ในมหาภัยพิบัติน้ำท่วมกรุง 2554 ผู้คนจำนวนมากดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารจากถุงยังชีพ หรืออาหารปรุงสำเร็จที่มักเน้นเรื่องการอิ่มท้อง และการเก็บรักษาให้ได้นานเป็นสำคัญ เนื่องจากไม่สามารถหุงหาอาหารได้ตามปกติ ซึ่งส่วนมากจะทำให้เกิดการขาดสารอาหารจำพวกวิตามินและเกลือแร่ต่างๆ ซึ่งมีรายงานการศึกษาวิจัยทางการแพทย์พบว่า การขาดวิตามินบี วิตามินซี แมกนีเซียม เหล็ก กรดอะมิโนทริปโทเฟน การบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลสูง เป็นสาเหตุที่สำคัญของพฤติกรรมก้าวร้าว อารมณ์แปรปรวน
คำตอบสำหรับโภชนาการที่ดีในภาวะภัยพิบัติเช่นนี้คือ กล้วย พืชสารพัดประโยชน์ที่หาได้ทั่วทุกพื้นที่ในประเทศไทย ซึ่งคนไทยเรารู้จักใช้ประโยชน์จากทุกส่วนของต้นกล้วย ทั้งลำต้น ใบ ปลีกล้วย มาตั้งแต่สมัยโบราณ ถึงช่วงฤดูน้ำหลากก็มีการใช้ต้นกล้วยทำแพลอยน้ำ มีการแปรรูปกล้วย และถนอมอาหารเพื่อให้เก็บได้นานไว้เป็นเสบียง เช่น กล้วยตาก กล้วยฉาบ กล้วยกวน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้คือภูมิปัญญา ที่มูลนิธิเจ้าพระยาอภัยภูเบศรหยิบยก เรื่องกล้วย กล้วย ขึ้นมาในช่วงนี้ โดยเฉพาะสรรพคุณที่ช่วยคลายเครียด ลดอาการซึมเศร้าได้ เหมาะสำหรับแนะนำผู้ประสบภัยหลังน้ำลด ที่ยังคงมีภาวะความเครียดจากวิกฤติอยู่
ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร จากมูลนิธิเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวว่า "ในกล้วยสุกมีกรดอะมิโนทริปโทเฟนในปริมาณสูงกว่าอาหารโปรตีนอื่นๆ กรดอะมิโนทริปโทเฟนในผลกล้วยถูกเปลี่ยนเป็น สารซีโรโทนิน ที่ช่วยให้เกิดอาการผ่อนคลาย ทำให้มีอารมณ์ผ่องใส มีความสุข และทำให้เกิดอาการง่วงนอน ดังนั้นการกินกล้วยน้ำว้าสุกเป็นของว่างหลังอาหารเย็น ก็อาจช่วยให้บางคนเอาชนะอาการนอนไม่หลับได้
นอกจากนี้ กล้วยยังมีสรรพคุณในการช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหาร ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร และอาการกรดสะสมในร่างกาย รักษาอาการท้องเสีย ท้องเดิน ด้วยการนำกล้วยดิบมาหั่นบางๆ ตากแดดให้แห้ง แล้วบดให้ละเอียดเป็นผงแป้ง ปั้นกับน้ำผึ้งเป็นลูกกลอน กิน 3 เม็ดก่อนอาหารและก่อนนอน หรือใช้กล้วยดิบทั้งเปลือก ฝานบางๆ ผึ่งลมให้แห้ง ใช้กินครั้งละครึ่งถึง 1 ผล เมื่อกินยานี้แล้วอาจมีอาการท้องครึ่งถึง 1 ผล เมื่อกินยานี้แล้วอาจมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ซึ่งแก้ได้โดยการดื่มน้ำขิงหรือรับประทานสมุนไพรขับลมอื่นๆ ควบคู่กัน การรับประทานกล้วยดิบหรือกล้วยห่าม สารในกล้วยที่ชื่อว่า แทนนิน จะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค ในขณะเดียวกันก็ช่วยป้องกันผนังลำไส้จากเชื้อโรค และป้องกันสารที่มีรสจัด เช่น พริก เข้าไปทำลายลำไส้ด้วย
ในสภาวะน้ำท่วมนี้ เราก็สามารถใช้กล้วยที่เป็นได้ทั้งยาและอาหารที่ดีและหาได้ง่าย สำหรับคนที่มีอาการท้องเสีย เพราะยังช่วยหล่อลื่นลำไส้ เพิ่มกากใยในการขับถ่ายอีกด้วย กล้วยยังมี ธาตุโปแตสเซียมสูง ซึ่งตามธรรมดาคนไข้เวลาท้องเสียหรือท้องร่วง มักสูญเสียธาตุโปแตส เซียม กล้วยจึงสามารถชดเชยธาตุโปแตสเซียมที่เสียไป ซึ่งถ้าร่างกายสูญเสียธาตุโปแตสเซียมไปมากๆ ขณะท้องร่วง จะทำให้การเต้นของหัวใจผิดปกติ หากเกิดในคนชราอาจทำให้เกิดอาการหัวใจวาย เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ซึ่งธาตุโปแตสเซียมนี้เอง ยังสามารถใช้เป็นอาหารสำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูงได้ดีอีกด้วย
สำหรับผู้มีอาการท้องผูก ควรรับประทานกล้วยสุกงอมประมาณ 1-6 ลูกต่อวัน ขึ้นอยู่กับอาการว่าท้องผูกมากหรือน้อย สารเพ็กตินที่มีมากในกล้วยสุกงอมจะช่วยเพิ่มกากอาหารในลำไส้ กากอาหารเมื่อมีมากขึ้น จะไปดันผนังลำไส้ เพื่อให้ผนังลำไส้บีบตัวไล่กากอาหารออกมา เราจะรู้สึกปวดถ่าย ผลสุกของกล้วยยังใช้รักษาสมดุลของระบบทางเดินอาหาร และเป็นยาระบายอย่างอ่อน ใช้รักษาอาการของลำไส้ใหญ่และโรคทางทวาร
นอกจากประโยชน์จากการรับประทานผลของกล้วยแล้ว ยางกล้วย ยังใช้ช่วยรักษาแผล ห้ามเลือด และฆ่าเชื้อ ทำให้ไม่เป็นแผลเป็น เปลือกด้านในของกล้วยน้ำว้าสุก ใช้ทา ถู บริเวณยุงกัด หรือมดกัด หรือเป็นผื่นคันเนื่องจากลมพิษได้ กาบกล้วย ใช้คั้นเอาน้ำรักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก หรือนำรากกล้วยมาฝานเป็นชิ้น โขลกให้ละเอียด แล้วนำมาพอก สามารถใช้รักษาผิวหนังที่แดงปวดเนื่องจากถูกแดดเผาได้อีกด้วย ปลีกล้วย ผู้หญิงคลอดลูกใหม่ สามารถนำปลีกล้วยมาต้มกินจะช่วยให้มีน้ำนม
หน้าหนาวนี้ ศูนย์การเรียนรู้การดูแลสุขภาพภาคประชาชนด้านการแพทย์แผนไทย อภัยภูเบศร ได้นำความรู้ด้านการแพทย์แผนไทย การสาธิตการใช้ "เปลือกกล้วย" ที่อุดมไปด้วยสารแทนนิน มีสรรพคุณช่วยสมานผิว นำมาทำเป็นน้ำมันบำรุงผิวให้สวย พร้อมเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ด้วยวิธีการง่ายๆ โดยการนำเปลือกกล้วยน้ำว้า 1 หวี มาปั่นหรือคั้นเอาแต่น้ำ มาเคี่ยวกับน้ำมันรำข้าวด้วยไฟหรือคั้นเอาแต่น้ำ มาเคี่ยวกับน้ำมันรำข้าวด้วยไฟปานกลาง จนน้ำมันไม่มีการกระเด็นแล้ว นำมาทาผิวบริเวณที่แห้งกร้าน หรือบริเวณที่ต้องการความชุ่มชื้น และสำหรับท่านที่ไม่มีเวลา สามารถนำเปลือกกล้วยมาขัดถูบริเวณที่แห้งกร้าน เช่น บริเวณส้นเท้า ข้อศอกได้ทันที นอกจากนี้ทางศูนย์การเรียนรู้ฯ ยังได้เตรียมน้ำสมุนไพรอุ่นๆ ต้อนรับลมหนาวให้ได้ชิมหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไปทุกสัปดาห์ อาทิ น้ำขิง-ใบกะเพรา ที่ช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกายและช่วยแก้ไอ น้ำขิง-กระเจี๊ยบ ที่ช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกายและช่วยบำรุงเลือด
ถ้าท่านใดสนใจเยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้การดูแลสุขภาพภาคประชาชนด้านการแพทย์แผนไทย อภัยภูเบศร ได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ หรือติดต่อสอบถามข้อมูลความรู้เรื่องสมุนไพร และการแพทย์แผนไทยได้ที่ มูลนิธิเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี หมายเลขโทรศัพท์ 0-3721-1289 ทุกวันเวลาราชการ.
ไทยโพสต์ 8 ธันวาคม 2554