ผู้เขียน หัวข้อ: พบผู้ป่วย 4 โรคระบบทางเดินอาหาร-ไข้ไทฟอยด์ กว่า 6 หมื่นราย สธ.เตือนทุกพื้นที่เฝ้  (อ่าน 1028 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9779
    • ดูรายละเอียด
สธ.ชี้ สภาพอากาศปีนี้น่าห่วง เสี่ยงเกิดไฟป่าง่าย โดยเฉพาะ 8 จ.ภาคเหนือที่กำลังเกิดไฟป่า สั่งการ สสสจ.ทั่วประเทศ เฝ้าระวังโรคติดต่อช่วงภัยแล้ง เสี่ยงเกิดโรคสำคัญระบบทางเดินอาหาร-ไข้ไทฟอยด์
       
       วันนี้ (26 ก.พ) นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ว่า ช่วงอากาศแล้งและร้อนนี้เหมาะต่อการเจริญเติบโตและการแพร่ระบาดของเชื้อโรคหลายชนิด อาจเกิดการระบาดของโรคติดต่อต่างๆ ได้ ที่พบบ่อยมีรายงานผู้ป่วยทุกปี คือ โรคติดต่อทางอาหารและน้ำ ซึ่งมี 5 โรคได้แก่ โรคอุจจาระร่วง โรคอาหารเป็นพิษ โรคบิด ไข้ไทฟอยด์ หรือไข้รากสาดน้อย และโรคอหิวาตกโรค สภาพอากาศที่ร้อนและแห้งแล้งในปีนี้น่าเป็นห่วง อาจเกิดไฟป่าได้ง่ายและเพิ่มปัญหาหมอกละอองควันไฟรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะใน 8 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา แพร่ น่าน แม่ฮ่องสอน
       
       นายวิทยา กล่าวว่า ในการป้องกันโรคหน้าร้อนตั้งแต่เนิ่นๆ ได้สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ดำเนินการ 4 เรื่อง ได้แก่ 1. ให้เฝ้าระวังโรคในพื้นที่ หากพบมีผู้ป่วยเกิดขึ้น ให้รีบดำเนินการควบคุมป้องกันไม่ให้โรคแพร่ระบาดทันที
2.ให้ดูแลควบคุมมาตรฐานน้ำประปา โรงงานผลิตน้ำดื่มบรรจุขวด โรงงงานผลิตน้ำแข็ง ซึ่งในฤดูร้อนยอดการบริโภคน้ำแข็งน้ำดื่มจะสูงขึ้นกว่าฤดูกาลอื่นๆ
3.ดูแลกวดขันความสะอาดโรงอาหารโรงเรียน ร้านอาหาร แผงลอยจำหน่ายอาหาร และตลาดสด ขอความร่วมมือผู้ประกอบการดูแลความสะอาดส้วมสาธารณะต่างๆ เช่น ที่ปั๊มน้ำมัน เป็นต้น และ
4. ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ประชาชนให้รู้จักอาการของโรค การปฏิบัติตัวที่จะไม่ให้ป่วย และขอความร่วมมือให้การดูแลความสะอาดห้องส้วม ห้องครัว
       
       สำหรับปัญหาหมอกควันใน 8 จังหวัดภาคเหนือ ได้มอบหมายให้นายแพทย์สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่เพื่อติดตามผลกระทบทางสุขภาพและวางมาตรการแก้ไขปัญหา ช่วยเหลือประชาชนด้านสุขภาพร่วมกับพื้นที่ ซึ่งได้กำชับให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดแจกหน้ากากอนามัยให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงเช่นผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีโรคประจำตัว และให้เผยแพร่ความรู้ในการดูแลสุขภาพแก่ประชาชนแล้ว
       
       นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัด สธ.กล่าวว่า โรคติดต่อทางอาหารและน้ำ เป็นโรคที่พบบ่อยรองจากไข้หวัด ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อโรคแบคทีเรีย เชื้อชนิดนี้ฟักตัวได้ดีในสภาพอากาศร้อน จัดเป็นโรคที่พบประจำในประเทศเขตร้อน เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายโดยการรับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำที่มีเชื้อปนเปื้อนเข้าไป ในเดือนแรกของปี 2555 นี้ มีรายงานผู้ป่วยทั้ง 5 โรค รวม 63,152 ราย เสียชีวิต 2 ราย โรคที่พบมากอันดับ 1 ได้แก่ โรคอุจจาระร่วง 57,592 ราย มีรายงานเสียชีวิต 2 ราย ซึ่งเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี และผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป รองลงมาคือ โรคอาหารเป็นพิษ 4,815 ราย โรคบิด 453 ราย ไทฟอยด์ 63 ราย และโรคอหิวาตกโรค 2 ราย ตลอดปี 2554 มีรายงานผู้ป่วยจาก 5 โรคดังกล่าว รวม 1,412,803 ราย เสียชีวิต 64 ราย
       
       การป้องกันไม่ให้ป่วยเป็นโรคติดต่อทางอาหารและน้ำ ขอให้ประชาชนดูแลความสะอาดของอาหาร น้ำดื่ม ภาชนะใส่อาหาร ใช้ส้วมที่ถูกสุขลักษณะ กำจัดขยะมูลฝอย แยกเขียง และมีดหั่นอาหารดิบกับอาหารสุก และให้ยึดหลักปฏิบัติ คือ
1.กินร้อน โดยรับประทานอาหารที่ปรุงสุกสนิทและปรุงเสร็จใหม่ๆ หากเป็นอาหารข้ามมื้อให้อุ่นให้ร้อนหรือเดือดก่อน
2.ใช้ช้อนกลาง ตักอาหารขณะกินอาหารร่วมวงกับผู้อื่น และ
3.ให้ล้างมือ ฟอกสบู่ทุกครั้งภายหลังจากใช้ห้องส้วม และก่อนรับประทานอาหารหรือก่อนเตรียมนมให้เด็กทุกครั้ง นายแพทย์ ไพจิตร์กล่าว
       
       นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคติดต่อทางอาหารและน้ำ แม้ว่าจะมีสาเหตุเกิดโรคต่างกัน แต่การติดต่อคล้ายคลึงกันคือเชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายโดยการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีเชื้อปนเปื้อนเข้าไป เช่นอาหารปรุงสุกๆดิบๆ เช่นลาบ ก้อย หรืออาหารที่มีแมลงวันตอม หรืออาหารที่ทำไว้ล่วงหน้านานๆ โดยไม่ได้แช่เย็น และไม่ได้อุ่นให้ร้อนก่อนรับประทาน ผู้ที่เป็นโรคดังกล่าวข้างต้น สามารถแพร่เชื้อได้ทางอุจจาระ และติดมากับมือ หากเป็นผู้ปรุงอาหารหรือเสิร์ฟอาหาร จะมีโอกาสแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้มาก
       
       นพ.พรเทพ กล่าวต่อว่า ผู้ที่มีอาการถ่ายเหลวหรือถ่ายเป็นน้ำ ไม่ควรกินยาเพื่อให้หยุดถ่าย เพราะจะทำให้เชื้อโรคคั่งค้างในร่างกาย จะเป็นอันตรายรุนแรงขึ้น ขอให้ดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารเหลวมากๆ และดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ หรือโออาร์เอส แทนน้ำ โดยใช้ผงน้ำตาลเกลือแร่ 1 ซอง ผสมกับน้ำต้มสุกเย็น 1 แก้ว ประมาณ 250 ซีซี หากไม่มีผงเกลือแร่สำเร็จ สามารถปรุงเองได้ โดยใช้น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ เกลือป่นครึ่งช้อนชา ละลายกับน้ำต้มสุกเย็น 1 ขวดน้ำปลากลม ให้ผู้ป่วยดื่มบ่อยๆ เพื่อทดแทนเสียน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไปกับน้ำอุจจาระ ควรดื่มสารละลายเกลือแร่ที่ผสมแล้วให้หมดภายใน 1 วัน ถ้าเหลือให้ทิ้ง แล้วผสมใหม่วันต่อวัน หลังดื่มแล้วอาการของผู้ป่วยจะดีขึ้น แต่หากยังไม่หยุดถ่ายและมีอาการมากขึ้น เช่น อาเจียนมากขึ้น อุจจาระมีกลิ่นเหม็นเน่าคล้ายหัวกุ้งเน่า ปวดบิด มีไข้สูงขึ้นหรือชัก ควรพาไปโรงพยาบาลใกล้บ้าน ถ้าประชาชนมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ศูนย์บริการข้อมูลฮอตไลน์ กระทรวงสาธารณสุข โทรศัพท์ 1422

ASTVผู้จัดการออนไลน์    26 กุมภาพันธ์ 2555