ผู้เขียน หัวข้อ: รำลึก 68 ปีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่นานกิง...ถึงไอริส จาง ผู้ถูก The Rape of Nanking  (อ่าน 1780 ครั้ง)

science

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 184
    • ดูรายละเอียด
“การลืมการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ คือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งที่ 2” นี่คือ ความคิดความเชื่อที่สร้างพลังอันแน่วแน่แก่ผู้หญิงเชื้อสายจีนตัวเล็กๆ ที่กำลังอยู่ในวัยดอกไม้บาน ความคิดนี้ยังได้กลายมาเป็นพลังให้เธอยืนหยัดกล้าหาญ อุทิศตัวในการสร้างงานที่สั่นสะเทือนมนุษย์ชาติชิ้นหนึ่งเมื่อวัยเพียง 29 ปี นั่นคือ The Rape of Nanking-The Forgotten Holocaust of World War ll หนังสือเล่มนี้ เริ่มวางตลาดในปี ค.ศ. 1997 นับเป็นหนังสือประวัติศาสตร์เหตุการณ์ที่กองทัพญี่ปุ่นรุกรานหนันจิงหรือนานกิง ฉบับภาษาอังกฤษเล่มแรก ที่ทำให้ผู้คนทั่วทั้งมุมโลกได้รับรู้เหตุการณ์สังหารล้างเผ่าพันธุ์ชาวจีนที่หนันจิงอันโหดเหี้ยมของกองทัพญี่ปุ่นอย่างรอบด้าน
       
       อีก 7 ปี ต่อมา ไอริส จางก็ได้สร้างความตื่นตะลึงแก่ชาวโลกอีกครั้ง ด้วยการสังหารตัวเองด้วยลูกปืน! ร่างสาววัย 36 ปี นอนตายอยู่ในรถยนต์บนถนนนอกเมืองในเซาท์เบย์ ซานฟรานซิสโก เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ปี ค.ศ. 2004 “ไอริส จางยิงตัวตาย” เป็นข้อสรุปสาเหตุการเสียชีวิตของไอริส จางโดยฝ่ายตำรวจ แต่สิ่งที่กดดันให้เธอลั่นไกปืนปลิดชีพตัวเองอย่างน่าเศร้าสลดคืออะไรนั้น ยังคงเป็นปริศนา...หลายคนพูดกันว่า การตายของไอริส จาง เกิดจากอาการทางจิตประสาทที่เกิดจากการทำงานหนักรวบรวมข้อมูลที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมผิดมนุษย์เพื่อเขียน ‘The Rape of Nanking’ และการก่อกวนของพวกฝ่ายขวาญี่ปุ่น ที่กดดันเธอจนเสียสติ
       
       ทั้งนี้ กองทัพญี่ปุ่นบุกยึดหนันจิง มณฑลเจียงซูของจีน วันที่ 13 ธันวาคม ปี ค.ศ. 1937 ถึงต้นปี 1938 ซึ่งอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ระหว่าง 8 สัปดาห์ของการบุกรุกนั้น ทหารญี่ปุ่นได้สังหาร ทำร้าย ข่มขืน ทรมานชาวหนันจิงอย่างโหดเหี้ยม มีเหยื่อเสียชีวิตราว 300,000 คน
       
       สาวน้อยผู้สวยงาม ชาญฉลาด และชะตาชีวิตที่แสนรันทด
       ไอริส จาง เชื้อสายจีน เกิดเมื่อปี 1968 ในพรินซีตัน นิวเจอร์ซีย์ มีชื่อจีนว่า จางฉุนหยู (张纯如)พ่อแม่เป็นอาจารย์สอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยแห่งอิลินอยส์ ปู่และย่าเป็นชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ทั้งเป็นผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่หนันจิง
       
       ไอริส จางเติบโตในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งอิลินอยส์ เป็นหญิงสาวหน้าตาสวยงาม เป็นนักค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ที่ขยันขันแข็ง ฉลาดปราดเปรื่อง จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาหนังสือพิมพ์ จากมหาวิทยาลัยแห่งอิลินอยส์ปี 1989 และได้เป็นผู้สื่อข่าวในช่วงเวลาสั้นๆที่ชิคาโก ทรีบูน และสำนักข่าวเอพี จากนั้น ก็ศึกษาต่อระดับปริญญาโทด้านการเขียนที่มหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮ็อปกินส์ ปี 1990 จากนั้น ก็ยึดถืออาชีพเขียนหนังสือ และสอนหนังสือในมหาวิทยาลัย เขียนบทความให้กับนิวยอร์กไทมส นิวสวีค ลอสแองเจลิสไทมส์ เป็นต้น
       
       เธอได้แต่งงานกับดักลัส มีบุตรชาย 1 คนคือคริสโตเฟอร์ (ตอนที่จางเสียชีวิต หนูน้อยคริสโตเฟอร์อายุเพียง 2 ขวบ) ชีวิตของไอริส จาง นับเป็นชีวิตที่มีความสุข เป็นที่อิจฉาของผู้คน จากการที่เป็นผู้หญิงที่ฉลาด สวยงาม เป็นภรรยาที่แสนดีแม่ที่น่ารัก ประสบความสำเร็จในชีวิตการงาน ได้รับการยกย่องเป็นนักประวัติศาสตร์แถวหน้าและนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษย์ชน เป็น ‘แบบอย่างของหนุ่มสาวเชื้อสายจีนในสหรัฐฯ’
       
       ฝันร้ายเริ่มคุกคามไอริส จาง เมื่อเธอได้ตั้งปณิธานมั่นว่า จะตีแผ่เหตุการณ์ที่กองทัพญี่ปุ่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งใหญ่ที่หนันจิง อันเป็นบ้านเกิดของปู่และย่า ปณิธาณนี้ของเธอเริ่มเพาะตัวตั้งแต่วัยเด็กเมื่อปู่ได้เล่าประสบการณ์ชีวิตขณะเผชิญกับสงครามในหนันจิง เด็กหญิงไอริสได้ฟังเรื่องจริงที่แสนหฤโหดจากปู่ว่า “ทหารญี่ปุ่นได้หั่นเด็กทารกเป็น 3 ท่อน เอาผู้ชายมาฝึกฝนการต่อสู้ด้วยดาบ จับผู้หญิงตั้งครรภ์มาแหวกท้อง ลำน้ำในเมืองหนันจิงกลายเป็นสีเลือด...”
       
       หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวอันน่าสยดสยองเหลือเชื่อจากปู่ เธอก็ได้ไปที่ห้องสมุดของโรงเรียน หมายจะค้นหนังสือที่บันทึกประวัติศาสตร์กองทัพญี่ปุ่นบุกหนันจิงเพื่อช่วยยืนยันสิ่งที่ปู่ย่าเล่าให้ฟัง แต่ก็หาไม่มีสักเล่ม ต่อมาในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ.1994 ไอริสได้เห็นภาพถ่ายเหตุการณ์สังหารล้างเผ่าพันธุ์ที่หนันจิง เป็นครั้งแรก ในงานแสดงภาพถ่ายที่จัดแสดงที่ซิลลิคอนวัลเลย์ ภาพความโหดร้ายสุดขีดของมนุษย์ สร้างความตกตะลึง โกรธแค้นเดือดพล่านอย่างไม่อาจบรรยาย เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่หนันจิงเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1937 เนินนานมากระทั่งใกล้ครบรอบ 60 ปีของเหตุการณ์ฯแล้ว (ในขณะนั้น) ทว่า มีเพียงหนังสือที่ไม่ใช่เรื่องแต่งที่เป็นภาษาอังกฤษเพียงเล่มเดียวเท่านั้น ที่บอกเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ นอกไปจากนี้แล้ว ไม่มีหนังสือเกี่ยวกับเหตุการณ์สั่นสะเทือนมนุษย์ชาติครั้งใหญ่ในหนันจิงที่เผยแพร่ในระดับสากลเลย
       
       ช่วงเวลา 2 ปี หลังจากนั้น ไอริสจึงได้เดินทางไปยังแห่งที่ต่างๆทั่วโลก ค้นหาหลักฐานเกี่ยวกับเหตุการณ์สังหารล้างเผ่าพันธุ์ที่หนันจิง เธอได้รวบรวมเอกสารข้อมูลที่เป็นภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษ ตลอดจนสมุดบันทึกประจำวันอีกจำนวนมาก จดหมาย หนังสือพิมพ์ เป็นต้น ในจำนวนนี้ มีเอกสารชิ้นสำคัญคือ สมุดบันทึกของสมาชิกนาซีแห่งเยอรมันจอห์น ราเบ้ (John Rabe)* ซึ่งได้บันทึกเหตุการณ์สงครามในหนันจิง สมุดบันทึกเล่มนี้ ได้รับสมญาว่า ‘ฮิตเลอร์แห่งประเทศจีน’
       
       The Rape of Nanking-The Forgotten Holocaust of World War ll เริ่มวางตลาดในปี 1997 นับเป็นหนังสือประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเหตุการณ์สังหารล้างเผ่าพันธุ์ที่หนันจิงพากษ์ภาษาอังกฤษเล่มแรก และทำให้โลกตะวันตกได้เข้าใจอาชญากรรมสงครามของญี่ปุ่นที่หนันจิงอย่างรอบด้านเป็นครั้งแรก หนังสือได้รับการต้อนรับถึงขั้นติดอันดับหนังสือขายดีอันดับหนึ่งของนิวยอร์กไทมส์เป็นเวลานานถึง 14 สัปดาห์ ทำสถิติยอดขายราว 100,000 เล่ม ได้รับการตีพิมพ์ 12 ครั้ง (ข้อมูล ปี 2004)
       
       หลังจากที่ ‘The Rape of Nanking’ วางตลาด ไอริส จางได้ให้สัมภาษณ์กับนิตยสารยักษ์ใหญ่ฉบับหนึ่งว่า “นี่เป็นหนังสือที่ฉันไม่เขียนไม่ได้ การเขียนของฉันมาจากความโกรธแค้นต่อความอยุติธรรม แม้ไม่ได้เงินแม้สตางค์เดียว ฉันก็ไม่สนใจ ฉันต้องการให้โลกรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่หนันจิงเมื่อปี 1937 สำหรับฉัน นี่คือ สิ่งสำคัญ”
       
       ในทางกลับกัน ไอริส จางต้องจ่ายราคามหาศาลในการเขียน ‘The Rape of Nanking’ นั่นคือ สภาพร่างกาย และจิตใจของเธอเสื่อมโทรมลงอย่างหนัก ระหว่างการเขียนนี้ เธอมักมี ‘อาการโกรธจนตัวสั่น นอนไม่หลับ น้ำหนักตัวลดลงฮวบฮาบ ผมร่วงมากผิดปกติ’ กระทั่งถูกวินิจฉัยเป็นโรคจิตวิตกกังวลหวาดกลัว และต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 5 เดือนในระหว่างที่เธอกำลังเขียนหนังสือเล่มที่สี่ ซึ่งเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สองเช่นกัน
       
       หลังจากที่ ‘The Rape of Nanking’วางตลาด กลุ่มฝ่ายขวาในญี่ปุ่นได้ตามก่อกวนเธอ ด้วยการโทรศัพท์ ส่งจดหมายข่มขู่ หลายครั้ง เธอต้องเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์หลายครั้ง ไม่กล้าโทรศัพท์ ไม่กล้ารับการสัมภาษณ์ใดๆ เป็นต้น กระนั้น ไอริส จางยังคงเชิดหน้า กล่าวอย่างสงบและไร้ความกลัวใดๆว่า “การลืมการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ คือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งสอง”
       
       ชาวจีนคนหนึ่งกล่าวว่า “ไอริส จาง ‘เพียงหนึ่งคน’ ได้รับภาระความรับผิดชอบแทนพวกเราทั้งหมด ในการบรรลุสิ่งที่พวกเรายังไม่ได้บรรลุในตลอด 60 ปีที่ผ่านมา”
       
       ติงหยวนเพื่อนสนิทของไอริส จางเล่าว่า ไอริสมักระบายความคับแค้นต่อเหตุการณ์โหดร้ายน่าเศร้าสลดว่า “ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นบนโลกนี้? ทำไมคนจึงทำเช่นนี้ได้” --นับเป็นคำถามที่ยิ่งใหญ่ และไอริส จางคงอยากให้ชาวโลกช่วยกันตอบคำถามเพื่อหยุดความเกลียดชัง การทำร้าย เข่นฆ่าชีวิต เรียนรู้บทเรียนเพื่อสร้างโลกที่ดีกว่า ซึ่งจะทำให้การบันทึกประวัติศาสตร์ความเจ็บปวดโศกนาฏกรรมของมนุษย์ชาติ ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างสมบูรณ์ อย่าให้ไอริส จางผู้งดงามสูญแรงเปล่าเลย.
       
       แปลเรียบเรียงจาก เลี่ยวหวั่งตงฟางโจวคัน(Oriential Outlook )/เอเจนซีส์/เว็บไซต์ชีวประวัติไอริส จาง
       
       
       หมายเหตุ*จอห์น ราเบ้ (Jonh Rabe) เป็นสมาชิกองค์การนาซีแห่งเยอรมนี ที่เข้าไปประจำในเมืองหนันจิงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เขาเห็นเหตุการณ์สงครามในหนันจิง จนไม่อาจทานทนได้ จึงได้รวบรวมชาวต่างประเทศกว่า 20 คน จัดตั้งเขตคุ้มครองความปลอดภัยในหนันจิง ซึ่งได้ช่วยชีวิตชาวหนันจิงราว 250,000 คน หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุด ด้วยสถานภาพสมาชิกนาซี นายรับถูกดำเนินคดี ไม่มีงานทำ อดอยาก ชาวหนันจิงที่ทราบชะตากรรมของเขา ได้ส่งข้าวของอาหารไปให้ นายรับเสียชีวิตอย่างรวดเร็วเมื่อปี ค.ศ. 1950
       
       ประวัติและงานของไอริส จาง
       
       ไอริส จาง เกิดปี 1968 ที่พรินซีตัน นิวเจอร์ซีย์ มีชื่อจีนว่า จางฉุนหยู (张纯如)
       การศึกษา: ปริญญาตรี สาขาหนังสือพิมพ์ จากมหาวิทยาลัยแห่งอิลินอยส์ ปี 1989, ระดับปริญญาโทด้านการเขียนที่มหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮ็อปกินส์ ปี 1990
       
       ผลงานหนังสือ: Thread of the Silkworm เริ่มวางตลาดปี 1996
       
       The Rape of Nanking-The Forgotten Holocaust of World War ll วางตลาดปี 1997 (ฉบับพากษ์ไทยคือ ‘หลั่งเลือดที่นานกิง’ แปลโดย ฉัตรนคร องคสิงห์)
       
       The Chinese in America เริ่มวางตลาดปี 2003
       
       รางวัลเกียรติยศ: รางวัลจากโครงการความร่วมมือระหว่างประเทศและสันติภาพของมูลนิธิจอห์น ดี. และแคทเธอรีน ที. แมคอาร์เธอร์, รางวัลผู้หญิงแห่งปีจากสมาคมชาวจีนอเมริกัน ปริญญากิตติมศักดิ์ 2 ฉบับจากวิทยาลัยวูสเตอร์ในโอไฮโอ และมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่เฮย์วาร์ด

ASTVผู้จัดการออนไลน์    18 ธันวาคม 2548