แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Meem

หน้า: 1 ... 169 170 [171] 172
2551
สหพันธ์แพทย์ฯ แฉกลุ่มหมอเอ็นจีโอ หวังฮุบเงินกองทุนคุ้มครองฯ ร่วมหมื่นล้าน อัดถลุงเงินสสส.-สปสช.นับแสนล้านยังไม่หนำใจ จี้กมธ.ยุติธรรมสภาฯสอบ

รัฐสภา -พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา ประธานสหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขแห่งประเทศไทย ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อนายฐนโรจน์ โรจนกุลเสฏฐ์ ส.ส.ชลบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอให้ถอนร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ได้รับความเสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ.... ที่อยู่ในระเบียบวาระของสภาฯ เพื่อเปิดรับฟังความเห็นของประชาชนทั่วไปและจัดทำประชาพิจารณ์ และนำมาปรับปรุงแก้ไขให้เป็นที่ยอมรับของผู้ที่เกี่ยวข้องและได้รับผลกระทบ เสียก่อน

เนื่องจากเป็นร่างกฎหมายที่ส่งผลกระทบต่อระบบการแพทย์ การสาธารณสุข และระบบการเงินการคลังของประเทศ นอกจากนี้ยังมีหลายมาตราที่มีความขัดแย้งกันเอง ขอให้ตรวจสอบรัฐบาลที่เสนอร่างกฎหมายฉบับนี้ว่าเกิดจากการกดดันของกลุ่ม บุคคลใดหรือไม่ รวมไปถึงกลุ่มเอ็นจีโอ ทั้งกลุ่มมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค สสส. สปสช. และสช. ที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนในการเคลื่อนไหวผลักดันร่างกฎหมายฉบับนี้อย่างต่อเนื่อง เพราะหากผลักดันสำเร็จจะมีเงินงบประมาณจำนวนมากกว่าหมื่นล้านบาท ไหลเข้าสู่มูลนิธิและเอ็นจีโอเหล่านี้ ซึ่งจะทำให้รัฐเสียหาย

ด้านพญ.อรพรรณ์ เมธาดิลกกุล รองประธานสหพันธ์ฯ กล่าวว่า การผลักดันร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวโดยกลุ่มหมอเอ็นจีโออย่างออกนอกหน้าถือว่ามีเงื่อนงำ ไม่เป็นไปโดยสุจริตโปร่งใส ทั้งที่กฎหมายฉบับนี้ไม่มีความจำเป็นเลย เพราะมีพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งหากปรับแก้ในมาตรา 41 ก็สามารถใช้กองทุนสปสช. กองทุนสสส. ดูแลความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชนได้แล้ว แต่กลับเคลื่อนไหวเพื่อออกกฎหมายฉบับใหม่ เพื่อหวังจะให้มีการตั้งกองทุนขนาดใหญ่ขึ้นมาด้วยงบประมาณมหาศาล จะได้เอาคนของตัวเองไปอยู่ในคณะกรรมการกองทุน

ทั้งที่ตอนนี้สปสช. และสสส.มีเงินกองทุนถึง 120,000-130,000 ล้านบาท ได้รับงบประมาณปีละไม่น้อยกว่า 12 เปอร์เซ็นต์ และมีงบประมาณสำหรับคุ้มครองความเสียหายปีละ 1,200 ล้านบาท แต่กลับมีการจ่ายชดเชยให้ผู้เสียหายแค่ปีละ 50-100 ล้านบาท แล้วเงินที่เหลือไปอยู่ที่ไหน ขณะนี้กำลังให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ตรวจสอบอยู่ เพราะทราบมาว่ามีการให้พรรคพวกของผู้บริหารกองทุน ตั้งโครงการขึ้นมาเพื่อจัดสรรงบให้โครงการละ 5-10 ล้านบาท แต่หากไม่ใช่พรรคพวกตัวเองก็ไม่ได้ ตรงนี้มีความโปร่งใสแค่ไหน

ขณะที่นายฐนโรจน์ กล่าวว่า ไม่ต้องเป็นกังวลกับเรื่องการพิจารณาร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ได้รับความเสีย หายจากการรับบริการสาธารณสุข แม้จะจ่อเข้าสู่วาระการพิจารณาของสภาฯแล้วก็ตาม แต่ถ้ามีข้อความที่จะเป็นปัญหาก็ต้องถูกตัดออก การเสนอร่างพ.ร.บ.ฯของฝ่ายบริหารเข้ามา ถือเป็นการโยนหินถามทาง รับฟังความเห็นจากฝ่ายต่างๆก่อน ซึ่งตนจะนำเรื่องร้องเรียนนี้นำเข้าที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯต่อไป ส่วนตัวยังคิดว่าคงมีการถอนร่างออกมาเพื่อนำมาปรับปรุงให้เกิดความรอบคอบยิ่งขึ้น

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
วันที่ 1 กันยายน 2553

2552
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 กันยายน 2553 

กลุ่มหมอ เผย ล่ารายชื่อเกิน 1 หมื่น แล้ว เตรียมยื่นร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบ ของ “หมอเมธี” เข้าประกบร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหาย ชี้ชัด กม.ใหม่เน้นคุ้มครองทั้งผู้รับ-ผู้ให้บริการสาธารณสุข ไม่เอนเอียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
       
       พญ.อรพรรณ์ เมธาดิลกกุล รองประธานสหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขแห่งประเทศไทย (สผพท.) กล่าวว่า จากการที่ สผพท.ร่วมกับองค์กรด้านการแพทย์ต่างๆ อาทิ สหวิชาชีพทั้ง 6 แพทย์ในสังกัด กทม.การแพทย์ทั้งตำรวจ ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยต่างๆ สมาพันธ์แพทย์โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป (รพศ./รพท.) แพทยสมาคม ฯลฯ เพื่อดำเนินการรวบรวม 1 หมื่นรายชื่อของบุคลากรทางด้านสาธารณสุขนั้น เพื่อจะใช้ในการยื่นเสนอร่างกฎหมายต่อสภาผู้แทนราษฎรนั้น (ส.ส.) ขณะนี้รายชื่อดังกล่าวมีกว่ากว่า 1 หมื่นรายชื่อแล้ว โดยคณะทำงานยกร่างกฎหมาย ที่มี นพ.วิสุทธิ์ ลัจฉเสวี ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการสาธารณสุข ส.ส.เป็นประธานนั้นเห็นควรว่าจะเสนอร่าง “พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบจากระบบบริการสาธารณสุข พ.ศ.....” ที่ นพ.เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ ประสาทศัลยศาสตร์ รพ.ราชวิถี เป็นผู้ยกร่าง
       
       พญ.อรพรรณ์ กล่าวอีกว่า ร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบฉบับนี้เป็นฉบับผู้ปฏิบัติงานและประชาชน สามารถคุ้มครองทั้งผู้ให้และผู้รับบริการสาธารณสุข ซึ่งแตกต่างจากร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ได้รับความเสียหายจากการเข้ารับบริการสาธารณสุข พ.ศ....ฉบับรัฐบาล ที่เน้นเฉพาะผู้รับบริการเท่านั้น นอกจากนี้ พ.ร.บ.ที่จะยื่นเสนอเข้าประกบครั้งนี้ยังระบุให้มีแหล่งที่มาของเงินของกองทุนคุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบจากระบบบริการสาธารณสุข โดยรัฐจะต้องสนับสนุน และไม่เรียกเก็บจากสถานบริการ สำหรับสัดส่วนคณะกรรมการพิจารณาเงินคุ้มครอง จะประกอบด้วย ผู้แทนสภาวิชาชีพทั้ง 6 ด้วย ไม่ได้มีเพียงผู้แทนสถานพยาบาลแค่ 3 คน เหมือนร่างฉบับรัฐบาล
       
       “ตอนนี้ยังไม่แน่ชัดว่า นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร จะสะดวกให้ทางบุคลากรดำเนินการเข้ายื่นร่าง พ.ร.บ.ได้เมื่อไหร่ ซึ่งถ้าได้กำหนดการที่ชัดเจนก็จะส่งผู้แทนผู้เข้าชื่อประมาณ 10-20 คน เพื่อเข้ายื่นรายชื่อเสนอ ร่าง พ.ร.บ.กฎหมายต่อประธานสภา อย่างไรก็ตาม การเสนอร่าง พ.ร.บ.นี้เข้าไปประกบกับร่าง พ.ร.บ.ที่อยู่ในวาระรอการพิจารณาของสภานั้น เป็นเพียงมาตรการเสริม
สิ่งที่ต้องการมากที่สุดยังคงเป็นประเด็นของการถอนร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯออกมาทำประชาพิจารณ์เพราะที่ผ่านมายังไม่เคยทำมาก่อน มีแต่เพียงการจัดประชุมผู้มีส่วนผลักดัน 2 ครั้ง ครั้งละราว 100 กว่าคนเท่านั้น”พญ.อรพรรณ์ กล่าว

2553
ห้องพักผ่อนรวม (Common Room) / Just a Joke#8---How I was born? Daddy!
« เมื่อ: 31 สิงหาคม 2010, 21:31:23 »
A little boy goes to his father and asks ' Daddy , how was I born  ?'   

The father answers, 'Well, son , I guess one day you will need to find out anyway!

Your Mom and I first got together in a chat room on Yahoo
Then I set up a date via e-mail with your Mom and we met at a cyber-cafe . 

We sneaked into a secluded room, and googled each other
There your mother agreed to a download from my hard drive

As soon as I was ready to upload ,

we discovered that neither one of us had used a firewall ,
and since it was too late to hit the delete button , 

nine months later a little Pop-Up appeared
that said: Scroll down....

"You've got Male" 

2554
ห้องพักผ่อนรวม (Common Room) / Just a Joke#7---I forgot
« เมื่อ: 31 สิงหาคม 2010, 00:14:11 »
With the help of a fertility specialist, a 65-year old woman has a baby.
All her relatives come to visit and meet the newest member of their family.

When they ask to see the baby, the 65-year old mother says, "not yet."

A little later they ask to see the baby again. Again the mother says, "not yet."

Finally they say, "When can we see the baby?"

And the mother says, "When the baby cries."

And they ask, "Why do we have to wait until the baby cries?"

The new mother says, "because I forgot where I put it."

2555
ห้องพักผ่อนรวม (Common Room) / Just a Joke#6---This is Heaven
« เมื่อ: 31 สิงหาคม 2010, 00:10:56 »
This 85-year-old couple, having been married almost 60 years, died in a car crash. They had been in good health the last 10 years, mainly due to her interest in health food and exercise.

When they reached the pearly gates,
A saint took them to their mansion, which was decked out with a beautiful kitchen, master bath suite and Jacuzzi.

As they oohed and aahed, the old man asked the saint how much all this was going to cost.
"It's free," the saint replied. "This is Heaven."

Next they went out back to survey the championship golf course in the backyard. They would have golfing privileges every day, and each week the course would change to a new one, representing the great golf courses on Earth.

The old man asked, "What are the greens fees?"

The saint's reply, "This is Heaven -- you play for free."

Next they went to the clubhouse and saw the lavish buffet lunch with the cuisines of the world laid out.

"How much to eat?" asked the old man.

"Don't you understand yet? This is Heaven, it's FREE!" the saint replied with some exasperation.

"Well, where are the low-fat and low-cholesterol tables?"
the old man asked timidly.

The saint lectured, "That's the best part -- you can eat as much as you like of whatever you like and you never get fat and you never get sick.
This is Heaven."

With that the old man went into a fit of anger,
throwing down his hat and stomping on it, and shrieking wildly.

The saint and his wife both tried to calm him down,
asking him what was wrong.

The old man looked at his wife and said,
"This is all your fault. If it weren't for your boring health food,
I could have been here 10 years ago!"

2556
คัดลอกจาก / กวีนิรนาม

1. ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนเรา คือ ตัวเอง
คนเราส่วนใหญ่มักนึกว่า คนที่ไม่ดีกับเรา คือศัตรูของเรา แต่ว่าโดยความเป็นจริงแล้ว ศัตรูที่สำคัญที่สุดไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นตัวเราเอง เพราะว่า ศัตรูนอกกายเรามองเห็นได้ง่าย ง่ายที่จะป้องกัน แต่สำหรับตัวเองแล้ว ยากที่จะรู้จักตัวเองอย่างถ่องแท้ ยากที่จะบังคับตัวเองได้ ตัวเราไม่สามารถจะห้าม กิเลสและความโลภได้นิสัย ความโกรธแค้นก็ไม่สามารถระงับได้ เลยกลายมาเป็น ตัวเองเป็นศัตรูกับตัวเอง เที่ยวไปหาเรื่องและนำความเดือดร้อนมาใส่ตัว

2. โรคประจำตัวที่ร้ายแรงที่สุดของเรา คือ ความเห็นแก่ตัว
ร่างกายของ คนเรามีเลือดเนื้อ ย่อมจะหลีกหนีไม่พ้นที่จะ มีการแก่ ป่วย ตาย แต่ว่าความเจ็บป่วยในใจร้ายแรงกว่า ความเจ็บป่วยในใจคืออะไร คือความเห็นแก่ตัว เพราะความเห็นแก่ตัวจึงทำให้มีจิตใจคับแคบ ดังนั้น นอกจากเราจะต้องดูแลรักษาสุขภาพ ไม่ให้เจ็บป่วยแล้ว ยังต้องรักษาความ เห็นแก่ตัวในใจให้หายด้วย

3. สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดของคนเรา คือ ความไม่รู้
คนเราไม่ใช่ไม่มีทรัพย์สินเงินทอง ไม่มีอำนาจวาสนา ไม่ มีงานทำ แต่เป็นความไม่รู้ ไม่เข้าใจความเป็นจริงของโลก ไม่รู้ว่าสิ่ง ต่างๆในโลก ล้วนเกิดจากเหตุและปัจจัย มีเหตุต้นผลกรรม

4. สิ่งที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตของคนเรา คือ การมีมุมมองที่ผิด
คนเราเมื่อทำความผิดแล้ว หากเป็นความผิดพลาดเรื่องงาน ยังทำการแก้ไขได้ มุมมองที่ผิด ความคิดที่ผิด ไม่แต่ไม่รู้จักแก้ไขให้ถูก แต่ยังคิดว่าตัวเองคิดถูกทำถูก นี่เป็นสิ่งที่คนในสังคมยุคปัจจุบันเป็น กันมากที่สุด เป็นเรื่องที่น่ากลัวจริงๆ

5. ความพ่ายแพ้ที่ยิ่งใหญ่ของคนเรา คือ ความเย่อหยิ่ง
ดังคำที่ว่า “ความอ่อนน้อมถ่อมตนมักจะนำผลประโยชน์มาให้ แต่ความเย่อหยิ่งจองหองมักจะนำโทษมาให้” คนเราไปไหนหากนึกแต่ว่าตัวเอง เก่ง ตัวเองเลอเลิศ ไม่ว่าจะไปที่ไหน ย่อมไม่ได้การต้อนรับจากที่นั่น ดังนั้นความเย่อหยิ่ง จองหอง จึงเป็นความพ่ายแพ้ที่ยิ่งใหญ่

6. สิ่งที่ทำให้เราทุกข์กังวลที่สุดในชีวิตของ คือ กิเลส
มีคนบอกว่า โลกของเราเต็มไปด้วยความทุกข์ เศร้า กังวล  อะไรคือความทุกข์ที่สุดหรือ? บางคนบอกว่า ปากท้อง บางคนบอกว่าความรัก แต่แท้จริงแล้ว สิ่งที่ทำให้เราทุกข์กังวลมากที่สุดคือ กิเลส ทรัพย์สินเงินทอง รูปร่างหน้าตา อาหารการกิน ลาภยศ วาสนา  สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ทำให้เรา อยากมี อยากเป็น เมื่ออยากได้ไม่รู้จักพอ ย่อมเกิดความทุกข์กังวล จึงเป็นเหตุให้เราทุกข์ไม่มีสิ้นสุด

7. สิ่งที่ทำให้เราไม่รู้ที่สุด คือ ความโกรธแค้น
ไม่รู้คือความไม่ เข้าใจในเหตุผลต่างๆ เมื่อประสบกับสิ่งที่ไม่สมหวัง ดังใจ ก็โกรธ เพ่งโทษผู้อื่น โกรธเคืองฟ้าดิน แม้แต่แม้กับคนในครอบครัว สังคม หรือประเทศชาติ  หรือขณะที่เคืองแค้นก็ขว้างปา ทำลายสิ่งของของตัวเอง นี่ คือความไม่รู้ที่สุดของคนเรา ไม่เคยโทษตัวเอง ได้แต่โทษผู้อื่น

8. สิ่งที่คนเราเป็นห่วงกังวลที่สุด คือ ความเป็นความตาย
ยังมีชีวิต อยู่ก็ชิงดีชิงเด่น อยากมีชื่อเสียง กลั่นแกล้งผู้อื่น ครั้นเมื่อ อนิจจังมาถึง ก็กลัว หน้าที่การงาน ทรัพย์สมบัติ ความรัก จะหายไปในชั่วพริบตา ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ก็เป็นห่วงกังวลได้ทุกขณะ

9. ความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนเรา คือ การไปทำร้ายผู้อื่น
ทำลายชีวิตของผู้อื่น ทำลายชื่อเสียง ขโมย หรือล่วงละเมิดทางเพศ หรือทำสิ่งไม่ดีต่างๆนานา

10. สิ่งที่ลำบากใจที่สุดในชีวิตของคนเรา คือ ถูกผิด
มีคนพูดว่าอยู่ที่ ไหนก็ต้องมีถูกผิด ถูกหรือผิด สร้างความลำบากใจให้เราได้ไม่มากก็น้อย ความถูกผิดมีได้ทุกที่ หากเราไม่ไปฟังเรื่องราวของผู้อื่น ก็ย่อมจะไม่เกิดอะไรขึ้น เพียงแต่เราไม่ไปฟังเรื่องราวของผู้อื่น ไม่ไปต่อความยาวสาวความยืดของผู้อื่น ก็ไม่ต้องนำความลำบากใจให้กับตนเอง จึงเป็นความพ่าย แพ้ที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของคนเรา

11. คุณธรรมอันดีงามที่สุดของคนเรา คือ ความเมตตา
ความดีงามของคนเราไม่ ได้อยู่ที่ความสวยงาม  การมีทรัพย์สินมากมาย มีความสามารถล้นเหลือ ดังนั้นยอมที่จะเป็นคนไม่มีความสามารถอะไร ไม่มีการศึกษาแต่จะไม่ยอมให้ขาดความเมตตา เพราะความเมตตา คือ คุณธรรมอันแท้จริง

12. ความกล้าหาญที่สุดของคนเรา คือ กล้ายอมรับผิด
คนเราต้องมีความกล้า ความกล้าไม่ใช่กล้าชกต่อยกับผู้อื่น และก็ไม่ใช่ไปชิงดีชิงเด่นกับผู้ อื่น เอาชนะคะคานกับผู้อื่น แต่เป็นการรู้สำนึกว่าบางสิ่งตัวเองไม่ควร พูด ไม่ควรทำอย่างนั้น ไม่ควรไปขัดขวางอย่างนี้ คนที่สามารถรู้สำนึกว่าตัวเองผิด จึงจะเป็นผู้กล้าหาญที่สุด

13. รายรับที่มากที่สุดของคนเรา คือ ความรู้จักพอ
ทุกๆคนก็หวังแต่จะให้ตัวเองได้ ตัวเองประสบผลสำเร็จได้รับผลประโยชน์หากไม่รู้จักพอ แม้จะนอนอยู่บนวิมาน กับเหมือนกับนอนอยู่ในนรก หากรู้จักพออยู่ในนรก ก็เหมือนกับอยู่บนวิมาน ดังนั้นความรู้จักพอจึงเป็น เป็นรายรับที่มากที่สุด

14. การบุกเบิกทรัพยากรที่มีอยู่ของตัวเองที่มีค่ามากที่สุด คือความศรัทธา
ใครๆ ก็พูดกันว่า ต้องบุกเบิกทรัพยากรมาใช้ ทรัพยากรนั้นไม่ได้หมายถึง สินแร่ในป่า สิ่งล้ำค่าในทะเล และก็ไม่ใช่ก๊าซธรรมชาติ แต่ในความศรัทธา มีทรัพย์สิน มีคุณธรรม มีสิ่งล้ำค่า

15. สิ่งที่คนเราควรมีให้มากที่สุด คือ ความรู้สำนึกในบุญคุณของผู้อื่น
คนประเภทไหนร่ำรวยที่สุด คนประเภทไหนยากจนที่สุด คนยากจนคือคนที่อยากจะ ได้อยู่ร่ำไป คนมั่งมีคือคนที่มีแต่ความรู้สึกขอบคุณ และคิดแต่จะเจือจาน ช่วยเหลือผู้อื่น ดังนั้น ผู้ที่มีความรู้สึกสำนึกในบุญคุณ ถนอมสิ่งที่ตนมีอยู่ จึงเป็นผู้ที่มีมากที่สุด

16 . สิ่งที่ควรบ่มเพาะให้มีมากที่สุด คือ ความใจกว้าง
ทุกคนก็หวังจะให้ ตัวเองเป็นผู้มีการศึกษาอบรม ดังมีคำกล่าวว่า “ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความนุ่มนวล แต่จะต้องเคร่งครัดต่อตัวเอง”  คนอื่นจะปฏิบัติต่อเราดีหรือไม่ เราก็สามารถเข้าใจ และยอมรับได้ นี่คือสิ่งที่ควรบ่มเพาะให้มีมากที่สุด

17. ต้นทุนที่มากที่สุดของคนเรา คือ ศักดิ์ศรี
คนจะเป็นคนได้ต้องมี ศักดิ์ศรี ก็เพราะว่าคนเรามีศักดิ์ศรี ด้วยเหตุนี้อะไรก็เสียสละได้ แต่ว่าเมื่อผ่านการบีบคั้นของ ความเสียสละก็ยังคงเหลือศักดิ์ศรีไว้ ดังนั้นสำหรับศักดิ์ศรีความ เป็นคนของทุกคนจึงต้องให้ความสำคัญ และรักษามันไว้

18. ความปลื้มปีติที่มากที่สุดของคนเรา คือ ความสุขจากรสพระธรรม
คนส่วนใหญ่มักจะหาความสุขจากสิ่งล่อที่เป็น กิเลสและวัตถุ เช่นจากคำชมเชยเพียงคำเดียว ก็เป็นปลื้มไปเสียครึ่งวัน แต่ความสุขจากคำชมเชยเดี๋ยวเดียวก็ผ่านไปแล้ว ความสุขที่ได้จากการมี ทรัพย์สิน แต่ว่าทรัพย์สินก็เหมือนสายน้ำไหล ชั่วประเดี๋ยวก็ใช้หมดแล้ว ความสุขที่ได้จากการท่องเที่ยว แต่ว่าพันลี้หมื่นลี้กระพริบตาผ่านไป ความสุขก็ผ่านไป มีความปลื้มปีติเพียงสิ่งเดียวที่จะยังอยู่ตลอดไปคือ ความสุขจากรสพระธรรม ปีติสุขจากธัมมะ ได้จาก ปัญญา ตัวรู้ และการภาวนา เป็นสิ่งที่สามารถมีได้ตลอดชีวิต ไม่สูญสลายตลอดไป

19. ความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนเรา คือ ความปลอดภัย
ทรัพย์สินเงิน ทองและเกียรติยศ เป็นสิ่งที่คนปรารถนาอยากมีมากที่สุด แต่ว่าเมื่อได้ ทรัพย์สินและชื่อเสียงแล้ว ก็ขาดความปลอดภัย ชีวิตอย่างนี้ย่อมไม่มี ความหมาย ดังที่กล่าวว่า ความปลอดภัย สงบสุขคือวาสนา

20 . สิ่งที่ควรจะสร้างให้มีมากที่สุด คือ เพื่อประโยชน์สุขของมวลชน
ประโยชน์สุขของมวลชนได้จาก เมตตาจิต ความมีน้ำใจที่ดีงาม เช่นพูดในสิ่งที่มี ประโยชน์ให้กับทุกคน ทำในสิ่งที่มีประโยชน์ให้กับทุกคน จะสร้างถนน หรือสร้างสะพาน ขอเพียงให้เป็นประโยชน์กับทุกคน ตัวเองก็ยินดีที่จะเสีย สละแรงงานและแรงใจที่จะไปช่วย

2557
ในปัจจุบันมีคำทับศัพท์ภาษา อังกฤษที่คนไทยใช้กันจนติดปากอยู่มากมาย แต่คุณเคย รู้ไหมว่ามีบางคำที่ฝรั่งเค้าไม่ได้ใช้อย่างที่เราพูดกันติดปาก จึงเสนอคำ ศัพท์สัก 8 ตัวอย่าง ที่คนไทยมักใช้อย่างผิดๆพร้อมทั้งคำที่ถูกต้องซึ่งคุณควรนำไปใช้เวลาคุยกับ ฝรั่ง เริ่มเลยแล้วกัน
1) อินเทรนด์ (in trend) คำนี้อินเทรนด์มากๆ เอ๊ย...ฮิตมากๆ ในปัจจุบัน สามารถได้ยินตามรายการวิทยุหรือ โทรทัศน์ทั่วไป เพราะใช้กันทั่วบ้านทั่วเมือง เช่น เด็กสมัย นี้ถ้าจะให้อินเทรนด์ต้องตามแฟชั่นเกาหลี ซึ่งบางทีเวลาคุณต้องการพูดว่า "มันทันสมัย" คุณอาจจะติดปากว่า "It is in trend." คำว่า "ทันสมัย" ฝรั่งเค้า ไม่ใช้คำว่า "in trend" อย่างคน ไทยหรอก เค้าจะใช้คำว่า "trendy" หรือ "fashionable" ซึ่งเป็นคำคุณศัพท์ที่คุณสามารถวางไว้หน้าคำ นามที่ต้องการขยาย เช่น a trendy haircut ทรงผมที่ทันสมัย, a fashionable restaurant ร้านอาหารที่ทันสมัย หรือจะไว้ หลัง verb to be เช่น It is trendy. หรือ It is fashionable. ก็ได้


2) เว่อร์ (over) เช่น ยัยคนนั้นทำอะไรเว่อร์ๆ She is over. ไม่มีความหมายแต่อย่างใดในภาษาอังกฤษ ฝรั่งที่ได้ยินคุณพูดเช่นนี้ คงมึนตึบ พร้อมทำสีหน้างงว่ามันหมายถึง อะไรเหรอ? พูดถึงคำ นี้ คนไทยน่าจะหมายถึงการพูดเกินจริงหรือทำเกินจริง ซึ่งถ้าพูดเกินจริง ควรจะใช้คำศัพท์ที่ว่า "exaggerate" เป็นคำกิริยา อ่านว่า เอก-แซ้ก-เจ่อ-เรท เช่น

"He said you walked 30 miles." เค้า บอกว่าคุณเดินตั้ง 30 ไมล์
"No - he's exaggerating. It was only about 15." ไม่หรอก เค้าพูดเว่อร์ (เกินจริง) มันก็แค่ 15 ไมล์เอง

ดังนั้น ถ้าจะบอก ว่า เธอพูดเว่อร์น่ะ ก็บอกว่า You're exaggerating. หรือจะบอกเค้าว่า อย่าพูดเว่อร์ๆ น่ะ อาจใช้ว่า Don't exaggerate. ส่วนอาการ เว่อร์อีกแบบคือการทำเกินจริง เราจะใช้คำกิริยาที่ว่า "overact" เช่น You're overacting. เธอทำ เว่อร์เกิน (แสดงอารมณ์เกินจริง)


3) ดูหนัง soundtrack เวลาคุณจะบอกใครว่า ฉันต้องการ ดูหนังฝรั่งที่พากย์ภาษาอังกฤษ อย่าพูดว่า "I want to watch a soundtrack film." แต่ควรจะ ใช้ว่า "I want to watch an English film." เพราะความหมายของคำว่า "soundtrack" คือ ดนตรีที่ อยู่ในภาพยนตร์ ต่างหากล่ะ

ถ้าเราจะพูดถึงหนังฝรั่งที่พากย์เสียงภาษาไทย เราต้องบอกว่า "I want to watch an English film that is dubbed into Thai." เพราะคำกิริยาว่า "dub" คือพากย์เสียงจากต้นแบบในหนัง หรือรายการโทรทัศน์ไปเป็นภาษาอื่น

ส่วนหนัง ที่มีคำบรรยายใต้ภาพเราเรียกว่า "a subtitled film" ซึ่งคำบรรยายที่อยู่ใต้ภาพ เราเรียกว่า "subtitles" (ต้องมี s ต่อท้ายเสมอนะครับ) เช่น a French film with English subtitles หนัง ฝรั่งเศสที่มีคำบรรยายใต้ภาพเป็นภาษาอังกฤษ

หนังบางเรื่องจะมีคำบรรยายใต้ภาพเป็นภาษาเดียว กับที่นักแสดงพูด เรามีศัพท์เรียกเฉพาะว่า "closed-captioned films/คำหวงห้าม/television programs" หรือ อาจเขียนย่อๆ ว่า "CC" เช่น You should watch a closed-captioned film to improve your English. คุณควรจะดูหนังฝรั่งที่มีคำบรรยายภาษาอังกฤษ เพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษของคุณ


4) นักศึกษาปี 1 คนไทยมัก เรียกว่า "freshy" ซึ่งฝรั่ง ไม่รู้เรื่องหรอก เพราะไม่มีการบัญญัติศัพท์คำนี้ในภาษาอังกฤษ เค้าจะใช้ คำว่า "fresher" หรือ "freshman" เช่น He is a fresher. หรือ He is a freshman. หรือ He is a first-year student. เขาเป็นนัก ศึกษาปี 1 ส่วนปี อื่นๆ คนไทยเรียกถูกแล้วครับ คือ ปี 2 เราเรียก a sophomore, ปี 3 เรียกว่า a junior และ ปี 4 เรียกว่า a senior


5) อัดหรือ บันทึก คนไทยมักพูดทับศัพท์ว่า เร็คคอร์ด (record) คำๆ นี้สามารถเป็นได้ทั้งคำนามและคำ กิริยา เพียงแค่เปลี่ยนตำแหน่ง stress กล่าวคือ ถ้าจะใช้เป็นคำนามที่แปลว่า แผ่นเสียงหรือสถิติ ให้ขึ้นเสียงสูงที่พยางค์แรก คือ "เร็ค-คอร์ด" เช่น He wants to buy a record. เขาต้องการ ซื้อแผ่นเสียง, I broke my own record. ฉันทำลายสถิติของฉันเอง แต่ถ้าคุณจะหมายถึงคำกิริยาที่แปลว่า อัดหรือ บันทึก ต้อง stress พยางค์หลัง ซึ่งจะอ่านว่า "รี-คอร์ด" เช่น I'll record the film and we can all watch it later. ฉันจะอัด หนัง เราจะได้เก็บไว้ดูทีหลังได้ ส่วนเครื่องบันทึก เราเรียกว่า "recorder" อ่านว่า รี-คอร์-เดอร์


6) ต่างคนต่าง จ่าย เรามักใช้ American share รับรองว่าฝรั่ง(ต่อให้เป็นชาวอเมริกันด้วยครับ) ได้ยินแล้ว งงแน่นอน ถ้าคุณจะหมายถึงต่างคนต่างจ่ายให้ใช้ว่า "Let's go Dutch." หรือ "Go Dutch (with somebody)." อันนี้ไม่ แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นธรรมเนียมของชาวดัตช์หรือเปล่า? ที่ต่างคนต่างจ่ายเลยมีสำนวน อย่างนี้ หรือคุณอาจจะบอกตรงๆ เลยว่า "You pay for yourself." คือเป็นอันรู้กันว่าต่างคนต่าง จ่าย แต่ถ้าคุณต้องการเป็นเจ้ามือ(ไม่ใช่เล่นไพ่นะครับ)เลี้ยง มื้อนี้เอง คุณควรพูดว่า "It's my treat this time." หรือ "My treat." หรือ "It's on me." หรือ "All is on me." หรือ "I'll pay for you this time." ทั้งหมดแปล ว่า มื้อนี้ฉันจ่ายเอง ส่วนถ้าจะบอกเพื่อนว่า คราวหน้าแกค่อยเลี้ยงฉันคืน ให้บอกว่า "It's your treat next time."


7) ขอฉันแจม (jam) ด้วยคน ในกรณีนี้คำว่า "แจม" น่าจะหมายถึง "ร่วมด้วย" เช่น We are going to eat outside. Do you want to jam? เรากำลังจะออกไปกินข้าวข้างนอก เธอจะไปด้วยมั้ย? ในภาษา อังกฤษไม่ใช้คำว่า jam ในกรณีแบบ นี้ ซึ่งควรจะใช้ว่า "Do you want to join us?", "Do you want to come with us?" หรือ "Do you want to come along?" จะดีกว่า


8) เขามีแบ็ค (back) ดี "He has a good back." ฝรั่งคงงงว่ามันเกี่ยวอะไรกับข้างหลังของเค้า เพราะ back แปลว่า หลัง (อวัยวะ) แต่คุณกำลังจะพูดถึงมีคนคอยสนับสนุน ซึ่งต้องใช้ "a backup" ซึ่งหมายถึง คนหรือสิ่ง ของที่ช่วยสนับสนุน ช่วยเหลือ เกื้อกูล เป็นกำลังใจให้

2558
อย่าลืมชม

Two moons on 27th August 2010

27 สิงหาคม วันที่โลกรอคอย
ดาวอังคารจะสว่างที่สุดในตอนกลางคืนเริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม
มันจะโตเท่ากับจันทร์เต็มดวงด้วยสายตาเปล่า มันจะเต็มที่ในวันที่ 27 สิงหาคม
เมื่อดาวอังคารจะอยู่ห่างจากโลกเพียง 34.65 ล้านไมล์

อย่าลืมชมท้องฟ้าในคืนวันที่ 27 สิงหาคม เวลาเที่ยงคืนครึ่ง
มันจะดูเหมือนโลกมีดวงจันทร์สองดวง

ครั้งต่อไปที่ดาวอังคารจะเข้ามาใกล้ขนาดนี้ก็ปาเข้าไปปี ค.ศ.2287 โน่น
(เอา 543 บวกเข้าไปก็จะได้เท่ากับ พ.ศ. 2830) 
คงไม่มีใครที่มีชีวิตอยู่ในวันนี้จะได้เห็นมันอีก

2559
 ข้อข้อแย้งเกี่ยวกับพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการ สาธารณสุข ยังวุ่นไม่จบ แม้จะมีการตั้งคณะกรรมการ 3 ฝ่าย คือ เครือข่ายผู้ป่วย, ผู้ดูแลรักษาและฝ่ายรัฐ ขึ้นมาหารือเพื่อหาทางออกและหาข้อสรุปในประเด็นข้อข้ดแย้งแตกต่าง ก่อนกฎหมายจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร
       
       เครือข่ายผู้ป่วย ซึ่งถูกชี้นิ้วว่าเป็นผู้ผลักดันกฎหมายซึ่งจะทำให้เกิดการฟ้องร้องแพทย์มาก ขึ้น จะมีการฉวยโอกาสขอเงินชดเชยเยียวยาจนเป็นภาระของกองทุน และจะทำให้แพทย์ที่ทำงานหนักไม่ได้รับความเป็นธรรม กระทั่งหมอจะลาออกจนขาดบุคคลากรทางการแพทย์ วงการสาธารณสุขปั่นป่วน ได้เผยแพร่ “ความจริงและไม่จริง” เพื่อตอบข้อสงสัยในพ.ร.บ.คุ้มครองฯ ในแต่ละประเด็น ดังนี้
       
       ***เมื่อมีพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขจะทำให้เกิดการฟ้องร้องแพทย์มากขึ้นมาก
       
       ไม่จริง ความ จริง ก็คือ พ.ร.บ.นี้ใช้หลักการเดียวกับมาตรา 41 ใน พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพ ซึ่งพิสูจน์มาเป็นเวลากว่า 6 ปีแล้วว่าสามารถลดการฟ้องร้องแพทย์และบุคคลากรการแพทย์ และช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของผู้เสียหาย เพียงแต่ว่ามาตรา 41 เยียวยาเฉพาะผู้เสียหายที่ใช้บัตรทองที่มีอยู่ประมาณ 47 ล้านคน ฉะนั้น พ.ร.บ.ฉบับนี้ จึงจะขยายการคุ้มครองเยียวยาไปให้ครบ 65 ล้านคนที่เหลือที่ใช้สิทธิประกันสังคม, สวัสดิการข้าราชการ และคนที่จ่ายค่ารักษาพยาบาลด้วยตัวเอง
       
       ***แพทย์และบุคลากรสาธารณสุขจำนวนมากพึงพอใจกับขบวนการเยียวยาตามมาตรา 41 ที่ให้กับผู้ป่วยที่ใช้บัตรทอง
       
       จริง หลัง จากที่มาตรา 41 ใน พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพ ประกาศใช้มากว่า 6 ปี แพทย์ที่ทำการรักษาคนไข้บัตรทอง สามารถวางใจได้ว่า หากเกิดความผิดพลาดเสียหาย คนป่วยจะได้รับการชดเชยเยียวยาอย่างทันท่วงที ในขณะที่ตัวแพทย์และบุคคลากรการแพทย์ไม่จำเป็นต้องอยู่ในขบวนการหาคนผิดมาลง โทษ หรือเสี่ยงต่อการถูกสอบสวนดำเนินคดี แต่ที่ผ่านมา เป็นเฉพาะกรณีผู้ป่วยที่ใช้บัตรทองเท่านั้น หากเป็นผู้ป่วยที่อยู่นอกระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ยังไม่มีกลไกเยียวยาใดๆ อย่างเป็นระบบ
       
       *** พรบ.นี้จะทำให้มีผู้ฉวยโอกาสมาขอเงินชดเชยเยียวยามากมาย ขณะที่สถานบริการสาธารณสุขต้องหาเงินมาเข้ากองทุน
       
       ไม่จริง ความ จริงที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ผู้เสียหายต้องเอาชีวิตของตนเอง ความพิการ และการเป็นโรคที่ไม่ต้องการมาแลกกับเงินชดเชย การฉวยโอกาสนั้นเป็นไปไม่ได้ แม้ประสบการณ์ในประเทศสวีเดน และฟินแลนด์ที่มีการนำ No Fault Liability law มาใช้ จะพบว่า มีผู้มาขอรับการเยียวยาชดใช้จริง แต่ก็เป็นกรณีที่มีความเสียหายจริงๆ การชดเชยเยียวยาจึงเป็นสิ่งที่เป็นธรรมต่อผู้เสียหาย โดยไม่ต้องไปฟ้องร้องเอาที่ศาล ไม่สร้างความร้าวฉานในความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์และผู้ป่วย
       
       ส่วนประสบการณ์ของไทยเอง การใช้มาตรา 41 ของ พรบ.หลักประกันสุขภาพ พบว่า มีผู้ได้รับเยียวยาชดเชยเพียง ประมาณ 2,719 คน และกองทุนนี้นอกจากจะไม่ล้มละลายแล้วยังมีเงินเหลือสะสมมากกว่าที่คาดไว้
       
       ***ผู้ป่วยที่เกิดความเสียหายจากการรับบริการทางการแพทย์ ส่วนใหญ่ไม่ต้องการฟ้องแพทย์หากมีกระบวนการเยียวยาที่น่าพึงพอใจ
       
       จริง กรณี ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่า กระบวนการเยียวยาชดเชยต่อความเสียหายในการรับบริการทางการแพทย์สร้างความพี งพอใจให้แก่ผู้เสียหาย คือเหตุการณ์ที่ผู้เข้ารับการผ่าตัดต้อกระจกจำนวน 10 ราย ที่ต้องสูญเสียการมองเห็นจากการติดเชื้อในการรับบริการครั้งนั้น แต่เมื่อผู้เสียหายได้รับการเยียวยาทันท่วงที จึงไม่มีผู้เสียหายรายใดคิดที่จะฟ้องร้องแพทย์และโรงพยาบาล และท้ายที่สุดก็ยังคงรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อแพทย์และโรงพยาบาลที่ทำการ รักษา
       
       ***กองทุนนี้สร้างความเป็นธรรมในสังคมให้มากขึ้น
       
       จริง เพราะอุบัติการณ์ความผิดพลาดทางการแพทย์ เป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์ว่าเกิดขึ้นได้ แม้แพทย์จะพยายามรักษาผู้ป่วยอย่างเต็มความสามารถก็ตาม และเมื่อเกิดความเสียหาย ไม่ใช้วิธีเพ่งโทษ เพราะไม่ใช่ความตั้งใจของผู้รักษาที่จะทำให้เกิดความเสียหาย ที่ผู้ป่วยที่ได้รับความเสียหายทุกคนก็ได้รับการเยียวยาด้วยการชดเชย เพราะกองทุนนี้จะดูแลประชาชนทั้ง 65 ล้านคน แต่หากไม่มีกองทุนจาก พรบ.นี้ จะมีคนกว่า 17 ล้านคนไม่ได้รับการดูแลเพราะไม่ได้อยู่ในระบบบัตรทอง
       
       ***ไม่มีความจำเป็น ที่จะออก พรบ.นี้ เพราะกฎหมายเดิมที่มีอยู่ก็เพียงพอที่จะให้ความเป็นธรรมต่อผู้ได้รับความ เสียหายจากการบริการทางการแพทย์
       
       ไม่จริง  การเสนอ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ นี้เกิดจากความล้มเหลวในระบบการให้ความเป็นธรรมในการให้บริการสาธารณสุข ไม่ว่าจะเป็นการฟ้องคดีตามกฎหมายแพ่ง หรือการใช้ พรบ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ผู้เสียหายต้องประสบกับอุปสรรคมากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพิสูจน์ความผิดพลาดในการบริการสาธารณสุข ทำให้คดีที่ผู้เสียหายฟ้องร้องในศาล แทบไม่เคยได้รับความเป็นธรรมเลย ถึงแม้ปัจจุบันจะมี พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2550 ช่วยให้การฟ้องคดีได้ง่ายขึ้น เช่น ไม่ต้องใช้ทนาย ไม่ต้องจ่ายค่าวางศาล ผู้เสียหายไม่ต้องพิสูจน์เอง แต่ก็มีผลต่อความสัมพันธ์แพทย์กับผู้ป่วย
       
       ดังที่กล่าวไปแล้ว ทั้งจากประสบการณ์ของไทยและต่างประเทศ แสดงให้เห็นว่า หากผู้เสียหายได้รับการเยียวยา จะทำให้การฟ้องร้องลดน้อยลง หาก พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากบริการสาธารณสุขโดนคว่ำ วงการแพทย์และสาธารณสุขจะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาฟ้องร้อง ที่สร้างความทุกข์ต่อผู้ปฏิบัติงาน แล้วยังมีการเรียกร้องมูลค่าเงินชดเชยที่สูงขึ้นเป็นเงาตามตัว ขณะที่ผู้ป่วยก็ต้องทนทุกข์ทั้งกายและใจ ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ คือ การมีกลไกเยียวยาที่สร้างความเป็นธรรมให้กับทั้งสองฝ่าย มารองรับอย่างเป็นระบบ ตามหลักการที่ปรากฏในร่าง พรบ.
       
       ***พรบ.นี้จะไปเบียด บังงบประมาณตามสถานพยาบาลทั่วไปโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถานพยาบาลสำหรับประชาชน ทำให้ยาในโรงพยาบาลขาดแคลนหรือไม่มีคุณภาพ
       
       ไม่จริง ความ จริงคืองบประมาณกองทุนที่ได้มานั้น มาจากกองทุนในมาตรา 41 และเงินสมทบจากสถานพยาบาลเอกชนเป็นเบี้ยสมทบ เป็นหลักการเดียวกับการประกันความเสี่ยง ดีกว่าการจ่ายความเสียหายเป็นรายกรณี ส่วนโรงพยาบาลรัฐ กองทุนจะขอสมทบปีต่อปีจากรัฐบาล ดังนั้น โรงพยาบาลแต่ละแห่งจะไม่ต้องเสียซ้ำเสียซ้อน
       
       ***มีตัวแทน NGO มากกว่าตัวแทนแพทย์ในคณะกรรมการพิจารณาเยียวยาช่วยเหลือ
       
       ไม่จริง ในมาตรา 7 กำหนดว่ามีตัวแทนภาคประชาชนเพียง 3 คน กรรมการที่เหลือ ส่วนมากมีอาชีพเดิมและอาชีพปัจจุบันเป็นแพทย์ประมาณ 5 คน คือ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (ซึ่งเป็นแพทย์มาตลอด) อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสาธารณสุข (ซึ่งก็เป็นแพทย์) ตัวแทนสถานพยาบาล (ซึ่งน่าจะเป็นแพทย์ที่จะมาเป็นตัวแทน) จึงเห็นได้ว่าผู้มีความเชี่ยวชาญทางสาธารณสุขมีจำนวนมากกว่ากลุ่มประชาชนใน ทุกคณะกรรมการและอนุกรรมการ หากต้องการให้มีตัวแทนสภาวิชาชีพในคณะกรรมการก็สามารถเพิ่มเติมหรือเปลี่ยน แปลงได้ในชั้นการพิจารณาของคณะกรรมธิการในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา โดยไม่จำเป็นต้องล้ม พ.ร.บ.ทั้งฉบับ ดังที่เป็นอยู่ในขณะนี้
       
       ***คนไข้ได้เงินสองต่อ โดยไม่ต้องพิสูจน์ว่าเกิดจากความเสียหายทางการแพทย์หรือเนื่องมาจากโรคที่เป็นอยู่
       
       ไม่จริง คนไข้ที่จะได้รับการช่วยเหลือเบื้องต้นนั้น ต้องเป็นคนไข้ที่ได้รับความเสียหายจากการบริการทางการแพทย์เท่านั้น การช่วยเหลือเบื้องต้นเป็นไปเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและลดความขัดแย้งโดย เร็วที่อาจนำไปสู่การฟ้องร้อง ซึ่งการชดเชยเพิ่มเติมจะมีได้ต่อเมื่อมีการพิจารณาเห็นถึงความเสียหายและ ความจำเป็นที่เกิดขึ้นเท่านั้น
       
       ***ได้เงินแล้ว คนไข้ยังมีสิทธิฟ้องหมอได้อีก
       
       จริงและไม่จริง
       
       จริง ในประเด็นที่ว่าสิทธิการฟ้องร้องเป็นสิทธิพื้นฐานของทุกคนที่ไม่มีกฎหมายไหนรอนสิทธินี้ได้
       
       ไม่จริงทาง ปฎิบัติ ในประเด็นที่ว่าผู้เสียหายน่าจะนำเรื่องไปสู่ศาลอีก ประการแรก มีโอกาสน้อยมากหรือแทบจะไม่มีเพราะหลังจากรับเงินชดเชยจะต้องทำสัญญาประนี ประนอมยอมความตามมาตรา 33 ประการที่สอง ในมาตรา 34 กำหนดไว้ว่า หากผู้เสียหายนำเรื่องไปฟ้องศาลก็ไม่สามารถกลับมารับการเยียวยาตาม พ.ร.บ.นี้อีก ซึ่งทำให้ผู้เสียหายต้องเลือกระหว่างกระบวนการเยียวยาที่รวดเร็ว ไม่มีค่าใช้จ่าย กับกระบวนการศาลที่อาจใช้เวลาหลายๆ ปี กับค่าใช้จ่ายจำนวนมาก
       
       ***หมอที่ทำงานหนักเพื่อรักษาประชาชน ไม่ได้รับความเป็นธรรมจาก พรบ.นี้
       
       ไม่จริง พ.ร.บ.นี้เป็นกฎหมายที่ไม่มีการหาคนผิด หรือ การกล่าวโทษ แต่เป็นพ.ร.บ.ที่ยอมรับว่า ความผิดพลาดทางการบริการทางการแพทย์เกิดขึ้นได้โดยไม่มีเจตนา แต่เมื่อมีความผิดพลาดก็ควรมีการเยียวยาต่อผู้เสียหายโดยให้รัฐกับสถาน พยาบาลมาช่วยกันเฉลี่ยความรับผิดชอบต่อความผิดพลาดที่อาจเกิดที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้ แพทย์และบุคลากรที่ทำการรักษาไม่ต้องรับผิดต่อความเสียหาย หรือต่อวิชาชีพ จึงสามารถดูแลคนไข้อื่นๆ ต่อไปอย่างเต็มความสามารถโดยไม่ต้องกังวลต่อกรณีฟ้องร้อง หรือกรณีหาเงินมาชดเชยต่อผู้เสียหาย
       
       ที่สำคัญก็คือในมาตรา  45 มีการกำหนดให้อำนาจศาลพิจารณาละเว้นโทษให้แก่แพทย์หรือบุคคลากรการแพทย์หาก มีการนำเรื่องไปฟ้องอาญา ซึ่งการละเว้นโทษขนาดนี้ ไม่ค่อยมีปรากฏในกฎหมายอื่นๆ ซึ่งถือว่าเป็นการปกป้องและให้ประโยชน์แก่แพทย์และบุคคลากรทางการแพทย์ที่ทำ งานเพื่อประชาชน
       
       ***ผู้ร่วมร่าง พรบ.นี้เป็นผู้ที่เคยฟ้องร้องหมอมาก่อน ฉะนั้น พรบ.นี้ทำเพื่อการฟ้องร้องหมอ
       
       จริงและไม่จริง
       
       จริง ที่ ผู้ร่วมร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ ที่เป็นร่างของประชาชน ร่างโดยผู้ที่เคยฟ้องร้องหมอ แต่ร่าง พรบ.ของประชาชน ไม่ใช่ร่างหลักที่กำลังจะเข้าสู่สภา เพราะร่างกฎหมายที่กำลังจะเข้าเป็นร่างของ ครม. ที่ผ่านกฤษฏีกา ที่กลุ่มประชาชนได้ร่วมออกความเห็น พร้อมๆ กับตัวแทนแพทยสภา และตัวแทนองค์กรอื่นๆ
       
       ไม่จริง ตรงที่ว่าที่บุคคลที่เคยฟ้องแพทย์มาร่าง พ.ร.บ.นี้เพื่อเพิ่มการฟ้องร้องแพทย์ ตรงกันข้าม การร่าง พ.ร.บ.นี้ ทำไปเพื่อลดการฟ้องร้องแพทย์และหาทางออกที่เป็นธรรมให้แก่ผู้เสียหาย โดยผ่านการศึกษาและวิจัย ทั้งประสบการณ์ในต่างประเทศและของไทย
       ในอดีตขบวนการขึ้นสู่ศาลต่างๆ สร้างความทุกข์และมีค่าใช้จ่ายให้แก่แพทย์และผู้เสียหายอย่างมากมาย โดยแทบไม่มีใครได้ประโยชน์กับการฟ้องร้อง จึงเห็นว่า พรบ.นี้น่าจะเป็นกลไกแก้ไขปัญหานี้ได้ดีที่สุด
       
       ***กองทุนนี้ท้ายที่สุดจะทำให้ประเทศล่มจมเพราะจะมีคนเรียกร้องค่าชดเชยจนไม่มีงบเพียงพอที่จะดูแลกองทุน
       
       ไม่จริง การ กำหนดให้มีการบริหารจัดการกองทุนอย่างมีประสิทธิภาพ คณะกรรมการกองทุนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้มีส่วนได้เสีย ต้องกำหนดการจ่ายเงินให้เหมาะสมกับกองทุนที่มี เช่น การกำหนดเพดานการจ่ายชดเชยเยียวยาที่จะช่วยทำให้ควบคุมการใช้จ่ายของกองทุน ได้ โดยมีกรณีประสบการณ์จาก มาตรา41 ของ พรบ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่บริหารได้มีประสิทธิภาพ
       
       ***สถานพยาบาลที่ดีมีคุณภาพไม่ควรต้องนำเงินไปช่วยสถานพยาบาลที่ด้อยคุณภาพที่มีความเสี่ยงต่อการสร้างความเสียหาย
       
       จริงและไม่จริง
       
       จริง แต่หลักการการเฉลี่ยความเสี่ยงทำให้ทุกสถานพยาบาลมีความมั่นใจว่า หากมีความเสียหายที่เป็นเหตุสุดวิสัย ก็ยังมีกองทุนที่มาเยียวยาช่วยเหลือทันที โดยไม่ต้องควักเงินตนเองออกมาโดยไม่จำเป็น
       
       ไม่จริง การจ่ายเงินสมทบของสถานพยาบาลคำนึงถึงความถี่หรือความรุนแรงของการเกิดความเสียหาย ดังนั้นหากเกิดความเสียหายน้อยก็จะถูกสมทบน้อยลง
       
       ***แพทย์ พยาบาล และบุคลากรผู้ให้บริการสาธารณสุขอื่นๆ ก็ได้ประโยชน์โดยตรงจาก พรบ.นี้
       
       จริง เนื่อง จาก พ.ร.บ.นี้ชดเชยเยียวยาให้แก่ผู้ใดก็ตามที่อยู่ในกระบวนการการให้บริการ สาธารณสุข ซึ่งรวมทั้งแพทย์ พยาบาล และบุคลากร ด้วย เช่น หากมีป่วยจากการติดเชื้อโรคเพราะให้การรักษาพยาบาลกับผู้ป่วย หรืออุบัติเหตุอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน ก็สามารถเรียกร้องการเยียวยาจากกองทุนได้
       
       ***แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์จะค่อยๆ ทยอยลาออกจากงานเพราะแรงกดดันของ พรบ.
       
       ไม่จริง ผลของ พ.ร.บ.จะทำให้แพทย์และพยาบาลทำงานอย่างสบายใจขึ้น เพราะหากมีความผิดพลาดเกิดขึ้น ผู้ป่วยได้รับการเยียวยาทันที ไม่มาร้องเรียนกดดันแพทย์อย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ เมื่อไม่จำเป็นต้องหาคนผิดหรือหาคนจ่ายค่าชดเชย จะทำให้แพทย์และคนไข้มีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น ไม่ต้องมาเผชิญหน้า หรือหนีหน้ากัน อย่างที่เคยเกิดขึ้น จะทำให้แพทย์และบุคลากรมีเกราะป้องกัน ในขณะที่ผู้ป่วยมีกองทุนรองรับบรรเทาความเดือดร้อน
       
       ***แพทย์สภาจะหมดความหมาย
       
       จริงและไม่จริง
       
       จริง ในประเด็นการรับเรื่องร้องเรียน เพราะประชาชนจะร้องเรียนกับแพทยสภาน้อยลง แต่ไม่ได้หมดความหมาย
       
       ไม่จริง แพทยสภาจะไม่หมดความหมาย เพราะแพทยสภาคือสภาวิชาชีพ ที่มีหน้าที่หลักในการทำให้วิชาชีพมีจริยธรรม และควบคุมกำกับจรรยาบรรณผู้ประกอบวิชาชีพ เหล่านี้ยังเป็นหน้าที่หลักของแพทยสภา และแพทยสภายังมีภารกิจอีกมาก เช่น ควบคุมคุณภาพและมาตรฐานการจัดการศึกษาแพทย์ เป็นต้น

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    9 สิงหาคม 2553

2560
ห้องพักผ่อนรวม (Common Room) / ่Just a Joke#5---Not at the same time
« เมื่อ: 18 สิงหาคม 2010, 01:39:27 »
One day The Lord came to Adam, and said, "I've got some good news and some bad news."
Adam said, "Well, give me the good news first."

The Lord explained, "I've got two new organs for you.

One is called a brain. It will allow you to create new things, solve problems, and have intelligent conversations with Eve.

The other organ I have for you is called a penis. It will give you great physical pleasure and allow you to reproduce your now intelligent life form and populate this planet. Eve will be very happy that you now have this organ to give her children."

Adam, very excited, exclaimed, "These are great gifts you have given to me. What could possibly be bad news after such great tidings?"

The Lord looked upon Adam and said with great sorrow, "You will never be able to use these two gifts at the same time."

2561

แถลงข่าว
ขอให้นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน ออกมาแสดงความรับผิดชอบอย่างลูกผู้ชาย

        ศาสตราจารย์คลินิกนายแพทย์อำนาจ กุสลานันท์ อุปนายกแพทยสภาคนที่ 1 ได้แถลงข่าวขอให้นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน ออกมาแสดงความรับผิดชอบกรณีที่ได้กล่าวพาดพิงหน่วยงานต่างๆ และบุคคลหลายคนให้ได้รับความเสียหายในบทความเรื่อง “ ความเท็จและความจริงเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหาย ฯ (2)”
ที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ 3 สิงหาคม 2553 ในการวิพากษ์วิจารณ์คดีที่อำเภอร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช ดังนี้
1.   นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน ได้กล่าวว่า “ มีหลักฐานข้อเท็จจริงชัดเจนว่า แพทย์บกพร่อง
ผิดพลาดในการฉีดยาเข้าช่องสันหลังคนไข้เพื่อผ่าตัดไส้ติ่งแล้วเกิดอาการแทรกซ้อน ยาชามีผลทำให้ไขสันหลังส่วนต้นไม่ทำงาน ( High Block) ทำให้กล้ามเนื้อที่ควบคุมการหายใจบริเวณทรวงอกไม่ทำงานเกิดการหยุดหายใจ ”
   ขอให้ท่านแสดงหลักฐานข้อเท็จจริงออกมาไม่ใช่กล่าวลอยๆ เช่นนี้ เพราะคดีนี้ (คดีหมายเลขดำที่ 974/2551 คดีหมายเลขแดงที่ 1648/2551 ) ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ได้มีคำพิพากษาแล้วว่า  ผู้ตายตอบสนองต่อยาชาที่ไว และมากกว่าปกติเป็นเหตุให้ผู้ป่วยหยุดการหายใจ และหัวใจหยุดเต้นเป็นสาเหตุให้ถึงแก่ความตาย แพทย์หญิงที่เป็นจำเลยมิได้กระทำโดยประมาทจึงพิพากษายกฟ้อง และคดีนี้ได้สิ้นสุดแล้ว
ดังนั้น การวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวของท่านจึงน่าจะเข้าข่ายความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล

2.   นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน ได้กล่าวว่า “ มีพยานหลักฐานว่า คดีนี้กรรมการแพทยสภา
บางคนได้ไปยุให้แพทย์สู้คดี และให้การปฏิเสธ จึงเป็นผลให้ศาลชั้นต้นต้องตัดสินลงโทษจำคุกโดยไม่มีการรอลงอาญา”
ขอให้ท่านแสดงพยานหลักฐานออกมา เพราะเรื่องนี้แพทย์หญิงที่เป็นจำเลยได้ยืนยันมาโดยตลอด
ว่าได้ตัดสินใจต่อสู้คดีเอง เพราะไม่ได้กระทำผิด

3.   นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน ได้กล่าวว่า “ในบันทึกการตรวจศพของสถาบันนิติเวชวิทยา
สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีข้อเคลือบแคลงว่าน่าจะเป็นการบันทึกข้อมูลที่เป็นเท็จ”
ขอให้ท่านแสดงหลักฐานออกมาหากมีจริงแพทยสภาจะทำการตรวจสอบ หากไม่จริงท่านต้อง
รับผิดชอบ

4.   นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน ได้กล่าวว่า “ กรรมการแพทยสภาหลายคนพูดเท็จหลาย
ครั้งว่ามีการใส่กุญแจมือและขังคุกแพทย์ผู้นั้น ”
   ความเป็นจริงคือ เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2548 อัยการได้นำตัวแพทย์หญิงยื่นฟ้องต่อศาลระหว่างรอประกันตัว แพทย์ได้ถูกควบคุมตัวที่ศาลโดยได้รับเกียรติ 3 ประการ คือ ไม่ต้องถูกใส่กุญแจมือ  ได้อยู่ในห้องขังชั้นนอก และไม่ปิดประตูห้องขัง ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยพูด และไม่เคยได้ยินกรรมการแพทยสภาท่านใดพูดว่า แพทย์ถูกใส่กุญแจมือ และขังคุกแพทย์
   ดังนั้นขอให้ท่านแสดงหลักฐานออกมา
   คำกล่าวของท่านได้ทำให้หลายหน่วยงาน และบุคคลหลายคนได้รับความเสียหาย สังคมเข้าใจผิด ดังนั้นจึงขอให้ท่านแสดงพยานหลักฐานออกมา มิใช่กล่าวลอยๆ เช่นนั้น

ถ้าสำนึกผิดได้ขอให้กล่าวคำขอโทษออกมาอย่างลูกผู้ชาย

2562
" ผู้นำเก่ง แต่ลืมกล้า พาล่มจม " (ตาโป๋เป่าปี่) 
 
 
 
 " ปรองดองกันทั้งชาติอำมาตร์ไพร่
 ปรองดองไทยเขมรครับขยับหมุด
 ปรองดองอันธพาลเผาบ้านทรุด
 ปรองดองขุดโค่นป่ามาทำทาง
 ปรองดองเอ็นจีวีที่เคยค้าน
 ปรองดองผลาญ งบฯจัด ไม่ขัดขวาง
 ปรองดองจับพันธมิตรติดตะราง
 ปรองดองอ้าง มาตรการ ฐานเดียวกัน
 นี่หรือ "ร้อยฝัน วันฟ้าใหม่"
 หลงเคลิ้มไป แท้ยกเมฆมาเสกสรรค์
 นิติรัฐนิติไทยอยู่ไหนกัน
 คอรัปชั่น ว่าจะปราบ งาบเสียเอง
 คนเก่งมีทั้งชาติขาดคนกล้า
 อย่าง "พงษ์พัฒน์" กลับมีหน้ามาข่มเหง
 พวกคนชั่วได้ใจไม่กลัวเกรง
 ผู้นำเก่ง แต่ลืมกล้า พาล่มจม "

 บทกลอนข้างต้นเป็นของผู้ใช้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า Buppa Thirati ส่งเข้าไปในโทรศัพท์มือถือของ คุณประพันธ์ คูณมี เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เป็นบทกลอนที่บอกอะไรหลายอย่างของเหตุการณ์บ้านเมืองในขณะนี้

 ต้องบอกว่าแต่งได้เก่งมาก

 ร้อยเรียงด้วยถ้อยคำที่กระทัดรัดในความหมายของเนื้อหาและสัมผัสของกลอนตามความเป็นจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง โดยเฉพาะประโยคปิดท้ายของกลอนบทนี้ที่ว่า "ผู้นำเก่ง แต่ลืมกล้า พาล่มจม"

 สอนให้ผู้นำต้องรู้จักความกล้าด้วย ไม่ใช่เก่งแต่เพียงอย่างเดียว เพราะถ้าผู้นำไม่กล้า ผู้นำนั้นพาชาติบ้านเมืองล่มจมได้ง่าย

 บ้านเมืองยามนี้ต้องการผู้นำที่มีทั้งความเก่งและความกล้าเป็นคุณสมบัติ ความเก่งที่ว่านี้ไม่ได้อยู่ที่ต้องเล่าเรียนมาสูงๆเพียงอย่างเดียว ต้องมีความเก่งที่จะรู้ว่าปัญหาที่จะต้องแก้ไขในฐานะเป็นผู้นำนั้นมีอะไรบ้าง ปัญหาใดที่ควรแก้ไขก่อนตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ด้วยการปฏิบัติจริง ไม่ใช่เก่งแต่ปากเท่านั้น

 ส่วนความกล้านั้นเป็นความกล้าที่จะตัดสินใจในการแก้ไขปัญหาที่ต้องแก้บนพื้นฐานของความถูกต้องด้วยอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ ไม่ผลักปัญหาไปให้คนอื่นทำคนอื่นคิดด้วยวิธีตั้งคณะกรรมการที่ไม่จำเป็นอะไรเพราะกลัวโน่นกลัวนี่

 ต้องรู้ว่าความกลัวทำให้เสื่อม

 ความกลัวฉุดรั้งความกล้ามิให้แสดงออก ซึ่งมีที่มาจากเรื่องใหญ่ 2 เรื่อง นั้นก็คือ กลัวสิ่งที่มีอยู่จะหมดไป และ กลัวไม่ได้สิ่งที่ต้องการ

 กลัวจะไม่ได้เป็นรัฐบาล และกลัวจะไม่ได้เป็นรัฐบาลจนครบวาระ เป็นความกลัวที่ทำให้เกิดสิ่งต่างๆตามที่กลอนข้างต้นสาธยายไว้

 ปีเศษที่ผ่านไปของการบริหารจัดการบ้านเมืองของผู้นำขณะนี้ เราจึงไม่ค่อยจะได้เห็นความกล้าในการทำงาน หรือความกล้าในการตัดสินใจแก้ไขปัญหาร้ายแรงที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองจากผู้นำ ไม่กล้าแม้กระทั่งจะยับยั้งขัดขวางการกระทำที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมของพวกเดียวกัน โดยเฉพาะรัฐมนตรีร่วมคณะที่กำลังล้วงลักควักเงินแผ่นดินไปเป็นผลประโยชน์ของตนเองจากโครงการต่างๆที่เสนอกันเข้าไปแบ่งปันกันในการประชุมคณะรัฐมนตรีในการประชุมแต่ละครั้ง

 ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศที่ไม่ชอบหน้า "ทักษิณ" ก็เพราะ "ทักษิณ" เป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก พูดอย่างทำอย่าง บริหารบ้านเมืองด้วยการสมรู้ร่วมคิดให้เกิดการทุจริตคอรัปชั่น ไม่มีความกล้าที่จะจัดการกับความไม่ถูกต้องชอบธรรม ปล่อยให้หากินกันอย่างไม่เกรงใจประชาชน มีประโยชน์ทับซ้อนทั้งตนเองและหมู่พวก ไม่ใช่คนที่เสียสละเข้ามาทำงานเพื่อส่วนรวม คุณสมบัติของผู้นำอย่างนี้จึงอยู่ไม่ได้

 ประชาชนต้องการผู้นำที่ไม่มีคุณสมบัติอย่าง "ทักษิณ" มาเป็นผู้บริหารประเทศ แต่ก็ดูเหมือนว่าขณะนี้ประชาชนกำลังประสบกับสิ่งนี้อีกครั้งหนึ่ง

 ในท่ามกลางความวิกฤติต่างๆที่ยังรุนแรงส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในขณะนี้ ประชาชนจึงต้องการจะเห็นผู้นำที่ซื่อสัตย์สุจริต มีคุณธรรมและมีความกล้าที่จะต่อสู้กับความไม่ถูกต้องทั้งหลายในบ้านเมือง และมีความเด็ดขาดในการตัดสินใจบริหารจัดการบ้านเมืองด้วยความเสียสละเพื่อส่วนรวม

 เก่งอย่างเดียวแต่ไม่กล้าจึงเป็นคุณสมบัติที่ยังไม่สมบูรณ์ของคนเป็นผู้นำในยามนี้ จะเป็นอย่างที่กลอนข้างต้นว่าไว้ในบรรทัดสุดท้ายนั่นเองคือ "ผู้นำเก่ง แต่ลืมกล้า พาล่มจม"



2563
ห้องพักผ่อนรวม (Common Room) / Just a Joke#4---A Man & A Womon
« เมื่อ: 07 สิงหาคม 2010, 00:33:17 »
A women worries about the future until she gets a husband.
A husband doesn't worry about the future until he gets a wife.

A successful man is one who makes more money than his wife can spend.
A successful women is one who can find such a man.

In arguments a woman has the last word.
Anything a man says after that is the beginning of a new argument.

A woman will dress up to go shopping, water the plants,
empty the garbage, answer the phone, and read a book.
A man will get dressed up for weddings and funerals.

2564
ห้องพักผ่อนรวม (Common Room) / Just a Joke#3---Why---married /divorced
« เมื่อ: 01 สิงหาคม 2010, 12:56:32 »
She married him because he was such a "strong man"
She divorced him because he was such a "dominating male."

He married her because she was so "fragile and petite."
He divorced her because she was so "weak and helpless."

She married him because "he knows how to provide a good living."
She divorced him because "all he thinks about is business."

He married her because "she reminds me of my mother."
He divorced her because "she's getting more like her mother every day."

She married him because he was "happy and romantic."
She divorced him because he was "shiftless and fun-loving."

He married her because she was "steady and sensible."
He divorced her because she was "boring and dull."

She married him because he was "the life of the party."
She divorced him because "he never wants to come home from a party."

2565
ห้องพักผ่อนรวม (Common Room) / Just a Joke#2---Just...wrong number!
« เมื่อ: 01 สิงหาคม 2010, 12:53:15 »
It was Saturday morning and John's just about to set off
on a round of golf when he realizes that he forgot to tell his wife that the guy who fixes the washing machine is coming around at noon.

So John heads back to the clubhouse and phones home.
"Hello?" says a little girl's voice.

"Hi, honey, it's Daddy," says John. "Is Mommy near the phone?"

"No, Daddy. She's upstairs in the bedroom with Uncle Fred."

After a brief pause, John says, "But you haven't got an Uncle Fred, honey!"

"Yes, I do, and he's upstairs in the bedroom with Mommy!"

"Okay, then. Here's what I want you do. Put down the phone,
run upstairs and knock on the bedroom door and shout in to Mommy
and Uncle Fred that my car's just pulled up outside the house."

"Okay, Daddy!" A few minutes later, the little girl comes back to the phone.
"Well, I did what you said, Daddy."

"And what happened?"

"Well, Mommy jumped out of bed and ran around screaming,
then she tripped over the rug and went out the front window and now she's all dead."

"Oh, my God! What about Uncle Fred?"

"He jumped out of bed too, and he was all scared,
and he jumped out the back window into the swimming pool.
But he must have forgot that last week you took out all the water to clean it,
so he hit the bottom of the swimming pool and now he's dead too."

There is a long pause.

"Swimming pool? Is this 555-3097 ?"

หน้า: 1 ... 169 170 [171] 172