสวยงาม รวมทั้ง แส้ทะเล หวีทะเล เป็นจำนวนมาก

       ใกล้ๆ กับเกาะเต่า มี “เกาะนางยวน” ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งแหล่งดำน้ำที่สวยงาม โดยมีมีจุดเด่นๆให้เลือกดำน้ำ เช่น “กองหินนางยวน” จะเป็นกองหินเรียงอยู่ทำให้มีโพรงถ้ำเล็กๆ ใต้น้ำมากมาย
       
       หรือจะเป็นที่ “กองหินขาว” เป็นกองหินย่อยๆกระจายในบริเวณกว้าง มีปะการังอ่อนสีสวย กัลปังหา แส้ทะเล ปลาวัวหน้านวล ส่วน “เกาะกงทรายแดง” สัตว์ที่พบเห็น ได้แก่ ปะการังแข็ง ฟองน้ำ ปลาวัว และ ฉลามเสือดาว
       
       ด้วยความงามของโลกใต้ทะเลของเกาะเต่า เกาะนางยวน อีกทั้งที่นี่ยังเป็นแหล่งดำน้ำนอกฤดูกาลยอดฮิต ทำให้ที่นี่เป็นแหล่งผลิตนักเรียนดำน้ำแบบ Scuba ตามหลักสูตรของ Padi จากสหรัฐอเมริกาที่มากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นโรงเรียนสอนดำน้ำที่มีชื่อมากแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว

       หมู่เกาะสิมิลัน
       
       “หมู่เกาะสิมิลัน” แห่งท้องทะเลอันดามัน จ.พังงา ปัจจุบันมี 11 เกาะน้อยใหญ่ มีสัญลักษณ์ คือหินเรือใบที่เกาะแปด (สิมิลัน) อันเลื่องชื่อ
       
       หมู่เกาะสิมิลันแหล่งดำน้ำลึกอันดับหนึ่งของเมืองไทย และสวยงามติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก ที่นี่มีจุดดำน้ำเด่นๆ คือ “เกาะตาชัย” เต็มไปด้วยปะการังหลากสีสันและฝูงปลานานาชนิด รวมถึงยังสามารถพบสัตว์ใหญ่อย่าง ฉลามวาฬ ฉลามเสือดาว กระเบนราหู ได้บ่อยครั้ง ส่วน “เกาะบอน” เต็มไปด้วยปะการังอ่อนขนาดเล็ก และมีโอกาสพบกระเบนราหูได้บ่อยครั้ง ส่วนใครโชคดีจะได้พบกับฉลามครีบดำที่นานจะโผล่มาโชว์ตัวสักที

       นอกจากนี้ ยังมี “เกาะสาม” ที่แม้เป็นหน้าผาไม่มีหาดทราย แต่ว่าโลกใต้น้ำที่นี่งดงาม เพราะบริเวณนี้มีกำแพงเมืองจีนหรือสันฉลาม ซึ่งเป็นกำแพงหินธรรมชาติใต้น้ำอันตระการตา มักพบปลาฉลามครีบเงิน ฉลามเสือดาว และฝูงปลาจำนวนมากมาหากินใกล้ๆ กำแพงหิน
       
       ส่วนที่ “เกาะห้า” เป็นเกาะเล็กๆ ที่อุดมไปด้วยปะการังอ่อน-แข็ง มีปลาไหลที่ชอบโผล่หัวชูคอขึ้นจากรูจำนวนมาก จนได้ชื่อว่าเป็นสวนปลาไหล สำหรับ “เกาะหก” มีเรือนกล้วยไม้เป็นจุดดำน้ำลึกชมปะการังอ่อนหลากสีสัน อีกทั้งยังมีถ้ำใต้น้ำอยู่หลายแห่งด้วยกัน ด้าน “เกาะเจ็ด” หรือ หินปูซาร์ เป็นหินโผล่กลางทะเล มีกัลปังหาขึ้นอยู่บนลาน มีปลาสวยงามมากมาย

       หมู่เกาะสุรินทร์
       
       “หมู่เกาะสุรินทร์” จ.พังงา แห่งท้องทะเลอันดามัน ที่นี่มีจุดดำน้ำลึกอันโดดเด่นอยู่บริเวณ “กองหินริเซลิว” ซึ่งเป็นกองหินใต้น้ำมีลักษณะคล้ายกับเป็นคอนโดมิเนียม มีสัตว์น้ำเล็กๆ อาศัยอยู่ตามซอกมุมของหิน เช่น ปลากบ กุ้งตัวตลก ม้าน้ำ ทากทะเล ปะการังอ่อนหลากสี เป็นต้น
       
       อีกจุดหนึ่งอยู่ที่ “เกาะตอรินลา” หรือ เกาะไข่ บางคนเรียกว่า กองเหลือง งดงามด้วยดงปะการังเขากวางขนาดใหญ่ และปลาสวยงามกว่า 200 ชนิด ส่วนที่ “หินแพ” เพราะเป็นจุดดำน้ำสำหรับดูปลาโดยเฉพาะ เช่น ปลาวัว ปลานกแก้วต่างๆ ปลากล้วย ปลาเขียวพระอินทร์ เป็นต้น

       ขณะที่จุดดำน้ำตื้นในบริเวณอ่าวรอบๆ หมู่เกาะสุรินทร์เกือบทุกอ่าวจะเต็มไปด้วยแนวปะการังแข็งที่สมบูรณ์ที่สุดของท้องทะเลไทย โดยจุดดำน้ำที่เด่นๆ ก็มี “อ่าวไม้งาม” ที่มีปะการังแผ่น ปะการังเขากวาง อยู่จำนวนมาก, “อ่าวผักกาด” ที่เป็นอ่าวเล็กๆ สามารถพบเห็นปะการังอ่อน กัลปังหา และสัตว์ทะเลน่าสนใจ เช่น ดอกไม้ทะเล หอยมือเสือ และปลาจำนวนมากมายหลายชนิด
       
       “อ่าวเต่า” พบปะการังก้อนใหญ่มีปะการังอ่อนและกัลปังหาอยู่เป็นหย่อมๆ นอกจากนี้ ยังมีโอกาสที่จะเห็นปลาใหญ่อย่างฉลาม และกระเบนราหู อีกด้วย “อ่าวสับปะรด” ที่บริเวณนี้เราจะได้เห็นปะการังจำพวกปะการังเขากวางอ่อน สีน้ำเงิน ม่วงอ่อน และปลาบางชนิด
       
       ด้วยความโดดเด่นของโลกใต้ทะเลริมชายฝั่ง ทำให้หมู่เกาะสุรินทร์ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งดำน้ำตื้น(Snorkeling) ที่ดีที่สุดในเมืองไทย

       หมู่เกาะตะรุเตา
       
       “หมู่เกาะตะรุเตา” จ.สตูล เป็นหมู่เกาะใต้สุดของท้องทะเลไทยฝั่งอันดามัน ที่นี่มีจุดดำน้ำที่สำคัญๆ ได้แก่ “ร่องน้ำจาบัง” ที่มีปะการัง 7 สีอันสวยงามเป็นตัวชูโรง แต่ด้วยความที่กระแสน้ำที่นี่ไหลเชี่ยวแรงมาก ดังนั้นผู้ที่ลงดำน้ำดูปะการังต้องสวมชูชีพทุกครั้ง

       นอกจากนี้ ยังสามารถดำน้ำตื้นชมโลกใต้ท้องทะเลอันสวยงามได้อีกในหลายๆ แห่งของหมู่เกาะตะรุเตา ได้แก่ “เกาะอาดัง-เกาะราวี” 2 เกาะแฝดที่มีแนวปะการังอยู่รอบๆ เกาะ และมีปลาสวยงามอีกเป็นจำนวนมาก ส่วน “เกาะยาง” ที่บริเวณหน้าเกาะมีปะการังเขากวาง ปะการังรูปโต๊ะ ปะการังไฟ ปะการังสมอง ปะการังผักกาด มีระดับความลึกราว 4-10 ฟุต จึงเหมาะสำหรับการดำน้ำตื้นเช่นกัน ด้าน “เกาะหินซ้อน” ที่มีหินขนาดใหญ่รูปร่างแปลกตาตั้งซ้อนกันดูเหมือนจะตกแหล่มีตกแหล่ รอบๆเกาะแห่งนี้ เต็มไปด้วยปะการังอ่อนและปะการังแข็งที่สวยงาม
       
       สำหรับ“เกาะหลีเป๊ะ” ที่มากมายไปด้วยรีสอร์ตที่พักนั้น รอบๆ เกาะมีธรรมชาติของป่าปะการังเป็นจุดเด่น ส่วนที่ “เกาะรอกลอย” เป็นแหล่งเล่นน้ำ ดำน้ำดูปลาสวยงามในบรรยากาศหาดทรายน้ำตื้นที่น้ำทะเลใสแจ๋วเหมือนแหวกว่ายอยู่ในสระน้ำ นับได้ว่าโลกใต้หมู่เกาะตะรุเตาเป็นอีกหนึ่งแหล่งดำน้ำที่น่าสนใจและได้รับความนิยมมากแหงหนึ่งของเมืองไทย

      หมู่เกาะชุมพร
       
       “หมู่เกาะชุมพร” จ.ชุมพร แห่งท้องทะเลฝั่งอ่าวไทย ถือเป็นอีกหนึ่งแหล่งที่มีโลกใต้ทะเลงดงามที่นักดำน้ำไม่ควรมองผ่าน
       
       สำหรับจุดดำน้ำชื่อดังของชุมพร ก็คือ “เกาะง่ามใหญ่” อันเป็นเกาะสัมปทานรังนกนางแอ่น เป็นจุดที่มีแนวปะการังและกลุ่มกองหินเรียงรายขนานกับแนวเกาะ และมีถ้ำใต้น้ำขนาดเล็ก สิ่งมีชีวิตที่พบในบริเวณนี้คือ ดอกไม้ทะเล ปะการังแข็ง แส้ทะเล ฟองน้ำ กัลปังหา ปลานกแก้ว ปลาสาก ปลาผีเสื้อ ปลาสินสมุทร ปลากระเบนจุดฟ้า เต่า ทากทะเล กุ้งตัวยาว

       ส่วน “เกาะง่ามน้อย” มีลักษณะเป็นแนวสันเกาะ และมีกองหินเล็กๆกระจายขนานตามแนวเกาะ พื้นหินปกคลุมด้วยพรมทะเล และปะการังหนัง ดอกไม้ทะเล แส้ทะเล ที่นี่มักจะพบกุ้งตัวยาว ทากเปลือย เต่าทะเล ปลาไหลมอเรย์ตาขาว ปลาเก๋าและกระเบน
       
       ขณะที่ “หินหลักง่าม” ที่เป็นหินโผล่พ้นน้ำที่มี 2 ยอด มีทุ่งปะการังดำขึ้นปกคลุมหนาแน่นบนลานทราย มีปลาการ์ตูนและดอกไม้ทะเลอาศัยอยู่บนแนวหิน ที่นี่มักจะพบทากเปลือยสวยงามหลายชนิด ด้าน“หินแพ” ที่เป็นแนวกองหินที่มียอดโผล่พ้นน้ำ ที่นี่น่ายลไปด้วย ดอกไม้ทะเล ปะการังดำ แส้ทะเล หอยมือเสือ ปลาผีเสื้อ ปลาสาก ปลากระเบน เต่า ปลาหมอ และมีการพบฉลามวาฬในบริเวณนี้ด้วย

       ส่วนอีกจุดดำน้ำที่ถือเป็นไฮไลต์ของท้องทะเลชุมพร ก็คือ “เกาะร้านเป็ด-ร้านไก่” ที่โลกใต้น้ำเป็นแนวกำแพงเกาะ มีลานหินขนาดใหญ่ มีถ้ำใต้น้ำที่สวยงาม แนวหินปกคลุมด้วยกัลปังหารูปพัด ดอกไม้ทะเล แส้ทะเล ฟองน้ำ และปะการังแข็ง บนพื้นทรายมีปะการังดำขึ้นหนาแน่นสวยงามมาก มักพบปลากระเบนขนาดใหญ่ ทากทะเลสวยงามหลายชนิด ปลาสาก ปลานกแก้ว ปลาผีเสื้อ มีการพบฉลามวาฬแวะเวียนมาในบางครั้ง

       และนี่คือ 5 แหล่งดำน้ำตามกลุ่มเกาะ และหมู่เกาะอันโดดเด่นสวยงาม และเป็นที่นิยมในหมู่นักดำน้ำ ซึ่งนี่ถือเป็นมนต์เสน่ห์แห่งโลกใต้ทะเลไทยที่รอให้ผู้สนใจได้ดำดิ่งแหวกว่ายลงไปสัมผัส
       

ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 พฤษภาคม 2555

5796
ปลัด สธ.เผยเตรียมเสนอ 3 กฎหมาย เพิ่มพื้นที่ปลอดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ได้แก่ โรงงาน รัฐวิสาหกิจ และบนรถยนต์ทุกชนิด ตั้งแต่ 3 ล้อเครื่องขึ้นไป ทั้งคนขับ คนนั่ง...

เมื่อวันที่ 4 พ.ค. ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะรองประธานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ให้สัมภาษณ์ว่า ในวันนี้ได้รับมอบหมายจากนายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประจำปี 2555 โดยที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีตามพระราชบัญญัติ ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 รวม 4 ฉบับ ซึ่งประกาศดังกล่าวเป็นการขยายพื้นที่ปลอดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้มากขึ้น จากเดิมที่ห้ามขายและห้ามดื่มในวัด หรือศาสนสถาน สถานบริการสาธารณสุขของรัฐ สถานที่ราชการ ปั๊มน้ำมัน สวนสาธารณะ และห้ามขายในหอพักนักศึกษา เพื่อสร้างความปลอดภัยในสังคม จากปัญหาการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งอุบัติเหตุจราจร ลดการเจ็บป่วย เช่น โรคตับแข็ง โรคจิตเวช รวมทั้งความรุนแรงในสังคมอื่นๆ โดยจะเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ในวันที่ 16 พฤษภาคม 2555 เพื่อพิจารณาก่อนเสนอนายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศ ให้มีผลบังคับใช้ต่อไป

ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีฉบับที่ 1 ว่าด้วยการห้ามขายหรือห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่ประกอบกิจการโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน ในส่วนที่เป็นอาคาร สถานที่ หรือมียานพาหนะที่ใช้เครื่องจักรที่มีกำลังรวมตั้งแต่ 5 แรงม้าขึ้นไป หรือใช้คนงานตั้งแต่ 7 คนขึ้นไป ไม่ว่าจะใช้เครื่องจักรหรือไม่ก็ตาม เพราะอาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้แรงงานที่กำลังทำงานอยู่ในโรงงาน ยกเว้นพื้นที่สโมสรหรือที่พักอาศัย และกรณีโรงงานผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ขายตามปกติทางธุรกิจ และการดื่มที่เป็นขั้นตอนการผลิตหรือเพื่อรักษามาตรฐานการผลิต ซึ่งประกาศฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 180 วัน หลังจากลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ส่วนร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีฉบับที่ 2 ว่าด้วยการห้ามขายหรือห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นของรัฐ เช่นองค์กรมหาชน สาระสำคัญเช่นเดียวกันประกาศห้ามขายและห้ามดื่มในสถานที่ราชการที่เคยมีมาก่อน โดยกำหนดให้ขายได้เฉพาะในบริเวณที่จัดเป็นร้านค้าหรือสโมสร และให้ดื่มได้เฉพาะที่พักส่วนบุคคล สโมสร หรือการจัดเลี้ยงตามประเพณี โดยประกาศฉบับนี้ไม่บังคับใช้กับองค์การสุรา จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา

นพ.ไพจิตร์ กล่าวอีกว่า สำหรับร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีฉบับที่ 3 ว่าด้วยการการห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในรถยนต์ทุกประเภทตั้งแต่ 3 ล้อขึ้นไป ทั้งผู้ขับและผู้โดยสาร เนื่องจากพบว่าอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้มีความรุนแรงขึ้น แม้จำนวนครั้งน้อยกว่าปี 2554 แต่จำนวนผู้เสียชีวิตกลับเพิ่มขึ้น สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากรถกระบะบรรทุกคนจำนวนมาก และคนขับและคนนั่งโดยสารดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณาร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการห้ามขายหรือห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในทางสาธารณะเพื่อการจราจรทางบก ตามกฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก ได้แก่ ถนนสาธารณะ ไหล่ทาง ทางเท้า ซึ่งที่ประชุมมีความเห็นว่าการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่สาธารณะ มีกฎหมายตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกอยู่แล้ว และมอบให้สำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไปทำความเข้าใจและศึกษาผลกระทบเรื่องการห้ามดื่มบนทางสาธารณะกับผู้เกี่ยวข้อง คือ ประชาชน และผู้ดูแล ผู้บังคับใช้กฎหมาย เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสรรพสามิต และกทม. และให้นำเข้าที่ประชุมครั้งต่อไป.

ไทยรัฐออนไลน์  5 พค 2555

5797
"หมอเสริฐ" ประกาศใช้ "เชียงใหม่" เป็นฐานขยายเครือข่ายธุรกิจรุกเข้าอาเซียนตอนล่าง 5 ประเทศ "พม่า-ลาว-กัมพูชา-เวียดนาม-ยูนนาน/จีน" ผนึกจุดแข็งธุรกิจสุขภาพกับท่องเที่ยวลุยบริการกว่า 250 ล้านคนหลังควบรวมโรงพยาบาล 4 กลุ่ม 28 แห่ง ดันยอดรายได้เพิ่ม 1.2 หมื่นล้านบาท

นายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่าหลังควบรวมธุรกิจโรงพยาบาล 4 กลุ่ม ได้แก่ โรงพยาบาลกรุงเทพ โรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาลบีเอ็นเอช และโรงพยาบาลรอยัล ซึ่งมีเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว ได้วางกลยุทธ์ใช้ศักยภาพของ 2 ธุรกิจ คือ ธุรกิจสุขภาพในกลุ่มโรงพยาบาลของบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) 28 แห่ง ผนวกกับธุรกิจท่องเที่ยวครบวงจรของบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด ซึ่งมีทั้งสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส โรงแรม ครัวการบิน และบริษัทจัดนำเที่ยว เชื่อมโยงความแข็งแกร่งเข้าด้วยกัน เพื่อขยายบริการให้สามารถรองรับกลุ่มเป้าหมายได้ทุกระดับพร้อมจะขึ้นเป็นผู้นำเมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ปี 2558

ขณะนี้เริ่มวางแผนขยายการลงทุนโรงพยาบาล โดยเลือกจังหวัดเชียงใหม่เป็นศูนย์กลางการก่อสร้างโรงพยาบาลแห่งใหม่ในที่ดินบริเวณวงแหวนรอบนอก อยู่ไม่ไกลย่านธุรกิจ ระหว่างนี้กำลังทยอยสร้างขนาด 200 เตียง พร้อมเปิดให้บริการได้ปี 2556 ตั้งเป้าหมายจะใช้เป็นฐานการขยายธุรกิจโรงพยาบาลเครือกรุงเทพเข้าไปยังอาเซียนตอนล่าง ตอนนี้พม่าน่าสนใจมากที่สุดด้วยจำนวนประชากรกว่า 70 ล้านคน ในจำนวนนี้ต่างต้องการใช้บริการด้านสุขภาพหลากหลายระดับ แนวโน้มน่าจะเติบโตดี

ส่วนกัมพูชา สปป.ลาวนั้นมีโรงพยาบาลกรุงเทพเปิดดำเนินการมาหลายปีแล้ว ยังเหลือมณฑลยูนนานกำลังมองลู่ทางเปิดโรงพยาบาลอยู่ด้วยเช่นกัน ควบคู่กับการจัดซื้ออุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ ผลิตยาส่งไปจำหน่ายในประเทศเหล่านี้ด้วย

ทั้งนี้ เครือกรุงเทพดุสิตเวชการมีกลุ่มบริษัทลงทุนและพัฒนาธุรกิจโรงพยาบาลและสุขภาพรวมอยู่ด้วยคือ บริษัท เนชั่นแนล เฮลท์แคร์ ซิสเท็มส์ จำกัด เป็นศูนย์วิเคราะห์โลหิตที่ใหญ่และทันสมัยของไทยอยู่ระดับแถวหน้าของเอเชีย-แปซิฟิก บริษัท ไบโอ โมเลกุลลาร์ แลบบอราทอรี่ส์ จำกัด เป็นห้องปฏิบัติการชีวโมเลกุล บริษัท สหแพทย์เภสัช จำกัด ผู้ผลิตยา บริษัท กรุงเทพเฮลิคอปเตอร์เซอร์วิสเซส จำกัด บริการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทางอากาศทั่วไทยและประเทศเพื่อนบ้าน

"สาเหตุที่สนใจปักหลักลงทุนต่างประเทศแถบอาเซียนตอนล่าง พม่า เวียดนาม สสป.ลาว กัมพูชา และจีนตอนใต้คือ ยูนนาน ก็เพราะเมื่อร่วมจำนวนประชากรเข้าด้วยกันแล้วมีจำนวนเกินกว่า 250 ล้านคน ประการสำคัญที่สุดคือเป็นกลุ่มประเทศที่มีวัฒนธรรม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ นับถือศาสนา และมีหลายอย่างคล้ายคลึงกับไทย จึงสะดวกและง่ายต่อการพัฒนาธุรกิจและให้บริการ

"เครือโรงพยาบาลกรุงเทพจะไม่เข้าไปลงทุนในอาเซียนตอนบน 5 ประเทศ มีสิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเอเชียตะวันออกไกลอย่างฮ่องกงกับจีน เพราะพื้นที่ดังกล่าวมีกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่สิงคโปร์คือ กลุ่มคอร์ติส

ตอนนี้เคลื่อนไหวเชิงรุก หรือฟิลิปปินส์ก็เป็นประเทศผู้ผลิตพยาบาลส่งออกไปทำงานต่างประเทศมากที่สุด ฮ่องกงก็มีกลุ่มพัฒนาโรงพยาบาลที่เข้มแข็งมาก"

นายแพทย์ปราเสริฐกล่าวว่า ปีนี้เร่งผลักดันองค์กรที่เกี่ยวข้องในประเทศ ผลิตบุคลากรด้านการแพทย์ โดยตั้งเป้าอีก 10 ปีข้างหน้าจะผลิตได้ถึงปีละ 20,000 คน จากปัจจุบันมีเพียง 1,800 คน ส่วนเครือโรงพยาบาลกรุงเทพทุ่มทุนจัดซื้ออุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์สมัยใหม่เข้ามาติดตั้งตามโรงพยาบาลจนเกือบครบร้อยเปอร์เซ็นต์ทุกแห่ง เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับบริการทางสุขภาพทั้งการป้องกันและรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ

ประชาชาติธุรกิจ  4 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

5798
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 4 พ.ค.ว่า นายคริส เจมส์ ชายอังกฤษผู้ตาบอดเป็นเวลา 20 ปี สามารถกลับมามองเห็นอีกครั้ง หลังจากได้รับการปลูกฝังไมโครชิฟในดวงตา โดยเขาบอกว่า หลังจากอยู่ในความมืดมานับสิบปี จู่ ๆ เขาก็เห็นแสงสว่างอย่างกระจ่างตา เหมือนมีหลอดไฟอยู่ในดวงตา ขณะที่ความสำเร็จคาดว่าจะจุดประกายตาให้แก่ผู้ป่วยตาบอดในอังกฤษ 20,000 หมื่นคน ที่ตาบอดจากอาการต่างๆ รวมทั้งอาการเสื่อมสภาพของเยื่อชั้นในของดวงตา โดยผู้ป่วยอีกรายที่ตาบอดกลับมามองเห็นก็คือ นายโรบิน มิลเล่อร์ โปรดิวเซ่อร์ดนตรีชื่อดังของอังกฤษด้วย

รายงานระบุว่า ความสำเร็จดังกล่าวจากทีมแพทย์อังกฤษซึ่งใช้เวลาผ่าตัดปลูกฝังไมโครชิฟในดวงตา ใช้เวลา 10 ชม.โดยไมโครชิฟดังกล่าวมีความคมชัดต่อแสงราว 1,500 พิกเซล ซึ่งจะทำหน้าที่แทนตัวรับแสงของดวงตาและกรวยตา โดยไมโครชิฟดังกล่าวทำงานด้วยพลังงานไฟ้าไร้สายที่อยู่ด้านหลังหู เชื่อมต่อเข้ากับแบ๊ตเตอรี่ที่จ่ายไฟจากจานแม่เหล็กบนหนังศีรษะ อย่างไรก็ตาม นายทิม แจ๊คแมน ศัลยแพทย์ด้านกระจกตาแห่งมหาวิทยาลัยคิง คอลเลจ บอกว่า งานชิ้นนี้ถือว่าเกินกว่าที่เขาและผู้ช่วยคาดไว้ เพราะสามารถทำให้ผู้ป่วยตาบอดสามารถคืนความสามารถในการมองเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยได้

อย่างไรก็ตาม ศัลย์แพทย์ผู้นี้ชี้ว่า งานชิ้นนี้ยังเป็นขั้นเริ่มต้นเท่านั้น และจะต้องพัฒนาต่อไปเพื่อความสมบูรณ์แบบอย่างถาวร ทั้งนี้ กระบวนการฝังไมโครชิฟในดวงตาเพื่อให้ผู้ป่วยมองเห็นยังมีการทดลองในประเทศอื่นด้วย เช่น จีน และเยอรมัน โดยอุปกรณ์ชิปฝังผลิตโดยบริษัท AG ของเยอรมัน

มติชนออนไลน์   4 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

5799
ครม.ยัง​ไม่​เคาะงบบัตรทอง ​เตรียมถก 8 พ.ค.นี้ ​แต่บอร์ด สปสช.ยืนยันตัว​เลข 2,939.73 บาทต่อคน ชี้หาก​ได้​เท่า​เดิมอยู่ลำบาก​แน่

นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่า​การกระทรวงสาธารณสุข กล่าว​ถึงกรณีที่มีข่าวออกมาว่า ครม.ปรับลดงบ​เหมาจ่ายรายหัว​ในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) 4.9% จากที่​เสนอขอ​ไปว่า ​ใน​การประชุม ครม.​เมื่อวันที่1 พฤษภาคมที่ผ่านมา ​ไม่มี​เรื่องงบ​เหมาจ่ายรายหัว​เข้าสู่วาระ​การพิจารณา​แต่อย่าง​ใด ​ซึ่งหากมี​การพิจารณา​เรื่องนี้คงต้องผ่านตาตนบ้าง​ในรายละ​เอียดนั้นตน​ไม่ทราบ ​เพราะ​ไม่​ได้ดูหน่วยงานสำนักงานหลักประกันสุขภาพ​แห่งชาติ (สปสช.)

ขณะที่​แหล่งข่าวจากคณะกรรม​การ สปสช.ระบุว่า งบ​เหมาจ่ายรายหัวปี 2556 ​ได้มี​การนำ​เสนอต่อ ครม.​เมื่อวันที่1 พ.ค. ​เป็น​การนำ​เสนองบประมาณภาพรวม​ทั้งประ​เทศ ทุกกระทรวง ทบวง กรม ​แต่​เท่าที่ทราบจะมี​การนำ​เสนอต่อ ครม.อีกครั้ง​ในวันที่ 8 พ.ค.2556 ​ซึ่งจะ​เป็น​การพิจารณา​ในรายละ​เอียด ดังนั้นตัว​เลขงบ​เหมาจ่ายรายหัวที่นำ​เสนอผ่านสื่อขณะนี้​จึงยัง​ไม่สรุป

​ทั้งนี้ ​ใน​การนำ​เสนองบประมาณ​เหมาจ่ายรายหัวนั้น ทาง สปสช.​ได้นำ​เสนอ​ไปตั้ง​แต่​เมื่อวันที่ 11 ​เม.ย.2555 ที่อัตรา 2,939.73 บาทต่อคน ​แต่​เมื่อนำ​เสนอ​เข้าครม.​เมื่อวันที่1 พ.ค. กลับอยู่ที่ 2,755.60 บาทต่อคน ​ซึ่ง​เป็นงบที่​ได้​เท่ากับงบถูกตัดหลังจากน้ำท่วม​ในปี 2555 ​โดย​ในงบปี 2555 ก่อนถูกปรับลดช่วงน้ำท่วมอยู่ที่ 2,895.60 บาทต่อคน ​ทั้งนี้ หากปี 2556 ​ได้งบประมาณที่ 2,755.60 บาทต่อคนจริง จะส่งผลกระทบต่อ รพ.อย่าง​แน่นอน ​ซึ่งที่ผ่านมาทางอนุกรรม​การด้าน​การ​เงิน​การคลัง​ได้มี​การคำนวณค่า​ใช้จ่ายที่ปรับ​เพิ่ม คือ 1.​การ​เพิ่มค่า​แรงตามน​โยบายรัฐบาล 300 บาท ​และ​การปรับ​เพิ่ม​เงิน​เดือนปริญญาตรี 15,000 บาท 2.​การว่าจ้างพยาบาลภาค​ใต้​เพิ่ม​เติม 3,000 คน ​และจะมี​การบรรจุ​เพิ่ม​เติม​ในปี 2555 ​โดยรวม 2 ส่วนนี้ประมาณ​การค่า​ใช้จ่าย​เพิ่ม​เติมอยู่ที่ 3,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังมีค่า​ใช้จ่าย​ในส่วนค่าตอบ​แทน​ทั้ง​ในส่วน รพ.ศูนย์ รพ.ทั่ว​ไป ​และ รพ.ชุมชน ตามค่าตอบ​แทนฉบับที่ 5-6-7 ที่ยัง​เป็นปัญหาอยู่รวม 5,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีอัตรา​เงิน​เฟ้อที่ปรับขึ้นทุกปีอยู่ที่ปีละ 6% ​ซึ่ง​เมื่อคิด​โดยรวม​ทั้งหมด​แล้ว ​เท่ากับงบประมาณปี 2556 ถูกปรับลด​ไปราว 15,000-20,000 ล้านบาท

ต่อข้อซักถามว่า หาก ครม.ยืนยัน​ให้คงอัตรารายหัวที่ 2,755.60 บาท จะ​ทำอย่าง​ไร ​แหล่งข่าวบอร์ด สปสช.กล่าวว่า คงต้อง​เพิ่มประสิทธิภาพ​ใน​การบริหารงบประมาณ ​แต่ยอมรับว่า​เป็น​เรื่องที่​ทำ​ได้ยาก ​เพราะที่ผ่านมา​การจ่ายค่ารักษาตามหลัก​เกณฑ์ดีอาร์จี สำนักงานประกันสังคม​ได้มี​การปรับ​เพิ่ม​ไป​ถึง 15,000 บาท สวัสดิ​การข้าราช​การกำหนดที่ 12,000 บาท ​แต่ สปสช.อยู่ที่ 7,000-8,000 บาท​เท่านั้น นอกจากนี้ที่ผ่านมายังมี​การ​เรียกร้องของกลุ่ม รพ.​เอกชนที่ของ​เพิ่มค่าดีอาร์จี​ในส่วนของ​ผู้ป่วยฉุก​เฉินจากที่กำหนด​ไว้ 10,500 บาท

​ผู้สื่อข่าวรายงานว่า​ใน​การนำ​เสนองบ สปสช. ​โดยรวมน​โยบายค่า​แรงของรัฐบาลอยู่ที่ 155,666,287,200 บาท ​เป็นงบ สปสช.​ไม่รวมน​โยบายค่า​แรง 151,716,081,900 บาท ​แยก​เป็นงบอัตรา​เหมาจ่ายรายหัว 142,415,219,900 บาท (​เป็นอัตรา​เหมาจ่ายรายหัว 2,939.73 บาท คูณกับจำนวนประชากร 48,445,000 ล้านบาท) งบบริ​การสุขภาพ​ผู้ติด​เชื้อ​เอช​ไอวี​และ​ผู้ป่วย​เอดส์ 3,599,248,000 บาท งบบริ​การสุขภาพ​ผู้ป่วย​ไตวาย​เรื้อรัง 4,416,668,100 บาท งบบริ​การควบคุม ป้องกัน ​และรักษา​โรค​เรื้อรัง 1,284,945,700 บาท.

​ไทย​โพสต์ -- ศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม 2555

5800
นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีเผาและบดทำลายผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย น้ำหนักรวม 17,000 กิโลกรัม มูลค่ารวม 231 ล้านบาท ในจำนวนนี้มียาซูโดอีเฟดรีน 38 กิโลกรัม...

นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีเผาและบดทำลายผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย ประกอบด้วย อาหารเสริม ยา เครื่องสำอาง เครื่องมือแพทย์ น้ำหนักรวมกันกว่า 17,000 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 231 ล้านบาท โดยของกลางทั้งหมดเป็นผลมาจากการทำงานเชิงรุก ของตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค และเจ้าหน้าที่จากสำนักงานอาหารและยา (อย.) ที่ได้จับกุมผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้จำหน่าย ในรอบปีที่ผ่านมา เช่น การจับกุมเว็ปไซต์ผิดกฎหมาย ที่มีการโฆษณาจำหน่ายยา วิตามิน หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง ช่วยทำให้ผิวขาวใส หรือช่วยลดน้ำหนัก นอกจากนี้ ยังมีการนำยาซูโดอีเฟดรีน น้ำหนักรวมกันกว่า 38 กิโลกรัม มาร่วมเผาทำลายในครั้งนี้ด้วย

รมว.สธ. ระบุว่า จากของกลางทั้งหมด แสดงให้เห็นว่า ยังคงมีการลักลอบนำของกลาง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ได้มาตรฐานมาจำหน่ายเป็นจำนวนมาก ซึ่งหลังจากนี้ ทาง อย.จะมีมาตรการเข้มงวดในการปราบปรามจับกุมมากขึ้น เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคไม่ให้ตกเป็นเหยื่อต่อไป.

ไทยรัฐออนไลน์  4 พค 2555

5801
นักท่องเที่ยวรายหนึ่งที่สวนสัตว์อู่ฮั่นคึก ปาก้อนหินใส่ช้างแอฟริกันเล่น โดนช้างเอาคืนใช้งวงหยิบก้อนหินปาใส่นักท่องเที่ยวเล่นด้วยเช่นกัน
       
       ในบ่ายวันอาทิตย์(29 เม.ย.) หนุ่มชาวจีนคนหนึ่งที่เข้าชมสวนสัตว์อู่ฮั่น เกิดคึกคะนองปาก้อนหินไปใส่ฝูงช้างแอฟริกัน ช้างแอฟริกันตัวหนึ่ง ก็เดินไปที่ก้อนหินที่ตกอยู่ในทันที ใช้งวงหยิบก้อนหินปาคืนให้กลุ่มนักท่องเที่ยว ก้อนหินลอยข้ามตาข่ายสูงสามเมตร โดนศีรษะนักท่องเที่ยวหญิงคนหนึ่งร้องเสียงดังลั่นด้วยความเจ็บปวด ผู้คนรอบๆตกตะลึง
       
       เจ้าหน้าที่ได้รีบวิ่งเข้ามาตรวจสอบ เคราะห์ดีที่ก้อนหินที่ช้างปาใส่โดนศีรษะนักท่องเที่ยวเป็นก้อนดิน ไม่ได้เจาะหนังศีรษะเลือดไหล เพียงเป็นรอยช้ำแดงๆ เจ้าหน้าที่ได้พานักท่องเที่ยวดวงซอยไปยังโรงพยาบาล
       
       เจ้าหน้าที่เผยว่าเป็นครั้งที่สองที่ช้างแอฟริกันที่สวนสัตว์อู่ฮั่นปาสิ่งของใส่นักท่องเที่ยว โดยครั้งแรกเกิดเมื่อปี 2550 นักท่องเที่ยวได้ปาหินใส่ช้างแอริฟกัน ช้างแอฟริกันก็ใช้วงวหยิบก้อนหินปาใส่คืนกลุ่มนักท่องเที่ยว โดนเด็กหญิงคนหนึ่งบาดเจ็บ หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่สวนสัตว์ได้ขึงตาข่ายสูงสามเมตรป้องกันเหตุขว้างปาสิ่งของใส่กัน อีกทั้งได้ติดป้ายเตือนมิให้นักท่องเที่ยว ห้ามปาสิ่งของใส่ช้าง
       
       เจ้าหน้าที่สวนสัตว์กล่าวว่าพฤติกรรมที่ไร้วัฒนธรรมของนักท่องเที่ยวเช่น การปาสิ่งของหรือก้อนหิน เป็นการสอนให้ช้างนิสัยเสียตามไปด้วย ช้างเป็นสัตว์ที่ฉลาดมาก และมีอารมณ์ความรู้สึก ถ้าเราทำดีกับมัน มันก็ดีตอบ แต่ทำร้ายมัน มันก็ร้ายตอบเช่นกัน ดังเหตุการณ์น่าเศร้าสลดที่เคยเกิดขึ้นทั้งในและนอกประเทศ คนเลี้ยงช้างที่ทารุณกรรมสัตว์ ถูกช้างฟาดงวงฟาดงาใส่ หรือกระทืบตาย.

ASTVผู้จัดการออนไลน์    3 พฤษภาคม 2555

5802
ผู้ตรวจราชการ กระทรวงสาธารณสุขแจงความคืบหน้าซูโดฯ รพ.ดอยหล่อ-ฮอด เผยที่แรกรอผู้เกี่ยวข้องชี้แจง ส่วนที่หลังต้องนัดใหม่หลังดีเอสไอเชิญตัวสอบ ระบุผู้ถูกกล่าวหามีเวลาหาหลักฐานพิสูจน์ตัวตามระเบียบ-หากไม่เคลียร์โดนลงโทษแน่ ชี้ยาหาย-แอบสั่งยาอาจมาจากหวังขายทำกำไรส่วนต่างราคา
       
       วันนี้ (3 พ.ค.) นายแพทย์วิศิษฏ์ ตั้งนภากร ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขต 15 เปิดเผยถึงความคืบหน้าการตรวจสอบคดียาซูโดอีเฟดรีนที่โรงพยาบาลดอยหล่อ และโรงพยาบาลฮอด จ.เชียงใหม่ว่า จากการสอบสวนพบว่าเภสัชกรจากทั้งสองโรงพยาบาลอาจมีความผิดทางวินัยจากกรณีดังกล่าว ทั้งจากการแอบอ้างใช้ชื่อของโรงพยาบาลในการสั่งซื้อยา รวมทั้งการที่มียาหายไปจากคลังของโรงพยาบาล
       
       โดยกรณีของโรงพยาบาลดอยหล่อ จากผลการตรวจสอบของคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงซึ่งแต่งตั้งโดยจังหวัดเชียงใหม่พบว่า จากเดิมที่คาดว่าผู้อำนวยการโรงพยาบาลอาจมีความผิดวินัยร้ายแรงนั้น ปรากฏว่าจากการสืบสวนแล้วยังไม่พบความผิดร้ายแรงแต่อย่างใด คงมีเพียงเภสัชกรเท่านั้นที่มีความผิดร้ายแรง ซึ่งคณะกรรมการกำลังรวบรวมข้อมูล ก่อนจะจัดทำบันทึกการแจ้งและรับทราบข้อกล่าวหา และสรุปพยานหลักฐาน (สว.3) เพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหาได้นำข้อมูล พยานหลักฐานหรือพยานบุคคลมาชี้แจงต่อไป
       
       ส่วนกรณีของโรงพยาบาลฮอดนั้น พบว่ามีผู้ที่เข้าข่ายอาจมีความผิดหลายราย ได้แก่ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล เภสัชกร และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลซึ่งดูแลรับผิดชอบการเบิกจ่ายและควบคุมคลังยา ซึ่งปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้แต่งตั้งให้ตนเองเป็นประธานสอบทางวินัย โดยในเบื้องต้นคณะกรรมการสืบสวนของจังหวัดได้แจ้งว่า พบว่าผู้อำนวยการมีความผิดในระดับไม่ร้ายแรง ส่วนเภสัชกรและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องนั้นมีความผิดขั้นร้ายแรง และได้มีการแจ้งข้อหาให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบเพื่อให้ดำเนินการชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว
       
       นายแพทย์วิศิษฏ์กล่าวต่อไปว่า ตามกำหนดการเดิมในวันนี้จะมีการสรุปข้อมูลต่างๆ หลังที่ได้ให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ดำเนินการชี้แจงไปแล้ว แต่เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหาต้องเข้าให้ปากคำต่อทางดีเอสไอในวันพรุ่งนี้ จึงต้องเลื่อนการพิจารณาออกไปก่อน อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการสอบทางวินัยได้ประสานไปยังโรงพยาบาลต้นสังกัด รวมทั้งจะแจ้งผู้ถูกกล่าวหาให้ส่งข้อมูลหรือเอกสารเพิ่มเติม เนื่องจากข้อมูลที่ได้รับพบว่าบางส่วนยังไม่มีความชัดเจน
       
       ทั้งนี้ ในกรณีของโรงพยาบาลดอยหล่อนั้น หากพบว่ามีการกระทำผิดตามข้อกล่าวหาก็จะเสนอเรื่องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดใช้อำนาจลงโทษตามระเบียบของทางราชการ ส่วนกรณีที่โรงพยาบาลฮอดนั้นจะนำเรื่องเสนอให้ปลัดกระทรวงเป็นผู้ดำเนินการต่อไป โดยทั้งสองกรณีจะต้องรอให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจงตามขั้นตอนก่อน ซึ่งตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องดำเนินการให้เสร็จภายใน 2-3 เดือนนับจากวันที่มีคำสั่งแต่งตั้ง
       
       นายแพทย์วิศิษฏ์ระบุว่า จากการสอบสวนกรณีของโรงพยาบาลทั้ง 2 แห่ง พบว่าผู้อำนวยการของโรงพยาบาลมีความผิดฐานเป็นผู้ลงนามในการจัดซื้อยาซูโดอีเฟดรีน แต่ในกระบวนการจัดซื้อยานั้นพบว่าเป็นอำนาจในการตัดสินใจของเภสัชกร ทำให้โทษที่อาจได้รับยังอยู่ในขั้นไม่ร้ายแรง ขณะเดียวกัน ที่โรงพยาบาลฮอดยังพบด้วยว่าขั้นตอนในการสั่งซื้อยาจะไม่พบความผิดปกติ แต่กลับมียาหายไปจากคลังยาของโรงพยาบาล ซึ่งทำให้พนักงานที่ดูแลรับผิดชอบมีความผิด รวมทั้งต้องพิจารณาถึงระบบการบริหารจัดการยา ทั้งการไม่นำยาเข้าระบบ หรือการลักลอบนำยาออกจากระบบด้วยว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร
       
       ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขต 15 กล่าวด้วยว่า ประเด็นของการลงโทษทางวินัยนั้นหากพบว่ามีความผิดจริงก็จะลงโทษกันตามระเบียบ แต่ประเด็นที่คาดว่าจะเป็นที่สนใจมากกว่าคือยาซูโดอีเฟดรีนทั้งที่ถูกสั่งมาและที่หายไปจากคลังยานั้นถูกส่งไปไหน โดยที่โรงพยาบาลดอยหล่อมีตัวเลขคลาดเคลื่อนอยู่ที่ 70,000 เม็ด ขณะที่โรงพยาบาลฮอดมี 50,000 เม็ด ซึ่งหากพิจารณาจากปริมาณยาที่หายไปจะพบว่าไม่สูงมากนัก
       
       จึงมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะไม่ใช่การลักลอบขายยาให้ผู้ผลิตยาเสพติดโดยตรง แต่อาจเป็นการแสวงหากำไรจากส่วนต่างของราคายาของผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยมีกลุ่มผู้ที่ทำการรวบรวมยาส่งให้ผู้ผลิตยาเสพติดอาศัยโอกาสดังกล่าวในการรวบรวมยาซูโดอีเฟดรีน อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวจำเป็นจะต้องมีการติดตามสืบหาข้อเท็จจริงอย่างละเอียด โดยถือเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือดีเอสไอที่จะดำเนินการต่อไป


ASTVผู้จัดการออนไลน์    3 พฤษภาคม 2555

5803
ลูกเห็บตก สธ.หลังฝนตกช่วงกลางวัน ที่ผ่านมา ปลัด สธ.เตือนประชาชนเก็บลูกเห็บกิน เสี่ยงติดเชื้อจากดิน หรือพื้นไม่สะอาด ทำให้เกิดโรคอุจจาระร่วงได้ ชี้ ลูกเห็บไม่มีผลในการป้องกันการเจ็บป่วย
       
       วันนี้ (3 พ.ค.) ช่วงเวลาประมาณ 12.30 น.ที่กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี เกิดฝนตกและลมกระโชกแรงอย่างหนัก พร้อมมีลูกเห็บขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เซนติเมตรตกลงมาด้วย สร้างความแตกตื่นให้แก่บรรดาข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ภายในกระทรวงสาธารณสุข ที่กำลังอยู่ในช่วงพักกลางวัน เก็บลูกเห็บหน้าลานอาคารสำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข ขึ้นมาดู และวิพากษ์วิจารณ์ถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ เนื่องจากตลอดช่วงเช้ายังมีแดดร้อนจัด แต่พอตกเที่ยงกลับมีลูกเห็บตกลงมา
       
       นายแพทย์ ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า จากการที่มีลูกเห็บตกลงมา และมีประชาชนบางกลุ่ม มีความเชื่อว่า หากกินลูกเห็บแล้ว จะทำให้ไม่เจ็บป่วยนั้น เป็นความเชื่อที่ไม่มีการพิสูจน์ยืนยันทางวิทยาศาสตร์ และยังมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคที่อยู่บนพื้นดิน พื้นถนนอยู่แล้ว อาจทำให้เกิดโรคอุจจาระร่วงได้
       
       ทั้งนี้ วิธีการที่จะทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย ประชาชนจะต้องหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มมึนเมา ไม่สูบบุหรี่ ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน วันละอย่างน้อย 30 นาที และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดอาหารหวาน มัน เค็ม เพิ่มการกินผักผลไม้ไห้ได้อย่างน้อยวันละ 4 ขีด

ASTVผู้จัดการออนไลน์    3 พฤษภาคม 2555

5804
 ยอดรวมคืนยา 13 ล้านเม็ด อย.ย้ำส่งคืนเส้นตาย 3 พ.ค.ฝ่าฝืนโทษหนักสูงสุด 20 ปี ปรับหนัก 4 แสนบาท
       
       วานนี้ (3 พ.ค.) นพ.พงศ์พันธ์ วงศ์มณี รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวถึงความคืบหน้าการคืนยาของร้านขายยาต่างๆ ทั่วประเทศ ว่า หลังจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ยกระดับยาสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนทุกสูตร ซึ่งรวมทั้งสูตรผสมพาราเซตามอล เป็นกลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ตาม พ.ร.บ.วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 โดยมีระยะเวลาให้ร้านขายยา คลินิก และสถานพยาบาลที่มีไว้ครอบครอง และไม่ต้องการถือครองอีกให้ส่งคืนบริษัทผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าภายในระยะเวลา 30 วัน โดยจะสิ้นสุดวันที่ 3 พฤษภาคมนี้ ซึ่งเพื่อความสะดวก ทาง อย.จึงเปิดโอกาสให้ร้านขายยาทุกแห่งหรือผู้มีไว้ครอบครองมาคืนยาได้ที่ตึกเงินทุนหมุนเวียนยาเสพติด อย.ได้ในวันเวลาราชการ ระหว่างวันที่ 1-2 พฤษภาคมนี้
       
       “ขอย้ำให้ทุกร้านขายยา รวมทั้งผู้ที่มีไว้ในครอบครองเร่งนำยามาคืนให้ทันภายในเวลา 16.30 น.วันที่ 3 พฤษภาคม หลังจากนั้น หากพบใครมีไว้ครอบครองถือว่าผิดพ.ร.บ.วัตถุออกฤทธิ์ฯทันที โดยหากฝ่าฝืนครอบครองซูโดอีเฟดรีนคำนวณปริมาณเป็นสารบริสุทธิ์ ไม่เกิน 5 กรัม มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-5 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-100,000 บาท แต่หากเกิน 5 กรัม จะมีโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000-400,000 บาท จึงขอให้ร้านขายยาทุกแห่งปฏิบัติตาม เพราะจะไม่มีการขยายเวลาใดๆ อีก” นพ.พงศ์พันธ์ กล่าว
       
       รองเลขาธิการ อย.กล่าวอีกว่า สำหรับตัวเลขการรับคืนยาสูตรผสมซูโดอีเฟดรีน ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน-1 พฤษภาคม โดยบริษัทยารายงานมายัง อย.มีจำนวน 44 บริษัท รวมปริมาณยาส่งคืนทั้งสิ้น 13,260,551 ล้านเม็ด แบ่งเป็นยาเม็ดสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนทุกสูตรยกเว้นสูตรผสมพาราเซตามอล จำนวน 7,093,410 ล้านเม็ด ส่วนยาเม็ดซูโดอีเฟดรีนสูตรผสมพาราเซตามอล จำนวน 6,167,141 ล้านเม็ด ส่วนยาน้ำมีจำนวน7,517,320 มิลลิลิตร ทั้งนี้ สำหรับยอดรับคืนที่ อย.เฉพาะวันที่ 1 พฤษภาคม 2555 มีตัวเลขยาเม็ดจำนวน 60,869 เม็ด เป็นยาน้ำ 2,520 ลลิลิตร อย่างไรก็ตาม ที่น่ากังวลคือ หลังจากวันที่ 3 พฤษภาคม คาดว่า หากจะมียาสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนหลงเหลือ น่าจะเป็นยากลุ่มสูตรผสมพาราเซตามอล ซึ่งในวันที่ 4 พฤษภาคมเป็นต้นไป จะส่งเจ้าหน้าที่ลงตรวจสอบว่ามีใครฝ่าฝืนครอบครองยากลุ่มนี้หรือไม่ ทั้งนี้ จากข้อมูลยอดรวมการผลิตของยาสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนในบริษัทยาทั้งหมดพบ 60 ล้านเม็ด ขณะที่ในสถานพยาบาลที่อนุญาตครอบครองมีประมาณ 20 ล้านเม็ด แต่ตัวเลขยอดที่ค้างโดยเฉพาะยาสูตรผสมพาราเซตามอล ไม่มีตัวเลขจริงๆ จึงต้องมีการเรียกคืนตามประกาศดังกล่าว
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า สำหรับตัวเลขยาโดยรวมที่บริษัทยารายงานมายัง อย.โดยยอดรวมทั้งหมดอยู่ที่ 13,260,551 เม็ด เป็นยาน้ำ 7,517,320 มิลลิลิตร ทั้งนี้ พบว่า  บริษัทที่รับยาคืนมากที่สุด คือ บริษัท ไทยนครพัฒนา จำกัด โดยชื่อทางการค้าที่รู้จัก คือ “ทิฟฟี่” มีปริมาณรับคืนถึง 5,919,770 เม็ด เป็นยาน้ำ 2,777,280 มิลลิลิตร  อันดับสองเป็นบริษัทผู้ผลิต คือ บริษัท เอ็มแอนด์ เอช แมนูเฟคเจอริ่ง จำกัด มียาเม็ด 1,984,979 เม็ด และ บริษัท ยูนิแล็ป ฟาร์มาซูติคอลส์ จำกัด มียาเม็ด 1,118,280 เม็ด


ASTVผู้จัดการออนไลน์    3 พฤษภาคม 2555

5805
 กรมแพทย์แผนไทย แนะลดปัญหาโรคฮิตหน้าร้อนเบื้องต้นด้วย 5 สมุนไพรแชมเปียน รักษาโรคระบบทางเดินอาหาร โรคผิวหนัง  โรคลม และภาวะร้อน
       
       นพ.สุพรรณ   ศรีธรรมมา  อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เปิดเผยว่า ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายส่งเสริมการใช้ยาไทยและสมุนไพรไทยในสถานบริการ และการเข้าถึงยาสมุนไพรของประชาชน ดังนั้นหน้าร้อนนี้ โรคต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในหน้าร้อน  กับกลุ่มเสี่ยงหลายๆ โรค สามารถดูแลด้วยยาไทย และสมุนไพรไทยได้ จากรายงานของกรมควบคุมโรคเกี่ยวกับโรคหน้าร้อน อาทิเช่น โรคระบบทางเดินอาหาร โรคอาหารเป็นพิษ บิด ไข้ไทฟอยด์ มีสถิติการป่วยกว่า 400,000 ราย ในช่วง 4 เดือนของปีนี้ นอกจากโรคดังกล่าวแล้วช่วงหน้าร้อนนี้โรคที่ไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่ง คือ โรคผิวหนัง  โรคลมร้อนจัด คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศีรษะ และภาวะร้อนใน ซึ่งภาวะดังกล่าวอยากให้ประชาชนมียาสมุนไพรพกติดตัว หรือมีไว้ใช้ในบ้าน ได้แก่ ฟ้าทะลายโจร  ผงขมิ้นชัน  ทิงเจอร์เสลดพังพอน  ยาหอมนวโกฐ   บาล์มสมุนไพร เป็นต้น
       
       สำหรับยาฟ้าทะลายโจร มีสรรพคุณช่วยลดอาการไข้และรักษาโรคอุจจาระร่วง ถ้าใช้  รักษาโรคอุจจาระร่วง   ผลจากการศึกษาวิจัย พบว่า ให้ผู้ป่วยรับประทานยาแคปซูลฟ้าทะลายโจรครั้งละ 4 แคปซูล (หรือ 2 กรัม) วันละ 3 ครั้ง เช้า  กลางวัน  เย็น ติดต่อกันภายใน  2 วัน อาการจะดีขึ้นตามลำดับ เพิ่มการดื่มน้ำเกลือแร่ตามเพื่อชดเชยน้ำที่สูญเสียไป สำหรับ ผงขมิ้นชัน ใช้ผสมน้ำทาผิวที่มีผดผื่น และ ทิงเจอร์เสลดพังพอน ทาบริเวณที่มีอาการคัน   ช่วยรักษาอาการผดผื่นคันได้ ยาหอมนวโกฐ  แก้อาการเป็นลมวิงเวียนศีรษะ และ บาล์มสมุนไพรแก้อาการแมลงสัตว์กัดต่อยวิงเวียนศีรษะ
       
       นพ.สุพรรณ กล่าวในตอนท้ายว่า อยากจะฝากให้ประชาชนทั่วไปดูแลสุขภาพในช่วงหน้าร้อน รับประทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะ ดื่มน้ำให้เพียงพอ ถ้ามีอาการเจ็บป่วยตามที่กล่าวไปแล้วสามารถใช้สมุนไพรดูแลในเบื้องต้นได้  หากอาการรุนแรงให้พบแพทย์ทันที ทั้งนี้ อาการของโรคต่างๆ ที่ไม่รุนแรง 70% หายได้ด้วยสมุนไพร และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพที่ถูกต้อง

ASTVผู้จัดการออนไลน์    3 พฤษภาคม 2555

หน้า: 1 ... 385 386 [387] 388 389 ... 535