This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
Topics - story
หน้า: 1 ... 385 386 [387] 388 389 ... 535
5791
« เมื่อ: 07 พฤษภาคม 2012, 21:23:55 »
ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยเกี่ยวกับแนวโน้มของการรับตรงของธรรมศาสตร์ที่ผ่านมาว่า การรับตรงเป็นช่องทางที่ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมีอัตราการแข่งขันสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยในปีการศึกษา 2554 มหาวิทยาลัยมีแผนรับนักศึกษาผ่านระบบสอบตรงจำนวน 1,572 คน แต่มีผู้มาสมัครทั้งสิ้น 28,847 คน อัตราส่วนการแข่งขัน 1 : 18.4 ในขณะที่ปีการศึกษา 2555 มีแผนรับนักศึกษาผ่านระบบสอบตรงจำนวน 1,674 คน แต่มีผู้มาสมัครทั้งสิ้น 42,140 คน มีอัตราการแข่งขันสูงถึง 1:25.2 อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวต่อว่า หากเจาะลงรายคณะ พบว่าอัตราการแข่งขันเพิ่มขึ้นเกือบทุกคณะและสาขาวิชา ทั้งสายสังคมศาสตร์และวิทยาศาสตร์ โดยคณะที่ได้รับความสนใจและมีอัตราการแข่งขันสูงมากคือ คณะสหเวชศาสตร์ สาขาเทคนิคการแพทย์ มีอัตราการแข่งขันสูงถึง 1:215 รองลงมาคือ คณะพยาบาลศาสตร์ อัตราการแข่งขัน 1:75 และคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า มีอัตราส่วนการแข่งขัน 1:72 สำหรับสายสังคมศาสตร์ เช่น คณะรัฐศาสตร์ สาขาการระหว่างประเทศ อัตราส่วนการแข่งขัน 1:44 คณะนิติศาสตร์ อัตราการแข่งขัน 1:18 ในส่วนคุณภาพของนักศึกษาที่ผ่านจากระบบรับตรงนั้น ศ.ดร.สมคิด กล่าวเพิ่มเติมว่า จากระบบรับตรง ช่วยให้คณะหรือสาขาวิชาต่างๆ สามารถคัดเลือกนักศึกษาที่มีคุณภาพเข้าศึกษาต่อ และไม่มีการย้ายคณะภายหลัง ตลอดจนลดอัตราการ retire ของนักศึกษาชั้นปีที่ 2 เนื่องจากนักศึกษาเหล่านี้มีความเข้าใจในสาขาที่ตนเรียน เช่น กรณีคณะรัฐศาสตร์ พบว่า นักศึกษาที่ได้รับคะแนนเฉลี่ยสูงสุดในทั้ง 3 สาขาวิชาของคณะ เป็นนักศึกษาที่ผ่านระบบรับตรงเข้ามา ส่วนสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) พบว่า การรับนักศึกษาผ่านระบบรับตรง ช่วยทำให้อัตราการ retire ลดลงอย่างมาก จากกรณีสถาบันรับผ่าน Admission ปกติ มีนักศึกษา retire ประมาณร้อยละ 15 ในขณะที่การรับตรงนักศึกษาผ่านมหาวิทยาลัย ทำให้สัดส่วนนักศึกษา retire ลดลงอยู่ที่ประมาณร้อยละ 5 เท่านั้น สำหรับเยาวชนว่าที่นักศึกษาธรรมศาสตร์ ที่สามารถสอบเข้าศึกษาต่อ โดยเริ่มจากคณะยอดฮิตของสายสังคมศาสตร์ นายณภัทร ว่องธรรมวิชา จากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต ซึ่งสอบได้คะแนนสูงสุดของสาขาบริหารรัฐกิจ คณะรัฐศาสตร์ บอกถึงการเลือกศึกษาต่อในสาขาบริหารรัฐกิจ กล่าวว่า ชอบทางด้านนี้และคิดว่าเหมาะกับตนเอง และธรรมศาสตร์เป็นมีชื่อเสียงในด้านรัฐศาสตร์อยู่แล้วประกอบกับผู้ปกครองสนับสนุนให้เรียนที่นี่ จึงตัดสินใจเลือกสอบเข้าที่ธรรมศาสตร์ ส่วนเทคนิคการเรียนให้ประสพผลสำเร็จนั้น ขอย้ำว่าการอ่านหนังสือสำคัญมาก ให้เวลากับการอ่านหนังสือมากที่สุด โดยแบ่งเวลากับการอ่านร้อยละ 70 และอีกร้อยละ 30 เป็นการทำแบบฝึกหัด 3-4 ปีย้อนหลัง ประกอบกับการเรียนพิเศษและการได้คำแนะนำจากรุ่นพี่ที่เรียนคณะนี้อยู่แล้ว ก็มีผลทำให้เราอ่านหนังสือได้ตรงจุด และรู้แนวข้อสอบมากยิ่งขึ้น ส่วนในสายวิทยาศาสตร์ นายนภดล ศรีคง จากโรงเรียนวิเชียรมาตุ จังหวัดตรัง ที่สอบติดคณะสหเวชศาสตร์ สาขาเทคนิคการแพทย์ ซึ่งเป็นคณะยอดนิยมที่มีอัตราการแข่งขันสูงที่สุดในการรับตรงของธรรมศาสตร์ปีนี้ กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่สอบติดในระบบรับตรงของคณะสหเวชศาสตร์ เพราะตนเองชอบและสนใจศึกษาในสายวิทยาศาสตร์สุขภาพ และธรรมศาสตร์ถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงจึงเลือกที่นี่ ส่วนเคล็ดลับในการเรียนให้ประสบความสำเร็จ ตนเองไม่ได้เรียนพิเศษกวดวิชาใดๆ เลย แต่เน้นความขยันค้นคว้าอ่านหนังสือให้ลึกและรอบด้านมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยอ่านจากหลายๆ สำนัก เพราะแต่ละสำนักมีการวิเคราะห์ที่แตกต่างกันไปซึ่งเป็นประโยชน์ ทำให้ได้ความรู้หลากหลายแง่มุม และครอบคลุมมากขึ้น และทำแบบฝึกหัด จากนั้นมาเน้นย้ำจากการเรียนในห้องเรียนอีกครั้ง ทั้งนี้ ผู้สนใจค้นหาข้อมูลคณะต่างๆ ที่สนใจ หรือติดตามข่าวการรับสมัครเข้าศึกษาต่อ สามารถดูรายละเอียดได้ที่ www.reg3.tu.ac.thบ้านเมือง -- จันทร์ที่ 7 พฤษภาคม 2555
5792
« เมื่อ: 06 พฤษภาคม 2012, 22:10:17 »
นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดราชบุรี ไอเดียแจ๋ว นำกฎระเบียบวินัยของลูกเสือนำมาประยุกต์ใช้กับ อสม. เพื่อสร้างระเบียบวินัยรู้จักการทำงานเป็นทีม พร้อมสร้างจิตสำนึกรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์
เมื่อเร็วๆนี้ นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และคณะ ลงพื้นที่จังหวัดราชบุรี เพื่อเยี่ยมชมการทำงานของ อสม.(อาสาสาธารณสุขหมู่บ้าน) ราชบุรี โดยใช้กระบวนการลูกเสือเข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนางานของ อสม.
นายวิทยา กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยมี อสม.กระจายทุกหมู่บ้านรวม 1 ล้านคน ในปี 2555 นี้ กระทรวงสาธารณสุขจะเน้นการสร้างแรงจูงใจและพัฒนาขีดความสามารถของ อสม. โดยอบรมให้เป็น อสม.เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน 10 สาขา จำนวน 200,000 คน ได้แก่
1.การเฝ้าระวังป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อ เช่น ไข้เลือดออก
2.การส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ เช่น เบาหวาน 3.การส่งเสริมสุขภาพจิตชุมชน
4.การป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติดในชุมชน
5.การบริการในศูนย์สาธารณสุขมูลฐานชุมชนที่มีกว่า 70,000 แห่ง และการสร้างหลักประกันสุขภาพ
6.การคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ
7.การส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพ
8.การป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ในชุมชน
9.การจัดการสุขภาพชุมชน และ
10.การจัดการอนามัยแม่และเด็ก
และพัฒนา อสม.ในเรื่องการจัดการในภาวะวิกฤติ จำนวน 74,944 คนด้วย โดยจะสนับสนุนเครื่องมืออุปกรณ์จำเป็นพื้นฐานในการปฏิบัติงานให้แก่อสม.ที่ผ่านการอบรมทั้งหมด
น.พ.บุญเรียง ชูชัยแสงรัตน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดราชบุรี เปิดเผยว่า จำนวน อสม.ในพื้นที่เขตความรับผิดชอบของจังหวัดราชบุรีมีด้วยกัน 10 อำเภอ มีจำนวน 11,640 คน จากเดิมความรับผิดชอบของ อสม. 1 คน จะดูแล 10 หลังคาเรือน ทำให้การทำจะเป็นไปในลักษณะต่างคนต่างทำ แต่ละคนมีความเชี่ยวชาญด้านต่างๆ ไม่เหมือนกัน ซึ่งตรงข้ามกับการดูแลลูกบ้าน ซึ่งในบ้านหลังหนึ่งประกอบด้วยคนหลายวัย ที่มีทั้งเด็ก สตรี คนชรา ผู้ป่วย คนพิการ เป็นต้น
น.พ.บุญเรียง กล่าวว่า จากการทำงานของ อสม.ที่ผ่านมา เหมือนเป็นการทำงานแบบตัวใครตัวมัน การอบรมเพิ่มเติมความรู้จะมีอยู่แต่ในห้องประชุม มีแต่เรื่องของวิชาการที่บางครั้งคนฟังยังหลับ ซึ่งบางครั้งการอบรมก็ไม่สัมฤทธิผล เพราะไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง ตนจึงได้เปลี่ยนแนวคิดการอบรมแบบใหม่ โดยใช้หลักการฝึกอบรมด้วยกระบวนการลูกเสือ หรือเรียกว่า ลูกเสือ อสม.
การอบรมแบบลูกเสือ อสม.จะใช้รูปแบบกิจกรรมบันเทิงเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่าง อสม.ในพื้นที่เดียวกัน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการทำงาน จากนั้นรูปแบบการอบรมต่อมาคือ การอบรมแบบปฏิบัติจริง โดยแบ่งเป็นฐานการเรียนรู้ต่างๆ อสม.ที่เข้าอบรมสามารถโต้ตอบกับวิทยากรได้แบบตัวต่อตัว นอกจากนี้ กระบวนการลูกเสือยังช่วยในเรื่องของการต่อยอดเรื่องความรักสามัคคี และเทิดทูนทั้ง 3 สถาบัน คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
อย่างไรก็ตาม ในปี 2555 นี้ ทางจังหวัดราชบุรีมีเป้าหมายที่จะให้ลูกเสือ อสม.เข้าไปดูแลสุขภาพของพี่น้องประชาชน ในเรื่องของโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของกระทรวงสาธารณสุขที่ให้ทุกจังหวัดจัดกิจกรรมรณรงค์คัดกรองเบาหวานและความดันโลหิตสูงในประชากรที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป ในช่วงเดือนแห่งการรณรงค์วัน อสม.แห่งชาติที่ผ่านมา
"ภายหลังการอบรมลูกเสือ อสม.แล้ว พบว่า อสม.มีความรัก สามัคคี รู้จักการทำงานเป็นทีม มีความเสียสละประโยชน์ส่วนตน เพื่อประโยชน์ของคนส่วนรวมมากขึ้นและงานดูแลชุมชนก็มีการพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น"
"ลูกเสือ อสม." เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการประยุกต์ใช้วิชาลูกเสือมาใช้ในการอบรม อสม. และพัฒนาการทำงานของ อสม.ให้เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น
บ้านเมือง -- อาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม 2555
5793
« เมื่อ: 06 พฤษภาคม 2012, 22:07:31 »
ในช่วงหน้าร้อนยังมีโรคระบาดอีกประเภทที่มองข้ามไม่ได้ คือโรคอุจจาระร่วง/ท้องเสีย/ท้องเดิน เมื่อได้รับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายจะทำให้เกิดภาวะที่ร่างกายถ่ายเป็นน้ำหรือถ่ายเหลวมากกว่าวันละ 3 ครั้ง หรือถ่ายเป็นมูก อาการท้องเสียเนื่องจากเนื้อเยื่อที่ผนังลำไส้ใหญ่มีการระคายเคืองซึ่งอาจเกิดจากสารเคมีบางชนิดหรือพิษของเชื้อโรค ทำให้ลำไส้ใหญ่บีบตัวมากกว่าปกติ จึงเกิดการถ่ายอุจจาระบ่อยๆ เป็นโรคที่จะพบในช่วงที่มีฝนตกชุกและมีน้ำท่วมขัง น้ำท่วม เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ปนเปื้อนมากับน้ำที่ชาวบ้านนำมารับประทานหรือนำมาประกอบอาหาร หรือมากับขยะและน้ำเน่า
อันตรายที่เกิดจากโรคนี้คือเมื่อร่างกายถ่ายมากทำให้เกิดภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ได้ อาจส่งผลอันตรายถึงชีวิต โดยเฉพาะในเด็กเล็กและผู้สูงวัย
การใช้สมุนไพรตามหลักการแพทย์แผนไทย ใช้ยารสฝาดในการรักษาอาการท้องร่วงท้องเสีย รสฝาด มีสารสำคัญคือแทนนิน เป็น กรดอ่อนๆ มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียได้ มักพบในเปลือกต้นหรือแก่นของพืชเป็นส่วนใหญ่ เรียกว่า คอนเดนส์แทนนิน (condensed tannins) หรือโปรแอนโทรไซยานิน (proanthro-cyanin) แต่ถ้าพบมากในส่วนของใบหรือฝัก เรียกว่า สารไฮโดรไลซ์แทนนิน (hydrolysable tannins) สารแทนนินเมื่อสัมผัสกับผนังลำไส้ใหญ่จะรวมตัวกับโปรตีนที่เนื้อเยื่อบุผิวแล้วเปลี่ยนเป็นสารที่สามารถทำลายโปรตีนของตัวเชื้อโรค และทำให้เชื้อโรคตาย
สารแทนนินหรือรสฝาดทำหน้าที่ในการสมาน จึงเป็นรสยาที่นำไปใช้แก้ในทางสมานแผล แก้ท้องร่วง แก้บิด ช่วยฆ่าเชื้อโรค ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย บำรุงธาตุ แก้ร้อนในเคลือบแผลในกระเพาะอาหาร เมื่อร่างกายเจ็บป่วยเราสามารถนำสมุนไพรหรืออาหารที่มีรสชาติฝาดมาใช้ในการรักษาหรือดูแลสุขภาพเราได้ ในทางการแพทย์แผนไทยกล่าวว่า ผู้ที่รับประทานสารนี้เข้าไปมากจะทำให้คอแห้ง กระหายน้ำ ท้องอืด ท้องผูก แสลงกับโรคไอ โรคลม ธาตุไฟพิการ
สมุนไพรที่มีฤทธิ์แก้อาการท้องเสียท้องร่วงที่เรารู้จักทั่วไปมีหลายชนิด บางชนิดใช้แก้อาการท้องเสียที่ติดเชื้อได้ บางชนิดใช้แก้ได้ในชนิดแบบไม่ติดเชื้อ ซึ่งต้องศึกษาคุณประโยชน์ของสมุนไพรเหล่านี้ และนำไปใช้ดูแลสุขภาพได้อย่างถูกประเภท เช่น
ทับทิม ใช้เปลือกผล รสฝาด ฆ่าเชื้อ ชะล้างบาดแผล วิธีใช้ เอาเปลือกผลสด ต้มกับน้ำดื่มหรือใช้เปลือกผลแห้ง ต้มกับน้ำปูนใสแก้อาการบิด ที่มีอาการปวดเบ่ง มีมูกและเลือดติด แต่ถ้าอาการหนักกว่านี้และถ่ายบ่อยครั้งก็ต้องรีบไปหาหมอทันที
ฝรั่ง ใช้ใบ รสฝาด ดับกลิ่น ฆ่าเชื้อ ส่วนผลอ่อน รสฝาด แก้ท้องเสีย วิธีใช้ ให้เอาใบแก่ 10-15 ใบปิ้งไฟและชงน้ำรับประทาน หรือใช้ผลอ่อน 1 ผล ฝนกับน้ำปูนใสรับประทาน
ข่อย ใช้เปลือกต้น รสเมาฝาดขม แก้โรคผิวหนัง รักษาแผล วิธีใช้ นำเปลือกต้นต้มน้ำดื่มแก้ท้องร่วง หรือเปลือกต้นหุงเป็นน้ำมันทารักษาริดสีดวงทวารได้ด้วย
ฝาง ใช้แก่น รสขมฝาด บำรุงโลหิต แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้ท้องร่วง ธาตุพิการ โดยใช้แก่นต้มน้ำแบบเคี่ยว ดื่มแก้อาการท้องร่วง
มะตูม ใช้ผลอ่อน รสฝาดร้อนปร่าขื่นแก้ธาตุพิการ แก้ท้องเสีย แก้บิด บำรุงกำลัง วิธีใช้ให้เอาผลอ่อนหั่นเป็นแว่นตากแห้งนำไปต้มน้ำดื่มแก้ร้อนในกระหายน้ำ ฆ่าเชื้อในลำไส้ บำรุงหัวใจ บำรุงธาตุ ช่วยเจริญอาหาร
มะเดื่ออุทุมพร ใช้เปลือกต้น รสฝาดเย็น แก้ท้องร่วง ชะล้างบาดแผลโดยใช้เปลือกต้นใช้ต้มชะล้างแผล รับประทานแก้ท้องร่วง
มังคุด ใช้เปลือกผล รสฝาด มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบค ทีเรียซึ่งทำให้เกิดหนอง แก้โรคท้องร่วง ท้องเสียเรื้อรัง และโรคเกี่ยวกับลำไส้ วิธีใช้ รักษาโรคท้องเสียเรื้อรัง และโรคลำไส้ใช้เปลือกมังคุดครึ่งผล (ประมาณ 4-5 กรัม) ต้มกับน้ำ รับประทานครั้งละ 1 ถ้วยแก้ว ถ้าเป็นยาดองเหล้า รับประทานครั้งละ 1 ช้อนชา โดยชงดื่มกับน้ำอุ่นประมาณครึ่งแก้ว
ใช้เป็นยาแก้อาการท้องเดิน ท้องร่วง ใช้เปลือกผลมังคุดตากแห้งต้มกับน้ำปูนใส หรือฝนกับน้ำรับประทาน ใช้เปลือกต้มน้ำให้เด็กรับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนชา ทุก 4 ชั่วโมง ผู้ใหญ่ครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ ทุก 4 ชั่วโมง หรือยาแก้บิด (ปวดเบ่งและมีมูกและอาจมีเลือดด้วย) ใช้เปลือกผลแห้งประมาณ 1/2 ผล (4 กรัม) ย่างไฟให้เกรียม ฝนกับน้ำปูนใสประมาณครึ่งแก้ว หรือบดเป็นผง ละลายน้ำสุก รับประทานทุก 2 ชั่วโมง
ชาจีน ใบ รสฝาดชุ่ม แก้บิดปิดธาตุสมานแผล กระตุ้นหัวใจ แก้ปวดเมื่อยตามร่างกายแก้ท้องร่วง แก้ง่วงนอน วิธีใช้ ชงใบชาจีนแก่ๆ ทิ้งไว้จนได้น้ำสีเหลืองเข้ม ใช้จิบเรื่อยๆ
ฟ้าทะลายโจร ใบหรือทั้งต้น รสขม แก้ไข้ แก้หวัด แก้ปอดอักเสบ แก้บิด แก้ท้องเสีย วิธีใช้ ให้เอาใบสดหรือทั้งต้น 1 กำมือ ต้มน้ำดื่มก่อนอาหารวันละ3 ครั้ง หรือทั้งต้นหรือใบตากแห้งบดเป็นผงละเอียดที่บรรจุแคปซูล แคปซูลละ 500 มิลลิกรัม ให้กินครั้งละ 2 เม็ด วันละ 2-3 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า กลางวันและเย็น หยุดยาเมื่อหยุดถ่ายข้อควรระวังเมื่อใช้แล้วเกิดอาการข้างเคียงที่อาจพบคือ คลื่นไส้อาเจียนเป็นน้ำใส ไม่สบายในท้อง ถ้าเป็นมากให้หยุดยา
แค เปลือกต้น รสฝาด แก้บิดมูกเลือด คุมธาตุ สมานทั้งภายในภายนอก ชะล้างบาดแผล นำเปลือกต้นแค เอาส่วนด้านในที่มีสีขาวมาต้มกับน้ำ ดื่มเพื่อรักษาอาการท้องเสียแก้บิดแก้มูกเลือด คุมธาตุ หรือใช้ภายนอกนำไปชะล้างบาดแผล ฆ่าเชื้อได้
ไพล ใช้เหง้า วิธีใช้ แก้บิดท้องเสียใช้เหง้าไพลสดหั่นเอาสัก 4-5 แว่น นำไปตำให้ละเอียด คั้นเอาแต่น้ำเติมเกลือครึ่งช้อนชา ใช้รับประทาน หรือฝนกับน้ำปูนใสรับประทาน.
ไทยโพสต์ -- อาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม 2555
5794
« เมื่อ: 06 พฤษภาคม 2012, 22:06:01 »
เมื่อวันที่ 5 พ.ค. นายทองสุข สุวรรณประภา อายุ 40 ปี พนักงานสูบน้ำ สังกัดกองช่าง ของสำนักงานเทศบาลตำบล(ทต.) เวียงลอ อ.จุน จ.พะเยา เข้าร้องทุกข์ต่อนายไมตรี อินทุสุต ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยาว่า ขณะนี้นางนุศรา สุวรรณประภา อายุ 30 ปี ภรรยาที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งเต้านมเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลมหาราชเชียงใหม่ตั้งแต่เดือนก.ย. 2554 ต้องฉีดยาเข็มละ 98,000 บาท ทุกๆ 21 วัน และในวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมาถึงรอบที่ภรรยาต้องไปฉีดยา แต่ปรากฏว่าส่วนการเงินของโรงพยาบาลมหาราชเชียงใหม่แจ้งว่าไม่สามารถจ่ายยาให้ได้อีกต่อไป เนื่องจากต้นสังกัดคือ ทต.เวียงลอ ค้างชำระค่ารักษาพยาบาลจำนวน 709,468 บาท เกรงว่าหากภรรยาไม่ได้รับการรักษาตามแผนการรักษาของแพทย์อาจจะมีอันตราย
นายทองสุขกล่าวต่อว่า ก่อนที่จะมาทำหน้าที่ในทต.เวียงลอ เป็นลูกจ้างประจำโครงการสูบน้ำด้วยพลังไฟฟ้า กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ถ่ายโอนงานมาที่ทต.เวียงลอ เมื่อวันที่ 10 ก.ค.2546 ไม่คิดว่าจะมีปัญหาลักษณะนี้ ซึ่งทางโรงพยาบาลแจ้งเลื่อนนัดรับยาไปเป็นวันที่ 16 พ.ค. โดยมีเงื่อนไขว่าทางทต.เวียงลอ ต้องชำระเงินที่ค้างก่อน
พนักงานสูบน้ำทต.เวียงลอกล่าวอีกว่า ขณะที่ต้นสังกัดคือ ทต.เวียงลอก็แจ้งว่าไม่สามารถชำระค่ารักษาพยาบาลได้เนื่องจากเงินในหมวดไม่เพียงพอ และเมื่อทต.เวียงลอ ทำหนังสือขออนุมัติค่ารักษาพยาบาลไปที่สำนักงานท้องถิ่นจังหวัดพะเยา ได้รับการตอบกลับว่าเงินอุดหนุนค่ารักษาพยาบาลสำหรับข้าราชการถ่ายโอนมีน้อย ไม่เพียงพอสำหรับจ่ายค่ารักษาดังกล่าว ต้องรอเงินอุดหนุนในไตรมาสต่อไป จึงต้องร้องขอความช่วยเหลือจากจังหวัดประสานงานทางโรงพยาบาลหรือส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้เมตตาช่วยเหลือด้วย
ปัญหาที่ภรรยาของผมประสบเหตุในครั้งนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่เพื่อนข้าราชการถ่ายโอนอีกหลายคนที่ประสบชะตากรรมเดียวกันเพราะมาแต่คน เงินไม่ให้มา จึงอยากร้องขอให้ทางผู้ที่เกี่ยวข้องเร่งหาแนวทางแก้ไขเพื่อช่วยเหลือข้าราชการถ่ายโอน โดยเฉพาะกรณีค่ารักษาพยาบาลควรเป็นการจ่ายตรงเหมือนข้าราชการทั่วไป เพราะทุกวันนี้ผมยังเบิกจ่ายเงินจากต้นสังกัดเดิม คือกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน กระทรวงวิทย์ หากการถ่ายโอนภารกิจของหน่วยงานราชการสู่ท้องถิ่นถ่ายทั้งคน งาน และเงิน จะดีมาก ทุกคนที่ทำงานและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะได้รับความเป็นธรรม ไม่ประสบปัญหาอีกต่อไป นายทองสุขกล่าว
ข่าวสดออนไลน์ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
5795
« เมื่อ: 05 พฤษภาคม 2012, 21:41:59 »
โลกใต้ทะเลของไทย ทั้งฝั่งอ่าวไทย และอันดามัน ได้ชื่อสวยงามติดระดับโลก นั่นจึงทำให้แต่ละปีมีนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ดำดิ่งลงไปสัมผัสกับความงามของโลกใต้ทะเลไทยกันเป็นจำนวนมาก สำหรับแหล่งดำน้ำที่มีชื่อเสียงของไทยนั้น มีอยู่ไม่น้อย ซึ่งในที่นี้ “ตะลอนเที่ยว” ขอคัดสรรกลุ่มเกาะ และหมู่เกาะที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งดำน้ำยอดฮิตของไทยมา 5 แห่ง ซึ่งจะมีที่ไหนบ้าง ขอเชิญทัศนากันได้
เกาะเต่า-เกาะนางยวน “เกาะเต่า-เกาะนางยวน” 2 เกาะดังแห่ง จ.สุราษฎร์ธานี ได้ชื่อว่ามีโลกใต้ทะเลที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของอ่าวไทย สำหรับจุดดำน้ำที่ได้รับความนิยมก็มีหลายแห่งด้วยกัน เช่น “กองหินชุมพร” เป็นจุดดำน้ำที่มีชื่อที่สุดของเกาะเต่าลักษณะเป็นกองหินใต้น้ำขนาดใหญ่ มีความลึกตั้งแต่ 12-32 เมตร มีดอกไม้ทะเล ปะการังดำ ปลาหูช้าง ปลาสาก ปลาเก๋าดอกหมาก ขนาดยักษ์ และฉลามวาฬ ที่แวะเวียนมาประจำ ส่วนอีกหนึ่งจุดได้แก่ “กองตุ้งกู” ลักษณะเป็นกองหินใต้น้ำ มีปะการังดำ ฝูงปลานานาชนิด และปลาเก๋าขนาดใหญ่ และ “กองหินวง” ก็เป็นกองหินใต้น้ำเช่นกัน มีปะการังอ่อนสีสันสวยงาม รวมทั้ง แส้ทะเล หวีทะเล เป็นจำนวนมาก
ใกล้ๆ กับเกาะเต่า มี “เกาะนางยวน” ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งแหล่งดำน้ำที่สวยงาม โดยมีมีจุดเด่นๆให้เลือกดำน้ำ เช่น “กองหินนางยวน” จะเป็นกองหินเรียงอยู่ทำให้มีโพรงถ้ำเล็กๆ ใต้น้ำมากมาย หรือจะเป็นที่ “กองหินขาว” เป็นกองหินย่อยๆกระจายในบริเวณกว้าง มีปะการังอ่อนสีสวย กัลปังหา แส้ทะเล ปลาวัวหน้านวล ส่วน “เกาะกงทรายแดง” สัตว์ที่พบเห็น ได้แก่ ปะการังแข็ง ฟองน้ำ ปลาวัว และ ฉลามเสือดาว ด้วยความงามของโลกใต้ทะเลของเกาะเต่า เกาะนางยวน อีกทั้งที่นี่ยังเป็นแหล่งดำน้ำนอกฤดูกาลยอดฮิต ทำให้ที่นี่เป็นแหล่งผลิตนักเรียนดำน้ำแบบ Scuba ตามหลักสูตรของ Padi จากสหรัฐอเมริกาที่มากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นโรงเรียนสอนดำน้ำที่มีชื่อมากแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว
หมู่เกาะสิมิลัน “หมู่เกาะสิมิลัน” แห่งท้องทะเลอันดามัน จ.พังงา ปัจจุบันมี 11 เกาะน้อยใหญ่ มีสัญลักษณ์ คือหินเรือใบที่เกาะแปด (สิมิลัน) อันเลื่องชื่อ หมู่เกาะสิมิลันแหล่งดำน้ำลึกอันดับหนึ่งของเมืองไทย และสวยงามติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก ที่นี่มีจุดดำน้ำเด่นๆ คือ “เกาะตาชัย” เต็มไปด้วยปะการังหลากสีสันและฝูงปลานานาชนิด รวมถึงยังสามารถพบสัตว์ใหญ่อย่าง ฉลามวาฬ ฉลามเสือดาว กระเบนราหู ได้บ่อยครั้ง ส่วน “เกาะบอน” เต็มไปด้วยปะการังอ่อนขนาดเล็ก และมีโอกาสพบกระเบนราหูได้บ่อยครั้ง ส่วนใครโชคดีจะได้พบกับฉลามครีบดำที่นานจะโผล่มาโชว์ตัวสักที
นอกจากนี้ ยังมี “เกาะสาม” ที่แม้เป็นหน้าผาไม่มีหาดทราย แต่ว่าโลกใต้น้ำที่นี่งดงาม เพราะบริเวณนี้มีกำแพงเมืองจีนหรือสันฉลาม ซึ่งเป็นกำแพงหินธรรมชาติใต้น้ำอันตระการตา มักพบปลาฉลามครีบเงิน ฉลามเสือดาว และฝูงปลาจำนวนมากมาหากินใกล้ๆ กำแพงหิน ส่วนที่ “เกาะห้า” เป็นเกาะเล็กๆ ที่อุดมไปด้วยปะการังอ่อน-แข็ง มีปลาไหลที่ชอบโผล่หัวชูคอขึ้นจากรูจำนวนมาก จนได้ชื่อว่าเป็นสวนปลาไหล สำหรับ “เกาะหก” มีเรือนกล้วยไม้เป็นจุดดำน้ำลึกชมปะการังอ่อนหลากสีสัน อีกทั้งยังมีถ้ำใต้น้ำอยู่หลายแห่งด้วยกัน ด้าน “เกาะเจ็ด” หรือ หินปูซาร์ เป็นหินโผล่กลางทะเล มีกัลปังหาขึ้นอยู่บนลาน มีปลาสวยงามมากมาย
หมู่เกาะสุรินทร์ “หมู่เกาะสุรินทร์” จ.พังงา แห่งท้องทะเลอันดามัน ที่นี่มีจุดดำน้ำลึกอันโดดเด่นอยู่บริเวณ “กองหินริเซลิว” ซึ่งเป็นกองหินใต้น้ำมีลักษณะคล้ายกับเป็นคอนโดมิเนียม มีสัตว์น้ำเล็กๆ อาศัยอยู่ตามซอกมุมของหิน เช่น ปลากบ กุ้งตัวตลก ม้าน้ำ ทากทะเล ปะการังอ่อนหลากสี เป็นต้น อีกจุดหนึ่งอยู่ที่ “เกาะตอรินลา” หรือ เกาะไข่ บางคนเรียกว่า กองเหลือง งดงามด้วยดงปะการังเขากวางขนาดใหญ่ และปลาสวยงามกว่า 200 ชนิด ส่วนที่ “หินแพ” เพราะเป็นจุดดำน้ำสำหรับดูปลาโดยเฉพาะ เช่น ปลาวัว ปลานกแก้วต่างๆ ปลากล้วย ปลาเขียวพระอินทร์ เป็นต้น
ขณะที่จุดดำน้ำตื้นในบริเวณอ่าวรอบๆ หมู่เกาะสุรินทร์เกือบทุกอ่าวจะเต็มไปด้วยแนวปะการังแข็งที่สมบูรณ์ที่สุดของท้องทะเลไทย โดยจุดดำน้ำที่เด่นๆ ก็มี “อ่าวไม้งาม” ที่มีปะการังแผ่น ปะการังเขากวาง อยู่จำนวนมาก, “อ่าวผักกาด” ที่เป็นอ่าวเล็กๆ สามารถพบเห็นปะการังอ่อน กัลปังหา และสัตว์ทะเลน่าสนใจ เช่น ดอกไม้ทะเล หอยมือเสือ และปลาจำนวนมากมายหลายชนิด “อ่าวเต่า” พบปะการังก้อนใหญ่มีปะการังอ่อนและกัลปังหาอยู่เป็นหย่อมๆ นอกจากนี้ ยังมีโอกาสที่จะเห็นปลาใหญ่อย่างฉลาม และกระเบนราหู อีกด้วย “อ่าวสับปะรด” ที่บริเวณนี้เราจะได้เห็นปะการังจำพวกปะการังเขากวางอ่อน สีน้ำเงิน ม่วงอ่อน และปลาบางชนิด ด้วยความโดดเด่นของโลกใต้ทะเลริมชายฝั่ง ทำให้หมู่เกาะสุรินทร์ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งดำน้ำตื้น(Snorkeling) ที่ดีที่สุดในเมืองไทย
หมู่เกาะตะรุเตา “หมู่เกาะตะรุเตา” จ.สตูล เป็นหมู่เกาะใต้สุดของท้องทะเลไทยฝั่งอันดามัน ที่นี่มีจุดดำน้ำที่สำคัญๆ ได้แก่ “ร่องน้ำจาบัง” ที่มีปะการัง 7 สีอันสวยงามเป็นตัวชูโรง แต่ด้วยความที่กระแสน้ำที่นี่ไหลเชี่ยวแรงมาก ดังนั้นผู้ที่ลงดำน้ำดูปะการังต้องสวมชูชีพทุกครั้ง
นอกจากนี้ ยังสามารถดำน้ำตื้นชมโลกใต้ท้องทะเลอันสวยงามได้อีกในหลายๆ แห่งของหมู่เกาะตะรุเตา ได้แก่ “เกาะอาดัง-เกาะราวี” 2 เกาะแฝดที่มีแนวปะการังอยู่รอบๆ เกาะ และมีปลาสวยงามอีกเป็นจำนวนมาก ส่วน “เกาะยาง” ที่บริเวณหน้าเกาะมีปะการังเขากวาง ปะการังรูปโต๊ะ ปะการังไฟ ปะการังสมอง ปะการังผักกาด มีระดับความลึกราว 4-10 ฟุต จึงเหมาะสำหรับการดำน้ำตื้นเช่นกัน ด้าน “เกาะหินซ้อน” ที่มีหินขนาดใหญ่รูปร่างแปลกตาตั้งซ้อนกันดูเหมือนจะตกแหล่มีตกแหล่ รอบๆเกาะแห่งนี้ เต็มไปด้วยปะการังอ่อนและปะการังแข็งที่สวยงาม สำหรับ“เกาะหลีเป๊ะ” ที่มากมายไปด้วยรีสอร์ตที่พักนั้น รอบๆ เกาะมีธรรมชาติของป่าปะการังเป็นจุดเด่น ส่วนที่ “เกาะรอกลอย” เป็นแหล่งเล่นน้ำ ดำน้ำดูปลาสวยงามในบรรยากาศหาดทรายน้ำตื้นที่น้ำทะเลใสแจ๋วเหมือนแหวกว่ายอยู่ในสระน้ำ นับได้ว่าโลกใต้หมู่เกาะตะรุเตาเป็นอีกหนึ่งแหล่งดำน้ำที่น่าสนใจและได้รับความนิยมมากแหงหนึ่งของเมืองไทย
หมู่เกาะชุมพร “หมู่เกาะชุมพร” จ.ชุมพร แห่งท้องทะเลฝั่งอ่าวไทย ถือเป็นอีกหนึ่งแหล่งที่มีโลกใต้ทะเลงดงามที่นักดำน้ำไม่ควรมองผ่าน สำหรับจุดดำน้ำชื่อดังของชุมพร ก็คือ “เกาะง่ามใหญ่” อันเป็นเกาะสัมปทานรังนกนางแอ่น เป็นจุดที่มีแนวปะการังและกลุ่มกองหินเรียงรายขนานกับแนวเกาะ และมีถ้ำใต้น้ำขนาดเล็ก สิ่งมีชีวิตที่พบในบริเวณนี้คือ ดอกไม้ทะเล ปะการังแข็ง แส้ทะเล ฟองน้ำ กัลปังหา ปลานกแก้ว ปลาสาก ปลาผีเสื้อ ปลาสินสมุทร ปลากระเบนจุดฟ้า เต่า ทากทะเล กุ้งตัวยาว
ส่วน “เกาะง่ามน้อย” มีลักษณะเป็นแนวสันเกาะ และมีกองหินเล็กๆกระจายขนานตามแนวเกาะ พื้นหินปกคลุมด้วยพรมทะเล และปะการังหนัง ดอกไม้ทะเล แส้ทะเล ที่นี่มักจะพบกุ้งตัวยาว ทากเปลือย เต่าทะเล ปลาไหลมอเรย์ตาขาว ปลาเก๋าและกระเบน ขณะที่ “หินหลักง่าม” ที่เป็นหินโผล่พ้นน้ำที่มี 2 ยอด มีทุ่งปะการังดำขึ้นปกคลุมหนาแน่นบนลานทราย มีปลาการ์ตูนและดอกไม้ทะเลอาศัยอยู่บนแนวหิน ที่นี่มักจะพบทากเปลือยสวยงามหลายชนิด ด้าน“หินแพ” ที่เป็นแนวกองหินที่มียอดโผล่พ้นน้ำ ที่นี่น่ายลไปด้วย ดอกไม้ทะเล ปะการังดำ แส้ทะเล หอยมือเสือ ปลาผีเสื้อ ปลาสาก ปลากระเบน เต่า ปลาหมอ และมีการพบฉลามวาฬในบริเวณนี้ด้วย
ส่วนอีกจุดดำน้ำที่ถือเป็นไฮไลต์ของท้องทะเลชุมพร ก็คือ “เกาะร้านเป็ด-ร้านไก่” ที่โลกใต้น้ำเป็นแนวกำแพงเกาะ มีลานหินขนาดใหญ่ มีถ้ำใต้น้ำที่สวยงาม แนวหินปกคลุมด้วยกัลปังหารูปพัด ดอกไม้ทะเล แส้ทะเล ฟองน้ำ และปะการังแข็ง บนพื้นทรายมีปะการังดำขึ้นหนาแน่นสวยงามมาก มักพบปลากระเบนขนาดใหญ่ ทากทะเลสวยงามหลายชนิด ปลาสาก ปลานกแก้ว ปลาผีเสื้อ มีการพบฉลามวาฬแวะเวียนมาในบางครั้ง
และนี่คือ 5 แหล่งดำน้ำตามกลุ่มเกาะ และหมู่เกาะอันโดดเด่นสวยงาม และเป็นที่นิยมในหมู่นักดำน้ำ ซึ่งนี่ถือเป็นมนต์เสน่ห์แห่งโลกใต้ทะเลไทยที่รอให้ผู้สนใจได้ดำดิ่งแหวกว่ายลงไปสัมผัส
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 พฤษภาคม 2555
5796
« เมื่อ: 05 พฤษภาคม 2012, 21:29:45 »
ปลัด สธ.เผยเตรียมเสนอ 3 กฎหมาย เพิ่มพื้นที่ปลอดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ได้แก่ โรงงาน รัฐวิสาหกิจ และบนรถยนต์ทุกชนิด ตั้งแต่ 3 ล้อเครื่องขึ้นไป ทั้งคนขับ คนนั่ง...
เมื่อวันที่ 4 พ.ค. ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะรองประธานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ให้สัมภาษณ์ว่า ในวันนี้ได้รับมอบหมายจากนายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประจำปี 2555 โดยที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีตามพระราชบัญญัติ ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 รวม 4 ฉบับ ซึ่งประกาศดังกล่าวเป็นการขยายพื้นที่ปลอดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้มากขึ้น จากเดิมที่ห้ามขายและห้ามดื่มในวัด หรือศาสนสถาน สถานบริการสาธารณสุขของรัฐ สถานที่ราชการ ปั๊มน้ำมัน สวนสาธารณะ และห้ามขายในหอพักนักศึกษา เพื่อสร้างความปลอดภัยในสังคม จากปัญหาการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งอุบัติเหตุจราจร ลดการเจ็บป่วย เช่น โรคตับแข็ง โรคจิตเวช รวมทั้งความรุนแรงในสังคมอื่นๆ โดยจะเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ในวันที่ 16 พฤษภาคม 2555 เพื่อพิจารณาก่อนเสนอนายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศ ให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีฉบับที่ 1 ว่าด้วยการห้ามขายหรือห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่ประกอบกิจการโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน ในส่วนที่เป็นอาคาร สถานที่ หรือมียานพาหนะที่ใช้เครื่องจักรที่มีกำลังรวมตั้งแต่ 5 แรงม้าขึ้นไป หรือใช้คนงานตั้งแต่ 7 คนขึ้นไป ไม่ว่าจะใช้เครื่องจักรหรือไม่ก็ตาม เพราะอาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้แรงงานที่กำลังทำงานอยู่ในโรงงาน ยกเว้นพื้นที่สโมสรหรือที่พักอาศัย และกรณีโรงงานผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ขายตามปกติทางธุรกิจ และการดื่มที่เป็นขั้นตอนการผลิตหรือเพื่อรักษามาตรฐานการผลิต ซึ่งประกาศฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 180 วัน หลังจากลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ส่วนร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีฉบับที่ 2 ว่าด้วยการห้ามขายหรือห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นของรัฐ เช่นองค์กรมหาชน สาระสำคัญเช่นเดียวกันประกาศห้ามขายและห้ามดื่มในสถานที่ราชการที่เคยมีมาก่อน โดยกำหนดให้ขายได้เฉพาะในบริเวณที่จัดเป็นร้านค้าหรือสโมสร และให้ดื่มได้เฉพาะที่พักส่วนบุคคล สโมสร หรือการจัดเลี้ยงตามประเพณี โดยประกาศฉบับนี้ไม่บังคับใช้กับองค์การสุรา จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
นพ.ไพจิตร์ กล่าวอีกว่า สำหรับร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีฉบับที่ 3 ว่าด้วยการการห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในรถยนต์ทุกประเภทตั้งแต่ 3 ล้อขึ้นไป ทั้งผู้ขับและผู้โดยสาร เนื่องจากพบว่าอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้มีความรุนแรงขึ้น แม้จำนวนครั้งน้อยกว่าปี 2554 แต่จำนวนผู้เสียชีวิตกลับเพิ่มขึ้น สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากรถกระบะบรรทุกคนจำนวนมาก และคนขับและคนนั่งโดยสารดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณาร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการห้ามขายหรือห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในทางสาธารณะเพื่อการจราจรทางบก ตามกฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก ได้แก่ ถนนสาธารณะ ไหล่ทาง ทางเท้า ซึ่งที่ประชุมมีความเห็นว่าการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่สาธารณะ มีกฎหมายตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกอยู่แล้ว และมอบให้สำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไปทำความเข้าใจและศึกษาผลกระทบเรื่องการห้ามดื่มบนทางสาธารณะกับผู้เกี่ยวข้อง คือ ประชาชน และผู้ดูแล ผู้บังคับใช้กฎหมาย เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสรรพสามิต และกทม. และให้นำเข้าที่ประชุมครั้งต่อไป.
ไทยรัฐออนไลน์ 5 พค 2555
5797
« เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2012, 22:14:52 »
"หมอเสริฐ" ประกาศใช้ "เชียงใหม่" เป็นฐานขยายเครือข่ายธุรกิจรุกเข้าอาเซียนตอนล่าง 5 ประเทศ "พม่า-ลาว-กัมพูชา-เวียดนาม-ยูนนาน/จีน" ผนึกจุดแข็งธุรกิจสุขภาพกับท่องเที่ยวลุยบริการกว่า 250 ล้านคนหลังควบรวมโรงพยาบาล 4 กลุ่ม 28 แห่ง ดันยอดรายได้เพิ่ม 1.2 หมื่นล้านบาท
นายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่าหลังควบรวมธุรกิจโรงพยาบาล 4 กลุ่ม ได้แก่ โรงพยาบาลกรุงเทพ โรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาลบีเอ็นเอช และโรงพยาบาลรอยัล ซึ่งมีเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว ได้วางกลยุทธ์ใช้ศักยภาพของ 2 ธุรกิจ คือ ธุรกิจสุขภาพในกลุ่มโรงพยาบาลของบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) 28 แห่ง ผนวกกับธุรกิจท่องเที่ยวครบวงจรของบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด ซึ่งมีทั้งสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส โรงแรม ครัวการบิน และบริษัทจัดนำเที่ยว เชื่อมโยงความแข็งแกร่งเข้าด้วยกัน เพื่อขยายบริการให้สามารถรองรับกลุ่มเป้าหมายได้ทุกระดับพร้อมจะขึ้นเป็นผู้นำเมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ปี 2558
ขณะนี้เริ่มวางแผนขยายการลงทุนโรงพยาบาล โดยเลือกจังหวัดเชียงใหม่เป็นศูนย์กลางการก่อสร้างโรงพยาบาลแห่งใหม่ในที่ดินบริเวณวงแหวนรอบนอก อยู่ไม่ไกลย่านธุรกิจ ระหว่างนี้กำลังทยอยสร้างขนาด 200 เตียง พร้อมเปิดให้บริการได้ปี 2556 ตั้งเป้าหมายจะใช้เป็นฐานการขยายธุรกิจโรงพยาบาลเครือกรุงเทพเข้าไปยังอาเซียนตอนล่าง ตอนนี้พม่าน่าสนใจมากที่สุดด้วยจำนวนประชากรกว่า 70 ล้านคน ในจำนวนนี้ต่างต้องการใช้บริการด้านสุขภาพหลากหลายระดับ แนวโน้มน่าจะเติบโตดี
ส่วนกัมพูชา สปป.ลาวนั้นมีโรงพยาบาลกรุงเทพเปิดดำเนินการมาหลายปีแล้ว ยังเหลือมณฑลยูนนานกำลังมองลู่ทางเปิดโรงพยาบาลอยู่ด้วยเช่นกัน ควบคู่กับการจัดซื้ออุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ ผลิตยาส่งไปจำหน่ายในประเทศเหล่านี้ด้วย
ทั้งนี้ เครือกรุงเทพดุสิตเวชการมีกลุ่มบริษัทลงทุนและพัฒนาธุรกิจโรงพยาบาลและสุขภาพรวมอยู่ด้วยคือ บริษัท เนชั่นแนล เฮลท์แคร์ ซิสเท็มส์ จำกัด เป็นศูนย์วิเคราะห์โลหิตที่ใหญ่และทันสมัยของไทยอยู่ระดับแถวหน้าของเอเชีย-แปซิฟิก บริษัท ไบโอ โมเลกุลลาร์ แลบบอราทอรี่ส์ จำกัด เป็นห้องปฏิบัติการชีวโมเลกุล บริษัท สหแพทย์เภสัช จำกัด ผู้ผลิตยา บริษัท กรุงเทพเฮลิคอปเตอร์เซอร์วิสเซส จำกัด บริการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทางอากาศทั่วไทยและประเทศเพื่อนบ้าน
"สาเหตุที่สนใจปักหลักลงทุนต่างประเทศแถบอาเซียนตอนล่าง พม่า เวียดนาม สสป.ลาว กัมพูชา และจีนตอนใต้คือ ยูนนาน ก็เพราะเมื่อร่วมจำนวนประชากรเข้าด้วยกันแล้วมีจำนวนเกินกว่า 250 ล้านคน ประการสำคัญที่สุดคือเป็นกลุ่มประเทศที่มีวัฒนธรรม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ นับถือศาสนา และมีหลายอย่างคล้ายคลึงกับไทย จึงสะดวกและง่ายต่อการพัฒนาธุรกิจและให้บริการ
"เครือโรงพยาบาลกรุงเทพจะไม่เข้าไปลงทุนในอาเซียนตอนบน 5 ประเทศ มีสิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเอเชียตะวันออกไกลอย่างฮ่องกงกับจีน เพราะพื้นที่ดังกล่าวมีกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่สิงคโปร์คือ กลุ่มคอร์ติส
ตอนนี้เคลื่อนไหวเชิงรุก หรือฟิลิปปินส์ก็เป็นประเทศผู้ผลิตพยาบาลส่งออกไปทำงานต่างประเทศมากที่สุด ฮ่องกงก็มีกลุ่มพัฒนาโรงพยาบาลที่เข้มแข็งมาก"
นายแพทย์ปราเสริฐกล่าวว่า ปีนี้เร่งผลักดันองค์กรที่เกี่ยวข้องในประเทศ ผลิตบุคลากรด้านการแพทย์ โดยตั้งเป้าอีก 10 ปีข้างหน้าจะผลิตได้ถึงปีละ 20,000 คน จากปัจจุบันมีเพียง 1,800 คน ส่วนเครือโรงพยาบาลกรุงเทพทุ่มทุนจัดซื้ออุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์สมัยใหม่เข้ามาติดตั้งตามโรงพยาบาลจนเกือบครบร้อยเปอร์เซ็นต์ทุกแห่ง เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับบริการทางสุขภาพทั้งการป้องกันและรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ
ประชาชาติธุรกิจ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
5798
« เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2012, 22:00:44 »
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 4 พ.ค.ว่า นายคริส เจมส์ ชายอังกฤษผู้ตาบอดเป็นเวลา 20 ปี สามารถกลับมามองเห็นอีกครั้ง หลังจากได้รับการปลูกฝังไมโครชิฟในดวงตา โดยเขาบอกว่า หลังจากอยู่ในความมืดมานับสิบปี จู่ ๆ เขาก็เห็นแสงสว่างอย่างกระจ่างตา เหมือนมีหลอดไฟอยู่ในดวงตา ขณะที่ความสำเร็จคาดว่าจะจุดประกายตาให้แก่ผู้ป่วยตาบอดในอังกฤษ 20,000 หมื่นคน ที่ตาบอดจากอาการต่างๆ รวมทั้งอาการเสื่อมสภาพของเยื่อชั้นในของดวงตา โดยผู้ป่วยอีกรายที่ตาบอดกลับมามองเห็นก็คือ นายโรบิน มิลเล่อร์ โปรดิวเซ่อร์ดนตรีชื่อดังของอังกฤษด้วย
รายงานระบุว่า ความสำเร็จดังกล่าวจากทีมแพทย์อังกฤษซึ่งใช้เวลาผ่าตัดปลูกฝังไมโครชิฟในดวงตา ใช้เวลา 10 ชม.โดยไมโครชิฟดังกล่าวมีความคมชัดต่อแสงราว 1,500 พิกเซล ซึ่งจะทำหน้าที่แทนตัวรับแสงของดวงตาและกรวยตา โดยไมโครชิฟดังกล่าวทำงานด้วยพลังงานไฟ้าไร้สายที่อยู่ด้านหลังหู เชื่อมต่อเข้ากับแบ๊ตเตอรี่ที่จ่ายไฟจากจานแม่เหล็กบนหนังศีรษะ อย่างไรก็ตาม นายทิม แจ๊คแมน ศัลยแพทย์ด้านกระจกตาแห่งมหาวิทยาลัยคิง คอลเลจ บอกว่า งานชิ้นนี้ถือว่าเกินกว่าที่เขาและผู้ช่วยคาดไว้ เพราะสามารถทำให้ผู้ป่วยตาบอดสามารถคืนความสามารถในการมองเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยได้
อย่างไรก็ตาม ศัลย์แพทย์ผู้นี้ชี้ว่า งานชิ้นนี้ยังเป็นขั้นเริ่มต้นเท่านั้น และจะต้องพัฒนาต่อไปเพื่อความสมบูรณ์แบบอย่างถาวร ทั้งนี้ กระบวนการฝังไมโครชิฟในดวงตาเพื่อให้ผู้ป่วยมองเห็นยังมีการทดลองในประเทศอื่นด้วย เช่น จีน และเยอรมัน โดยอุปกรณ์ชิปฝังผลิตโดยบริษัท AG ของเยอรมัน
มติชนออนไลน์ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
5799
« เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2012, 21:57:45 »
ครม.ยังไม่เคาะงบบัตรทอง เตรียมถก 8 พ.ค.นี้ แต่บอร์ด สปสช.ยืนยันตัวเลข 2,939.73 บาทต่อคน ชี้หากได้เท่าเดิมอยู่ลำบากแน่
นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวออกมาว่า ครม.ปรับลดงบเหมาจ่ายรายหัวในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) 4.9% จากที่เสนอขอไปว่า ในการประชุม ครม.เมื่อวันที่1 พฤษภาคมที่ผ่านมา ไม่มีเรื่องงบเหมาจ่ายรายหัวเข้าสู่วาระการพิจารณาแต่อย่างใด ซึ่งหากมีการพิจารณาเรื่องนี้คงต้องผ่านตาตนบ้างในรายละเอียดนั้นตนไม่ทราบ เพราะไม่ได้ดูหน่วยงานสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
ขณะที่แหล่งข่าวจากคณะกรรมการ สปสช.ระบุว่า งบเหมาจ่ายรายหัวปี 2556 ได้มีการนำเสนอต่อ ครม.เมื่อวันที่1 พ.ค. เป็นการนำเสนองบประมาณภาพรวมทั้งประเทศ ทุกกระทรวง ทบวง กรม แต่เท่าที่ทราบจะมีการนำเสนอต่อ ครม.อีกครั้งในวันที่ 8 พ.ค.2556 ซึ่งจะเป็นการพิจารณาในรายละเอียด ดังนั้นตัวเลขงบเหมาจ่ายรายหัวที่นำเสนอผ่านสื่อขณะนี้จึงยังไม่สรุป
ทั้งนี้ ในการนำเสนองบประมาณเหมาจ่ายรายหัวนั้น ทาง สปสช.ได้นำเสนอไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 11 เม.ย.2555 ที่อัตรา 2,939.73 บาทต่อคน แต่เมื่อนำเสนอเข้าครม.เมื่อวันที่1 พ.ค. กลับอยู่ที่ 2,755.60 บาทต่อคน ซึ่งเป็นงบที่ได้เท่ากับงบถูกตัดหลังจากน้ำท่วมในปี 2555 โดยในงบปี 2555 ก่อนถูกปรับลดช่วงน้ำท่วมอยู่ที่ 2,895.60 บาทต่อคน ทั้งนี้ หากปี 2556 ได้งบประมาณที่ 2,755.60 บาทต่อคนจริง จะส่งผลกระทบต่อ รพ.อย่างแน่นอน ซึ่งที่ผ่านมาทางอนุกรรมการด้านการเงินการคลังได้มีการคำนวณค่าใช้จ่ายที่ปรับเพิ่ม คือ 1.การเพิ่มค่าแรงตามนโยบายรัฐบาล 300 บาท และการปรับเพิ่มเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท 2.การว่าจ้างพยาบาลภาคใต้เพิ่มเติม 3,000 คน และจะมีการบรรจุเพิ่มเติมในปี 2555 โดยรวม 2 ส่วนนี้ประมาณการค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอยู่ที่ 3,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายในส่วนค่าตอบแทนทั้งในส่วน รพ.ศูนย์ รพ.ทั่วไป และ รพ.ชุมชน ตามค่าตอบแทนฉบับที่ 5-6-7 ที่ยังเป็นปัญหาอยู่รวม 5,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีอัตราเงินเฟ้อที่ปรับขึ้นทุกปีอยู่ที่ปีละ 6% ซึ่งเมื่อคิดโดยรวมทั้งหมดแล้ว เท่ากับงบประมาณปี 2556 ถูกปรับลดไปราว 15,000-20,000 ล้านบาท
ต่อข้อซักถามว่า หาก ครม.ยืนยันให้คงอัตรารายหัวที่ 2,755.60 บาท จะทำอย่างไร แหล่งข่าวบอร์ด สปสช.กล่าวว่า คงต้องเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงบประมาณ แต่ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะที่ผ่านมาการจ่ายค่ารักษาตามหลักเกณฑ์ดีอาร์จี สำนักงานประกันสังคมได้มีการปรับเพิ่มไปถึง 15,000 บาท สวัสดิการข้าราชการกำหนดที่ 12,000 บาท แต่ สปสช.อยู่ที่ 7,000-8,000 บาทเท่านั้น นอกจากนี้ที่ผ่านมายังมีการเรียกร้องของกลุ่ม รพ.เอกชนที่ของเพิ่มค่าดีอาร์จีในส่วนของผู้ป่วยฉุกเฉินจากที่กำหนดไว้ 10,500 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการนำเสนองบ สปสช. โดยรวมนโยบายค่าแรงของรัฐบาลอยู่ที่ 155,666,287,200 บาท เป็นงบ สปสช.ไม่รวมนโยบายค่าแรง 151,716,081,900 บาท แยกเป็นงบอัตราเหมาจ่ายรายหัว 142,415,219,900 บาท (เป็นอัตราเหมาจ่ายรายหัว 2,939.73 บาท คูณกับจำนวนประชากร 48,445,000 ล้านบาท) งบบริการสุขภาพผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ 3,599,248,000 บาท งบบริการสุขภาพผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง 4,416,668,100 บาท งบบริการควบคุม ป้องกัน และรักษาโรคเรื้อรัง 1,284,945,700 บาท.
ไทยโพสต์ -- ศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม 2555
5800
« เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2012, 21:55:40 »
นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีเผาและบดทำลายผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย น้ำหนักรวม 17,000 กิโลกรัม มูลค่ารวม 231 ล้านบาท ในจำนวนนี้มียาซูโดอีเฟดรีน 38 กิโลกรัม...
นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีเผาและบดทำลายผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย ประกอบด้วย อาหารเสริม ยา เครื่องสำอาง เครื่องมือแพทย์ น้ำหนักรวมกันกว่า 17,000 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 231 ล้านบาท โดยของกลางทั้งหมดเป็นผลมาจากการทำงานเชิงรุก ของตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค และเจ้าหน้าที่จากสำนักงานอาหารและยา (อย.) ที่ได้จับกุมผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้จำหน่าย ในรอบปีที่ผ่านมา เช่น การจับกุมเว็ปไซต์ผิดกฎหมาย ที่มีการโฆษณาจำหน่ายยา วิตามิน หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง ช่วยทำให้ผิวขาวใส หรือช่วยลดน้ำหนัก นอกจากนี้ ยังมีการนำยาซูโดอีเฟดรีน น้ำหนักรวมกันกว่า 38 กิโลกรัม มาร่วมเผาทำลายในครั้งนี้ด้วย
รมว.สธ. ระบุว่า จากของกลางทั้งหมด แสดงให้เห็นว่า ยังคงมีการลักลอบนำของกลาง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ได้มาตรฐานมาจำหน่ายเป็นจำนวนมาก ซึ่งหลังจากนี้ ทาง อย.จะมีมาตรการเข้มงวดในการปราบปรามจับกุมมากขึ้น เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคไม่ให้ตกเป็นเหยื่อต่อไป.
ไทยรัฐออนไลน์ 4 พค 2555
5801
« เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2012, 21:40:25 »
นักท่องเที่ยวรายหนึ่งที่สวนสัตว์อู่ฮั่นคึก ปาก้อนหินใส่ช้างแอฟริกันเล่น โดนช้างเอาคืนใช้งวงหยิบก้อนหินปาใส่นักท่องเที่ยวเล่นด้วยเช่นกัน ในบ่ายวันอาทิตย์(29 เม.ย.) หนุ่มชาวจีนคนหนึ่งที่เข้าชมสวนสัตว์อู่ฮั่น เกิดคึกคะนองปาก้อนหินไปใส่ฝูงช้างแอฟริกัน ช้างแอฟริกันตัวหนึ่ง ก็เดินไปที่ก้อนหินที่ตกอยู่ในทันที ใช้งวงหยิบก้อนหินปาคืนให้กลุ่มนักท่องเที่ยว ก้อนหินลอยข้ามตาข่ายสูงสามเมตร โดนศีรษะนักท่องเที่ยวหญิงคนหนึ่งร้องเสียงดังลั่นด้วยความเจ็บปวด ผู้คนรอบๆตกตะลึง เจ้าหน้าที่ได้รีบวิ่งเข้ามาตรวจสอบ เคราะห์ดีที่ก้อนหินที่ช้างปาใส่โดนศีรษะนักท่องเที่ยวเป็นก้อนดิน ไม่ได้เจาะหนังศีรษะเลือดไหล เพียงเป็นรอยช้ำแดงๆ เจ้าหน้าที่ได้พานักท่องเที่ยวดวงซอยไปยังโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่เผยว่าเป็นครั้งที่สองที่ช้างแอฟริกันที่สวนสัตว์อู่ฮั่นปาสิ่งของใส่นักท่องเที่ยว โดยครั้งแรกเกิดเมื่อปี 2550 นักท่องเที่ยวได้ปาหินใส่ช้างแอริฟกัน ช้างแอฟริกันก็ใช้วงวหยิบก้อนหินปาใส่คืนกลุ่มนักท่องเที่ยว โดนเด็กหญิงคนหนึ่งบาดเจ็บ หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่สวนสัตว์ได้ขึงตาข่ายสูงสามเมตรป้องกันเหตุขว้างปาสิ่งของใส่กัน อีกทั้งได้ติดป้ายเตือนมิให้นักท่องเที่ยว ห้ามปาสิ่งของใส่ช้าง เจ้าหน้าที่สวนสัตว์กล่าวว่าพฤติกรรมที่ไร้วัฒนธรรมของนักท่องเที่ยวเช่น การปาสิ่งของหรือก้อนหิน เป็นการสอนให้ช้างนิสัยเสียตามไปด้วย ช้างเป็นสัตว์ที่ฉลาดมาก และมีอารมณ์ความรู้สึก ถ้าเราทำดีกับมัน มันก็ดีตอบ แต่ทำร้ายมัน มันก็ร้ายตอบเช่นกัน ดังเหตุการณ์น่าเศร้าสลดที่เคยเกิดขึ้นทั้งในและนอกประเทศ คนเลี้ยงช้างที่ทารุณกรรมสัตว์ ถูกช้างฟาดงวงฟาดงาใส่ หรือกระทืบตาย.
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 พฤษภาคม 2555
5802
« เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2012, 21:37:31 »
ผู้ตรวจราชการ กระทรวงสาธารณสุขแจงความคืบหน้าซูโดฯ รพ.ดอยหล่อ-ฮอด เผยที่แรกรอผู้เกี่ยวข้องชี้แจง ส่วนที่หลังต้องนัดใหม่หลังดีเอสไอเชิญตัวสอบ ระบุผู้ถูกกล่าวหามีเวลาหาหลักฐานพิสูจน์ตัวตามระเบียบ-หากไม่เคลียร์โดนลงโทษแน่ ชี้ยาหาย-แอบสั่งยาอาจมาจากหวังขายทำกำไรส่วนต่างราคา วันนี้ (3 พ.ค.) นายแพทย์วิศิษฏ์ ตั้งนภากร ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขต 15 เปิดเผยถึงความคืบหน้าการตรวจสอบคดียาซูโดอีเฟดรีนที่โรงพยาบาลดอยหล่อ และโรงพยาบาลฮอด จ.เชียงใหม่ว่า จากการสอบสวนพบว่าเภสัชกรจากทั้งสองโรงพยาบาลอาจมีความผิดทางวินัยจากกรณีดังกล่าว ทั้งจากการแอบอ้างใช้ชื่อของโรงพยาบาลในการสั่งซื้อยา รวมทั้งการที่มียาหายไปจากคลังของโรงพยาบาล โดยกรณีของโรงพยาบาลดอยหล่อ จากผลการตรวจสอบของคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงซึ่งแต่งตั้งโดยจังหวัดเชียงใหม่พบว่า จากเดิมที่คาดว่าผู้อำนวยการโรงพยาบาลอาจมีความผิดวินัยร้ายแรงนั้น ปรากฏว่าจากการสืบสวนแล้วยังไม่พบความผิดร้ายแรงแต่อย่างใด คงมีเพียงเภสัชกรเท่านั้นที่มีความผิดร้ายแรง ซึ่งคณะกรรมการกำลังรวบรวมข้อมูล ก่อนจะจัดทำบันทึกการแจ้งและรับทราบข้อกล่าวหา และสรุปพยานหลักฐาน (สว.3) เพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหาได้นำข้อมูล พยานหลักฐานหรือพยานบุคคลมาชี้แจงต่อไป ส่วนกรณีของโรงพยาบาลฮอดนั้น พบว่ามีผู้ที่เข้าข่ายอาจมีความผิดหลายราย ได้แก่ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล เภสัชกร และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลซึ่งดูแลรับผิดชอบการเบิกจ่ายและควบคุมคลังยา ซึ่งปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้แต่งตั้งให้ตนเองเป็นประธานสอบทางวินัย โดยในเบื้องต้นคณะกรรมการสืบสวนของจังหวัดได้แจ้งว่า พบว่าผู้อำนวยการมีความผิดในระดับไม่ร้ายแรง ส่วนเภสัชกรและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องนั้นมีความผิดขั้นร้ายแรง และได้มีการแจ้งข้อหาให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบเพื่อให้ดำเนินการชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว นายแพทย์วิศิษฏ์กล่าวต่อไปว่า ตามกำหนดการเดิมในวันนี้จะมีการสรุปข้อมูลต่างๆ หลังที่ได้ให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ดำเนินการชี้แจงไปแล้ว แต่เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหาต้องเข้าให้ปากคำต่อทางดีเอสไอในวันพรุ่งนี้ จึงต้องเลื่อนการพิจารณาออกไปก่อน อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการสอบทางวินัยได้ประสานไปยังโรงพยาบาลต้นสังกัด รวมทั้งจะแจ้งผู้ถูกกล่าวหาให้ส่งข้อมูลหรือเอกสารเพิ่มเติม เนื่องจากข้อมูลที่ได้รับพบว่าบางส่วนยังไม่มีความชัดเจน ทั้งนี้ ในกรณีของโรงพยาบาลดอยหล่อนั้น หากพบว่ามีการกระทำผิดตามข้อกล่าวหาก็จะเสนอเรื่องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดใช้อำนาจลงโทษตามระเบียบของทางราชการ ส่วนกรณีที่โรงพยาบาลฮอดนั้นจะนำเรื่องเสนอให้ปลัดกระทรวงเป็นผู้ดำเนินการต่อไป โดยทั้งสองกรณีจะต้องรอให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจงตามขั้นตอนก่อน ซึ่งตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องดำเนินการให้เสร็จภายใน 2-3 เดือนนับจากวันที่มีคำสั่งแต่งตั้ง นายแพทย์วิศิษฏ์ระบุว่า จากการสอบสวนกรณีของโรงพยาบาลทั้ง 2 แห่ง พบว่าผู้อำนวยการของโรงพยาบาลมีความผิดฐานเป็นผู้ลงนามในการจัดซื้อยาซูโดอีเฟดรีน แต่ในกระบวนการจัดซื้อยานั้นพบว่าเป็นอำนาจในการตัดสินใจของเภสัชกร ทำให้โทษที่อาจได้รับยังอยู่ในขั้นไม่ร้ายแรง ขณะเดียวกัน ที่โรงพยาบาลฮอดยังพบด้วยว่าขั้นตอนในการสั่งซื้อยาจะไม่พบความผิดปกติ แต่กลับมียาหายไปจากคลังยาของโรงพยาบาล ซึ่งทำให้พนักงานที่ดูแลรับผิดชอบมีความผิด รวมทั้งต้องพิจารณาถึงระบบการบริหารจัดการยา ทั้งการไม่นำยาเข้าระบบ หรือการลักลอบนำยาออกจากระบบด้วยว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขต 15 กล่าวด้วยว่า ประเด็นของการลงโทษทางวินัยนั้นหากพบว่ามีความผิดจริงก็จะลงโทษกันตามระเบียบ แต่ประเด็นที่คาดว่าจะเป็นที่สนใจมากกว่าคือยาซูโดอีเฟดรีนทั้งที่ถูกสั่งมาและที่หายไปจากคลังยานั้นถูกส่งไปไหน โดยที่โรงพยาบาลดอยหล่อมีตัวเลขคลาดเคลื่อนอยู่ที่ 70,000 เม็ด ขณะที่โรงพยาบาลฮอดมี 50,000 เม็ด ซึ่งหากพิจารณาจากปริมาณยาที่หายไปจะพบว่าไม่สูงมากนัก จึงมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะไม่ใช่การลักลอบขายยาให้ผู้ผลิตยาเสพติดโดยตรง แต่อาจเป็นการแสวงหากำไรจากส่วนต่างของราคายาของผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยมีกลุ่มผู้ที่ทำการรวบรวมยาส่งให้ผู้ผลิตยาเสพติดอาศัยโอกาสดังกล่าวในการรวบรวมยาซูโดอีเฟดรีน อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวจำเป็นจะต้องมีการติดตามสืบหาข้อเท็จจริงอย่างละเอียด โดยถือเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือดีเอสไอที่จะดำเนินการต่อไป
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 พฤษภาคม 2555
5803
« เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2012, 21:35:50 »
ลูกเห็บตก สธ.หลังฝนตกช่วงกลางวัน ที่ผ่านมา ปลัด สธ.เตือนประชาชนเก็บลูกเห็บกิน เสี่ยงติดเชื้อจากดิน หรือพื้นไม่สะอาด ทำให้เกิดโรคอุจจาระร่วงได้ ชี้ ลูกเห็บไม่มีผลในการป้องกันการเจ็บป่วย วันนี้ (3 พ.ค.) ช่วงเวลาประมาณ 12.30 น.ที่กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี เกิดฝนตกและลมกระโชกแรงอย่างหนัก พร้อมมีลูกเห็บขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เซนติเมตรตกลงมาด้วย สร้างความแตกตื่นให้แก่บรรดาข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ภายในกระทรวงสาธารณสุข ที่กำลังอยู่ในช่วงพักกลางวัน เก็บลูกเห็บหน้าลานอาคารสำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข ขึ้นมาดู และวิพากษ์วิจารณ์ถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ เนื่องจากตลอดช่วงเช้ายังมีแดดร้อนจัด แต่พอตกเที่ยงกลับมีลูกเห็บตกลงมา นายแพทย์ ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า จากการที่มีลูกเห็บตกลงมา และมีประชาชนบางกลุ่ม มีความเชื่อว่า หากกินลูกเห็บแล้ว จะทำให้ไม่เจ็บป่วยนั้น เป็นความเชื่อที่ไม่มีการพิสูจน์ยืนยันทางวิทยาศาสตร์ และยังมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคที่อยู่บนพื้นดิน พื้นถนนอยู่แล้ว อาจทำให้เกิดโรคอุจจาระร่วงได้ ทั้งนี้ วิธีการที่จะทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย ประชาชนจะต้องหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มมึนเมา ไม่สูบบุหรี่ ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน วันละอย่างน้อย 30 นาที และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดอาหารหวาน มัน เค็ม เพิ่มการกินผักผลไม้ไห้ได้อย่างน้อยวันละ 4 ขีด
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 พฤษภาคม 2555
5804
« เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2012, 21:34:55 »
ยอดรวมคืนยา 13 ล้านเม็ด อย.ย้ำส่งคืนเส้นตาย 3 พ.ค.ฝ่าฝืนโทษหนักสูงสุด 20 ปี ปรับหนัก 4 แสนบาท วานนี้ (3 พ.ค.) นพ.พงศ์พันธ์ วงศ์มณี รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวถึงความคืบหน้าการคืนยาของร้านขายยาต่างๆ ทั่วประเทศ ว่า หลังจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ยกระดับยาสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนทุกสูตร ซึ่งรวมทั้งสูตรผสมพาราเซตามอล เป็นกลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ตาม พ.ร.บ.วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 โดยมีระยะเวลาให้ร้านขายยา คลินิก และสถานพยาบาลที่มีไว้ครอบครอง และไม่ต้องการถือครองอีกให้ส่งคืนบริษัทผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าภายในระยะเวลา 30 วัน โดยจะสิ้นสุดวันที่ 3 พฤษภาคมนี้ ซึ่งเพื่อความสะดวก ทาง อย.จึงเปิดโอกาสให้ร้านขายยาทุกแห่งหรือผู้มีไว้ครอบครองมาคืนยาได้ที่ตึกเงินทุนหมุนเวียนยาเสพติด อย.ได้ในวันเวลาราชการ ระหว่างวันที่ 1-2 พฤษภาคมนี้ “ขอย้ำให้ทุกร้านขายยา รวมทั้งผู้ที่มีไว้ในครอบครองเร่งนำยามาคืนให้ทันภายในเวลา 16.30 น.วันที่ 3 พฤษภาคม หลังจากนั้น หากพบใครมีไว้ครอบครองถือว่าผิดพ.ร.บ.วัตถุออกฤทธิ์ฯทันที โดยหากฝ่าฝืนครอบครองซูโดอีเฟดรีนคำนวณปริมาณเป็นสารบริสุทธิ์ ไม่เกิน 5 กรัม มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-5 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-100,000 บาท แต่หากเกิน 5 กรัม จะมีโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000-400,000 บาท จึงขอให้ร้านขายยาทุกแห่งปฏิบัติตาม เพราะจะไม่มีการขยายเวลาใดๆ อีก” นพ.พงศ์พันธ์ กล่าว รองเลขาธิการ อย.กล่าวอีกว่า สำหรับตัวเลขการรับคืนยาสูตรผสมซูโดอีเฟดรีน ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน-1 พฤษภาคม โดยบริษัทยารายงานมายัง อย.มีจำนวน 44 บริษัท รวมปริมาณยาส่งคืนทั้งสิ้น 13,260,551 ล้านเม็ด แบ่งเป็นยาเม็ดสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนทุกสูตรยกเว้นสูตรผสมพาราเซตามอล จำนวน 7,093,410 ล้านเม็ด ส่วนยาเม็ดซูโดอีเฟดรีนสูตรผสมพาราเซตามอล จำนวน 6,167,141 ล้านเม็ด ส่วนยาน้ำมีจำนวน7,517,320 มิลลิลิตร ทั้งนี้ สำหรับยอดรับคืนที่ อย.เฉพาะวันที่ 1 พฤษภาคม 2555 มีตัวเลขยาเม็ดจำนวน 60,869 เม็ด เป็นยาน้ำ 2,520 ลลิลิตร อย่างไรก็ตาม ที่น่ากังวลคือ หลังจากวันที่ 3 พฤษภาคม คาดว่า หากจะมียาสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนหลงเหลือ น่าจะเป็นยากลุ่มสูตรผสมพาราเซตามอล ซึ่งในวันที่ 4 พฤษภาคมเป็นต้นไป จะส่งเจ้าหน้าที่ลงตรวจสอบว่ามีใครฝ่าฝืนครอบครองยากลุ่มนี้หรือไม่ ทั้งนี้ จากข้อมูลยอดรวมการผลิตของยาสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนในบริษัทยาทั้งหมดพบ 60 ล้านเม็ด ขณะที่ในสถานพยาบาลที่อนุญาตครอบครองมีประมาณ 20 ล้านเม็ด แต่ตัวเลขยอดที่ค้างโดยเฉพาะยาสูตรผสมพาราเซตามอล ไม่มีตัวเลขจริงๆ จึงต้องมีการเรียกคืนตามประกาศดังกล่าว ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า สำหรับตัวเลขยาโดยรวมที่บริษัทยารายงานมายัง อย.โดยยอดรวมทั้งหมดอยู่ที่ 13,260,551 เม็ด เป็นยาน้ำ 7,517,320 มิลลิลิตร ทั้งนี้ พบว่า บริษัทที่รับยาคืนมากที่สุด คือ บริษัท ไทยนครพัฒนา จำกัด โดยชื่อทางการค้าที่รู้จัก คือ “ทิฟฟี่” มีปริมาณรับคืนถึง 5,919,770 เม็ด เป็นยาน้ำ 2,777,280 มิลลิลิตร อันดับสองเป็นบริษัทผู้ผลิต คือ บริษัท เอ็มแอนด์ เอช แมนูเฟคเจอริ่ง จำกัด มียาเม็ด 1,984,979 เม็ด และ บริษัท ยูนิแล็ป ฟาร์มาซูติคอลส์ จำกัด มียาเม็ด 1,118,280 เม็ด
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 พฤษภาคม 2555
5805
« เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2012, 21:33:00 »
กรมแพทย์แผนไทย แนะลดปัญหาโรคฮิตหน้าร้อนเบื้องต้นด้วย 5 สมุนไพรแชมเปียน รักษาโรคระบบทางเดินอาหาร โรคผิวหนัง โรคลม และภาวะร้อน นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เปิดเผยว่า ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายส่งเสริมการใช้ยาไทยและสมุนไพรไทยในสถานบริการ และการเข้าถึงยาสมุนไพรของประชาชน ดังนั้นหน้าร้อนนี้ โรคต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในหน้าร้อน กับกลุ่มเสี่ยงหลายๆ โรค สามารถดูแลด้วยยาไทย และสมุนไพรไทยได้ จากรายงานของกรมควบคุมโรคเกี่ยวกับโรคหน้าร้อน อาทิเช่น โรคระบบทางเดินอาหาร โรคอาหารเป็นพิษ บิด ไข้ไทฟอยด์ มีสถิติการป่วยกว่า 400,000 ราย ในช่วง 4 เดือนของปีนี้ นอกจากโรคดังกล่าวแล้วช่วงหน้าร้อนนี้โรคที่ไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่ง คือ โรคผิวหนัง โรคลมร้อนจัด คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศีรษะ และภาวะร้อนใน ซึ่งภาวะดังกล่าวอยากให้ประชาชนมียาสมุนไพรพกติดตัว หรือมีไว้ใช้ในบ้าน ได้แก่ ฟ้าทะลายโจร ผงขมิ้นชัน ทิงเจอร์เสลดพังพอน ยาหอมนวโกฐ บาล์มสมุนไพร เป็นต้น สำหรับยาฟ้าทะลายโจร มีสรรพคุณช่วยลดอาการไข้และรักษาโรคอุจจาระร่วง ถ้าใช้ รักษาโรคอุจจาระร่วง ผลจากการศึกษาวิจัย พบว่า ให้ผู้ป่วยรับประทานยาแคปซูลฟ้าทะลายโจรครั้งละ 4 แคปซูล (หรือ 2 กรัม) วันละ 3 ครั้ง เช้า กลางวัน เย็น ติดต่อกันภายใน 2 วัน อาการจะดีขึ้นตามลำดับ เพิ่มการดื่มน้ำเกลือแร่ตามเพื่อชดเชยน้ำที่สูญเสียไป สำหรับ ผงขมิ้นชัน ใช้ผสมน้ำทาผิวที่มีผดผื่น และ ทิงเจอร์เสลดพังพอน ทาบริเวณที่มีอาการคัน ช่วยรักษาอาการผดผื่นคันได้ ยาหอมนวโกฐ แก้อาการเป็นลมวิงเวียนศีรษะ และ บาล์มสมุนไพรแก้อาการแมลงสัตว์กัดต่อยวิงเวียนศีรษะ นพ.สุพรรณ กล่าวในตอนท้ายว่า อยากจะฝากให้ประชาชนทั่วไปดูแลสุขภาพในช่วงหน้าร้อน รับประทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะ ดื่มน้ำให้เพียงพอ ถ้ามีอาการเจ็บป่วยตามที่กล่าวไปแล้วสามารถใช้สมุนไพรดูแลในเบื้องต้นได้ หากอาการรุนแรงให้พบแพทย์ทันที ทั้งนี้ อาการของโรคต่างๆ ที่ไม่รุนแรง 70% หายได้ด้วยสมุนไพร และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพที่ถูกต้อง
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 พฤษภาคม 2555
หน้า: 1 ... 385 386 [387] 388 389 ... 535
|