แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: 1 ... 550 551 [552] 553 554 ... 653
8266
จิต​แพทย์-สสส. ​เผย "สวดมนต์ข้ามปี" ช่วยผ่อนคลาย​ความทุกข์ของ​ผู้ประสบภัยหลังน้ำท่วม ชี้คนที่สวดมนต์อยู่​เสมอมี​ความสุขที่สุด ลด​ความ​เห็น​แก่ตัว ​เข้า​ใจ-​เมตตา​ผู้อื่นมากขึ้น มีภูมิคุ้มกันตั้งรับวิกฤติ​ในชีวิต​ได้

นพ.ประ​เวช ตันติพิวัฒนสกุล ​ผู้จัด​การ​แผนงานสร้าง​เสริมสุขภาพจิต​เพื่อสุขภาวะสังคม​ไทย สำนักงานกองทุนสนับสนุน​การสร้าง​เสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ประ​เทศ​ไทย​เพิ่งจะผ่านพ้นวิกฤติมหาอุทกภัยครั้งรุน​แรงที่สุด​ในรอบ 50 ปี ที่สร้าง​ความบอบช้ำทางจิต​ใจ​ให้​แก่​ผู้ประสบภัย ​ซึ่งบางคนอาจกำลังตกอยู่​ในภาวะซึม​เศร้า หลังจากสูญ​เสียบุคคล​ในครอบครัว ​หรือทรัพย์สิน​เสียหายอย่างรุน​แรง จากงานวิจัย​ความสุข​ในประ​เทศ​ไทยที่​ทำ​การสำรวจสุขภาพจิตของคน​ไทย ปี 2551-2553 ของกรมสุขภาพจิต พบว่า ​แนว​โน้มสุขภาพจิตของ​ผู้นับถือศาสนาพุทธดีขึ้น​เรื่อยๆ ​ในรอบ 3 ปี ​โดย​ในปี 2552 พุทธศาสนิกชนมีสุขภาพจิตสูงสุดร้อยละ 4.3 ​ทั้งนี้ ​ผู้ที่ปฏิบัติตามหลักคำสอนทางศาสนา​เป็นประจำ​ไม่ว่าจะนับถือศาสนา​ใด​ก็ตาม จะมี​ความสุข ​ความพอ​ใจ​ในชีวิต ​และมีอารมณ์ดี มีอัตรา​การหย่าร้างต่ำ ​และมีชีวิตยืนยาวมากกว่า​ผู้ที่​ไม่สน​ใจศึกษาคำสอนทางศาสนา นอกจากนี้ ​ในกลุ่มชาวพุทธ ​ผู้ปฏิบัติสมาธิ​เป็นประจำจะมี​ความสุขมากกว่า​ผู้ที่​ไม่​เคยฝึกสมาธิ

นพ.ประ​เวชกล่าวว่า ประ​โยชน์ที่​เกิดจากศาสนามีดังนี้ 1.มีสังคม ​เพื่อนที่ศึกษา​และปฏิบัติธรรมร่วมกัน ช่วย​เพิ่ม​ความสุข​และลด​ความรู้สึก​โดด​เดี่ยว 2.ค้นหา​ความหมายของชีวิต   ​ในช่วง​เวลาที่ต้องตัดสิน​ใจ​เรื่องสำคัญของชีวิต ​โดยมี​แนวทาง​การ​ใช้ชีวิตที่ชัด​เจนจากหลักคำสอนทางศาสนา 3.หลีก​เลี่ยงจากพฤติกรรม​เสี่ยง ต่างๆ ​เช่น ดื่มสุรา ​ใช้ยา​เสพติด ​เป็นต้น ​และ 4.พัฒนาจิต​ใจ​ในระดับลึกซึ้ง ​เข้า​ใจชีวิตมากขึ้น มี​ความสุข​ได้ง่ายขึ้น ช่วย​เชื่อม​โยง​ให้รู้สึก​เป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ​ทั้งนี้ ​ในช่วงนี้​ใกล้ช่วง​เทศกาลปี​ใหม่ ​โอกาสนี้ สสส. ร่วมกับภาคี​เครือข่าย​ทั้งภาครัฐ​และ​เอกชน จัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ถือ​เป็นนิมิตหมายที่ดีที่จะชักชวน​ให้คน​ไทยมี​โอกาส​เข้าวัด สวดมนต์​ใกล้ชิดพระพุทธศาสนามากขึ้น ​เป็น​การฝึกตนอย่างหนึ่ง มีอานิสงส์คือช่วยขับ​ไล่​ความขี้​เกียจ ลด​ความ​เห็น​แก่ตัว จิต​เป็นสมาธิ ​เกิดปัญญา

"ศาสนามี​ความสำคัญอย่างยิ่ง​ใน​การฟื้นฟูจิต​ใจ กิจกรรมทางศาสนาควรมีภาคปฏิบัติที่​เป็น​การฝึกตน​ในระดับต่างๆ ตาม​ความสมัคร​ใจ ​เพื่อช่วย​ให้​ผู้​เข้าร่วม​ได้สัมผัสกับชีวิต​ใน​แง่มุมสำคัญ ​ความยากลำบากทางร่างกาย​ไม่​ใช่ปัญหาที่ต้องหลีกหนี ​แต่กลับ​เป็น​การฝึกตนที่​ให้ผ่านพ้นช่วง​เวลาวิกฤติของชีวิต ช่วย​ให้​ไม่กลัว​และอยู่กับ​ความ​ไม่​แน่นอนของชีวิต​ได้ดียิ่งขึ้น ​การสวดมนต์ช่วยผ่อนคลาย​ความทุกข์​ใจ​ในช่วง​เวลายุ่งยากของชีวิต ​เช่น ​เจ็บป่วย หย่าร้าง คนรักตายจาก ที่สำคัญคำสอนทางศาสนาช่วย​ให้​เราก้าวพ้นจากมุมมองที่​เห็น​แก่ตัว ​เพิ่ม​การมอง​ผู้อื่นอย่าง​เข้า​ใจมากยิ่งขึ้น ​และยังช่วยบ่ม​เพาะ​ความ​เมตตากรุณาขึ้นภาย​ในจิต​ใจ" นพ.ประ​เวชกล่าว.

ไทย​โพสต์  27 ธันวาคม 2554

8267
 ย้อนกลับไปเกือบ 80 ปีที่แล้ว ต้นตระกูลของโรงงาน “เถ้าฮงไถ่” ได้เข้ามาบุกเบิกเครื่องปั้นดินเผาเป็นรายแรกในจังหวัดราชบุรี จนสร้างชื่อให้ดินแดนแห่งนี้กลายเป็นเมืองหลวงของการทำ “โอ่งมังกร” ทว่า ด้วยยุคสมัยเปลี่ยนไป ความจำเป็นใช้โอ่งเก็บน้ำน้อยลง ผลักดันให้ผู้ผลิตรายนี้ พลิกโฉมธุรกิจ โดยพัฒนาดีไซน์ พร้อมเปลี่ยนตลาดจากเครื่องใช้ในบ้านสู่กลุ่มของตกแต่ง ช่วยให้ยังรักษาแชมป์เบอร์หนึ่งในวงการมาจนถึงปัจจุบัน

       วศินบุรี สุพานิชวรภาชน์ ทายาทรุ่น 3 เล่าว่า การพัฒนาสินค้าเกิดขึ้นตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ (ชาญชัย สุพานิชวรภาชน์) จากในอดีตที่โรงงานเคยเป็นผู้ผลิตเครื่องปั้นดินเผาแทบจะผูกขาดในท้องถิ่น กระทั่ง ระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจทำโอ่งมังกรในราชบุรีเติบโตอย่างรวดเร็ว โรงงานเกิดใหม่จำนวนมาก ทำให้การแข่งขันสูง โอ่งถูกผลิตจนล้นตลาด ราคาตกต่ำ ที่สำคัญ ภาชนะทำจากพลาสติกกำลังถูกใช้ทดแทน ทำให้คุณพ่อมองการณ์ไกลเลือกจะหนีการแข่งขัน หันไปเปิดตลาดใหม่ โดยพัฒนางานเครื่องปั้นดินเผาจากเครื่องใช้ในครัวเรือนมาเป็นของตกแต่งบ้าน

       “แนวคิดของคุณพ่อตอนนั้น เห็นว่า ลำพังจะทำเครื่องปั้นเพื่อใช้การสอยอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ ทำให้เริ่มปรับตัวนำความรู้ใหม่ๆ จากต่างประเทศมาพัฒนา เช่น ริเริ่มนำดินขาวจากประเทศจีน เพื่อวาดลวดลายบนโอ่ง บุกเบิกทำเซรามิกสีเขียวไข่กา และสีน้ำเงินขาว ช่วยให้สร้างสรรค์เครื่องปั้นที่แตกต่างออกไปได้ เพื่อการตกแต่งบ้าน สวน โดยขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มโรงแรม รีสอร์ต และส่งออกไปต่างประเทศ ทำให้สินค้าจากโรงงานของเรา สร้างมูลค่าจากเดิมหลายเท่า และไม่ต้องลงไปแข่งขันกับเจ้าอื่นๆ” วศินบุรี เล่าจุดเปลี่ยนโรงงาน
       
       ในส่วนทายาทรุ่นที่ 3 พกดีกรีปริญญาตรี และโทด้านเซรามิกจากประเทศเยอรมนี เข้ามารับช่วงต่อ เมื่อประมาณ 11 ปีที่แล้ว โดยนำเทคนิคการผลิตสมัยใหม่มาปรับใช้ เช่น ใช้โนฮาวการทำสีจากเยอรมนี ซึ่งคุณภาพดี และปลอดภัย อีกทั้ง บุกเบิกสร้างรูปแบบเซรามิกสมัยใหม่อย่างจริงจัง นับเป็นการพลิกโฉมวงการเซรามิกรายแรกๆ ในประเทศไทยเลยทีเดียว
       
       “ผมรู้สึกว่า สิ่งที่อากง และพ่อทำมาตลอด มันยิ่งใหญ่ ผมจึงไม่คิดเปลี่ยนสิ่งดีๆ หรือแก่นที่เคยมีมา เพียงแต่ต่อยอดจากของเดิม โดยใส่ไอเดียและดีไซน์ใหม่ๆ เข้าไป เช่น ทำสีสันให้ฉูดฉาด แตกต่างไปจากที่โรงงานเคยทำ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสีโทนเย็น แต่ผมมาปรับให้มีสีสันร่วมสมัย มีให้เลือกเกือบพันเฉดสี ขณะที่รูปทรงประยุกต์ในแบบไม่เคยมีมาก่อน ปรากฏว่า งานของผมไปโดนใจนักออกแบบตกแต่งโรงแรมและรีสอร์ตยุคใหม่ ทำให้ได้ฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นเยอะ จากนั้น ผมก็ยึดแนวทางพัฒนาไม่หยุดนิ่งมาตลอด ซึ่งช่วยให้เรามีลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ เข้ามาต่อเนื่อง” ทายาทรุ่น 3 เผย และเล่าต่อว่า
       
       ผลิตภัณฑ์ของโรงงาน “เถ้าฮงไถ่” เกือบทั้งหมดเป็นงานเซรามิกเพื่อการตกแต่ง ตั้งแต่ชิ้นเล็กถึงใหญ่ มีทั้งแนวสมัยใหม่ และแนวย้อนยุค โดยเน้นรับผลิตงานตามออเดอร์ ราคาสินค้าเฉลี่ยจะสูงกว่าท้องตลาด สูงสุดที่เคยทำคือ โอ่งสูง 2 เมตร ใบละ 8 หมื่นบาท กลุ่มลูกค้า 70% เป็นตลาดในประเทศ ส่วน 30% ส่งออกไปยังยุโรป อเมริกา และออสเตรเลีย เป็นต้น

       อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของวศินบุรี ค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับอนาคตวงการเซรามิกไทย เนื่องจากปัจจุบัน ตลาดแคบลง ขณะที่การลงทุนสูงสวนทางกับราคาที่แข่งขันกันขายถูก เฉพาะแค่ใน จ.ราชบุรี มีโรงงานทำโอ่งมังกรกว่า 50 ราย แทบทุกเจ้าทำสินค้าเลียนแบบคล้ายกันไปหมด อีกทั้ง ยังมีสินค้าจีน และเวียดนามมาตีตลาดด้วย ขณะที่บุคลากรรุ่นใหม่ด้านการออกแบบเซรามิกขาดการสนับสนุนเท่าที่ควร
     
       จากความวิตกดังกล่าว หนุ่มนักออกแบบ พยายามหาทางกระตุ้น และส่งเสริมวงการเซรามิก โดยเฉพาะใน จ.ราชบุรี เช่น เปิดโรงงานตัวเองเป็นแกลอรี่ ให้ผู้สนใจเข้าชมผลงานที่ออกแบบด้วยความคิดสร้างสรรค์ ตลอดจน เปิดฝึกอบรมเด็กรุ่นใหม่เข้าสู่วงการ และร่วมกับหน่วยงานภาครัฐในท้องถิ่น จัดกิจกรรมปลุกกระแสให้ จ.ราชบุรี เป็นเมืองศิลปะแห่งเซรามิก
     
       “ผมเชื่อว่า โอกาสของเซรามิกราชบุรี ต้องเป็นตลาดสินค้าทางเลือกเฉพาะกลุ่ม เน้นที่คุณภาพ ดีไซน์ และความหลากหลาย เพื่อเพิ่มมูลค่า ผมอยากให้แต่ละโรงงาน มีแนวคิดไม่แข่งกับคนอื่น แต่ต้องแข่งกับตัวเอง สร้างสรรค์สินค้าที่เป็นเอกลักษณ์ประจำโรงงาน ซึ่งจะทำให้ตลาดเซรามิกของราชบุรีเติบโตและยั่งยืน” ทายาทรุ่น 3 ปิดท้าย
       
       @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

       เปิดตำนาน "เถ้าฮงไถ่" เจ้าแรกโอ่งราชบุรี
       
       จุดกำเนิดเครื่องปั้นดินเผาราชบุรี เริ่มเมื่อ “ซ่งฮง แซ่เตีย” (บิดาของชาญชัย สุพานิชวรภาชน์) และ “จือเหม็ง แซ่ฮึ้ง” สองหนุ่มชาวจีนที่เคยทำเครื่องปั้นดินเผา อยู่ในโรงงานที่เมืองปังโย มณฑลกวางตุ้น ประเทศจีน เมื่ออพยพมาหากินในเมืองไทย ได้พบแหล่งดินเหนียวคุณภาพดีที่ จ.ราชบุรี จึงช่วยกันก่อตั้งโรงงานเมื่อ พ.ศ.2476 เริ่มแรกทำไหน้ำปลา และโอ่งใส่น้ำ โดยบรรทุกลงเรือเร่ขาย
       
       เนื่องจากเวลาดังกล่าว เกิดสงครามโลก ครั้งที่ 2 เมืองไทยไม่สามารถนำเข้าเครื่องปั้นดินเผาจากประเทศจีนได้ ทำให้กิจการเครื่องปั้นดินเผาของโรงงานแห่งนี้เติบโตอย่างสูง ผูกขาดตลาดเพียงเจ้าเดียวอยู่นานหลายปี ซึ่งต่อมา หุ้นส่วนแต่ละคน ต่างแยกย้ายกันไปขยายกิจการสร้างโรงงานของตัวเอง ซึ่งในส่วน “ซ่งฮง แซ่เตีย” ได้ตั้งโรงงาน “เถ้าฮงไถ่” และอยู่คู่ดินแดนแห่งนี้เรื่อยมา จนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ราชบุรี กลายเป็นแหล่งผลิตโอ่งมังกรที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ

ASTVผู้จัดการออนไลน์    26 ธันวาคม 2554

8268
 คกก.กำลังคนด้านสุขภาพ ถกร่วมผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข  สพท.  แพทย์ศิษย์เก่า CPIRD  หาแนวทางแก้ปัญหาขาดแคลนแพทย์ในชนบท ชงขยายโครงการผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท คงเพิ่มค่าปรับ แต่ทบทวนระยะเวลาใช้ทุนให้รอบคอบ เร่งหามาตรการจูงใจให้อยู่ในชนบท และไม่ปิดโอกาสเรียนต่อ
       
       จากกรณีสหพันธ์นักศึกษาแพทย์แห่งประเทศไทย (สพท.) ทำหนังสือร้องเรียนถึงคณะกรรมาธิการสาธารณสุข วุฒิสภา เกี่ยวกับแนวทางการแก้ปัญหาการขาดแคลนแพทย์ในชนบท ว่า สพท.สนับสนุนการขยายโครงการผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท หรือที่เรียกว่า CPIRD แต่ไม่สนับสนุนข้อเสนอการเพิ่มเวลาชดใช้ทุน และเพิ่มเงินค่าปรับ ทั้งนี้ เพราะมีความห่วงกังวลใน 3 ประเด็น คือ

1) การเพิ่มค่าปรับและเวลาชดใช้ทุนเป็นมาตรการเชิงลบ อาจทำให้นักเรียนสนใจเรียนแพทย์น้อยลง

2) ประชาชนต้องการรับบริการจากแพทย์เฉพาะทางมากกว่าแพทย์ทั่วไป แพทย์จึงต้องไปศึกษาต่อ และ

3) การเพิ่มจำนวนผู้ศึกษาในโครงการ CPIRD ให้ใกล้เคียงกับจำนวนผู้ศึกษาในหลักสูตรปกติ ควรมีการศึกษาอย่างรอบคอบ
       
       นพ.มงคล ณ สงขลา ประธานคณะกรรมการกำลังคนด้านสุขภาพแห่งชาติ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ที่ผ่านมา ได้มีการจัดประชุมแลกเปลี่ยนและรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมต่อประเด็นร้องเรียนข้างต้นโดยมีรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.สมชัย นิจพานิช ผู้ดูแลโครงการ CPIRD และผู้บริหารที่เกี่ยวข้อง กลุ่มผู้แทนจาก สพท.ได้แก่ นายก สพท.และนักศึกษาแพทย์ที่เป็นสมาชิก นักวิชาการด้านกำลังคนสุขภาพ และแพทย์ที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลชุมชนที่สำเร็จหลักสูตรทั่วไป และ แพทย์ CPIRD ร่วมหารือ โดยที่ประชุมต่างเห็นตรงกันว่า ปัญหาการขาดแคลนแพทย์ในชนบทยังคงมีอยู่ สัดส่วนของแพทย์ไทยต่อประชากรยังคงต่ำมาก โรคที่ชาวชนบทต้องการแพทย์ดูแลนั้นเป็นโรคง่ายๆ ไม่ซับซ้อน จึงต้องการแพทย์ทั่วไปในการให้บริการ หากเกิดปัญหาก็มีระบบส่งต่อที่จะช่วยได้ ส่วนแพทย์เฉพาะทางนั้น ปัจจุบันมักมีปัญหาการกระจุกตัวในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในต่างจังหวัด ไม่เพียงเท่านั้นการเลือกศึกษาต่อแพทย์เฉพาะทาง มักเป็นความต้องการของผู้เรียน มิใช่การไปเรียนตามสาขาที่ขาดแคลน จึงเกิดปัญหาแพทย์เฉพาะทางบางสาขา เช่น บริการความงาม ล้นตลาด
       
       โครงการ CPIRD เป็นความพยายามในการสรรหานักเรียนในชนบท มาเรียนแพทย์ เพื่อกลับไปปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ชนบท แต่การสอบเข้าเรียนยังเน้นความรู้ด้านวิชาการเป็นหลัก ทำให้เด็กในเมืองที่มีความสามารถในการแข่งขันได้เปรียบในการสอบเข้า เมื่อจบการศึกษา จึงไม่สามารถอยู่ในชนบทได้นาน อีกทั้งการผลิตแพทย์ในโครงการ CPIRD ยังขาดกระบวนการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างนักศึกษากับพื้นที่ที่จะไปปฏิบัติงาน การจัดสรรทุนเป็นการจัดสรรผ่านคณะแพทย์ศาสตร์ แทนที่จะเป็นการจัดสรรทุนผ่านโรงพยาบาลและชุมชนที่จะต้องกลับไปใช้ทุน
       
       นพ.มงคล กล่าวในที่ประชุมคณะกรรมการกำลังคนด้านสุขภาพแห่งชาติ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2554 อีกว่า ที่ประชุมในวันที่ 13 ธันวาคม มีข้อเสนอเพิ่มเติมเพื่อการพัฒนาเงื่อนไขในการผลิตแพทย์ในโครงการ CPIRD ที่สำคัญ คือ

1) ควรปรับปรุงเงื่อนไขโครงการให้ตอบสนองเป้าหมายการผลิตแพทย์เพื่อชาวชนบท ระบบการคัดเลือกผู้เข้าศึกษาต้องให้โอกาสกับเด็กในชนบทจริงๆ กระทรวงสาธารณสุขควรเตรียมความพร้อม และเสริมศักยภาพของนักเรียนในพื้นที่ตั้งแต่มัธยมปลาย

2) ควรให้ทุนผ่านโรงพยาบาลและชุมชนในพื้นที่เพื่อสร้างความผูกพันหลังสำเร็จการศึกษา

3) ควรปรับปรุงหลักสูตร โดยให้ความสำคัญมากขึ้นกับการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างนักศึกษากับชุมชนผ่านการฝึกงานจริงในชนบท

4) สนับสนุนให้เกิดเครือข่ายแพทย์ CPIRD เพื่อช่วยให้กำลังใจ และเห็นคุณค่าร่วมกันของการทำงานในชนบท

ทั้งนี้ สพท.จะสื่อสาร ชี้แจงความเป็นมา วัตถุประสงค์ของหลักสูตร และความต้องการที่แท้จริงของระบบบริการสุขภาพ โดยเชิญแพทย์รุ่นพี่ที่มีประสบการณ์ตรงมาเป็นวิทยากรผ่านโครงการ “เปิดรั้วโรงเรียนแพทย์” ด้วย
       
       “ที่ประชุมในวันนั้น เห็นด้วยกับการเพิ่มค่าปรับเพิ่มจาก 4 แสนบาท เพราะเป็นอัตราที่น้อยมากเมื่อเทียบกับความสามารถในการหารายได้ของแพทย์ในปัจจุบัน และการลงทุนของรัฐบาลในการผลิตแพทย์ซึ่งมีค่าใช้จ่ายถึง 1.8 ล้านบาท  นั้นสูงกว่าค่าปรับหลายเท่า  ส่วนการขยายเวลาการใช้ทุน มีข้อเสนอให้ทบทวนการเพิ่มระยะเวลาให้รอบคอบ โดยอาจหามาตรการเสริมให้แพทย์อยู่ปฏิบัติงานครบ 3 ปี หากจะปรับระยะเวลาชดใช้ทุนเป็น 6 ปี ควรพิจารณาระยะเวลาที่จะอนุญาตให้ศึกษาต่อด้วย เพราะความต้องการไปศึกษาต่อเป็นปัจจัยหนึ่งที่แพทย์ให้ความสำคัญ และเป็นสาเหตุให้แพทย์ลาออกก่อนกำหนด  ทั้งนี้ การไปศึกษาต่อต้องมีเงื่อนไขที่ชัดเจนเพื่อตอบสนองความต้องการของระบบบริการสาธารณสุขของประเทศ” 

ASTVผู้จัดการออนไลน์    26 ธันวาคม 2554

8269
 คลังหวังหาทางออก  กรณีข้อกังขาระบบประกันสุขภาพ   เสนอโมเดลดูแลระบบการเงินการคลังในอนาคต ดึง 3 กองทุนจัดทำค่าวินิจฉัยโรคร่วม DRG ให้ราคาเท่ากันทั้งประเทศ
       
       วันนี้ (26 ธ.ค.)  ที่โรงแรมพูลแมน บางกอก พิงพาวเวอร์ นายกุลิศ สมบัติศิริ ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง  กล่าวในงานประชุมภาคีเครือข่ายเพื่อระบบสุขภาพที่ดีกว่าของคนไทย หรือ   2011 Thailand Healthcare Summit หัวข้อ  “ระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพที่ยั่งยืนของประเทศไทย”  ซึ่งจัดโดยภาคีเครือข่ายฯ อาทิ ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย แพทยสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปภัมภ์ มูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง สมาคมผู้วิจัยและผลิตเภสัชภัณฑ์ (พรีม่า)  ฯลฯ ว่า  ปัจจุบันระบบบริการสุขภาพของไทยมี 3 ระบบ คือ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กองทุนประกันสังคม (สปส.) และกองทุนสวัสดิการข้าราชการ โดยแต่ละกองทุนมีระบบการเงินการคลังที่แตกต่างกัน  การคำนวณงบประมาณก็แตกต่างกัน โดยเฉพาะราคายา  ซึ่งราคายาที่ไม่เหมือนกันย่อมเป็นปัญหาของการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ
       
       นายกุลิศ กล่าวอีกว่า  เชื่อว่า ในการบริหารระบบประกันสุขภาพจำเป็นต้องมีมาตรการควบคุมค่าใช้จ่ายยาของทั้ง 3 ระบบ  เรียกว่า เป็นโมเดลดูแลระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพในอนาคต   โดยทั้ง 3 กองทุนต้องร่วมมือกันในเรื่องอำนาจต่อรองต่อบริษัทยา  ในการกำหนดค่ากลุ่มวินิจฉัยโรคร่วม หรือ DRG ให้ได้ค่ามาตรฐาน มีอัตราเฉลี่ยที่เท่ากันให้ได้มากที่สุด และต้องมีศูนย์ข้อมูลระบบการเงินการคลังของประเทศ (National Clearing house) เป็นศูนย์ให้ข้อมูลค่าใช้จ่ายด้านยาที่เป็นกลาง มีอัตรากลางที่ชัดเจน ซึ่งศูนย์แห่งนี้จะทำหน้าที่ส่งข้อมูล หรืออัตราราคากลางของกลุ่มยาชนิดต่างๆ โดยการทำงานเหล่านี้จะมีคณะกรรมการพัฒนาระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพแห่งชาติ (คพคส.) ที่มี พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน  และมีสำนักงานพัฒนาระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพแห่งชาติ (สพคส.) เป็นเลขานุการ  ซึ่งคณะกรรมการจะทำหน้าที่หาแนวทางแก้ปัญหาด้านระบบการเงินการคลังของประเทศ ว่า  ควรใช้มาตรการใดหรือระบบใดในการบริหารงบของแต่ละกองทุนให้คุ้มค่า และไม่แตกต่างกันจนเกินไป
       
       นายกุลิศ   กล่าวด้วยว่า   กรมบัญชีกลางมีการควบคุมค่าใช้จ่ายยาในกองทุนสวัสดิการข้าราชการ มาตลอด โดยได้คัดเลือกสถานพยาบาลที่มีปัญหาใช้งบสูง จำนวน 34 แห่ง  ส่วนใหญ่พบในโรงพยาบาล (รพ.) สังกัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้จัดทำบัญชียา โดยให้ยาแต่ละกลุ่มมีรหัสเฉพาะ อย่างยากลุ่มแก้ปวดหัว ตัวไหนมีฤทธิ์เหมือนกัน ต่างกันก็จะทำบัญชียาตรงนี้    โดยทำมาตั้งแต่ปี 2547 แต่ปัญหาคือ ยังไม่เป็นที่ชัดเจนมาก เนื่องจากติดปัญหาการรวบรวมข้อมูล โดยเฉพาะกลุ่มยาที่มีฤทธิ์แตกต่างกัน ก็ทำให้รหัสต่างกัน แต่บางกรณีก็อาจใช้รหัสเดียวกันได้ ซึ่งตรงนี้ยังไม่ชัดเจน ต้องมีการปรับปรุง แต่หากวิธีนี้มีการปรับปรุงให้ดีเพียงพอ ก็ยังสามารถนำไปขยายใช้กับกองทุนอื่นๆ ได้     ซึ่งจะช่วยในเรื่องการจ่ายยาอย่างเป็นระบบ ไม่เกิดปัญหาการจ่ายยาเกินความจำเป็น   ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่าย

ASTVผู้จัดการออนไลน์    26 ธันวาคม 2554

8270
 ก่อนที่จะบอกว่า ทำอย่างไรผิดกฎหมาย ทำอย่างไรผิดศีลธรรม ผู้เขียนใคร่ขอทำความเข้าใจให้ตรงกันก่อนว่า อะไรคือกฎหมาย อะไรคือศีลธรรม และทั้ง 2 ประการนี้ต่างกันอย่างไร
       
        กฎหมาย คือบทบัญญัติที่ทางฝ่ายอาณาจักรตราขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการปกครองบ้านเมืองให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ด้วยการปกป้องและรักษาความเป็นธรรมแก่พลเมืองของประเทศโดยความเสมอภาคกัน
       
        กฎหมายแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ในทำนองเดียวกับพระวินัยซึ่งใช้ปกครองสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ซึ่งน่าจะถือได้ว่าเป็นต้นแบบของการออกกฎหมายในเวลาต่อมา คือ เป็นข้อห้ามประการหนึ่ง และเป็นข้ออนุญาตประการหนึ่ง
       
        ในส่วนที่เป็นข้อห้าม ถ้าผู้ใดล่วงละเมิดจะต้องถูกลงโทษเสมอภาคกันทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้น ส่วนจะเป็นโทษหนักหรือเบา เป็นไปตามนัยแห่งบทบัญญัตินั้นๆ
       
        ในส่วนที่เป็นข้ออนุญาต เป็นการบอกให้รู้ว่าในฐานะพลเมืองของประเทศ มีสิทธิและเสรีภาพในการทำอะไรได้บ้าง
       
        ศีลธรรม เป็นบทบัญญัติหรือเป็นคำสอนที่ศาสดาแต่ละศาสนาได้สั่งสอนไว้ ผู้เป็นศาสนิกปฏิบัติตาม มีความหมายโดยแยกออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้
       
        1. ส่วนที่เป็นศีล แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ในทำนองเดียวกับกฎหมาย คือ เป็นข้อห้ามมิให้กระทำ และถ้าผู้ใดกระทำถือว่าผิดศีล และมีบทลงโทษหนักเบาเป็นไปตามที่บัญญัติไว้ และเป็นข้ออนุญาต เป็นการบอกให้รู้ว่าผู้ที่อยู่ในเพศภาวะนักบวชทำอะไรได้บ้าง แต่ถึงแม้ไม่ทำก็ไม่ต้องถูกลงโทษ
       
        2. ส่วนที่เป็นธรรมะ ได้แก่ข้อปฏิบัติเพื่อให้ชีวิตมีความสุข และพ้นจากความทุกข์ ส่วนจะมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 2 ประการ คือ
       
        2.1 ศรัทธา และวิริยะ หรือความเชื่อและความเพียรในการปฏิบัติ ว่ามีอยู่มากน้อยแค่ไหน
       
        2.2 คุณภาพของคำสอน มีมากน้อยแค่ไหนที่จะช่วยให้ผู้ปฏิบัติตามประสบความสุข และพ้นไปจากความทุกข์
       
        จริงอยู่ คำสอนของทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี ส่วนจะดีมากหรือน้อยส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับคุณภาพของคำสอนว่ามีคุณภาพมากน้อยแค่ไหนที่จะช่วยให้ผู้ปฏิบัติตามพบความสุข และพ้นทุกข์ได้ ในทำนองเดียวกันกับอาหารทุกประเภทช่วยให้ผู้บริโภคมีชีวิตอยู่ได้ แต่จะทำให้ร่างกายแข็งแรง และเติบโตรวดเร็วมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับคุณค่าทางโภชนาการที่มีอยู่นั่นเอง
       
        เมื่อได้ปูพื้นเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายและศีลธรรมพอเป็นสังเขปดังที่กล่าวมาแล้ว ต่อไปจะขอนำท่านผู้อ่านเข้าสู่ประเด็นเกี่ยวกับกรรมหรือการกระทำที่ไม่ควรนิรโทษ เนื่องจากเป็นความผิดทั้งในด้านกฎหมาย และในด้านศีลธรรม เป็นอย่างไร
       
        ในทางพุทธศาสนา การกระทำไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือทางวาจา จะจัดว่าเป็นกรรมก็ต่อเมื่อมีเจตนาเข้ามาเป็นส่วนประกอบหลักในขณะที่พูดและขณะที่ทำ จะเห็นได้จากพุทธพจน์ที่ว่า “เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ” แปลเป็นไทยว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา (ตถาคต) ย่อมกล่าวว่า เจตนาคือกรรม
       
        โดยนัยแห่งคำสอนในทางพุทธศาสนา คำกัมมะในภาษาบาลีหรือกรรมในภาษาสันสกฤตเป็นคำกลางๆ หรือเป็นอัพยากฤต ไม่ดี ไม่ชั่ว ถ้าเป็นกรรมดีจะเรียกว่ากุศลกรรม และถ้าเป็นกรรมชั่วจะเรียกว่า อกุศลกรรม
       
        ส่วนประเด็นที่ว่า การทำผิดทางกฎหมาย และการทำผิดศีลธรรมต่างกันอย่างไรนั้น หมายถึงการทำด้วยเจตนาซึ่งมีความแตกต่างกันใน 2 ลักษณะดังต่อไปนี้
       
        1. ลักษณะของการให้โทษ
       
        2. กระบวนการลงโทษหรือกระบวนการในการกำหนดโทษ
       
        ในแง่ของการให้โทษ ผู้กระทำผิดศีลธรรมจะมีผลในทางจิตใจ และในทางสังคม กล่าวคือ ผู้กระทำผิดจะเดือดร้อน และเป็นทุกข์ทางใจเมื่อเกิดความสำนึกว่าตนเองได้กระทำผิด แต่ในกรณีที่ผู้กระทำผิดไม่เกิดความสำนึก และไม่เดือดเนื้อร้อนใจ เนื่องจากเป็นคนดื้อด้าน ไม่ละอายต่อบาป ก็จะตกเป็นจำเลยทางสังคม จะถูกผู้คนในสังคมรังเกียจ ไม่คบค้าสมาคมด้วย และกลายเป็นบุคคลล้มละลายทางสังคม ขาดความน่าเชื่อถือ ไม่มีคนนับหน้าถือตา ในที่สุดก็กลายเป็นจัญไรบุคคลในสายตาคนดี จะมีคนยกย่องอยู่บ้างก็เป็นคนประเภทเดียวกัน
       
        ส่วนการให้โทษในทางกฎหมาย จะเกิดขึ้นได้ก็จะต้องมีคนฟ้องร้อง และมีการสอบสวนหาพยานหลักฐาน และถ้ามีพยานหลักฐานเพียงพอก็จะขึ้นสู่กระบวนการพิจารณาลงโทษตามกฎหมาย แต่ถ้าไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอก็ยกฟ้อง
       
        ดังนั้น การลงโทษในทางกฎหมายจึงกลายเป็นช่องโหว่ช่องว่างให้ผู้กระทำผิดที่มีอำนาจสามารถหลบเลี่ยงไม่ต้องรับโทษ โดยอำนาจแฝงเร้นจะเป็นอำนาจเงิน หรืออำนาจอื่นใดก็ได้
       
        แต่ถ้าความผิดที่กระทำเป็นความผิดทั้งทางกฎหมาย และทางศีลธรรม โอกาสที่จะหลุดรอดไม่ต้องรับโทษคงจะยาก เพราะถึงแม้จะหลุดรอดจากโทษทางกฎหมาย แต่โทษทางกรรมคือความทุกข์ความเดือดร้อนทางใจ และโทษทางสังคมคือถูกตำหนิติเตียนไปจนถึงถูกด่าทอคงจะหลุดรอดไปได้ยาก นี่คือความแตกต่างระหว่างความผิดทางกฎหมาย กับความผิดทางศีลธรรมประการหนึ่ง
       
        ความแตกต่างอีกประการหนึ่ง ก็คือ โทษทางกฎหมายมีอายุความ เมื่อหมดอายุความแล้วจะฟ้องร้องไม่ได้
       
        แต่โทษทางศีลธรรมไม่มีอายุความ วันนี้ไม่ให้ผลเพราะกรรมดีซึ่งเป็นครุกรรมยังให้ผลอยู่ วันไหนไม่มีกรรมดีให้ผลกรรมชั่วก็จะให้ผล เว้นแต่ว่าผู้กระทำผิดสำนึกตนและทำดีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกรรมชั่วไม่มีโอกาสให้ผล และสุดท้ายกลายเป็นอโหสิกรรมไปเพราะผู้กระทำหลุดพ้นไม่ต้องรับผลทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว
       
        จากนัยแห่งโทษที่จะต้องได้รับดังอธิบายมา จะเห็นได้ว่าความผิดที่ได้กระทำ และไม่ควรได้รับนิรโทษก็คือความผิด ทั้งในแง่กฎหมาย และศีลธรรม อันได้แก่การกระทำอันเป็นการทุจริตทางกาย ได้แก่ ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ และประพฤติผิดในกาม และทางวาจา คือ พูดปด พูดคำหยาบ พูดส่อเสียด และพูดเพ้อเจ้อ
       
        เมื่อพิจารณาตามนัยที่ว่านี้แล้ว ผู้เขียนหวังว่าใครก็ตามที่เห็นผู้กระทำผิดในทางทุจริตควรได้รับการอภัยโทษด้วยการออก พ.ร.ฎ.เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ ควรจะได้คิด และเลิกล้มความตั้งใจ ถ้าไม่อยากให้คนไทยลุกขึ้นมาขัดแย้งกันเอง และจบลงด้วยการทำร้ายซึ่งกันและกันเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลคนคนเดียวที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้

โดย สามารถ มังสัง    
manager.co.th  28 พฤศจิกายน 2554

8271
หนังสือพิมพ์รายวันฉบับวันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2554 หลายฉบับ ได้ลงข่าวการจัดภาพลักษณ์คอร์รัปชันโลก ประจำปี 2554 โดยมีคะแนนการไม่คอร์รัปชันเต็ม 10 และผลปรากฏว่าประเทศนิวซีแลนด์ได้ 9.5 คะแนน มากเป็นอันดับหนึ่งในจำนวน 183 ประเทศ
      
        ส่วนประเทศไทยได้ 3.4 คะแนนเป็นอันดับที่ 80 เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 17 อันดับ และถ้าเปรียบเทียบกับประเทศในเอเชียด้วยกัน ประเทศสิงคโปร์ได้คะแนนมาเป็นอันดับหนึ่ง 9.2 คะแนน และประเทศไทยจัดเป็นอันดับ 10 ในจำนวน 26 ประเทศในกลุ่มอาเซียน
      
        เมื่อดูจากคะแนนที่ได้รับ และอันดับที่ได้แล้ว ถือได้ว่าการคอร์รัปชันในประเทศไทยได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
      
        อะไรเป็นเหตุให้การคอร์รัปชันในประเทศไทยเพิ่มขึ้น และมีแนวทางป้องกันอย่างไรได้บ้าง
      
        ก่อนที่จะตอบปัญหาดังกล่าวข้างต้น ผู้เขียนใคร่ขอให้ท่านผู้อ่านลองมองย้อนไปถึงมูลเหตุพื้นฐานแห่งพฤติกรรมที่เรียกว่าทุจริต คอร์รัปชัน จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ก็จะพบว่าพฤติกรรมเยี่ยงนี้ได้เกิดขึ้นและดำรงอยู่ในสังคมมนุษย์พร้อมกับการเกิดขึ้นของมนุษย์ เพียงแต่มีรูปแบบแห่งการทุจริตแตกต่างกันออกไป กล่าวคือ ในระยะที่การดำรงชีวิตไม่ซับซ้อน และการแย่งกันอยู่แย่งกันกินยังจำกัดอยู่ในเรื่องที่อยู่อาศัยแหล่งทำกิน รวมไปถึงทรัพย์สินเท่าที่จำเป็นต่อการดำรงชีพอย่างง่ายๆ
      
        ดังนั้น พฤติกรรมทุจริตในยุคนั้นก็จะมีแต่ลักทรัพย์ จะเห็นได้จากบัญญัติทางศาสนาในทุกศาสนา จะห้ามลักขโมย เช่น ศีลข้ออทินนาทานของพุทธ และข้อห้ามในศาสนาคริสต์ที่ว่า สูเจ้าจงอย่าขโมยอย่างเด็ดขาด (You Shall Not Steal) เป็นต้น
      
        จากข้อห้ามทางศาสนาที่ยกมาเป็นตัวอย่างข้างต้น จะเห็นว่าพฤติกรรมทุจริตในยุคที่มนุษย์ยังมีจำกัดอยู่ในเรื่องที่อยู่อาศัย และแหล่งทำมาหากิน การสะสมทรัพย์อื่นใดนอกจากนี้ยังไม่มี การทุจริตก็จะมีเพียงการลักขโมยของกินของใช้เท่าที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ
      
        มนุษย์ยังไม่มีความต้องการที่หลากหลาย และการแสวงหาสิ่งที่ต้องการก็ไม่ซับซ้อนอย่างในปัจจุบัน เพียงมีข้อห้ามทางศาสนา ประกอบกับมีกฎหมายไว้ป้องกันการทุจริตพื้นๆ ก็ช่วยให้สังคมอยู่อย่างเป็นสุขได้
      
        แต่ครั้นสังคมมนุษย์มีความก้าวหน้าในวัตถุ ความต้องการของมนุษย์มีหลากหลายขึ้น วิธีการแสวงหาสิ่งสนองความต้องการก็ซับซ้อนมากขึ้น ประกอบกับความรู้ ความเข้าใจ และการใส่ใจใฝ่หาคุณธรรม จริยธรรมลดลง จึงทำให้พฤติกรรมทุจริต คอร์รัปชันเพิ่มขึ้น และมีรูปแบบหลากหลาย ซับซ้อนตามความรู้ ความสามารถของมนุษย์ ดังที่ปรากฏให้เห็นอย่างดาษดื่นในประเทศด้อยพัฒนา หรือแม้กระทั่งในประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย รวมทั้งประเทศไทยด้วย
      
        คอร์รัปชันหมายถึงอะไร และทำไมประเทศไทยจึงมีการคอร์รัปชันเพิ่มขึ้น ทั้งๆ ที่มีกฎหมายและหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการป้องกัน และปราบปรามพฤติกรรมคอร์รัปชันอยู่หลายหน่วยงาน
      
        Oxford Word Power Dictionary ได้ให้ความหมายคำว่า Corruption ไว้ว่า เป็นคำนาม และหมายถึงพฤติกรรมหรือกิจกรรมที่ไม่ซื่อสัตย์ และผิดศีลธรรม (Dishonest or Immoral Behaviour or Activities) และได้ยกตัวอย่าง มีข้อกล่าวหา Corruption ระหว่างนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่หลายนาย (These Were Accusation of Corruption Among Senior Police Officer)
      
        จากคำอธิบายขยายความ และตัวอย่างข้างต้น ทำให้เข้าใจได้ว่า การจัดอันดับภาพลักษณ์คอร์รัปชันขององค์กรเพื่อความโปร่งใสคงจะจำกัดวงการคอร์รัปชันในภาครัฐ และถ้าความเข้าใจนี้ถูกต้อง ก็พูดได้ว่าการคอร์รัปชันในประเทศไทยอยู่ในขั้นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะถ้าไม่ป้องกันและแก้ไขให้ทันท่วงทีแล้ว ภาวะล่มจมทางเศรษฐกิจคงจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้แน่นอน
      
        คอร์รัปชันในประเทศไทยเกิดขึ้นได้อย่างไร และจะป้องกันได้ด้วยวิธีการใดบ้าง
      
        การคอร์รัปชันในวงราชการไทยแบ่งเป็น 3 ลักษณะ หรือ 3 ประเภทตามลักษณะงานดังต่อไปนี้
      
        1. การจัดเก็บรายได้ในรูปแบบภาษี และค่าธรรมเนียมต่างๆ โดยมีส่วนราชการในระดับกรมรับผิดชอบ เช่น กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร เป็นต้น
      
        การคอร์รัปชันในส่วนงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บรายได้ เกิดขึ้นจากการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจหน้าที่เอื้ออำนวยให้ผู้ที่จะต้องเสียภาษีมากเสียน้อยกว่าที่ควรจะเป็น โดยได้รับสินบนจากผู้เสียภาษี ทำให้รัฐจัดเก็บภาษีได้น้อย และที่คอร์รัปชันมากกว่านี้ก็คือ เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐตรวจสอบว่ามีการหลบเลี่ยงภาษี และควรจะดำเนินการลงโทษด้วยการปรับเพื่อนำเงินเข้ารัฐ แต่กลับใช้วิธีการขู่เข็ญและรีดไถเพื่อเรียกรับเงินเข้าตัวเอง แลกกับการไม่ดำเนินคดี
      
        2. ในส่วนของการจ่ายโดยเฉพาะรายจ่ายจากงบลงทุนซึ่งมีขั้นตอนการจ่ายในรูปแบบของการจัดซื้อจัดจ้าง การคอร์รัปชันในส่วนนี้เกิดขึ้นจากการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐร่วมมือกับพ่อค้าโกงรัฐในหลายๆ รูปแบบ ที่มองเห็นได้และมีอยู่อย่างดาษดื่นก็คือ ซื้อของหรือจ่ายค่าจ้างแพงกว่าที่ควรจะเป็น หรือจ่ายไม่แพงถ้ามองจากราคา แต่จะเห็นได้ว่าเมื่อนำสินค้าหรืองานที่ว่าจ้างมาเทียบกับคุณภาพของสินค้าหรืองานที่จ้าง จะพบว่าคุณภาพด้อยกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้รัฐสูญเสียประโยชน์ และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็ได้รับประโยชน์จากพ่อค้าเป็นเครื่องตอบแทน
      
        3. งานให้บริการประชาชน เช่น งานดูแลความเรียบร้อยของสังคมโดยผู้รักษากฎหมาย เช่น เจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นต้น การคอร์รัปชันในส่วนนี้เกิดขึ้นจากการเรียกเก็บผลประโยชน์จากผู้ทำผิดกฎหมาย ยกตัวอย่างง่ายๆ ตำรวจจราจรที่เรียกเก็บเงินจากคนขับขี่ที่ทำผิดกฎหมายโดยไม่ออกใบสั่งปรับเข้ารัฐ และที่คอร์รัปชันแล้วก่อความเสียหายแก่รัฐชัดเจน เช่น การไม่จับกุมรถบรรทุกน้ำหนักเกินโดยเรียกเก็บส่วยจากผู้ประกอบการแทน เพราะการทำแบบนี้เท่ากับทำให้ถนนหนทางได้รับความเสียหาย และจะต้องจ่ายเงินซ่อมกันทุกปี แทนที่จะนำเงินส่วนนี้ไปสร้างถนนใหม่
      
        ทั้ง 3 ประการที่ยกมาเป็นเพียงรูปแบบการคอร์รัปชันที่มองเห็นได้ง่าย ถ้าลงให้ลึกกว่านี้ ก็จะพบการคอร์รัปชันที่แยบยล และป้องกันยาก ทั้งเอาผิดทางกฎหมายได้ยากด้วย การคอร์รัปชันที่ว่านี้ก็คือการคอร์รัปชันในเชิงนโยบาย ที่กำลังเป็นที่นิยมในหมู่นักธุรกิจการเมืองอยู่ในขณะนี้
      
        ดังนั้น ถ้าไม่มีการป้องกันและแก้ไข เชื่อว่าอีกไม่กี่ปีประเทศไทยภายใต้นโยบายประชานิยม จะไม่มีอะไรเหลือให้ลูกหลาน นอกจากหนี้

โดย สามารถ มังสัง    
manager.co.th  12 ธันวาคม 2554
....................................................................
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ได้เขียนเกี่ยวกับการคอร์รัปชันในวงราชการไปแล้ว แต่ยังไม่ได้บอกถึงแนวทางแก้ไข ดังนั้นวันนี้จะเขียนเกี่ยวกับแนวทางแก้ไขเท่าที่คาดว่า ถ้ามีการดำเนินการแล้ว น่าจะทำให้คอร์รัปชันลดลงถึงแม้จะไม่ถึงกับหมดไป แต่ก็จะช่วยงบประมาณรายจ่ายของประเทศไทยแต่ละปีขาดดุลน้อยลง หรือแม้จะไม่ลดลง แต่ก็มีส่วนเหลือไปใช้จ่ายเพื่อการพัฒนาด้านที่จำเป็น เช่น การศึกษา เป็นต้น ให้มากขึ้น
      
        ในการแก้ปัญหาไม่ว่าจะเป็นปัญหาในด้านใด จะต้องแก้ที่เหตุหรือต้นตอของปัญหานั้นๆ และแนวทางที่คนไทยในฐานะที่เป็นพุทธมามกะเป็นส่วนใหญ่ ควรจะยึดถือก็คือ อริยสัจ 4 ได้แก่ ทุกข์ อันเปรียบได้กับตัวปัญหา สมุทัย อันเปรียบได้กับเหตุให้เกิดปัญหา นิโรธ อันเปรียบได้กับผลที่ได้จากการแก้ปัญหา และสุดท้ายมรรค อันเปรียบได้กับวิธีการแก้ปัญหา
      
        โดยอาศัยแนวทางการแก้ปัญหาตามนัยแห่งอริยสัจ 4 การแก้ปัญหาคอร์รัปชันก็พอจะกำหนดเป็นขั้นตอนได้ดังนี้
      
        1. การค้นหาเหตุแห่งปัญหา
      
        ถ้ามองจากสภาพปัญหาคอร์รัปชันในวงราชการไทย ก็พออนุมานได้ว่าน่าจะเกิดจากเหตุต่างๆ ดังต่อไปนี้
      
        1.1 การศึกษาที่เน้นให้คนมีความรู้ ความสามารถในด้านการแสวงหาทางวัตถุ แต่ปล่อยปละละเลยการปลูกฝังคุณธรรม ซึ่งคนในยุคก่อนมักเตือนและพร่ำสอนทั้งในโรงเรียนและครอบครัว แต่การฝึกในปัจจุบันแม้กระทั่งหน้าที่พลเมือง สมบัติผู้ดีและศีลธรรมจรรยา เด็กรุ่นใหม่แทบจะไม่รู้จักทั้งพ่อแม่รุ่นใหม่ก็ไม่มีเวลาในการอบรมลูก ปล่อยให้เติบโตภายใต้การดูแลของพี่เลี้ยงและโรงเรียนเป็นส่วนใหญ่ ดังนี้เมื่อเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ จึงมีแต่ความสามารถแต่ขาดคุณธรรม
      
        1.2 การบริหารบุคคลในภาครัฐ จะใช้ระบบอุปถัมภ์มากกว่าระบบคุณธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการโยกย้าย แต่งตั้งในตำแหน่งที่เอื้อต่อการแสวงหาผลประโยชน์ จะมีทั้งการเล่นพรรคเล่นพวก ระบบต่างตอบแทนและซื้อตำแหน่ง จึงกลายเป็นหนี้บุญคุณและเกิดการถอนทุนเกิดขึ้น จะเห็นได้ชัดเจนในวงการตำรวจ และศุลกากรอันเป็นสาเหตุหนึ่งของการคอร์รัปชันเพื่อทดแทนบุญคุณ และถอนทุนจากการวิ่งเต้นเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่ง
      
        2. สภาพปัญหา และการแก้ไขป้องกันที่เป็นอยู่
      
        ในปัจจุบันเปรียบเทียบกับแนวทางอริยสัจ 4 การคอร์รัปชันในวงราชการไทย ดังได้บอกไปแล้วในวันอังคารที่แล้ว แต่เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้มองเห็นประเด็นแห่งปัญหาชัดเจนยิ่งขึ้น จึงขอสรุปให้เห็นอีกครั้งดังต่อไปนี้
      
        2.1 เกิดจากงานจัดซื้อจัดจ้างในส่วนที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ และใช้งบลงทุนในภาครัฐ และใช้เงินกู้ในรัฐวิสาหกิจจะเกิดการคอร์รัปชันในหลายๆ รูปแบบมีตั้งแต่การล็อกสเปกเพื่อให้ผู้ขายหรือผู้รับเหมารายใดรายหนึ่งได้งานไปจนถึงการฮั้วประมูลในกรณีที่เกิดประมูลทั่วไป และงานจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ จะจัดทำในรูปแบบของกรรมการซึ่งแต่งตั้งโดยผู้มีอำนาจสูงสุดของส่วนราชการนั้นๆ จึงง่ายต่อการแสวงหาประโยชน์ในทางมิชอบ ถ้าผู้แต่งตั้งร่วมมือกับพ่อค้า และข้าราชการได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการ
      
        นอกจากงบลงทุนที่ดำเนินการในรูปของโครงการแล้ว งบทำการก็ดี การคอร์รัปชันเกิดขึ้นในหลายรูปแบบมีตั้งแต่ทำล่วงเวลาเกินความจำเป็น และไม่เป็นไปตามการบริหารต้นทุน ในส่วนของค่าใช้จ่าย ในส่วนของเงินเดือนและค่าจ้าง เช่น ไม่ทำงานในเวลาปกติ แต่ไปทำล่วงเวลาและแทนที่จะจ้างคนเพิ่มในรูปของการจ้าง part time ในช่วงที่มีงานเพิ่มแต่ไม่ต่อเนื่องยาวนานกลับทำงานล่วงเวลาทำให้งานไม่ได้เนื้องานเนื่องจากคนล้าจากงานในเวลามาแล้ว และแถมเปิดช่องให้คนไม่ทำงานในเวลาเก็บไว้ทำล่วงเวลา เป็นต้น นี่เป็นการคอร์รัปชันรูปแบบหนึ่ง
      
        ส่วนการแก้ไขและป้องกันเท่าที่ทำอยู่ในส่วนราชการขณะนี้ แบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ
      
        ทำการตรวจสอบภายในเพื่อแก้ไขและป้องกันงานส่วนนี้อยู่ในความรับผิดชอบของส่วนงานตรวจสอบภายในซึ่งมีอยู่ทั้งในระดับกรม และระดับกระทรวง
      
        แต่งานตรวจสอบเท่าที่เป็นอยู่ทำได้ แต่ทำการตรวจสอบจากเอกสารปฏิบัติการในปีที่ผ่านมา และตรวจกันปีละครั้งเดียว ทั้งการตรวจสอบก็จำกัดอยู่ในเรื่องรายจ่ายจากงบทำการ เช่น ค่าล่วงเวลา ค่าเดินทาง ค่าที่พัก เป็นต้น และในบางหน่วยงานที่มีการจัดเก็บรายได้จากค่าเช่า ค่าธรรมเนียม เป็นต้น ก็มีการตรวจในส่วนนี้ด้วย
      
        แต่เมื่อตรวจพบว่ามีการกระทำผิดระเบียบกฎหมาย หรือวิธีปฏิบัติก็มีการทักท้วงรวมไปถึงการเรียกเงินคืนในรายที่พบว่าจ่ายเงินเกิน แต่จะมีการลงโทษถึงขั้นตั้งกรรมการสอบสวน และหากพบว่ามีความผิดก็จะมีการลงโทษหักเงินเดือน ลดขั้นเงินเดือน ส่วนจะถึงขับไล่ออกมีอยู่น้อยมาก จึงไม่มีน้ำหนักพอที่จะทำให้คนทำผิดเข็ดหลาบ และไม่กล้ากระทำผิดอีก
      
        สำหรับงานโครงการที่มีการจัดซื้อจัดจ้างในวงเงินมากๆ จากงบลงทุนไม่ค่อยปรากฏว่าหน่วยงานตรวจสอบภายในของส่วนราชการใดตรวจพบความผิด และมีการดำเนินการถึงขั้นลงโทษ จะมีก็เพียงรายที่ตกเป็นข่าวทางสื่อ หรือมีคนไปยื่นฟ้อง ป.ป.ช.และมีการสอบสวน แต่สอบสวนแล้วส่วนใหญ่จะได้คนผิดระดับล่างๆ หรือข้าราชการผู้น้อย ส่วนตำแหน่งใหญ่ๆ ที่รับนโยบายโดยตรงมาจากฝ่ายการเมืองมักจะรอดไปได้ จึงไม่มีน้ำหนักพอจะป้องกันคอร์รัปชันได้
      
        3. แนวทางแก้ไขและป้องกัน โดยอาศัยหลักอริยสัจ 4 ก็ควรจะเริ่มต้นด้วยการจัดการศึกษาควบคู่ไปกับการฝึกอบรมเพื่อปลูกฝังคุณธรรมให้แก่เด็กเพื่อให้โตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ มีคุณธรรม
      
        อีกทั้งในส่วนงานบริหารงานบุคคลในภาครัฐ จะต้องเลิกใช้ระบบอุปถัมภ์ ระบบต่างตอบแทน และที่สำคัญคือระบบซื้อขายตำแหน่งจะต้องไม่ให้มีอย่างเด็ดขาด เพื่อป้องกันมิให้คนเลวมามีอำนาจในการปกครอง แต่จะต้องใช้ระบบคุณธรรมในการแต่งตั้งโยกย้ายเพื่อให้โอกาสคนดีมีอำนาจในการปกครอง
      
        ถ้าทำ 3 ประการที่ว่านี้ได้ เชื่อว่าไม่นานต่อจากนี้ ประเทศไทยจะคอร์รัปชันลดลงถึงแม้จะไม่หมดไปก็เชื่อว่าอยู่ในระดับที่นักลงทุนต่างชาติจากประเทศที่เจริญแล้วยอมรับได้แน่นอน

โดย สามารถ มังสัง    
manager.co.th  19 ธันวาคม 2554

8272
ในระยะนี้ไปไหน และพบหน้าใครที่เคยรู้จัก และรู้ว่าผู้เขียนพอจะมีความรู้เรื่องโหราศาสตร์ ทุกคนจะถามคำถามในทำนองเดียวกันกับที่บรรดาหมอดูทั้งหลายถูกถาม และหลายท่านได้ทำนายทายทักผ่านสื่อ ดังที่ปรากฏเป็นข่าวไปแล้วหลายครั้ง
      
       ในบรรดาคำถามที่หมอดูมักจะถูกถามในช่วงนี้ พอจะสรุปเป็นข้อๆ ดังนี้
      
       1. จะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไหม และเปลี่ยนแล้วจะดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ไหม และเมื่อใด
      
       2. ปีหน้าน้ำจะท่วมเหมือนปีที่ผ่านมาไหม และถ้าท่วมจะเดือดร้อน วุ่นวาย เสียหายเหมือนที่ผ่านมาหรือไม่
      
       3. เศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร ดีขึ้นหรือเลวลง เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
      
       4. ถ้าเหตุการณ์ทั้ง 3 หรือข้อใดข้อหนึ่งเกิดขึ้น ควรจะใช้ชีวิตอย่างไรให้ทุกข์น้อยที่สุด
      
       จากคำถามทั้ง 4 ประการดังกล่าวข้างต้น ผู้เขียนเชื่อว่าท่านผู้อ่านที่สนใจ และศรัทธาในโหราศาสตร์คงติดตาม และทราบคำตอบจากบรรดาโหราจารย์ไปแล้วส่วนหนึ่ง แต่อาจมีข้อกังขาค้างคาใจอยู่บ้าง
      
       ดังนั้น เพื่อให้ข้อกังขาที่ค้างคาใจอยู่ลดลงและหมดไป ผู้เขียนในฐานะโหรสมัครเล่น และพอจะมีประสบการณ์ในด้านพยากรณ์อยู่บ้าง จึงขอพูดถึงเหตุการณ์บ้านเมืองโดยอาศัยพื้นดวงเมือง และดวงจร ด้วยการนำดาวจรมาเป็นตัวบอกเหตุการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดาวใหญ่ 4 ดวง คือ ดาวพฤหัสบดี (๕) ดาวเสาร์ (๗) ดาวราหู (๘) และดาวมฤตยู (๐) พร้อมกับจะนำดาวดวงอื่นนอกจากนี้มาประกอบในบางห้วงแห่งเวลา เพื่อให้เกิดความแม่นยำมากขึ้น
      
       เริ่มด้วยการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยดูจากดาวเสาร์ซึ่งโคจรในราศีตุลย์จาก 7 ธ.ค. 54-5 เม.ย. 55 และในช่วงนี้ดาวเสาร์พักรด้วย จึงถือว่าเป็นช่วงที่ดาวเสาร์ให้โทษแก่ดวงเมือง ซึ่งมีลัคนาสถิตในราศีเมษ และใน 3 องศาแรกเกาะนวางค์ศุกร์อันเป็นนวางค์คู่ศัตรู จึงมีผลทำให้เกิดความแตกแยกขึ้นในรัฐบาล เนื่องจากเกิดความขัดแย้งระหว่างพรรคร่วมกับพรรคที่เป็นแกนนำ และระหว่างกลุ่มต่างๆ ในพรรคเพื่อไทยอันเป็นแกนนำด้วย
      
       จากความขัดแย้งที่ว่านี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจากระดับเล็กน้อย คือ การปรับ ครม. ลาออก ยุบสภา และถูกโค่นล้ม ส่วนว่าจะเกิดเมื่อใดนั้น น่าจะเป็นช่วงที่เสาร์พักรคือ ม.ค.-ก.พ.หรืออย่างช้าไม่เกิน 5 เมษายน 55
      
       สำหรับปัญหาน้ำท่วมหรือไม่ท่วมนั้น ถ้าดูจากดาวราหูแล้วก็พอจะอนุมานได้ว่าอุทกภัยเช่นในปี 2554 จะไม่เกิดขึ้น จะมีก็เพียงน้ำหลากท่วมที่ลุ่มภาคกลางเป็นปกติ แต่จะตรงกันข้าม จะมีภัยแล้งเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกก่อความเสียหายให้แก่สวนผลไม้เป็นอันมาก รวมไปถึงพื้นที่ภาคกลางตอนบนที่มีการทำนาปรังด้วย
      
       ส่วนประเด็นเกี่ยวกับเศรษฐกิจ ถ้ามองจากดาวราหูที่ทำมุมตรีโกณดาวพุธ และเล็งอังคารเจ้าเรือนลัคนาแล้ว บอกได้ค่อนข้างจะ 80% ว่าแย่กว่าปี 2554 แน่นอน และปัจจัยที่ทำให้แย่ลงจะมาจากค่าเงินบาทอ่อนค่าลง ทำให้การนำเข้าสินค้าทุน และปัจจัยการผลิต เช่น น้ำมัน และเคมีภัณฑ์ อันได้แก่ ปุ๋ย ยาปราบศัตรูพืช เป็นต้น แพงขึ้น จึงทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นทั้งในภาคเกษตรกรรม และภาคขนส่ง ทำให้ผู้ประกอบการเดือดร้อน
      
       นอกจากนี้ ราหูทำมุมตรีโกณพุธยังส่งผลให้สถาบันการเงินในประเทศประสบปัญหาหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้น และบางแห่งถึงกับต้องเปลี่ยนเจ้าของกิจการเลยทีเดียว รวมไปถึงจะเกิดภาวะเงินเฟ้อสูง ข้าวของแพงขึ้น ก่อให้เกิดความเดือดร้อนไปทั่ว
      
       ในประการสุดท้ายมิใช่การพยากรณ์ แต่เป็นการขอคำปรึกษาที่คนไปหาหมอดูทุกคนจะถามหรือไม่ถาม แต่ถ้าหมอดูพอจะมีความรู้ ก็จะให้คำแนะนำในแต่ละปัญหาที่บอกไว้ว่าจะทำอย่างไร
      
       ในประเด็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในชนชั้นปกครองหรือชนชั้นถูกปกครอง ทั้งในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย และระบอบการปกครองแบบเผด็จการ จะได้รับผลกระทบ เพียงแต่ว่าจะเป็นผลทางบวกหรือทางลบ มากหรือน้อยเท่านั้น
      
       ในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในประเทศไทยในช่วงจากนี้ไปถึง 5 เมษายน 2555 ถ้าดูจากดวงเมืองที่ดาวเสาร์เล็งลัคนาในระยะ 3 องศาแรกที่ดาวเสาร์เกาะนวางค์พุธแล้ว แน่นอนว่าผลกระทบจะเกิดขึ้นแก่นักการเมืองในฝ่ายรัฐบาล เนื่องจากมีข้อขัดแย้งกันและเป็นเหตุให้หลายคนอกหักผิดหวัง นำไปสู่ความแตกแยก และถ้าทำใจไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่งก็คงจะได้เห็นการออกมาโวยวาย
      
       ส่วนคนทั่วๆ ไปที่ไม่อยู่ในวงจรแห่งความขัดแย้ง ก็คงได้แต่นั่งดูและปลงอนิจจังกับความอยากมี อยากเป็นของนักการเมือง
      
       แต่ทั้งนักการเมืองและคนนั่งดูจะได้รับผลกระทบในทางลบ คือเดือดร้อนจากปัญหาของประเทศที่หมักหมม และปล่อยปละละเลยไม่มีการแก้ไขจากฝ่ายปกครองที่มักแต่จะแก่งแย่งกัน
      
       แนวทางแก้ไขในเรื่องนี้ ทุกคนจะต้องนำสิ่งที่เกิดขึ้นมาเป็นบทเรียนทางการเมืองว่า ถ้าไม่ต้องการเห็นความทุกข์ ความเดือดร้อนอันเกิดจากนักการเมืองด้อยคุณภาพ ด้อยคุณธรรมแล้ว ต่อไปอย่าเลือกคนแบบนี้เข้าสภาอีก และถ้าเลือกไปแล้ว ก็จะต้องแก้ไขด้วยการออกมาแสดงประชามติขับไล่นักการเมืองประเภทนี้ออกไป
      
       ในด้านเศรษฐกิจ ถ้าเกิดภาวะเดือดร้อนจากราคาสินค้า และบริการแพงขึ้น ก็จะต้องหาทางพึ่งตนเองด้วยการทำงานเพิ่มขึ้นเพื่อให้มีรายได้เพิ่ม และในขณะเดียวกันจะต้องประหยัด โดยยึดแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไว้และลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังและเคร่งครัด
      
       ในประเด็นน้ำท่วมหรือไม่ ได้บอกแล้วตั้งแต่ต้นว่าผู้เขียนเห็นแย้งว่าถึงจะมีน้ำท่วมก็ไม่มากกว่าปี 2554 และถ้ามีรัฐบาลที่มีศักยภาพในการแก้ปัญหามากกว่าที่เป็นมาคงจะไม่เดือดร้อน แต่ภัยแล้งจะต้องเตรียมการรับมือให้ดีรับรองว่าเจอแน่ ทางแก้ที่ดีก็คือ ถ้าเป็นเกษตรกรก็อย่าปลูกพืชที่ต้องการน้ำมากในหน้าแล้ง และงดทำนาปรังลงบ้าง ก็พอจะลดความเดือดร้อนลงได้
      
       อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนหวังว่าท่านผู้อ่านคงไม่นำไปคิดจนเกิดความวิตกกังวลจนทำให้เป็นทุกข์ก่อนจะถึงเวลา
      
       สุดท้ายขอจบด้วยคำกลอนบทนี้
      
       ถึงปีใหม่ ทำอะไรใหม่เพิ่มบ้าง
       อย่าฝันค้าง กับสิ่งเก่า มัวเมาหลง
       ยึดอดีต ไม่ปล่อยวาง หาทางปลง
       ปีใหม่คง เหมือนเก่า เราเคยเป็น
 
                เลิกเถิด เลิกเสียที ดีแต่คิด
                 ลงมือผลิต ลงมือทำ นำให้เห็น
                 คนคิดดี ทำดี มิลำเค็ญ
                 แต่ถ้าเน้น แค่คิด ชีวิตโทรม

โดย สามารถ มังสัง    
manager.co.th  26 ธันวาคม 2554

8273
มีรายงานข่าวว่า มีงานบางอย่างที่​เมื่อ​ทำ​แล้วก่อ​ให้​เกิดภาวะซึม​เศร้า​ได้ง่ายกว่าคนอื่นๆ ​โดย​เฉพาะงานที่ต้อง​ทำ​เต็ม​เวลานั้น ส่วน​ใหญ่จะก่อ​ให้​เกิด​แนว​โน้ม​การมีภาวะซึม​เศร้า​ใน​แต่ละปีสูง ​เช่น อาชีพนางพยาบาล ​แต่อย่าง​ไร​ก็ตาม​ไม่​ได้หมาย​ความว่าคุณควร​เลือกอาชีพอื่น ​หรืออาชีพนางพยาบาล​ไม่ดี​แต่อย่าง​ใด

ดร.ดี​โบราช ลีกก์ จิต​แพทย์จากสถาบัน "Buffalo" กล่าวว่า มีงานบางอย่างที่สามารถ​ทำ​ให้​เกิดภาวะซึม​เศร้า ​หรือกระตุ้น​ให้มีอา​การซึม​เศร้า​ได้ ขณะ​เดียวกันคนที่มี​ความ​เครียดสูงจาก​การ​ทำงาน มี​โอกาส​ใน​การจัด​การกับ​ความ​เครียดที่​เกิดขึ้นกับตน​เอง​ได้มากขึ้น หากพวก​เขาดู​แลตัว​เอง ​และ​ได้รับ​ความช่วย​เหลือที่ถูกวิธี ​และนี่​เป็นอาชีพที่ก่อ​ให้​เกิดภาวะซึม​เศร้ามากกว่าอาชีพอื่นๆ

พยาบาลดู​แล​ผู้ป่วยที่บ้าน/​และคนดู​แล​เด็ก​ผู้​ให้บริ​การดู​แลส่วนบุคคล มีรายงานว่าคนกลุ่มนี้จำนวน​ถึง 11% นั้น ​แข่งขันกันประสบปัญหาภาวะซึม​เศร้า (​แต่สำหรับ​ผู้ที่ตก งานร้อยละ 7% ​ก็สามารถตกอยู่​ในภาวะซึม​เศร้า​ได้​เช่นกัน ​โดยคิด​เป็น 13%) ​เพราะพวก​เธอมีกิจวัตรประจำวันที่ต้อง​ทำ ​เช่น ​การ​ให้นม​และอาบน้ำ​ให้ลูกๆ รวม​ถึงต้องดู​แลคนอื่นๆ ที่มัก​ไม่ค่อย​ได้​แสดงอา​การชื่นชม ​หรือ​แสดงอา​การขอบคุณ ​เพราะคน​เหล่านี้มีอา​การป่วย​เล็กๆ น้อยๆ อยู่ตลอด​เวลา ​และคำขอบคุณนั้น​ก็​ไม่​ได้อยู่​ในวิสัยของ​ผู้ป่วย​เหล่านี้

ขณะ​เดียวกัน นายคริส​โต​เฟอร์ วิลลาร์ด นักจิตวิทยาจากคลินิก​ในมหาวิทยาลัย Tufts ​และ​ผู้​เขียนหนังสือ "จาก​ใจของ​เด็ก" กล่าวว่า อา​การซึม​เศร้าที่คน​ทำงานกลุ่มนี้ประสบ ​เนื่องจากพวก​เธอ​เห็น​ความ​เครียดที่​เกิดขึ้นกับ​ผู้ป่วย รวม​ถึง​การ​ไม่​ได้รับ​การตอบสนองที่ดี ​เช่น ​การขอบคุณ ​หรือ​ให้กำลัง​ใจ ​จึงมีส่วน​ทำ​ให้คนกลุ่มนี้ต้องตกอยู่ท่ามกลางภาวะซึม​เศร้า​ใน​การ​ทำงานนั่น​เอง

พนักงานส่งอาหารอาชีพนี้​ได้ถูกจัดอันดับ​ความสำคัญ​ให้อยู่ล่างสุด รองจาก​ผู้ที่​ทำหน้าที่​เสิร์ฟอาหาร​และ​แม่ครัวที่ต้องดู​แล​เรื่องอาหาร ตามบ้านพัก​ใน​แถบชนบท ​แม้ว่าพนักงาน​เหล่านี้ส่วนมากจะ​ได้รับค่า​แรงที่ค่อนข้างต่ำ ​แต่พวก​เขา​ก็สามารถ​เสี่ยงจากงานที่ต้องคอยฟังคำสั่งจาก​ผู้อื่นอยู่ตลอด​เวลา

อย่าง​ไร​ก็ตาม ​ในปีที่ผ่านมา​ผู้หญิงที่​ทำงานอาชีพนี้ร้อยละ 15% ประสบกับภาวะซึม​เศร้า ​ในขณะที่​ผู้หญิงทั่ว​ไปประสบกับภาวะซึม​เศร้า​เพียง 10%  ด้านนายลีกก์กล่าวว่า งานนี้​เป็นงานที่มัก​ไม่ค่อยมี​ใคร​เห็นคุณค่ามากนัก ​และคนจำนวนมากค่อนข้างต่อต้าน หากต้อง​ทำงานที่ออก​แรง​ในลักษณะนี้ ​และ​เมื่อคนกลุ่มนี้​เกิดภาวะซึม​เศร้า มัน​จึงยาก​ใน​การสร้างพลัง​หรือ​แรงจูง​ใจ ​เนื่องจากพวก​เขา​ไม่สามารถหลีก​เลี่ยงอาชีพนี้​ได้

นักสังคมสง​เคราะห์มันอาจ​ไม่น่า​แปลก​ใจที่จะหานักสังคมสง​เคราะห์ มาช่วยจัด​การกับ​เด็กที่ถูกทารุณกรรม ​หรือช่วยประสานงาน​ให้กับครอบครัวที่​เข้าข่ายภาวะวิกฤติกับปากท้อง ที่ต้อง​การร้อง​เรียนกับภาคราช​การผ่านป้ายผ้าสี​แดง พูดง่ายๆ ว่างานนี้​เป็นงานที่​ทำ​ให้​เกิด​ความ​เครียด​ได้ตลอด 24 ชั่ว​โมง ​และตลอด 1 อาทิตย์​ก็ว่า​ได้ ​แต่อาจจะมีคำพูดว่าคุณ​ได้งานที่ดี​ทำ ​แต่คุณต้อง​ทำงานหนัก​และต้อง​เป็น​ผู้​เสียสละ​ไปพร้อมๆ กัน ​เนื่องจากนักสังคมสง​เคราะห์ต้อง​ทำงานกับคนที่มี​ความยากจน ดังนั้น
มัน​จึง​เป็น​การยากที่จะ​ไม่​เสียสละ ​หรือทุ่ม​เท​ให้กับงาน

พนักงานดู​แลสุขภาพอาชีพนี้รวม​ถึง​แพทย์ นางพยาบาล นักกายภาพบำบัด​และอาชีพอื่นๆ ที่ต้อง​ให้​ความสน​ใจ​ผู้อื่น ​และจบลง​โดย​การ​ไม่​ได้​ให้​ความสน​ใจ​ใน​เรื่อง​เล็กๆ น้อยๆ กับตน​เอง คนดู​แลสุขภาพต้อง​ให้​เวลากับ​ผู้อื่นหลายชั่ว​โมง ​เรียก​ได้ว่ามากกว่าปกติ ​เพราะชีวิตของ​ผู้อื่นนั้นต้องอยู่​ใน​ความดู​แลของพนักงานดู​แลสุขภาพ​เหล่านี้ อย่าง​ไร​ก็ตาม​ความ​เครียดที่​เกิดจาก​การ​ทำงานด้านนี้ สามารถ​ทำ​เป็น​แผนภูมิ​ให้​เห็นภาพ​ได้ ​เพราะทุกวันพวก​เขาจะ​เห็น​ความ​เจ็บป่วย อา​การบาด​เจ็บ ​ความตาย ​และ​การซื้อขายกับสมาชิก​ในครอบครัวของ​ผู้ป่วย นายวิลลาร์ด กล่าวว่า คุณสามารถหยิบ​เฉดสี​ใด​เฉดสีหนึ่งออกมาดู ​ในขณะที่​โลกกำลังตกอยู่​ใน​ความ​โศก​เศร้า

ศิลปิน, ​ผู้สร้าง​ความบัน​เทิง, นัก​เขียนอาชีพ​เหล่านี้สามารถนำมา​ซึ่ง​ความผิดปกติของค่าจ้าง ​และมีชั่ว​โมง​การ​ทำงานที่​ไม่​แน่นอน รวม​ถึงภาวะ​การ​แตก​แยก ​เพราะคนที่มี​ความคิดสร้างสรรค์ จะมีอัตรา​ความผิดปกติทางอารมณ์สูง ​และ​ในปีที่ผ่านมานั้นมีรายงานว่า ​ผู้ที่ประกอบอาชีพ​เหล่านี้ป่วย​เป็น​โรคซึม​เศร้า​ถึง 9% สำหรับ​ผู้ชายภาวะซึม​เศร้านั้นน่าจะมาจาก​การที่ต้อง​ทำงาน​เต็ม​เวลา ​ซึ่งจะส่งผล​ให้​ผู้ชายประสบภาวะซึม​เศร้าประมาณ 7%

นายลีกก์กล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่ฉัน​เห็นมาก​ในวง​การบัน​เทิง​และศิลปินที่​เป็น​โรค​ไบ​โพลาร์ (​โรคที่​ผู้ป่วยมี​ความผิดปกติ​ในลักษณะที่มีอารมณ์ดี ​หรือหงุดหงิดมากกว่าปกติสลับกันภาย​ใน 1 สัปดาห์) อาจจะมี​ความผิดปกติของอารมณ์ ​หรือพูดง่ายๆ ว่า​ผู้ที่​ทำงาน​เกี่ยวกับศิลปะต้อง​ได้รับ​การรักษา อย่าง​ไร​ก็ตามภาวะซึม​เศร้า​ไม่​ได้ก่อ​ให้​เกิด​ความผิดปกติ สำหรับ​ผู้ที่จะต้อง​ทำงาน​หรือ​เริ่ม​เข้าสู่งานด้านศิลปะ ​เพราะหลังจากนั้นจะพบว่า งานด้านศิลปะช่วย​ทำ​ให้ชีวิตมี​แต่​ความสนุก.

ไทย​โพสต์ 26 ธันวาคม 2554

8274
นายวิทยา บุรณ ศิริ รัฐมนตรีว่า​การกระทรวงสาธารณสุข กล่าว​ถึงกรณีที่ทางองค์​การ​เภสัชกรรม (อภ.) มี​แผน​เตรียม​เสนอก่อสร้าง​โรงงานผลิตน้ำ​เกลือว่า ​เนื่องจากปัญหาอุทกภัยที่​เกิดขึ้น ​ซึ่งส่งผลกระทบต่อ​โรงงานผลิตน้ำ​เกลือ​และน้ำยาล้าง​ไตสำหรับ​ผู้ป่วย จน​ทำ​ให้​เกิดภาวะขาด​แคลน ทาง อภ.​ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านยา​และ​เวชภัณฑ์ที่จำ​เป็น​ในประ​เทศ ​จึงจำ​เป็นต้องมี​แผนรองรับ​ใน​เรื่องนี้​ไว้หาก​เกิดภัยพิบัติขึ้นอีก ​แผนคือก่อสร้าง​โรงงานผลิตน้ำ ​เกลือ ​ซึ่งจะตั้งอยู่นอกพื้นที่ จ.พระ นครศรีอยุธยา ​และขณะนี้อยู่ระ หว่าง​การ​ทำ​แผน​เพื่อ​เสนอของบประมาณจากรัฐบาล

ด้าน นพ.วิชัย ​โชควิวัฒน ประธานบอร์ด อภ.กล่าวว่า ทาง อภ.​ได้จัด​ทำ​แผน​เพื่อ​เสนองบประมาณต่อรัฐบาล​แล้ว ​เบื้องต้นงบประมาณคาดว่าอยู่ที่พันล้านบาท ​โดย​แบบ​แปลน​โรงงานยังต้อง​ทำ​การยกพื้นสูง​เพื่อป้องกันน้ำท่วม​ไว้ก่อนด้วย หากรัฐบาลอนุมัติ​ก็สามารถก่อสร้าง​ได้​เลย ​เนื่องจาก​ใช้​เทค​โน​โลยีที่​ไม่ซับซ้อน ถ้าสามารถสั่ง​เครื่องจักร​เข้ามา​ก็ผลิต​ได้ทันที

"ช่วงน้ำท่วม น้ำ​เกลือ​และน้ำยาล้าง​ไตขาด​แคลนมาก ​เราต้องนำ​เข้าจากต่างประ​เทศ ​แต่​การนำ​เข้า​ก็ค่อนข้างจำกัด ​เพราะ​เขาต้องผลิต​เพื่อป้อน​ให้ รพ.​ในประ​เทศ​เขาก่อน" นพ.วิชัยระบุ

ขณะที่ นพ.วิทิต อรรถ​เวชกุล ผอ.อภ.กล่าวว่า ล่าสุดทราบว่า​โรงงานผลิตน้ำ​เกลือที่ถูกน้ำท่วม​ได้รับ​ความ​เสียหายอย่างมาก ​โดย​เฉพาะ​เครื่องจักร​ซึ่งขณะนี้กำลังนำ​เข้า​ใหม่ ​แต่ที่​เสียหายมากที่สุดคือ ห้องปลอด​เชื้อที่ถูกน้ำท่วม ​ทำ​ให้มี​เชื้อราขึ้น คงต้อง​ใช้ระยะ​เวลานานพอสมควร​ใน​การฟื้นฟู.

ไทย​โพสต์  26 ธันวาคม 2554

8275
นโยบายรื้อฟื้นเก็บเงิน 30 บาทรักษาทุกโรคของ รมว.สธ.ใหม่ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 4 เดือนยังไม่ชัดเจน แต่เผือกร้อนสุดที่โดนโยนลง สปสช.หนีไม่พ้นการเข้ามาตรวจสอบของ สตง. ที่สั่นสะเทือนเก้าอี้เลขาฯ และช่างสอดรับกับการเปลี่ยนขั้วอำนาจใหม่ในองค์กรหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
 
คลุมเครือตั้งแต่หัวยันหาง สำหรับนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคที่พรรคเพื่อไทยพยายามปลุกให้กลับมาเป็นหนึ่งในนโยบายหลักของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั่นเพราะจนถึงนาทีนี้ยังไม่มีความชัดเจนใดๆ ทั้งหลักเกณฑ์ วิธีการดำเนินการ รวมถึงอัตราการร่วมจ่ายของประชาชน
 
 ย้อนกลับไปช่วงพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง จนปรากฏชื่อนายวิทยา บุรณศิริ สส.อยุธยา ขึ้นมากุมบังเหียนกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) สังคมรับรู้ว่ารัฐบาลจะรื้อฟื้น 30 บาท กลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง
 
“หลังแถลงนโยบายต่อรัฐสภา 24 ส.ค.54 จะมีความชัดเจนเรื่องนำนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคกลับมาใช้ใหม่โดยเน้นคุณภาพ ซึ่งเปิดให้ประชาชนร่วมจ่ายบางส่วน เช่น ผู้ได้รับการรักษาด้วยวิธีนอกชุดสิทธิประโยชน์ของการรักษาฟรี ต้องร่วมจ่าย” นายวิทยากล่าวเรื่องนี้หลังรับตำแหน่งรัฐมนตรี
 
หมายความว่าประชาชนยังคงได้รับการรักษาฟรี แต่ก็มีบางกรณีที่อาจต้องร่วมจ่ายบ้าง
 
ด้านนายต่อพงษ์ ไชยสาส์น รมช.สาธารณสุข กล่าวเมื่อรับตำแหน่งใหม่ๆ เช่นเดียวกันว่าแม้ศักยภาพรัฐบาลจะสามารถให้บริการรักษาพยาบาลฟรีแก่ประชาชน แต่จุดยืนการนำ 30 บาทกลับมาอีกครั้ง เพราะต้องการสอนให้พลเมืองตระหนักถึงการมีส่วนร่วมโดยการร่วมจ่าย ร่วมทำ ร่วมดูแลรักษา
 
ขณะที่ นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ก็เด้งรับลูกทันทีว่า สปสช.พร้อมดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล หากชัดเจนแล้วว่าจะให้ประชาชนร่วมจ่ายก็สามารถจัดเก็บได้ทันทีโดยไม่ต้องออก แบบระบบใหม่
 
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาเงื่อนไขเวลา ระยะเวลากว่า 4 เดือนที่ 2 รัฐมนตรีเข้ารับตำแหน่งน่าจะเพียงพอต่อการสร้างความชัดเจน ทว่าปัจจุบันประชาชนกลับไม่รู้รายละเอียดอะไรเพิ่มเติม
 
แม้นายวิทยาประกาศกร้าวว่าสามารถเริ่มเก็บเงินได้ พ.ย.54 แต่ด้วยเงื่อนไขต่างๆ อาทิ บอร์ด สปสช.หมดวาระจำเป็นต้องสรรหาใหม่ เมื่อสรรหาได้ครบก็พบปัญหาขาดคุณสมบัติบางราย ท้ายที่สุดเพิ่งลงตัวเมื่อปลาย พ.ย.-ต้น ธ.ค.54 รวมถึงสถานการณ์วิกฤตอุทกภัยที่หยุดชะงักทุกนโยบายรัฐบาล

ล่าสุดกลาง ธ.ค.54 นพ.วินัย ให้ความคืบหน้าโครงการเพียงสั้นๆ ว่าบอร์ด สปสช.ยังไม่ได้หารือเรื่องนี้ เพราะเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ นายวิทยาจึงยังไม่ได้ชงเรื่องเข้าพิจารณา ต้องรอต่อไป
 
“การเก็บ 30 บาทจะไม่เก็บคนยากไร้ คาดว่าจะมีประชาชนครึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิคือประมาณ 24 ล้านคนที่จะต้องร่วมจ่าย โดยอาจนำหลักเกณฑ์ที่เคยใช้ก่อนประกาศยกเลิกนโยบาย 30 บาทในรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ กลับมาใช้ใหม่”นพ.วินัย ระบุ
 
ด้านนายวิทยา ให้ความเชื่อมั่นว่าหากสถานการณ์น้ำท่วมกลับเข้าสู่สภาวะปกติก็จะเริ่มดำเนินการได้ทันที โดยก่อนที่จะเก็บเงินจะต้องรายงานรายละเอียดให้นายกรัฐมนตรี รับทราบก่อน
 
“ยืนยันว่าเมื่อเก็บเงินคุณภาพการให้บริการต้องเพิ่มขึ้น เช่น มีการเสริมบริการรักษาใกล้บ้านให้มากขึ้นโดยเฉพาะในชุมชนที่มีประชาชนอยู่มาก ขณะเดียวกันต้องนำประสบการณ์การให้บริการในอดีตหรือช่วงเกิดอุทกภัยมาดูจุดบกพร่อง เพื่อปรับปรุงให้บริการให้ดียิ่งขึ้น”เจ้ากระทรวงหมออธิบาย
 
คำถามคือนอกจากฝ่ายการเมืองที่เห็นดีเห็นงามแล้ว องคาพยพอื่นๆ สนับสนุนแนวทางดังกล่าวด้วยหรือไม่ คำถามต่อมาคือเก็บ 30 บาทแล้วคุณภาพบริการจะยกระดับจริงหรือ
 
น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค คัดค้านแนวคิดการเก็บเงิน 30 บาทว่าเป็นการเดินถอยหลัง เพราะได้เดินหน้าสวัสดิการรักษาฟรีให้ประชาชนแล้ว ที่สำคัญเงินที่ได้จากการเก็บก็ไม่มาก จึงไม่ใช่ประเด็นหลักต่อการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพ แต่เป็นการเบียดเบียนประชาชน
 
นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการ สปสช. ให้ข้อมูลที่สอดคล้องว่าแต่ละปีมีผู้ป่วยนอกใช้บริการสถานพยาบาล 150 ล้านครั้ง ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป เด็กเล็กและผู้ยากไร้ ซึ่ง สปสช.จะให้บริการฟรี ดังนั้นเหลือเพียง 40% ที่ต้องร่วมจ่าย จึงไม่ใช่เงินมากต่อระบบและไม่มีนัยสำคัญอะไร
 
และสอดคล้องกับ นพ.วิชัย โชควิวัฒน ชมรมแพทย์ชนบท ที่มองว่าข้อถกเถียงเรื่องจะเก็บเงินหรือไม่นั้นไม่ใช่ประเด็นหลัก หัวใจสำคัญคือรัฐบาลควรสร้างระบบบริการให้เป็นมาตรฐานเดียวมากกว่า อย่างไรก็ตามถึงขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลวิชาการใดๆเป็นดัชนีชี้วัดว่าการเก็บเงิน 30 บาทจะส่งผลให้ปริมาณการใช้บริการทางการแพทย์ลดน้อยลง หรือทำให้บริการทางการแพทย์ดีขึ้น

สำหรับข้อดี-ข้อเสียของการเก็บ 30 บาท นพ.พงศธร พอกเพิ่มดี นักวิชาการเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข อธิบายว่า การร่วมจ่ายหรือการเก็บค่าธรรมเนียมเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่ใช้ในการออก แบบระบบหลักประกันสุขภาพให้มีประสิทธิภาพ และการพัฒนาคุณภาพบริการ
 
วัตถุประสงค์สำคัญของการร่วมจ่ายหรือเก็บค่าธรรมเนียม 30 บาทนั้นอยู่ที่การให้ประชาชนมีส่วนร่วมและเห็นคุณค่าบริการที่ตนเองได้รับ รองลงมาคือป้องกันการใช้บริการที่เกินจำเป็น ส่วนวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งรายได้นั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ ซึ่งจะเห็นได้ว่าการจัดเก็บ 30 บาทกับประชาชนที่มาใช้บริการนั้น สามารถเก็บได้เพียง 2,000 ล้านบาท ส่วนงบประมาณที่ใช้ต่อปีกว่า 1.5 แสนล้านบาท
 
และการเก็บค่าธรรมเนียมก็มีข้อพึงระวัง เช่น จะกระทบต่อผู้มีรายได้น้อย ไม่สามารถเข้าบริการที่จำเป็นได้ นอกจากนั้นยังมีต้นทุนในการจัดเก็บ อาจไม่คุ้มที่จะต้องเสียคนและเสียตรงนี้
 
นพ.พงศธร กล่าวอีกว่าการเก็บ 30 บาทหรือไม่ เงื่อนไขการตัดสินใจเป็นการเมืองล้วนๆ ไม่เกี่ยวข้องกับวิชาการใดๆเลย อย่างไรก็ตามหากต้องการให้เกิดประโยชน์  อาจจะหันไปเก็บเฉพาะค่ายา เพื่อจูงใจให้เกิดการประหยัดงบประมาณ และการใช้ยาโดยไม่จำเป็น เช่น ประเทศ อังกฤษ แคนาดา
 
นอกเหนือจากความไม่ชัดเจนนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคแล้ว สปสช.กำลังถูกจับจ้องจากสังคม เนื่องจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) พบความผิดปกติในการบริหารกองทุน 7 ประเด็น
 
“การตรวจสอบของ สตง.เป็นการสุ่มตรวจไปพบ สปสช.จ่ายเงินเดือนมาก เบี้ยประชุมแพงจึงตรวจสอบตามหน้าที่เหมือนทุกหน่วยงานที่เข้าไปตรวจสอบ ไม่ได้พุ่งเป้าหน่วยงานใด” คือ คำยืนยันนายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน รักษาราชการแทนผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน
 
สำหรับข้อพิรุธที่ สตง.พบ ได้แก่

1.การใช้จ่ายงบบริหารไม่ถูกต้องและไม่ประหยัด

2.การบริหารพัสดุไม่เป็นตามหลักเกณฑ์

3.การนำเงินสนับสนุนกิจกรรมภาครัฐจากการซื้อยาองค์การเภสัชกรรม โดยใช้งบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติไปใช้เป็นเงินสวัสดิการนั้นไม่เหมาะสม

4.การจัดส่วนงานและการกำหนดตำแหน่งงานไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545
 
5.ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรไม่เป็นตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด และการบรรจุแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ไม่เป็นไปตามคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่ง

6.การใช้จ่ายงบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดใน พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพฯ และ

7.การบริหารงบกองทุนฯ รายการงบบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคไม่เป็นไปตามที่คู่มือกำหนด

ด้วยเหตุนี้ทำให้ผู้บริหารระดับสูง สปสช.จำเป็นต้องตั้งโต๊ะแถลงข่าว โดยประเด็นหลักที่ใช้หักล้างคือ สปสช.เป็นองค์กรมหาชนตั้งตามรัฐธรรมนูญจึงมีกฎระเบียบเฉพาะของตัวเอง แตกต่างกับองค์กรอื่นๆ ดังนั้นเมื่อ สตง.ใช้เกณฑ์ตรวจสอบเดียวกับองค์กรอื่นๆ จึงทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อน
 
แม้ว่า นพ.วินัย จะระบุว่า สตง.ทำตามหน้าที่ซึ่งเชื่อว่าไม่ได้พุ่งเป้าเขย่า สปสช. แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าองค์กรที่ถูกตรวจสอบและเก้าอี้เลขาฯสปสช.ได้ถูกสั่น สะเทือนจากแรงกระเพื่อมดังกล่าวแล้ว นั่นแม้ สตง.ยืนยันไม่ได้เจาะจงตรวจสอบ สปสช. แต่ผลการตรวจสอบก็ยังไม่สิ้นสุด
 
หากเชื่อมโยงปรากฏการณ์เปิดข้อพิรุธทั้ง 7 ของ สตง.เข้ากับความเคลื่อนไหวอื่นๆใน สปสช. ตั้งแต่ที่นายวิทยา เข้ารับตำแหน่ง รมว.สธ. จะพบว่าเป็นไปอย่างมีขั้นตอนและสอดรับอย่างถูกเหลี่ยม
 
นายวิทยา เข้ารับตำแหน่งช่วงที่บอร์ด สปสช.กำลังหมดวาระและอยู่ในขั้นตอนสรรหาใหม่ โดยบอร์ดมี 30 คน ประกอบด้วยผู้แทนภาคประชาชน 5 คน ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุข 5 คน หน่วยงานราชการ 8 คน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 4 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน และ รมว.สธ. 1 คน
 
ที่ผ่านมา เสียงส่วนใหญ่ในบอร์ด สปสช.ถูกกุมโดยภาคประชาชนและผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นเครือข่ายชมรมแพทย์ชนบท และยังสามารถผนึกกับรัฐมนตรีได้ซึ่งทำให้ย่อมได้เสียงจากข้าราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย แต่พลันที่นายวิทยาเข้ารับตำแหน่ง กลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพ-เครือข่ายโรงพยาบาลเอกชน-แพทยสภา สามารถแทรกตัวเข้ามา
 
    หมายความว่าขั้วอำนาจในสปสช.ถูกพลิกไปแล้ว!!!
 
สะท้อนจากปรากฏการณ์เลือกผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งตามหลักการเมื่อได้บอร์ดครบ 23 คนแล้วจะให้ทั้ง 23 คนโหวตเลือกผู้ทรงคุณวุฒิอีก 7 คน ซึ่งเดิมผู้ทรงคุณวุฒิจะเป็นเครือข่ายแพทย์ชนบททั้งหมด แต่ปัจจุบันทั้ง 7 คนไม่มีเครือข่ายแพทย์ชนบทซึ่งเป็นพันธมิตรกับกลุ่มภาคประชาชนหลงเหลืออยู่
 
นำไปสู่ความอ่อนไหวของเก้าอี้เลขาธิการ สปสช. เนื่องด้วย นพ.วินัยมีสัมพันธ์อันดีกับเครือข่ายชมรมแพทย์ชนบท และกำลังจะหมดวาระ มี.ค.2555 สำทับความไม่มั่นคงอีกด้วยกระแสข่าวที่ระบุว่าฝ่ายการเมืองไม่พอใจตัว นพ.วินัย และกำลังหาช่องที่จะเปลี่ยนตัว
 
น่าคิดว่าผลการตรวจสอบของ สตง.ที่ย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2546 และออกมาในช่วงก่อนจะมีการสรรหาเลขาธิการ สปสช.คนใหม่ในอีก 3 เดือนข้างหน้า มีนัยสำคัญทางการเมืองหรือไม่
 
เพราะแน่นอนว่า สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคือสังคมกำลังคลางแคลงใจในความโปร่งใสของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และความชอบธรรมของหัวขบวนอย่างเลขาธิการ สปสช.

โดย ศูนย์่ข่าวเพื่อชุมชน สำนักข่าวอิศรา
23 ธันวาคม 2011

8276


วันที่  ๒๓ ธ.ค. ๕๔ ไทยทีอาร์แอลได้เข้าสัมภาษณ์ อ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา เรื่อง สตง. กับ สปสช.  จึงได้รับบทความเด่นสุดๆ เรื่อง NGO กับการคอรัปชั่น... 

วัตถุประสงค์สำคัญของการเขียนบทความนี้ ก็เพื่อกระตุ้นให้ประชาชน สนใจกับการตรวจสอบสปสช.และองค์กรอิสระที่ตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ที่เกิดขึ้นมากมายในระยะประมาาณ ๑๐ ปีนี้ ทั้งนี้เพื่อให้ยุติปัญหาการคอรัปชั่นเงินภาษีประชาชนไปเป็นประโยชน์ส่วนตน    ปัจจุบันนี้ มีการกล่าวถึงปัญหาการคอรัปชั่นว่าเป็นปัญหาใหญ่ ที่ทำให้เกิดอุปสรรคขัดขวางความเจริญของประเทศชาติไทยอันเป็นที่รักและที่อยู่อาศัยของเราชาวไทย จนถึงกับมีการตั้งสมาคม ชมรม หรือองค์กรเพื่อต่อต้านการคอรัปชั่น เกิดขึ้นมากมาย  ส่วนมากก็มักจะกล่าวถึงการคอรัปชั่นที่เกิดขึ้นจากนักการเมือง ข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐ หรือองค์กรส่วนท้องถิ่น (ต่อไปจะเรียกบุคลากรจากทุกองค์กรเหล่านี้รวมๆกันว่า เจ้าพนักงานของรัฐ )ซึ่งเป็นฝ่ายที่ได้ผลประโยชน์อันมิบังควรจะได้จากการมีตำแหน่งหน้าที่การงานของตน ทั้งๆที่ควรจะเป็นฝ่ายที่รักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ ทำให้ประชาชนที่ต้องรับผลการกระทำของฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐนี้เสียผลประโยชน์

  ยังมีอีกฝ่ายหนึ่งคือฝ่ายประชาชนที่มิใช่เจ้าหน้าที่รัฐ แต่ได้รับผลประโยชน์จากพฤติกรรมคอรัปชั่นจาการร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐ  ในพฤติการณ์ที่เรียกว่า “ฉ้อราษฎร์บังหลวง” ตัวอย่างเช่น การจ่ายเงิน “ใต้โต๊ะ” เพื่อให้ตนเองและพวกพ้องได้รับผลประโยชน์จากงบประมาณภาษีของประชาชน และพฤติกรรมอื่นๆอีกมากมาย ที่ประชาชนไทยก็รู้กันดีแล้วว่า มีพฤติกรรมที่เจ้าหน้าที่รัฐและเอกชนต่างร่วมกันแสวงหาประโยชน์อันมิชอบจากงบประมาณแผ่นดิน

 ทั้งนี้องค์กรที่ตรวจสอบและลงโทษพฤติกรรมการคอรัปชั่นเช่น คตส. ปปช. สตง. ก็คงทำงานในการปราบปรามพฤติกรรมการคอรัปชั่น กันอยู่ตามหน้าที่ แต่ก็คงจะตามไม่ทันในการที่จะปราบปรามการคอรัปชั่นให้หมดไป

  แต่ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่มีอำนาจรัฐในตอนต้น แต่พยายามที่จะหาทางในการที่จะได้ครอบครองอำนาจรัฐ ในการผลักดันให้ฝ่ายรัฐไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายนิติบัญญัติตรากฎหมายต่างๆ โดยที่อ้างว่าเป็นการตรากฎหมายเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนทุกคน แต่จะเขียนไว้ในกฎหมายให้มีการ ตั้งองค์กรใหม่ให้เป็นอิสระจากการบังคับบัญชาของฝ่ายการเมืองหรือฝ่ายราชการ และมีการ“ตั้งกองทุน” ซึ่งจะได้เงินมาจากงบประมาณแผ่นดิน หรือเรียกเก็บเงินจากองค์กรต่างๆ เพื่อจะได้มีเงินในการดำเนินงาน

ที่สำคัญ หน่วยงานหรือองค์กรใหม่เหล่านี้ ต่างก็มีบทบัญญัติไว้ในกฎหมายพิเศษเฉพาะนี้ว่า องค์กรจะบริหารในรูปแบบของคณะกรรมการ โดยอาศัยการโหวตหรือลงคะแนนการทำงานตามความเห็นของคณะกรรมการ โดยกำหนดให้ประธานกรรมการเป็นผู้บริหารในฝ่ายรัฐเช่น นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง แต่ประธานกรรมการนี้ ไม่มีอำนาจการบังคับบัญชาสำนักงาน มีหน้าที่ เพียงการ “กำกับดูแล”สำนักงานเท่านั้น คือมีสิทธิ์ออกเสียงได้เพียง “หนึ่งเสียง” เท่ากับกรรมการคนอื่นๆ

  แต่คนพวกที่เขียนกฎหมายและผลักดันให้กฎหมายออกมามีผลบังคับใช้นี้จะเขียนรายนามคณะกรรมการหรือกรรมการสรรหาคณะกรรมการขององค์กรใหม่นี้ไว้เรียบร้อยแล้ว โดยการ“ล็อกสเเปค” ตัวบุคคลที่จะมาเป็นกรรมการชุดแรกตามบทเฉพาะกาล หรือกรรมการสรรหากรรมการในองค์กรเกิดใหม่ไว้เรียบร้อยแล้ว โดยอ้างว่าเพื่อต้องการเข้ามาทำงานต่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กรตามภารกิจที่เขียนไว้ แต่ความจริงก็คือเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองและพวกพ้องมา “กุมอำนาจ” การบริหารองค์กร การบริหารเงิน ในรูปแบบของคณะกรรมการ แล้วสามารถออกกฎระเบียบต่างๆในการใช้เงินกองทุนตามความคิดของกลุ่มตน เนื่องจากเป็นผู้เลือกและแต่งตั้งกรรมการได้เองตามที่ล็อกสเปคไว้แล้ว

 การกระทำเหล่านี้จึงถือเป็นการคอรัปชั่นรูปแบบใหม่ ที่ทำให้คณะกรรมการหรือผู้บริหารองค์กรนั้น มีช่องทางในการคอรัปชั่นหรือแสวงหาผลประโยชน์จากเงินภาษีของประชาชน มาเป็นผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องโดยมิชอบ โดยที่ประธานกรรมการที่มีหน้าที่กำกับดูแลไม่สามารถรู้เท่าทันหรือ “ตามไม่ทัน” ขบวนการฉ้อฉลหรือคอรัปชั่นเหล่านี้ ทำให้บุคคลเหล่านี้ มี “เงินจากกองทุน” ไปดำเนินการต่างๆได้ตามอำเภอใจ เป็นเวลานานหลายปี โดยที่องค์กรภาครัฐที่มีหน้าที่ตรวจสอบการใช้งบประมาณแผ่นดิน ก็ไม่สามารถ “จับได้ไล่ทัน” พฤติกรรมการฉ้อราษฎร์บังหลวงขององค์กรเหล่านี้มานานนับสิบปี แต่คนเหล่านี้ก็ยังมีความสามารถที่จะผลักดันกฎหมายใหม่ๆออกมา ตามรูปแบบ (pattern) เดิมๆ อีกต่อไป

  เมื่อผู้อ่านได้อ่านมาถึงบรรทัดนี้ อาจจะเกิดความสงสัยว่า ผู้เขียนกำลังพูดถึงใคร และองค์กรใดจึงมีความสามารถดำเนินการในแบบที่ผู้เขียนกล่าวมา

ผู้เขียนกำลังจะบอกอยู่เดี๋ยวนี้ว่า ผู้เขียนพูดถึงบุคคลกลุ่มหนึ่งที่ผลักดันให้เกิดพ.ร.บ.ต่างๆเหล่านี้ได้แก่ พ.ร.บ.สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขพ.ศ. ๒๕๓๕ (สวรส.) พ.ร.บ.กองทุนการสร้างเสริมสุขภสพ พ.ศ. ๒๕๔๔ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติพ.ศ. ๒๕๔๕(สปสช.) พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐ (สช.) พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.๒๕๕๑ และกำลังผลักดันพ.ร.บ.องค์กรอิสระคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. .... และพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขพ..ศ. ....

บุคคลกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า “กลุ่มสามพราน” ผู้อ้างตัวเองว่า “ ร่วมกันทำงานเพื่อพัฒนาระบบสุขภาพไทย “มาอย่างยาวนาน โดยบุคคลเหล่านี้ มาจากกลุ่มแพทย์ผู้เคยไปทำงานในโรงพยาบาลอำเภอรุ่นแรกๆ โดยยึดเอาอาจารย์ประเวศ วะสีเป็นผู้นำกลุ่ม เริ่มจากการก่อตั้งชมรมแพทย์ชนบท เพื่อดำเนินการในการที่จะ ”ปฏิรูประบบสาธารณสุข”ตามแนวคิดของกลุ่มพวกตน โดยมีนพ.ประเวศ วะสีเป็นหัวหน้ากลุ่ม โดยการตั้งทฤษฎีสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา กล่าวคือ 
๑. ต้องมี “หัวข้อเรื่อง”โดยอ้างงานวิจัย (เพื่อให้ดูมีหลักฐานน่าเชื่อถือ) ก่อน(ว่าต้องการทำอะไร)
๒. แล้วก็ทำให้ “สังคมตื่นตัว” เรียกว่าให้สังคมรับรู้และเห็นด้วย (Social Movement) เมื่อสังคมเริ่มพูดกันเป็นข่าวใหญ่ ๓.แล้วก็เข้าหาผู้มีอำนาจบริหารบ้านเมืองในขณะนั้น เพื่อให้การผลักดันในการทำงานของตนเป็นไปตามเป้าหมาย

เริ่มจากการตั้งสำนักงานระบาดวิทยาแห่งชาติ ที่ได้เงินสนับสนุนจากมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ แล้วก่อตั้งมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ การตั้งมูลนิธิก็เพื่อระดมทุนมาทำงานตามแนวคิดของตน ขอสรุปย่อๆก็คือ เริ่มจากการจัดตั้งสำนักงานวิจัยระบบสาธารณสุขจากพ.ร.บ.สวรส.ในสมัยนายอานันท์ ปันยารชุนเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วออกผลงานวิจัยที่คนไทยคงจะเคยได้ยินมาแล้วว่า คนไทย “โง่ จน เจ็บ”

ถ้าจะแก้ความโง่ ก็ต้องตั้ง สสส. เพื่อให้ความรู้

 และพยายามจะให้ประชาชนหายเจ็บโดยคิดว่าผู้บริหารต้องดำเนินนโยบายด้านสาธารณสุขที่ถูกต้อง เพื่อช่วยให้ประชาชนหายเจ็บ  จึงพยายามจะออกพ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ เพื่อรับทำนโยบายสาธารณสุขให้ประชาชนมีสุขภาพดี แต่ไม่สำเร็จ จนนพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ได้ไปพบพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้หฺช็นด้วยกับหลักการประกันสุขภาพแก่ประชาชน จึงได้ออกพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติสำเร็จ มีนพ.สงวนฯ มาเป็นเลขาธิการสองสมัย แต่ถึงแก่กรรมก่อนหมดวาระที่สอง

 การตั้งสปสช.ช่วยให้ประชาชนหายเจ็บและหายจนจากการไม่ต้องจ่ายค่ารักษาตัวเมื่อเจ็บป่วย สปสช.จึงแก้ได้ทั้งเจ็บและจน

  ต่อมาในยุคคมช.คนกลุ่มนี้ก็เข้าหาคณะปฏิวัติ ผลักดันให้เกิดพ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติพ.ศ. ๒๕๕๔ โดยนพ.อำพล จินดาวัฒนะเลขานุการนพ.มงคล ณ สงขลารมว.สธ.ในขณะนั้น เป็นผู้ผลักดันจนผ่านสนช.โดยที่ไม่ครบองค์ประชุม แต่ก็ออกมาเป็นกฎหมายจนได้ และนพ.อำพลฯ ก็มาเป็นเลขาธิการคนแรกของ

สช. โดย สช.จะจัดทำสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ จัดทำนโยบายเกี่ยวกับสุขภาพ แล้วเอามา “บังคับ”ให้รัฐบาลกำหนดเป็นนโยบายของการบริหาร โดยอ้างการบัญญัติในพ.ร.บ.สช.มาอ้าง

นอกจากนี้ องค์กรเหล่านี้ ยังได้ขยายตัวตั้งองค์กรลูกที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย เพื่อขยายเครือข่ายการทำงานของตน โดยยึดหลักการเหมือนเดิม คือ เขียนพ.ร.บ. ตั้งกองทุน ตั้งกรรมการกองทุน ออกระเบียบการใช้เงินเอง ระเบียบนี้มักจะ เอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองและพวกพ้อง โดยการเบียดบังงบประมาณของกองทุนที่มาจากเงินภาษีของประชาชน แล้วกรรมการที่มาจากตำแหน่งไม่สามารถโหวตชนะกรรมการที่เป็นพรรคพวกตนและเอ็นจีโอสาธารณสุข ที่มาเป็นกรรมการจากการคัดเลือกกรรมการที่ไม่โปร่งใส ทำให้องค์กรเหล่านี้ ทำผิดระเบียบสำนักนายกฯ ระเบียบสตง. มติคณะรัฐมนตรี   และทำผิดพระราชบัญญัติเฉพาะขององค์กรของตนเอง  โดยที่สตง.ก็เพิ่งจะชี้ประเด็นความผิดของสปสช.,เมื่อเร็วๆนี้

  และนายวิทยา บูรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งตั้งกรรมการสอบสวนความผิดสปสช.ที่สตง.ชี้ประเด็นมา ยังไม่ทราบว่า จะสามารถกระชากหน้าการการบริหารที่ผิดกฎหมายของสปสช.ได้หรือไม่

  พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้จัดการ(ผ่านพรรคการเมืองและรัฐบาล)ให้เกิดพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ แต่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติทุกคณะ มิได้ดูแลกำกับให้เลขาธิการสปสช.บริหารการเงินกองทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน แต่ได้ทำการบริหารที่น่าสงสัยว่า ได้ฉ้อราษฎร์บังหลวง โดยการเบียดบังเงินบริหาร เงินกองทุน ไปใช้อย่างผิดวัตถุประสงค์ เอื้อประโยชน์ให้พรรคพวกของเลขาธิการสปสช. จนทำให้เงินกองทุนเหลือไม่พอให้บริการที่ดีแก่ประชาชน

แทนที่คนเหล่านี้จะสำนึกผิด กลับยกย่องเชิดชูว่านพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ เป็น “บิดาแห่งหลักประกันสุขภาพไทย” มิได้ให้เครดิตความดีความชอบนี้แก่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ที่ได้ให้การสนับสนุนผ่านสภาให้เกิดระบบหลักประกันสุขภาพแก่ประชาชนไทยแต่อย่างใด ถึงแม้ประชาชนจะชื่นชอบนโยบายนี้ แต่การทุจริตทำให้ประชาชนและระบบโรงพยาบาลเสียหายอย่างชัดเจน

 ที่ผู้เขียนได้เขียนมาทั้งหมดนี้ มิได้เป็นการกล่าวหาโดยไม่มีหลักฐานรองรับแต่อย่างใดทั้งสิ้น ผู้อ่านสามารถไปหาข้อมูลเหล่านี้ได้จากหนังสือ “แสงดาวแห่งศรัทธา” หนังสือที่พิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงศพของนพ.สงวน นิตยารัมภง์พงศ์ เลขาธิการสปสช.คนแรก ท่านจะเห็นความเกี่ยวโยงต่างๆโดยละเอียด จากกลุ่มบุคคลที่เขียนชื่นชมนพ.สงวนฯ ทุกคน เริ่มจากหัวหน้าใหญ่คือประเวศ วะสี วิชัย โชควิวัฒน์ อำพลจินดาวัฒนะ ฯลฯ บุคคลเหล่านี้คือผู้ที่อยู่ในขบวนการสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา ซึ่งอาจจะมีหลักการที่”อ้างประโยชน์”ต่อประชาชน แต่เมื่อมีอำนาจ มีเงินมากมายมาบริหาร ก็จะหลงใหลมัวเมาในการถือเงินและถืออำนาจ จนลืมตัว ทำการฉ้อราษฎร์บังหลวง กอบโกยผลประโยชน์จากกองทุนมาเพื่อประโยชน์ตนดังที่สตง.ได้ชี้ประเด็นความผิดมาแล้ว

  ผู้เขียนขอเรียกร้องให้สตง. ปปช.และคณะกรรมการที่นายวิทยา บุรณศิริตั้งขึ้น ได้พิจารณาสอบสวนให้ได้ความจริงอย่างตรงไปตรงมา สุจริต โปร่งใส เพื่อนำเอาคนทุจริตมาลงโทษ และยุติการ “คอรัปชั่น” โดยกลุ่มคนเหล่านี้ให้ได้

และขอให้ประชาชนทั่วไป ได้สนใจป้องกันและช่วยกันยุติการคอรัปชั่นโดยองค์กรอิสระเหล่านี้อย่างใกล้ชิดด้วย

 และถ้าสอบสวนต่อไปถึงพ.ร.บ.ที่กำลังพิจารณาอยู่ในวุฒิสภาในเวลานี้ คือพ.ร.บ.องค์กรอิสระคุ้มครองผู้บริโภค ก็จะเห็นว่าเลียนแบพ.ร.บ.สปสช.อย่างชัดเจน และจะสามารถเกิดการทำผิดระเบียบการเงิน และอาจเกิดการคอรัปชั่นได้ง่าย ถ้าไม่มีระบบการตรวจสอบที่ดี

เขียนโดย วิบูลาลา   
thaitrl.org   23 ธ.ค. 2011

8277
กล่าวสำหรับปี 2554 ที่กำลังจะผ่านพ้นไปคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่านับเป็นห้วงปีแห่งความโศกเศร้าของประเทศไทยและประชาชนคนไทยเกือบทั้งประเทศที่ต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ "ภัยพิบัติน้ำท่วม" ซึ่งได้สร้างความเสียหายอย่างมหาศาล ทั้งความสูญเสียทางเศรษฐกิจ ทั้งความสูญเสียด้านชีวิต ตลอดรวมถึงสภาพจิตใจอย่างเหลือคณานับชนิดที่ไม่อาจประเมินค่าได้เลยทีเดียว
       
       ด้วยเหตุนี้ ภัยพิบัติจึงเป็นสิ่งน่าหวาดกลัวของคนไทยทั้งประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และคนไทยคงจะอยากทราบถึงอนาคต ดวงชะตาของประเทศไทยเรื่องเกี่ยวกับภัยพิบัติที่กำลังมาถึงในปี 2555 ว่าจะมีความน่ากลัวมากหรือน้อยกว่าปี 2554 เพียงใด
       
       เริ่มจากอาจารย์อรรถวิโรจน์ ศรีตุลา โหรดังของเมืองไทย บอกว่า เรื่องภัยพิบัติน้ำท่วมโคจรอยู่กับดวงประเทศไทยมา 4 ปีแล้ว คือดาวมฤตยูอยู่ราศีมีนซึ่งเป็นธาตุน้ำ และจะยังมีภัยพิบัติที่เกี่ยวกับน้ำไปอีก 2-3 ปี ไปสิ้นสุดในปี 2558 เหตุที่น้ำท่วมเยอะปีที่ผ่านมาเพราะว่าดาวราหูมาอยู่ธาตุน้ำ คือราศีพิจิก จึงทำให้น้ำเกิดพลังแรงมาก
       
       เมื่อถามว่าช่วงเดือนไหนของปี 2555 น่ากลัวเป็นพิเศษ อ.อรรถวิโรจน์บอกว่าเป็นช่วงเดือนมีนาคมเพราะเป็นราศีธาตุน้ำ และอาทิตย์ไปเข้ากับราศีธาตุน้ำเลยอาจให้เกิดภัยพิบัติขึ้นอีกได้ ที่จะแรงขึ้นเพราะว่าอาทิตย์ได้ทำมุมไปเล็งราศีมีนธาตุน้ำ น้ำก็จะหมดไปเมื่ออาทิตย์เริ่มเข้าราศีธาตุไฟ คือช่วงหลังกลางเดือนพฤศจิกายน และจะไปเจอใหม่ในช่วงวันที่ 12 มีนาคม 2555 เป็นต้นไป แต่เรื่องภัยพิบัติน้ำต้องเฝ้าระวังไปอีก 3 ปี ช่วงที่แรงที่สุดก็จะเป็นช่วงเดือนมีนาคม พฤษภาคม และกรกฎาคม ซึ่งจะมีเหตุให้คนเสียชีวิตเยอะจากโรคภัย ภัยพิบัติ ปัญหาทางชายแดน ปัญหายาเสพติด เพราะราหูยังโคจรอยู่ราศีนี้อยู่ แต่ประเทศไทยก็คงสามารถเอาตัวรอดไปได้
       
       "ถึงแม้จะเป็นช่วงฤดูร้อน แต่ปัจจัยอย่างสึนามิ หรือลมพายุก็อาจจะมีอยู่ หรืออาจเป็นสิ่งที่เราคาดไม่ถึงอย่างคนไปทำลายเขื่อน เขื่อนแตก ภัยพิบัติทางทะเล และควรระวังสิ่งที่เกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บ และจะไปหมดในช่วงวันที่ 13 เมษายนเป็นต้นไปและเดือนมีนาคม ที่ว่าอาจจะเชื่อมโยงไปทั่วโลกก็ได้ไม่ได้จำเพาะแค่ในประเทศไทย ซึ่งถ้าจะกระทบถึงประเทศไทยก็ให้ระวังเรื่องสงครามทางน้ำ เช่น แล่นเรือไปอยู่ในน่านน้ำประเทศอื่น หรือเรือเดินสมุทรที่บรรทุกน้ำมัน เกิดพายุทางทะเล ก็เป็นสิ่งที่พึงควรระวัง"
       
       อย่างไรก็ตาม เมื่อถามว่า ปี 2555 จะมีเหตุการณ์เขื่อนยักษ์แตกหรือไม่ อ.อรรถวิโรจน์ กล่าวว่า แนวโน้มอาจจะมีการก่อวินาศกรรมหรือมาขู่ขวัญได้เช่นกัน เนื่องจากต่างชาติเห็นว่าเป็นจุดอ่อนของประเทศไทย ต่อไปจึงต้องระวังเรื่องเขื่อน และระวังทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้เกิดน้ำท่วม และต้องทำภายใน 3ปี เพราะดาวมฤตยูจะเคลื่อนไปสู่ราศีเมถุน คือธาตุไฟ ซึ่งจะทำให้เกิดสงครามวินาศกรรม มาทับซ้ำดวงประเทศด้วย
       
       "ดาวมฤตยูมาอยู่ราศีเมถุน จะอยู่นานเป็นเวลา 7 ปี ตั้งแต่ปลายปี 2558 ซึ่งมีเกณฑ์ว่าอาจจะเกิดสงคราม เกี่ยวกับไฟ อาทิน้ำมันระเบิด เกิดสงคราม ถ้าเกิดเหตุน้ำท่วมก็คงจะหนักเลย"
       
       "มีข้อเสนอแนะคนทั้งประเทศ ช่วงที่ดาวมฤตยูมาอยู่ราศีเมถุน 7 ปี ก็เป็นที่น่ากลัวว่าอาจจะเกิดสิ่งใดขึ้นกับดวงเมือง ในสมัยโบราณก็จะมีการหาฤกษ์สร้างดวงเมืองใหม่เพื่อให้พ้นจากราศีเมถุนไป ซึ่งที่ผมลองคำนวณดูจะเป็นวันที่ 1เดือนกุมภาพันธ์ ปี2556 ถ้าเปลี่ยนดวงเมืองใหม่จะทำให้ประเทศไทยเจริญรุ่งเรืองมาก ไม่มีภัยพิบัติเกิดขึ้น ถ้าจะเกิดขึ้นก็คงอีกนานมาก โดยสมัยก่อนในสมัยรัชกาลที่ 1 ก็มีพิธีใหญ่ แต่ที่ผมพูดถึงคือแค่ย้ายดวงเมืองก็ด้วยการ ยกเสาหลักเมืองขึ้น เสียบเข้าไปใหม่ หรือไปเอาเสาใหม่มาทำ แต่ก็ต้องเป็นพิธีที่ถูกต้องตามหลัก ประเด็นคือย้ายดวงเมืองไปอยู่ราศีมังกร เพราะกว่าดาวมฤตยูจะมาถึงราศีมังกรก็เป็นอีกเป็นร้อยปี "
       
       เมื่อถามถึงภัยพิบัติในแต่ละภาคของประเทศไทยจะเป็นอย่างไรนั้น อ.อรรถวิโรจน์ ได้เปิดไพ่ยิปซีราหูและพยากรณ์ว่า สำหรับกรุงเทพมหานคร จะไม่เกิดน้ำท่วม ส่วนภาคใต้ ก็จะรอดจากภัยพิบัติน้ำท่วม ส่วนทางภาคอีสานก็จะรอด ส่วนทางภาคกลางก็จะรอดเช่นกัน
       
       "ที่ต้องระวังเป็นที่สุด คือภาคเหนือ เพราะอย่างที่เห็นไพ่เปิดมาเป็น Death สัญลักษณ์ของความตาย ฉะนั้นคนที่ไปเที่ยวทางภาคเหนือจึงต้องระวังไว้เป็นพิเศษ เพราะอาจเกิดเขื่อนถล่ม แผ่นดินถล่ม พายุถล่ม มีน้ำไหลหลาก ไม่ใช่หมายถึงทางเหนือสุดอย่างจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แต่จะลากลงมาถึงจังหวัดพิษณุโลก พิจิตรก็มีความเป็นไปได้ ก็คือยังเป็นพื้นที่เหนือตอนล่าง ซึ่งพื้นที่ทางภาคเหนือก็มีสิทธิ์เกิดขึ้นได้เพราะมีภูมิศาสตร์เป็นภูเขา มีเขื่อนใหญ่ มีพื้นที่เป็นแอ่งน้ำ มีแผ่นดินไหว เป็นไปได้ทั้งนั้น"อรรถวิโรจน์ กล่าวทิ้งท้าย
       
       ขณะที่ โสรัจจะ นวลอยู่ เจ้าของฉายานอสตราดามุสเมืองไทย ได้พยากรณ์ว่าปี 2555จะเป็นปีที่เมืองไทยเข้าสู่วิกฤตหนักหลายเรื่อง เนื่องการเดินทางของดวงบาปเคราะห์ ที่ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรง เริ่มตั้งแต่ภัยพิบัติทางธรรมชาติจะมีขึ้นตั้งแต่ปี 2555 โดยเกิดพายุโซนร้อน ขึ้นที่จังหวัดทางภาคเหนือและอีสาน
       
       โหรโสรัจจะบอกว่าประเทศไทยในปี 2555 มีสิ่งที่น่าจะเพ่งเล็ง คือเดือน มกราคม, กุมภาพันธ์, มีนาคม เริ่มเกิดความวิบัติทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยพายุโซนร้อนหลายระลอก เป็นสิ่งวิปริตอาเพศเพราะช่วงเวลาดังกล่าวไม่เคยเกิดขึ้นเลย น้ำท่วมจังหวัดในภาคเหนืออย่างรุนแรงเป็นแรมเดือน แล้วก็ลามลงมาภาคกลางไปจนทั่วประเทศ และรวมทั้งภาคใต้ด้วย สูญเสียผู้คนจำนวนมากและเสียหายเงินเหลือคณานับ ไร่นา ปศุสัตว์ล่ม กรุงเทพฯ ก็จมอยู่ในน้ำโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวฝั่งธนบุรี และเหตุการณ์เช่นเดิมนี้ก็เกิดขึ้นอีกครั้งในเดือน มิถุนายน, กรกฎาคม, สิงหาคม, กันยายน, ตุลาคม, พฤศจิกายน และธันวาคม ประชาชนชาวไทยที่ยากจนจำต้องเผชิญกับความทุกข์ยากที่หนักและรุนแรงกว่าปีก่อน ๆ เสียหายยับเยินไปทั่วทุกจังหวัด และทั่วทั้งประเทศเฉลี่ยไปโดยทั่วถึงกัน เป็นทุพภิกขภัยโดยแท้
       
       อย่างไรก็ตามเมื่อถามว่า ประเทศไทยในปี 2555 จะเกิดเหตุการณ์ถึงขั้นเขื่อนใหญ่แตกหรือไม่นั้น โสรัจจะ บอกว่า ปัญหาอุทกภัยอาจถึงขั้นเกิด “เขื่อนใหญ่แตก” 2 เขื่อน โดยเป็นคลื่นยักษ์ถล่มสู่เบื้องล่าง ร่วมไร่นา ที่อยู่อาศัย สิ่งก่อสร้าง พื้นที่หลายตำบล และหลายจังหวัด ต้องเสียหายต่อเนื่องมาจนถึงกรุงเทพฯ มีคนล้มตายหลายหมื่นคน เกิดพื้นดินถล่ม และทรุดตัวไปทั่ว อาจต้องสูญเสียแผ่นดินแถบชายฝั่งทะเลอันดามัน ตั้งแต่จังหวัดระนองลงมา จมสู่ใต้ทะเล
       
       "ส่วนชายฝั่งทะเลภาคใต้ ตั้งแต่ภูเก็ต กระบี่ พังงา รวมถึงฝั่งอ่าวไทย จะถูกคลื่นยักษ์สึนามิซัดถล่มครั้งใหญ่กว่าปี 2547 กวาดผู้คนทั้งไทยและต่างชาติ จะเกิดน้ำทะเลท่วมขังตามจังหวัดชายฝั่งจนไหลเข้าสู่ภาคกลาง กรุงเทพฯ จะกลายเป็นทะเล ไม่สามารถดำเนินชีวิตปกติได้ อาจต้องย้ายเมืองหลวงขึ้นไปทางเหนือจนถึงชายแดน นอกจากนี้ อาจเกิดแผ่นดินไหวในกรุงเทพฯ ตึกสูงให้ระวังเพราะเกิดพังทลายได้ ผู้คนจะเกิดความสูญเสียอย่างมาก เกิดแผ่นดินทรุด ในปี พ.ศ.2555 นี้ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เป็นอาเพศมากที่สุดในประเทศไทยก็คือ จะเกิดหิมะตกในภาคเหนือ และในกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นลางร้ายของประเทศ เพราะความหนาวเย็นจะนำเอาโรคร้ายมายังคนและสัตว์ ทำให้เกิดการล้มตายจำนวนมาก และแพทย์หมดปัญญารักษา"
       
       " ที่ต้องระวังเป็นพิเศษคือเดือน มิถุนายนกรุงเทพฯ เกิดภาวะแผ่นดินทรุดตัว เกิดพายุ ภาคเหนือ น้ำไหลบ่าจากภาคเหนือ ภาคอีสาน ดินฟ้าอากาศแปรปรวน แผ่นดินไหวในภาคเหนือรุนแรง เศรษฐกิจตกต่ำ หุ้นตก เกิดพายุรุนแรง ภาคใต้ ชายฝั่งทะเลตะวันออก และเกิดพายุใหญ่ที่ภาคกลาง และเดือนกันยายนจะ เกิดพายุไต้ฝุ่น น้ำท่วม ตราด จันทบุรี แพร่ กาญจนบุรี น้ำท่วมจังหวัดภาคตะวันตกอย่างหนัก เชียงรายน้ำท่วมสูง ภาคเหนือเจอไต้ฝุ่น น้ำท่วมกรุงเทพฯ บ้านเมืองเกิดการปฏิรูป มีแผ่นดินไหว เกิดอุบัติเหตุทางทะเล และเครื่องบิน สหรัฐฯ เกิดแผ่นดินไหว ไข้หวัดนกกลับมาระบาด เกิดข่าวการแพร่ระบาดของไวรัสอันตราย ระวังแหล่งท่องเที่ยวนครนายกเกิดน้ำป่าไหลทะลักเข้าท่วม พายุโซนร้อนเกิดขึ้นที่ใต้ ในเดือนพฤศจิกายน อากาศจะหนาวที่สุดในรอบร้อยปี น้ำจะท่วมกรุงเทพฯ อีกครั้ง และปัญหาภัยธรรมชาติจะลากยาวไปจนถึงสิ้นปี"
       
       อย่างไรก็ตาม ถึงแม้คำทำนายของของหมอดูชื่อดังอาจจะดูรุนแรง แต่ทั้ง อ.อรรถวิโรจน์ และอ.โสรัจจะ ก็ได้ย้ำเตือนให้คนไทยตั้งอยู่ในความประมาท โอกาสจะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ได้ หากเตรียมตัวบริหารจัดการให้ดี ปัญหาต่างๆ ก็จะสามารถลุล่วงไปได้ด้วยดี

ASTVผู้จัดการรายวัน    24 ธันวาคม 2554

8278
 ช่วงนี้ TPBS เอาละครเก่าของญี่ปุ่นอย่าง หมอจิน หมอทะลุศตวรรษภาค 1 กลับมาฉายใหม่อีกรอบให้คนที่พลาดชมเมื่อครั้งแรกได้ดูกัน
       
        สำหรับคอละครทุกๆ ชนิด หมอจินเป็นหนึ่งในเรื่องสุดโปรดที่ขอเชียร์ให้ไปดูกัน เรื่องราวของหมอแผนปัจจุบันจากยุค 2000 ที่เกิดเจออุบัติเหตุในชีวิตจนทำให้ต้องพลัดหลงเข้าไปอยู่ในยุคเอโดะ หมอจินก็เลยต้องอาศัยวิชาแพทย์จากตะวันตกที่ตัวเองร่ำเรียนมาเอามาใช้รักษาคนในอดีต ซึ่งเครื่องไม้เครื่องมือไปจนกระทั่งยาแก้อักเสบหรือยาฆ่าเชื้อก็ไม่มี คนดูก็ลุ้นกันอย่างยิงเลยว่าหมอจินจะประยุกต์ใช้อะไรมาช่วยรักษาคนกันนะครับ
       
        ในญี่ปุ่นนั้นหมอจินจบภาคสองไปแล้วด้วยความเกรียงไกร ทั้งจากตัวเลขของผู้ชมที่มากมาย เฉลี่ยแล้วได้เรตติ้งตั้ง 20.6 แถมค้ารางวัลละครยอดเยี่ยมประจำซีซั่นไปอีก ตามรอยภาคแรกที่กวาดรางวัลกระจุยกระจาย ซึ่งก็ควรจะเป็นเช่นนั้น เพราะ เรื่องราวยังสนุกเร้าใจและแสดงให้เห็นปัญหาในสังคมอย่างมากมายเหมือนเดิม
       
        แต่ผมจะพูดถึงเฉพาะภาคแรกที่ทาง TPBS เขาเอามารีรันนะครับ เนื่องจากว่ามันมีประเด็นที่น่าสนใจอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่ว่า หมอจินแกได้เอาความรู้ของคนยุค 2000 ไปสร้างและสกัดเอาเพนนิซิลินซึ่งเป็นยาฆ่าเชื้อที่ปฏิวัติวงการแพทย์นี้ขึ้นมาได้เพื่อใช้งานในการรักษาโรคของคนในยุคโน้นกับการผ่าตัดของแก ซึ่งหมอจินแกทำได้ถึงกับผ่ามะเร็งและผ่าสมองกันเลย และนั่นเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้แกต้องขัดแย้งกับบรรดาแพทย์แผนโบราณของญี่ปุ่นที่ยังมีอยู่มากและทรงอิทธิพลในสมัยเอโดะ
       
        ใครดูเรื่องนี้ก็จะอินอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นที่บอกว่า หมอจินแกผลิตยาเพนนิซิลินขึ้นมาคนแรก… ประเด็นนี้เด็กๆก็อย่าจำไปตอบข้อสอบคุณครูกันละครับ เพราะจริงๆไม่ได้เกี่ยวกันแม้แต่นิดเดียว
       
        อย่างที่ว่านะครับ หมอจินเป็นนักเรียนแพทย์และเรื่องที่เขาเรียนเกี่ยวกับเพนนิซิลินนั้นแกก็ไม่ได้คิดเอง แต่คนที่คิดทำยาเพนนิซิลินขึ้นมาก็คืออดีตหมอทหารที่ชื่อว่า “ เอล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่ง” ต่างหาก
       
        เฟลมมิ่งเป็นคนสก็อตแลนด์ เกิดเมื่อปี 1881 เขาจบการศึกษาทางแพทย์จากมหาวิทยาลัยเซนท์แมรี่ ในสาขาแบคทีเรียวิทยา กิ่นจะต้องไปรับใช้ชาติในกองทัพเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เหตุที่ได้เห็นทหารติดเชื้อกันอย่างมากมายจากบาดแผลหนักและบาดแผลเบาจนเป็นเหตุของการเสียชีวิตกันอย่างมากมาย เขาจึงมุ่งมั่นที่จะเชื้อแบคทีเรียเหล่านี้ให้ได้
       
        จริงๆ สมัยก่อนหน้านั้นการฆ่าเชื้อด้วยการต้มหรือใช้ความร้อนก็สามารถทำได้ แต่ส่วนใหญ่ที่ตายคือเชื้อจุลินทรีย์ จนกระทั่งเฟลมมิ่งพบว่าไอ้ตัวแสบที่เป็นศัตรูอันยิ่งใหญ่ของเขาคือเชื้อสเต็ปฟิลโลคอคคัส เชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อในเลือดและคงจัดการไม่ได้ด้วยการด้วยน้ำเดือดแล้วราดมันลงไป เพราะแบบนั้นมีหวังคนตายแน่ๆเพราะแผลน้ำเดือดลวก เฟลมมิ่งได้แยกเชื้อร้ายตัวนี้ออกมาแล้วทำการทดลองหาวิธีฆ่ามันโดยวิธีต่างๆ
       
        วิธีคิดของเฟลมมิ่งนั้นจะว่าเจ๋งก็ได้ เพราะ แกมั่นใจแต่ต้นว่าน่าจะเป็นของที่อยู่ในร่างกายเราที่จะกำหราบเชื้อได้ แกไล่มาตั้งแต่เอาน้ำมูกนี่แหล่ะครับมาทดลองว่าจะฆ่าเชื้อได้ไหม…ซึ่งก็ได้แต่เป็นเชื้อจิ๊บๆ แหล่งน้ำที่เอามาใช้อีกก็คือ น้ำตา ซึ่งไม่เคยแก้ปัญหาอะไรได้ เฟลมมิ่งก็นำมาใช้จนกระทั่งพบว่าน้ำตาสามารถฆ่าเชื้อได้มากกว่าน้ำมูกเสียอีก แต่ปัญหาของน้ำตาก็คือ ไม่มีใครที่จะผลิตให้บ่อยๆเหมือนการเป็นเมีย เสก โลโซ หมอเฟลมมิ่งก็เลยต้องหาอย่างอื่นๆ แทน ซึ่งก็ไปได้ไข่ขาวแต่กระบวนการแยกเอนไซม์ที่จัดการกับแบคทีเรียในไข่ขาวก็เป็นเรื่องยากลำบาก เฟลมมิ่งพยายามวิ่งหาทุนแต่ดูเหมือนนายทุนจะไม่มีใครสนใจเลย
       
        ตรงนี้ก็เหมือนกับหมอจินนะครับว่า การจะผลิตยาขึ้นมานั้นมันต้องใช้ทุนสูงและนายทุนก็ไม่เก็ตเลยว่าจะทำเงินได้อย่างไรถ้าลงทุนในเรื่องนี้ หมอจินเราโน้มน้าวใจนายทุนด้วยการให้ความมั่นใจว่า ยานี้จะรักษาอาการติดเชื้อกามโรคได้ในบรรดากลาสีฝรั่งที่มาอยู่ในเอโดะ และบรรดาเกอิชาและนักเที่ยวทั้งหลาย ซึ่งมักจะติดเชื้อจนเดินไข่บวมจู๋เน่าเป็นประจำ ซึ่งน่าจะทำกำไรกระฉูดแน่ๆ หมอจินก็เลยได้เงินมาทำทุน (แต่นายทุนบางคนก็ไม่ได้เห็นแก่กำไรอย่างเดียวนะครับ)
       
        เฟลมมิ่งนั้นแย่กว่า เพราะ ใช้เวลาตั้ง 5 ปีหลังจากเอาไข่ขาวมาทดลองแต่ก็ไม่มีใครสนใจ จนกระทั่งพระเจ้ามีดำริว่าควรอย่างยิ่งที่จะให้คนตายลดน้อยลง ที่บอกว่าเป็นเจตนารมย์ของฟ้า ก็เพราะ ระหว่างการทดลองคราวหนึ่ง ผู้ช่วยของเฟลมมิ่งเกิดลืมเอาตัวอย่างที่ทดลองนั้นวางไว้ข้างหน้าต่าง ปรากฏว่ามันเกิดการติดเชื้อขึ้นในจานทดลองโดยเชื้อที่ลงมาติดกลับกลายเป็นเชื้อราขนมปังที่ลอยมาเองกับลมในอากาศครับ
       
        ตอนแรกเฟลมมิ่งก็โกรธลูกน้องว่าทำไมสะเพร่าจนทำให้การทดลองเสียหาย แต่เมื่อแกเอากล้องมาส่องดูก็พบว่าไอ้เจ้าราสีเทาปนเขียวที่เห็นอยู่บนขนมปังที่วางทิ้งไว้นอกตู้เย็นหลายวันนั้นมันสามารถกินเชื้อสเตปฟิลโลคอคคัสตัวร้ายได้เฉยเลย เฟลมมิ่งทำการทดลองเอาเชื้อร้ายๆมาใส่อีก 6 ตัวปรากฏว่าเชื้อราดังกล่าวกินแบคทีเรียที่จับใส่ลงไปได้ตั้ง 4 ตัว
       
        เชื้อราดังกล่าวอยู่ในกลุ่มเชื้อราที่เรียกว่า เพนนิซิเลี่ยม แต่กระนั้นเชื้อราดังกล่าวก็ยังไม่สามารถเอามาใช้กับคนได้ แต่ในสัตว์นั้นใช้ได้ผลครับ แต่ใครจะกล้าให้คนไข้กินราดิบๆ เพราะกว่าจะฆ่าเชื้อกามโรคที่ไข่ได้สำเร็จ คนไข้อาจจะปวดท้องหรือท้องเสียตายเพราะความร้ายของเชื้อราที่ว่าไปก่อน
       
        จนกระทั่งเฟลมมิ่งได้รับความร่วมมือจาก โฮเวิร์ด ฟลอเรย์ นักทดลองชาวออสเตรเลีย และ เอิร์น บอร์ริส เชน นักวิทยาศาสตร์เยอรมันเชื้อสายยิว ในการสกัดและสร้างโครงสร้างใหม่ของเพนนิซิลินจนบริสุทธิ์และสามารถเอามาใช้กับคนได้สำเร็จ ซึ่งทั้งสามคนนี้ก็ได้รางวัลโนเบลสาขาวิทยาศาสตร์ ในปีค.ศ. 1945 กันทั้งหมด ในฐานะที่ค้นพบและผลิตยาแก้อักเสบที่มีประสิทธิภาพและทำให้คนทั่วโลกรอดจากการติดเชื้อมากมาย อัตราการเสียชีวิตจากโรคเหล่านี้ก็ลดน้อยลงอย่างมาก
       
        พูดง่ายเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์อีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของโลก
       
        เพนนิซิลินนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิดในการจัดการกับเชื้อแบคทีเรียต่างๆ หลังจากที่มีการผลิตเพนนิซิลินจากเชื้อราเป็นเบื้องต้น วิวัฒนาการทางยาก็ตามมาอีกมากมายจนสามารถเข้าใจวิธีการดำรงอยู่ของเชื้อแบคทีเรียเหล่านั้นและสามารถผลิตยาเพนนิซิลินได้อีกหลายแบบในเวลาต่อมา ไม่จำเพาะว่าจะสกัดจากเชื้อราอย่างเดียวครับ มีทั้งยาที่สกัดจากธรรมชาติไปจนกระทั่งสังเคราะห์ขึ้นมาใหม่ หรือสร้างยาตระกูลอื่นมาจัดการกับเชื้อแกรมบวก แกรมลบได้กว้างขวางและหลากเชื้อมากยิ่งขึ้น เพราะในความเป็นจริงเชื้อแบคทีเรียร้ายต่างๆก็ล้วนแล้วแต่พัฒนาตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ให้เกิดการดื้อยาและมีเชื้อใหม่ๆมากขึ้นๆ แต่ยาตระกูลเดียวกับซิลินเหล่านี้ก็ยังเป็นพื้นฐานในการรักษาอยู่ดี
       
        เพราะฉะนั้นใครที่ป่วยด้วยอาการติดเชื้อและอักเสบต่างๆ และหมอจ่ายยาในตระกูล “ ซิลิน” ทั้งหลาย ก็ควรจะนึกถึงคนสามคนที่ได้รางวัลร่วมกันด้วยนะครับ
       
        ส่วนหมอจินจะทำอะไรในญี่ปุ่นบ้างนั้นก็ลืมๆ ไปเสียบ้างก็ได้ อิอิอิ


ต่อพงษ์
ASTVผู้จัดการออนไลน์    25 ธันวาคม 2554

8279
กมธ.สธ.หวั่นโรคหลังน้ำท่วม จี้ทำลายขยะเร็วที่สุด ไม่ให้เป็นแหล่งรังโรค ห่วงสารปนเปื้อนจากน้ำปะปนในสิ่งแวดล้อม เข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร วอนรัฐบาลสร้างระบบเฝ้าระวังครบวงจร
       
       รศ.พญ.พรพันธุ์ บุณยรัตพันธุ์ ประธานคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาปัญหาสุขภาพของคนไทยและปัจจัยที่เกี่ยวข้อง วุฒิสภา กล่าวว่า คณะอนุกรรมาธิการฯ ได้เชิญผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดการปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ หลังเหตุการณ์อุทกภัย เช่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร เพื่อหารือถึงแนวทางในการดูแลสุขภาพคนไทยในระหว่างนี้ ซึ่งที่ประชุมมีความเป็นห่วงในหลายประเด็นด้วยกัน เพราะนอกจากน้ำท่วมจะสร้างความเสียหายให้บ้านเรือนแล้ว สิ่งที่มากับน้ำยังมีการปนเปื้อนทั้งสารเคมี เชื้อแบคทีเรีย ซึ่งระยะเวลาที่น้ำท่วมเป็นเวลานาน ทำให้สารปนเปื้อนที่อยู่ในน้ำมีโอกาสตกตะกอนและตกค้างอยู่ในสิ่งแวดล้อมเป็นเวลายาวนาน โดยเฉพาะพื้นที่การเกษตร เสี่ยงที่จะเกิดการปนเปื้อนในผลผลิตทางการเกษตร และเข้าสู่วงจรห่วงโซ่อาหารของมนุษย์ในที่สุด นอกจากนี้ สิ่งแวดล้อมที่เกิดความเปลี่ยนแปลงยังทำให้มีโอกาสเกิดเชื้อใหม่ๆ เกิดการกลายพันธุ์ของเชื้อเดิม ที่อาจเป็นอันตรายขึ้นอีกด้วย
       
       รศ.พญ.พรพันธุ์กล่าวว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ สิ่งที่ต้องทำเป็นลำดับแรกอย่างรวดเร็ว คือ การกำจัดขยะที่ยังตกค้างในสิ่งแวดล้อมให้หมดไปอย่างรวดเร็วที่สุด ซึ่งเฉพาะในพื้นที่กทม.พบว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมทำให้ปริมาณขยะเพิ่มอีก 7 เท่า โดยกทม.ยืนยันว่าจะยังสามารถจัดการได้ ส่วนในพื้นที่จังหวัดอื่นๆ พบว่าการจัดการขยะถือเป็นปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน เพราะขยะเป็นตัวการที่ทำให้เกิดเชื้อโรคต่างๆขึ้นได้ ทั้งนี้ จำเป็นต้องมีการสร้างเฝ้าระวังทั้งระบบ ทั้งตรวจวัดค่าความปนเปื้อนในดิน น้ำ อาหาร พืช ผัก ในสัตว์ และคน เพื่อหาทางป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดจากสารตกค้างได้ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างเป็นระบบ รวมถึงเพิ่มเรื่องที่ต้องเฝ้าระวังให้มากกว่าสถานการณ์ปกติ
       
       “จะมีการนำเสนอข้อคิดเห็นและประเด็นที่ต้องเร่งดำเนินการผ่านที่ประชุมวุฒิสภาเพื่อให้รัฐบาลตระหนักถึงการแก้ปัญหาหลังน้ำลด กำหนดบทบาทให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรีบทำงานอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ทั้งหน่วยงานส่วนกลางและท้องถิ่นร่วมกันทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการเฝ้าระวังจำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยเฉพาะสิ่งปนเปื้อนที่อยู่ในระบบเกษตรกรรม จะอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานและมีความเสี่ยงที่จะปนเปื้อนไปใน ผลผลิต สัตว์เลี้ยง และกลับมาสู่คนในที่สุด”รศ.พรพันธุ์กล่าว
       
       รศ.พญ.พรพันธุ์กล่าวต่อว่า สำหรับคำแนะนำให้ประชาชนหลังน้ำลด ขณะนี้ได้ประสานให้กรมมลพิษ เร่งให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชน เพื่อไม่ให้ได้รับอันตรายเพิ่ม เช่น การทำความสะอาดบ้าน หากมีการใช้สารเคมีอย่างไม่ถูกต้อง หรือ ใช้สารเคมีมากเกินไป หรือทำลายเชื้อราไม่ได้ก็อาจเกิดโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดโรคขึ้นได้ โดยเฉพาะเชื้อรา ซึ่งจะทำให้เกิดอาการแพ้ทั้งผิวหนัง และระบบทางเดินหายใจ สำหรับการเฝ้าระวังโรคติดต่อ ขณะนี้กำลังเข้าสู่ฤดูหนาว ซึ่งอุณหภูมิที่ต่ำลงทำให้เชื้อโรคขยายตัวได้ดีขึ้น จำเป็นต้องมีมาตรการเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะโรคจากสัตว์สู่คน เช่น หวัดนก ที่มักพบในช่วงฤดูนี้ แม้ว่าประเทศไทยจะไม่พบหวัดนกติดต่อกันเป็นเวลานานแต่ก็ยังจำเป็นต้องเฝ้าระวัง

ASTVผู้จัดการออนไลน์    25 ธันวาคม 2554

8280
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข สั่งโรงพยาบาลทุกแห่ง เตรียมความพร้อมบริการแพทย์ฉุกเฉิน ช่วงเทศกาลปีใหม่ จัดทีมกู้ชีพกว่า 10,000 ทีมรับมือ เน้นให้ปฏิบัติงาน 3 เร็ว 2 ดี ฟรีทั่วไทย เพื่อลดยอดเจ็บ-ตายของประชาชน...

เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการ เตรียมความพร้อมด้านการแพทย์ฉุกเฉินรับเทศกาลปีใหม่ของกระทรวงสาธารณสุขว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2554–4 มกราคม 2555 นี้ ประชาชนมีการเดินทางกลับบ้านต่างจังหวัด มีการเฉลิมฉลอง ซึ่งอาจจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ กระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมความพร้อมระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินรับมือ ให้ปฏิบัติงานโดยยึดนโยบาย 3 เร็ว 2 ดี พร้อมดูแล ช่วยเหลือประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อลดอันตรายของการบาดเจ็บ และการเสียชีวิตของประชาชน ในการร่วมฉลองเทศกาลปีใหม่อย่างมีความสุข

ทั้งนี้ นโยบาย 3 เร็ว 2 ดี ฟรีทั่วไทย ได้แก่

...เร็วที่ 1 คือ แจ้งเหตุเร็ว ซึ่งได้มีการขยายคู่สายหมายเลข 1669 รับแจ้งเหตุจากผู้ประสบเหตุเป็น 300 คู่สายทั่วประเทศ ตลอด 24 ชั่วโมง สามารถใช้โทรศัพท์โทรได้ทุกระบบ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

...เร็วที่ 2 คือชุดปฏิบัติการ สามารถเดินทางไปถึงที่เกิดเหตุได้รวดเร็ว ภายในเวลา 10 นาที ให้ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของการออกปฏิบัติการทั้งหมด ซึ่งปัจจุบันมีหน่วยปฏิบัติการแพทย์ฉุกเฉินทุกจังหวัด รวม 11,138 ชุด พร้อมรถพยาบาลที่มีเครื่องมือแพทย์ช่วยชีวิตครบครัน จำนวน 14,189 คัน ครอบคลุมถึงระดับตำบลมากกว่าร้อยละ 90 และ

...เร็วที่ 3 คือ นำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลเร็ว แพทย์สามารถให้การรักษาเร็ว ซึ่งโรงพยาบาลทุกแห่งจะมีแพทย์ พยาบาลที่เชี่ยวชาญ พร้อมให้การรักษาตลอด 24 ชั่วโมง

สำหรับ 2 ดี ได้แก่

1. คุณภาพการให้บริการ ทั้งในและนอกโรงพยาบาลในภาวะปกติดี และ
2. คุณภาพการให้บริการในภาวะที่เกิดภัยพิบัติและภาวะฉุกเฉินดี ซึ่งได้ให้ชุดปฏิบัติการทั่วประเทศแต่ละพื้นที่ซักซ้อมแนวทางการปฏิบัติการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บด้านการแพทย์ฉุกเฉินเป็นอย่างดีแล้ว นายวิทยา กล่าว

ไทยรัฐออนไลน์ 25 ธค 2554

หน้า: 1 ... 550 551 [552] 553 554 ... 653