ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 2-7 ธ.ค.2556  (อ่าน 837 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9787
    • ดูรายละเอียด
สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 2-7 ธ.ค.2556
« เมื่อ: 08 ธันวาคม 2013, 23:42:57 »
1. “ในหลวง” ทรงมีพระราชดำรัสให้ทุกคนทำหน้าที่ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของชาติ!
       
       เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. เวลา 10.12น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จออกมหาสมาคมในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธ.ค.2556 ณ ท้องพระโรง ศาลาราชประชาสมาคม วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในการนี้ พระบรมวงศานุวงศ์แทบทุกพระองค์ร่วมเสด็จฯ ด้วย ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระพักตร์แจ่มใส พระพลานามัยแข็งแรง และระหว่างเสด็จโดยรถยนต์พระที่นั่ง จากพระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล เพื่อไปยังศาลาราชประชาสมาคม ระยะทางประมาณ 700 เมตร พระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์และโบกพระหัตถ์ให้พสกนิกรที่เฝ้ารับเสด็จตลอด 2 ข้างทาง ขณะที่พสกนิกรนับหมื่นคนพร้อมใจกันใส่เสื้อสีเหลืองมาเฝ้ารับเสด็จและต่างเปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ บางคนถึงกับก้มลงกราบพื้นด้วยความเคารพ ขณะที่หลายคนปลื้มปีติจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
       
       ต่อมา เวลา 10.35น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฉลองพระองค์ทรงเครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์ พร้อมเครื่องแบบเต็มยศ ได้เสด็จขึ้นประทับบนพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ ภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร เสด็จออกท้องพระโรง ศาลาราชประชาสมาคม พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้พระบรมวงศานุวงศ์ คณะองคมนตรี คณะรัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภา ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ตลอดจนพสกนิกรทุกหมู่เหล่า เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
       
       จากนั้น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร ได้กราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคลแทนพระบรมวงศานุวงศ์ หลังจากนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ,นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา และ พล.อ.ธนะศักดิ์ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้กราบบังคมทูลถวายพระพร ตามลำดับ ทั้งนี้ พล.อ.ธนะศักดิ์ พร้อมด้วยผู้บัญชาการทุกเหล่าทัพ ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ทหารรักษาพระองค์ และทหารทุกหน่วย ทุกเหล่าทัพ ได้ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสถวายสัตย์ปฏิญาณว่า “ข้าพระพุทธเจ้าจักยอมตายเพื่อรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้า ข้าพระพุทธเจ้าจักจงรักภักดีและถวายความปลอดภัยต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจนชีวิตหาไม่ ข้าพระพุทธจ้าจักเชิดชูไว้ซึ่งเกียรติยศของทหารรักษาพระองค์ ทั้งจักปฏิบัติตนให้เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททุกประการ”
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า ในการเข้าเฝ้าถวายพระพรครั้งนี้ ไม่มีประธานศาลฎีกากล่าวถวายพระพรดังเช่นทุกปี ท่ามกลางข้อสงสัยว่ารัฐบาลได้เชิญประธานศาลฎีกาเข้าร่วมถวายพระพรด้วยหรือไม่ เพราะรัฐบาลและรัฐสภาเสียงข้างมากกำลังก่อวิกฤตศาล ด้วยการไม่ยอมรับอำนาจและคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญทีชี้ว่านายกฯ และรัฐสภาเสียงข้างมาก 312 คนแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มา ส.ว.โดยฉ้อฉลและทุจริต
       
       โอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสตอบผู้เข้าเฝ้าถวายพระพร ความว่า”ขอขอบพระทัยและขอบใจท่านทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง ที่มีไมตรีจิตพรั่งพร้อมกันมาให้พรวันเกิด รวมทั้งให้คำมั่นสัญญาโดยประการต่างๆ ข้าพเจ้าขอสนองพรและไมตรีจิตเหล่านั้นด้วยใจจริงเช่นกัน บ้านเมืองของเราเป็นปึกแผ่นมั่นคง และร่มเย็นเป็นสุขสืบมาช้านาน เพราะเรามีความยึดมั่นในชาติ และต่างบำเพ็ญกรณียกิจตามหน้าที่ให้สอดคล้องเกื้อกูลกัน เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของชาติ คนไทยทุกคนจึงควรจะได้ตระหนักในข้อนี้ให้มาก แล้วตั้งใจประพฤติตัวปฏิบัติงาน ให้สมแก่ฐานะและหน้าที่เพื่อให้สำเร็จประโยชน์ส่วนรวม คือความมั่นคงปลอดภัยของชาติบ้านเมืองไทย ขออำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงคุ้มครองรักษาท่านทุกคน ให้มีแต่ความผาสุกร่มเย็นตลอดไป”
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่มีการถ่ายทอดสดพระราชพิธีผ่านจอแอลซีดีขนาดใหญ่ ที่ติดตั้งบริเวณริมถนนเพชรเกษม ด้านหน้าวังไกลกังวล ปรากฏว่า ในช่วงที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์กราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคลนั้น ประชาชนที่เฝ้ารับเสด็จจำนวนมากได้พากันโห่ร้องขับไล่เสียงดังไปทั้งบริเวณ แต่เมื่อภาพถ่ายทอดสดตัดมาที่งานพระราชพิธี ทุกคนต่างพร้อมใจกันหยุดโห่ และร่วมกันเปล่งเสียงทรงพระเจริญอย่างกึกก้อง
       
       ทั้งนี้ ก่อนหน้าจะถึงวันที่ 5 ธ.ค.สภาทนายความ ได้ออกแถลงการณ์ว่า นายกฯ และ 312 ส.ส. ส.ว.มิบังควรเข้าเฝ้าถวายพระพร เพราะการที่นายกฯ และ 312 ส.ส. ส.ว.ไม่ยอมรับอำนาจและคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณีตัดสินว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มา ส.ว.ที่เสนอและลงมติเห็นชอบโดย 312 ส.ส. ส.ว.ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 เข้าข่ายเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศด้วยวิธีการที่ไม่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการที่นายกฯ ไม่กราบบังคมทูลขอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวกลับคืน เท่ากับเป็นการปฏิเสธพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในทางตุลาการที่ทรงใช้ผ่านศาล แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังคงเดินหน้าเข้าเฝ้าถวายพระพรดังกล่าว
       
       ทั้งนี้ ในช่วงค่ำ นอกจากจะมีการจัดพิธีจุดเทียนชัยถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่บริเวณท้องสนามหลวง โดยมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธานแล้ว ทางผู้ชุมนุมกลุ่ม กปปส.ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ทั้งที่ศูนย์ราชการฯ และถนนราชดำเนินต่างพร้อมใจกันจัดพิธีจุดเทียนชัยถวายพระพรเช่นกัน ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ประชาชนเดินทางมาร่วมจุดเทียนชัยกับผู้ชุมนุม กปปส.อย่างล้นหลามทั้งที่ศูนย์ราชการฯ และถนนราชดำเนิน ขณะที่บริเวณท้องสนามหลวง มีประชาชนมาร่วมอย่างบางตา
       
       ด้านนายสุเทพ ได้นำมวลชนถวายพระพรชัยมงคล พร้อมกล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณว่า “จะประพฤติปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดี เป็นพลังในการพิทักษ์ราชบัลลังก์และรัฐธรรมนูญ จะทำหน้าที่ให้สอดคล้องเกื้อกูลกันเพื่อประโยชน์ของชาติ จะดำรงตนด้วยความซื่อสัตย์สุจริต พอเพียง ยึดมั่นในความกตัญญูต่อแผ่นดินไทย จะรับใช้พระราชกรณียกิจ เดินตามรอยพระยุคลบาท ยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และพร้อมรวมพลังรวมใจเพื่อพิทักษ์ราชบัลลังก์ รัฐธรรมนูญ ทุกวิถีทางจวบจนกว่าชีวิตจะหาไม่”
       
       2. “สุเทพ” ประกาศสู้ยกสุดท้าย 9 ธ.ค. ถนนทุกสายมุ่งสู่ทำเนียบฯ ลั่น หากมวลชนน้อย พร้อมมอบตัวยอมติดคุกฐานกบฏ!

       ความคืบหน้าการชุมนุมของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.) ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นเลขาธิการ หลังจากเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.ได้มีการแบ่งมวลชนเพื่อยึดสถานที่ราชการหลายแห่ง เพื่อแสดงสัญลักษณ์ไม่ต้องการให้ข้าราชการทำงานรับใช้ระบอบทักษิณและรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ขาดความชอบธรรมแล้ว ซึ่งผู้ชุมนุมสามารถเข้าไปภายในบริเวณกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงมหาดไทยได้ โดยไม่ได้รุกล้ำเข้าไปภายในอาคาร แต่ยังไม่สามารถเข้าไปยังบริเวณสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ,กองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) และทำเนียบรัฐบาลได้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจป้องกันสถานที่อย่างเต็มที่ด้วยการขว้างและยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ผู้ชุมนุมอย่างหนัก รวมทั้งมีการใช้อาวุธปืนยิงใส่ผู้ชุมนุมด้วย ทั้งกระสุนยางและกระสุนจริง
       
       อย่างไรก็ตาม พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย(ศอ.รส.) อ้างว่า เจ้าหน้าที่ไม่มีการใช้กระสุนยางและกระสุนจริง แต่สุดท้ายความจริงก็ถูกเปิดเผยเมื่อ รศ.นพ.สมศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ออกมายืนยันว่า มีผู้ชุมนุมถูกส่งมารักษาที่โรงพยาบาลฯ 4 คน โดย 2 คนถูกยิงด้วยกระสุนจริง คนแรกถูกยิงที่ขาขวาทำให้กระดูกแตก คนที่ 2 ถูกยิงที่หน้าอก อาการสาหัส มีโอกาสเสียชีวิตสูง หากไม่เสียชีวิตก็อาจเป็นอัมพาต
       
       วันต่อมา(2 ธ.ค.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ออกมาแถลงยืนยัน จะไม่ทำตัวให้เป็นเงื่อนไขหรือเป็นตัวปัญหาสำหรับประชาชน อะไรที่ทำให้คืนความสงบสุขได้ก็ยินดี แต่ต้องอยู่ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ พร้อมอ้างว่า ข้อเสนอของนายสุเทพที่ให้จัดตั้งสภาประชาชนนั้น ไม่มีกฎหมายรองรับ
       
       ด้านผู้ชุมนุมได้พยายามรุกเข้า บช.น.อีกครั้งเป็นวันที่สอง(2 ธ.ค.) แต่ก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจระดมยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่อย่างหนักเหมือนเดิม เมื่อสถานการณ์เริ่มตึงเครียด มีรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ได้ประสานขอให้ตำรวจหยุดยิงแก๊สน้ำตา เพราะภาพที่ออกมาไม่เป็นผลดีต่อประเทศ พร้อมกันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยังได้สั่งให้ทหารเสนารักษ์ กรมแพทย์ทหารบก เข้าช่วยปฐมพยาบาลผู้ชุมนุมที่ได้รับบาดเจ็บด้วย
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังตำรวจระดมยิงแก๊สน้ำตาและกระสุนยาง รวมทั้งกระสุนจริงใส่ผู้ชุมนุม จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ปรากฏว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้มอบเงิน 4 ล้านบาทให้ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล นำไปมอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจแต่ละจุดเพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ด้วย
       
       ด้านนายสุเทพ ประกาศบนเวทีปราศรัยว่า จะยึด บช.น.ให้เป็นของประชาชนให้ได้ในวันที่ 3 ธ.ค. ซึ่งเมื่อถึงกำหนด ปรากฏว่า ตำรวจเปลี่ยนท่าที นอกจากจะไม่ใช้แก๊สน้ำตากับผู้ชุมนุมแล้ว ยังปรบมือต้อนรับและให้ผู้ชุมนุมเข้าไปภายใน บช.น.ด้วย รวมทั้งไม่ขัดขวางผู้ชุมนุมที่ต้องการเข้าไปในบริเวณทำเนียบรัฐบาล ซึ่งหลังจากผู้ชุมนุมได้เข้าไปแสดงสัญลักษณ์และประกาศชัยชนะในทำเนียบฯ แล้ว ก็ได้เคลื่อนขบวนกลับที่ตั้งดังเดิม โดยนายสุเทพ พูดถึงเหตุที่ไม่ปักหลักในทำเนียบรัฐบาลว่า เพราะต้องการให้เกียรติทหารที่รักษาการอยู่ภายในทำเนียบฯ
       
       ต่อมาวันที่ 4 ธ.ค. ผู้ชุมนุมได้เคลื่อนไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากนั้น นายถาวร เสนเนียม ตัวแทน กปปส.ได้เข้าเจรจาพร้อมยื่นข้อเรียกร้องต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ให้ตำรวจเร่งจับกุมผู้ที่ก่อเหตุทำร้ายนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก พร้อมขีดเส้นให้มีความชัดเจนเรื่องนี้ใน 7 วัน ไม่เช่นนั้นจะมาทวงถาม นอกจากนี้ยังขอให้ ผบ.ตร.กำชับทุกหน่วยห้ามใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม
       
       ขณะที่ศูนย์เอราวัณ กรุงเทพมหานคร ได้สรุปตัวเลขผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุสลายการชุมนุมด้วยแก๊สน้ำตา รวมทั้งเหตุการณ์ทำร้ายนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง ระหว่างวันที่ 30 พ.ย.-3 ธ.ค.ว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 277 ราย เสียชีวิต 4 ราย
       
       ด้านนายสุเทพ ได้ปราศรัยบนเวทีที่ศูนย์ราชการฯ เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.ว่า กปปส.จะจัดพิธีจุดเทียนชัยถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวันที่ 5 ธ.ค. หลังจากนั้นวันที่ 6 ธ.ค.จะลั่นกลองรบอีกครั้ง พร้อมย้ำว่า การต่อสู้ของ กปปส.ในฐานะผู้พิทักษ์รัฐธรรมนูญ มีเป้าหมายเพื่อทวงคืนอำนาจอธิปไตยประชาชนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 และมาตรา 7 เนื่องจากรัฐบาลและรัฐสภาที่ประชาชนมอบอำนาจให้ ใช้อำนาจโดยไม่เคารพกฎหมาย จึงมีความชอบธรรมที่ประชาชนจะทวงคืนอำนาจ
       
       ขณะที่ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย(ทปอ.) ที่มี ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นประธาน ได้ออกแถลงการณ์ชี้ทางออกให้บ้านเมือง โดยเสนอให้ยุบสภา และรัฐบาลลาออก แล้วตั้งรัฐบาลรักษาการที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายมาบริหารประเทศ พร้อมยกตัวอย่างว่า การดำเนินการแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี อย่างไรก็ตาม ส.ส.พรรคเพื่อไทย รวมทั้งนักวิชาการสายเสื้อแดงต่างออกมาคัดค้านทั้งข้อเสนอของ ทปอ.และนายสุเทพ พร้อมดิสเครดิต ทปอ.ว่าไม่เป็นกลาง และเข้าข้างนายสุเทพ
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่เพียงรัฐบาลจะไม่ตอบรับข้อเสนอของนายสุเทพและ ทปอ. แต่ดูเหมือนรัฐบาลพยายามตามบี้ผู้ชุมนุมด้วยสารพัดวิธี สังเกตได้จากการที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งได้รับมอบหมายให้กำกับดูแล ศอ.รส.แทน พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ได้ออกมาสั่งให้ ผบ.ตร.ออกหมายจับผู้ที่ให้การสนับสนุนนายสุเทพ ฐานสนับสนุนกบฏ นอกจากนี้รัฐบาลยังให้แกนนำ นปช.อย่างนายจตุพร พรหมพันธุ์ ,นายวีระกานต์ หรือวีระ มุสิกพงศ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กลับมาจัดรายการ “ความจริงวันนี้” ที่สถานีโทรทัศน์ช่อง 11 อีกครั้ง หลังแกนนำ นปช.เหล่านี้ปราศรัยยุยงปลุกปั่นคนเสื้อแดงที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน จนมีการทำร้ายนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อวันที่ 30 พ.ย. ไม่เท่านั้นล่าสุด ยังมีแก๊งมอเตอร์ไซค์บุกก่อกวนผู้ชุมนุมกลุ่ม กปปส.ทั้งที่กระทรวงการคลังและสี่แยกคอกวัว โดยใช้ทั้งอาวุธปืนและระเบิดปิงปอง ส่งผลให้การ์ดผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บหลายราย ซึ่งตำรวจอ้างว่าเป็นมือที่สามที่ต้องการสร้างสถานการณ์
       
       ด้านนายสุเทพ ได้ประกาศบนเวทีปราศรัยที่ศูนย์ราชการฯ เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.ว่า ถึงเวลาต้องกำหนดวันจบของการต่อสู้ครั้งนี้แล้ว คือวันจันทร์ที่ 9 ธ.ค. เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะต่อสู้ยืดเยื้อ “วันที่ 9 ธ.ค. ให้เห็นดำเห็นแดงกันเลย นัดหมายกันเลยเวลา 09.39น. ลุกฮือทั่วประเทศทวงอำนาจอธิปไตยคืน ลุกให้พร้อมกันทั่วประเทศ คนในต่างจังหวัดลุกขึ้นเดินขบวนในจังหวัดและมุ่งหน้าไปศาลากลางจังหวัด ไม่ต้องบุกรุก ปิดทางไม่ให้เข้าไปทำงาน นิสิตนักศึกษานักเรียนทุกแห่งลุกขึ้นพร้อมกัน ปฏิเสธไม่รับรัฐบาลนี้ ไม่รับระบอบทักษิณ”
       
       ส่วนคนกรุงเทพฯ ให้ชวนลูกเมียเดินไปตามถนนทั่วกรุงเทพฯ ถนนทุกสายมุ่งหน้าไปทำเนียบรัฐบาลเพื่อเอาอำนาจประชาชนคืนมา “ตัดเชือกกันเลย คนที่อยู่ต่างจังหวัดที่เคยมาร่วมต่อสู้ กลับมาราชดำเนินได้แล้ว มาใหม่ ยกสุดท้ายแล้ว ชนะเขาได้ก็เป็นไท แพ้เขาก็ก้มหน้าเป็นขี้ข้าเขา แพ้เป็นแพ้ ชนะเป็นชนะ ถ้าพี่น้องไม่มา พวกเราก็พร้อมจะยอมรับความพ่ายแพ้ ผมขอประกาศว่านี่คือการเป่านกหวีดครั้งสุดท้าย ถ้าพี่น้องและข้าราชการทั้งหลายไม่เลือกข้าง ไม่ออกมา พวกผมยอม ผมจะเดินไปมอบตัว เข้าคุก ไม่สู้แล้ว วัดกันไปเลย จะได้ไม่ต้องยืดเยื้อ ผมและพี่น้องปรึกษากันแล้วยอมติดคุกข้อหากบฏ จะเอาโทษถึงประหารชีวิตก็ได้ เพราะเป็นชีวิตผม 9 คน ดีกว่าจะเอาชีวิตของพี่น้องไปเสี่ยง” นายสุเทพ ยังบอกด้วยว่า ตนจะเดินนำหน้าพี่น้องไปทำเนียบรัฐบาล แต่จะไม่เข้าไปในทำเนียบฯ เพราะให้เกียรติทหาร แต่ก็อยากดูใจทหารในเช้าวันที่ 9 ธ.ค.เหมือนกัน
       
       3. ปชป.-พท.ไม่ส่งผู้สมัครเลือกตั้งซ่อม ส.ส. 8 เขต ส่งผลไร้เงาผู้สมัคร 3 จังหวัดใต้ ด้าน กกต.เล็งยืดเวลารับสมัคร!

       เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ได้เปิดรับสมัครผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส.8 เขต ใน 6 จังหวัด หลัง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ 8 คนลาออกเพื่อเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลและปฏิรูปประเทศ ประกอบด้วย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี เขต 2 ,นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง เขต 2 ,นายถาวร เสนเนียม ส.ส.สงขลา เขต 6 ,นายวิทยา แก้วภราดัย ส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 3 ,นายชุมพล จุลใส ส.ส.ชุมพร เขต 1 ,นายพุทธิพงศ์ ปุณณกันต์ ,นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ,นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ส.ส.กทม. โดย กกต.เปิดรับสมัครเป็นเวลา 5 วัน ตั้งแต่วันที่ 2-6 ธ.ค. และกำหนดเลือกตั้งในวันที่ 22 ธ.ค.
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า ทั้งพรรคเพื่อไทย(พท.) และพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ต่างมีมติไม่ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ โดยพรรคเพื่อไทย นายจารุพงศ์ เรืองสุวรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวพน้าพรรค เผยว่า พรรคจะไม่ร่วมสังฆกรรมกับพวกที่ลาออกจากการเป็น ส.ส.มาทำตัวเป็นม็อบข้างถนน เพื่อล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ดังนั้นพรรคจึงขอบอยคอตและจะไม่ให้ความร่วมมือกับการเลือกตั้งซ่อม พรรคประชาธิปัตย์อยากจะทำอะไร อยากจะเล่นอะไร ก็ทำไปเลยฝ่ายเดียว พรรคเพื่อไทยไม่สนใจ
       
       ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรค เผยเหตุที่พรรคมีมติไม่ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งซ่อมแทน ส.ส.ของพรรคที่ลาออก 8 คนว่า เนื่องจากพรรควิเคราะห์แล้วเห็นว่า สถานการณ์การเมืองขณะนี้ไม่เหมาะที่จะส่งผู้สมัคร เพราะการเลือกตั้งไม่ใช่คำตอบของประเทศ สิ่งที่รอดูคือ นายกรัฐมนตรีจะรับผิดชอบด้วยการยุบสภาหรือลาออกหรือไม่ ถ้าไม่ยุบสภา ก็แก้ปัญหาไม่ได้
       
       ทั้งนี้ หลังเปิดรับสมัครครบ 5 วัน นายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการ กกต.เผยว่า มีผู้สมัครทั้งสิ้น 19 ราย แบ่งเป็น กทม.เขตเลือกตั้งที่ 7 มี 5 ราย ,เขตเลือกตั้งที่ 26 มี 6 ราย ,เขตเลือกตั้งที่ 29 มี 5 ราย ส่วน จ.นครศรีธรรมราช เขตเลือกตั้งที่ 3 มีผู้สมัคร 2 ราย ขณะที่ จ.สงขลา เขตเลือกตั้งที่ 6 มีผู้สมัครเพียง 1 ราย ซึ่งตามกฎหมายระบุว่า เขตที่มีผู้สมัครเพียงคนเดียว จะต้องได้รับเลือกด้วยคะแนนไม่ต่ำกว่า 20% ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เป็นที่น่าสังเกตว่า มี 3 เขต 3 จังหวัดที่ไม่มีพรรคใดส่งผู้สมัครเลย ประกอบด้วย จ.ชุมพร ,ตรัง และสุราษฎร์ธานี
       
       ด้านนายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง บอกว่า สำหรับเขตที่ไม่มีผู้สมัครเลย กกต.อาจขยายวันรับสมัครออกไปอีกระยะหนึ่ง แต่ถ้าไม่ทันวันเลือกตั้งวันที่ 22 ธ.ค. อาจจะต้องเป็นพฤติการณ์พิเศษ โดยเปิดรับสมัครการเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง นายประพันธ์ ยังพูดถึงกรณีที่พรรคใหญ่ทั้ง 2 พรรคไม่ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ว่า อาจเป็นเพราะพรรคใหญ่มองเรื่องเกมการเมือง โดยลังเลว่าอาจมีการยุบสภาได้ จึงทำให้ไม่อยากส่งผู้สมัคร
       
       4. “เนลสัน แมนเดลา” รัฐบุรุษผิวสีผู้ยิ่งใหญ่ ถึงแก่อสัญกรรมแล้ว “ในหลวง-พระราชินี” ส่งพระราชสาส์นแสดงความเสียพระราชหฤทัย!
     
       
       เมื่อช่วงดึกคืนวันที่ 5 ธ.ค. นายเนลสัน แมนเดลา อดีตประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ และผู้นำในการต่อสู้เพื่อต่อต้านการเหยียดผิว จนได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เมื่อปี 2536 เสียชีวิตลงแล้วอย่างสงบที่บ้านพัก หลังต่อสู้กับหลายโรคที่รุมเร้ามาเป็นเวลานาน ขณะที่มีอายุ 95 ปี
       
        ด้านประธานาธิบดี จาคอบ ซูมา แห่งแอฟริกาใต้ แถลงให้สถานที่ราชการทั่วประเทศลดธงครึ่งเสาตั้งแต่วันที่ 6 ธ.ค.จนกว่าพิธีศพที่จะจัดขึ้นอย่างเป็นทางการจะแล้วเสร็จ นายซูมา ยังกล่าวด้วยว่า การสูญเสียครั้งนี้เท่ากับประเทศได้สูญเสีย “บุตรผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด” และชาวแอฟริกาใต้ทุกคนได้สูญเสีย “บิดา” ผู้หนึ่งไปแล้ว
       
        ขณะที่อาร์คบิชอป เดสมอนด์ ตูตู ผู้นำสูงสุดของคริสตศาสนาในแอฟริกา ออกแถลงการณ์แสดงความไว้อาลัยต่อการจากไปของนายแมนเดลา พร้อมระบุว่า แมนเดลาคือผู้ที่ใช้ความอบอุ่น ความเต็มใจที่จะรับฟัง และการให้ความสำคัญต่อผู้อื่น มาทำให้ตนเองอยู่เหนือชาติพันธุ์และชนชั้นทั้งปวง แมนเดลาสอนให้เราเคารพผู้ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเรา ไม่ว่าจะในทางสังคมหรือการเมือง ซึ่งไม่ได้เป็นการแสดงความอ่อนแอ แต่เป็นการแสดงออกถึงความเคารพในตนเองสูงสุด
       
        ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ส่งพระราชสาส์นแสดงความเสียพระราชหฤทัยไปยังประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ต่อการอสัญกรรมของนายแมนเดลา ความว่า “ข้าพเจ้าและพระราชินีเศร้าสลดใจอย่างยิ่งที่ได้ทราบว่า นายเนลสัน แมนเดลา อดีตประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ถึงแก่อสัญกรรม ข้าพเจ้าและพระราชินีขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งมายังท่าน และครอบครัวของท่านอดีตประธานาธิบดี รวมทั้งประชาชนชาวแอฟริกาใต้ ในการสูญเสียที่ไม่อาจทดแทนได้ของบุคคลสำคัญท่านนี้ ซึ่งจะได้รับการจดจำถึงการอุทิศตนเพื่อก่อให้เกิดสันติสุขขึ้นในประเทศ รวมไปถึงนานาประเทศในโลกด้วย”

ASTVผู้จัดการออนไลน์    8 ธันวาคม 2556