แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - story

หน้า: 1 ... 373 374 [375] 376 377 ... 535
5611
สธ.จัดงานมหกรรมศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ 2012 ครั้งใหญ่ แสดงศักยภาพและความพร้อมในการเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพ รองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนภายในปี พ.ศ. 2558 คาดภายใน 5 ปี จะนำรายได้เข้าประเทศได้ถึง 800,000 ล้านบาท

วานนี้ (24 สิงหาคม) นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.ย์อภิชัย มงคล รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ นพ.สมชัย ภิญโญพรพาณิชย์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ร่วมกันแถลงข่าวการจัดงาน “มหกรรมศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ 2012 หรือไทยแลนด์ เมดิคัลฮับ เอ็กซ์โป 2012 (Thailand Medical Expo 2012)”
       
       นายวิทยากล่าวว่า รัฐบาลโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้บรรจุนโยบายพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ หรือเมดิคัลฮับ (Medical Hub) เพื่อนำรายได้เข้าประเทศ โดยเน้นการพัฒนาและส่งเสริมการจัดบริการสุขภาพแบบนานาชาติ (Medical Hub and Wellness) โดยมีแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติในปี พ.ศ. 2555-2559 เพื่อเป็นการยกระดับบริการสุขภาพของประเทศไทยให้ก้าวเข้าสู่คุณภาพระดับนานาชาติ ใน 4 ด้าน ได้แก่
1. การรักษาพยาบาล เช่น ทันตกรรม การรักษาโรคเฉพาะทาง การพำนักระยะยาว
2. การส่งเสริมสุขภาพ เช่น สปา นวดเพื่อสุขภาพ
3. บริการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ส่งเสริมให้จัดตั้งโรงพยาบาลแพทย์แผนไทยหรือการแพทย์ทางเลือกทุกภูมิภาคให้โรงพยาบาลทั้งรัฐและเอกชนเปิดคลินิกแพทย์แผนไทยในโรงพยาบาล และ
4. ผลิตภัณฑ์สุขภาพและสมุนไพรไทยให้ได้มาตรฐานจีเอ็มพี (GMP) คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศไทยในอีก 5 ปีข้างหน้า ประมาณ 800,000 ล้านบาท ซึ่งในปี 2555 นี้ มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเพื่อรับการรักษาในประเทศไทยจำนวน 2.5 ล้านคน นำรายได้เข้าประเทศแล้วถึง 121,658 ล้านบาท
       
       การจัดงานไทยแลนด์ เมดิคัลฮับ เอ็กซ์โป 2012 ครั้งนี้จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 สิงหาคม - 2 กันยายน พ.ศ. 2555 ที่เมืองทองธานี เพื่อแสดงความพร้อมรองรับการก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่จะมีผลในปี พ.ศ. 2558 และการเปิดเสรีทางการค้า ภายใต้แนวคิดประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการดูแลสุขภาพในระดับโลก (Thailand as World Class Health Care Destination) เป็นการส่งเสริมพัฒนาศักยภาพของสถานประกอบการธุรกิจบริการสุขภาพในประเทศไทยให้มีคุณภาพและมาตรฐานในระดับสูงขึ้น
       
       ภายในงานมีกิจกรรม นิทรรศการ และผลงานของบริการสุขภาพใน 4 ด้านหลัก เช่น นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ พระราชกรณียกิจด้านสาธารณสุขของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ นิทรรศการครบรอบ 93 ปี กระทรวงสาธารณสุข การอบรมสัมมนาวิชาการและฝึกอบรมเชิงปฏิบัติให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และประชาชนทั่วไปที่สนใจ บริการตรวจรักษาพยาบาลฟรีจากโรงพยาบาล และคลินิกชั้นนำต่างๆ การแสดงสินค้าและบริการด้านสุขภาพที่ได้มาตรฐานสากล การเสวนาทางวิชาการในเวทีกลาง และพบกับเหล่าซือที่มีชื่อเสียงจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่จะมาถ่ายทอดความรู้และสาธิตศาสตร์การแพทย์แผนจีน การเจรจาทางธุรกิจกับผู้แทนของหน่วยงานหลักในต่างประเทศ เป็นต้น
       
       สำหรับผู้สนใจเข้าร่วมงานหรือออกบูท สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ข้อมูลไทยแลนด์ เมดิคัลฮับ เอ็กซ์โป 2012 กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข โทรศัพท์ 0-2590-1997 ต่อ 701-704 และ 0-2726-4500 รวมทั้งสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.medicalhub2012.com

ASTVผู้จัดการออนไลน์    24 สิงหาคม 2555

5612
สาวไม่อยากแก่เฮ! สมุนไพร “คนทีสอ” ช่วยให้อ่อนกว่าวัยได้ พบช่วยคุมฮอร์โมนหญิง และปรับวงรอบตกไข่ให้เป็นปกติ ขณะที่ตำรับยาแพทย์แผนไทยระบุ ใช้ทำยาอาบแก้อาการปวดเมื่อย ผ่อนคลายความตึงเครียด
       
       ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร ผู้แทนคณะกรรมการบริหาร มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวถึงสมุนไพรคนทีสอ หรือต้นผีเสื้อ ซึ่งเชื่อว่าช่วยให้ผู้หญิงอ่อนกว่าวัยได้ว่า มูลนิธิฯ ได้ทำการศึกษาสมุนไพรคนทีสอเพื่อนำมาเขียนเป็นหนังสือเกี่ยวกับการทำยานวด ซึ่งแต่เดิมได้รู้ข้อมูลจากแพทย์ว่าเป็นยาของผู้หญิง โดยถือเป็นยารสร้อน ช่วยกระจายเลือดลม ลดการปวดเมื่อย ปวดศีรษะ เป็นยาแก้เส้น แก้เอ็น สามารถนำมาทำเป็นน้ำมันนวดตัว และยาแก้ปวดได้ แต่เมื่อได้ทำการค้นคว้าข้อมูลจากในต่างประเทศเพิ่มเติม ทำให้พบข้อมูลที่น่าสนใจว่า เม็ดของคนทีสอมีฤทธิ์ในการควบคุมการหลั่งฮอร์โมนของต่อมใต้สมอง ที่ควบคุมการทำงานของฮอร์โมนเพศหญิง จึงนำมาใช้รักษาความผิดปกติในสตรี

“ปัจจุบันในต่างประเทศมีการจำหน่ายคนทีสอในรูปแบบของแคปซูล และกล่าวอ้างสรรพคุณในการรักษาภาวะเป็นหมันในผู้หญิง (antifertility) เนื่องจากคนทีสอจะไปช่วยปรับวงรอบการตกไข่ให้เป็นปกติ และที่สำคัญช่วยในการบำรุง ทำให้สตรีอ่อนเยาว์กว่าวัย” ดร.สุภาภรณ์กล่าว
       
       ดร.สุภาภรณ์กล่าวอีกว่า สำหรับการแพทย์แผนไทย คนทีสอเป็นหนึ่งในสมุนไพรในตำรับยาอาบและยาอบ โดยสามารถนำใบคนทีสอร่วมกับใบเสนียด ใบเปล้าใหญ่ ใบหนาด เหงือกปลาหมอ ขมิ้นอ้อย ไพล ใบมะกรูด เปลือกมังคุด และใบว่านสาวหลง ในปริมาณที่เท่าๆ กันมาต้มจนเดือด ผสมกับน้ำสะอาด 10 ขัน ก็สามารถนำมาใช้อาบได้ มีสรรพคุณช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว ลดอาการปวดเมื่อย และรูขุมขนบริเวณผิวหนังเปิด ทำให้หลอดเลือดไหลเวียนดี หายใจสะดวก กลิ่นหอมของสมุนไพรช่วยให้สดชื่น ผ่อนคลายความตึงเครียด
       
       ทั้งนี้ มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรจะนำต้นคนทีสอจำนวน 300 ต้นมาแจกให้แก่ผู้สนใจ พร้อมสาธิตวิธีการนำไปใช้ประโยชน์ ภายในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 5-9 ก.ย.นี้ ที่อาคาร 7-8 อิมแพค เมืองทองธานี

ASTVผู้จัดการออนไลน์    24 สิงหาคม 2555

5613
รอง ผบก.ภ.นครศรีเผยความคืบหน้าคดียึดทรัพย์อดีตผู้คุมเรือนจำ ยังมีอีกนับร้อยล้านในบัญชีผู้ต้องหาที่ยังหลบหนี และกำลังโยกย้ายทรัพย์สินด้วยการซื้ออสังหาฯ เตรียมขอหมายจับเพิ่มชุดที่สองกว่า 20 ราย ส่วนภรรยาผู้คุมซึ่งเป็นพยาบาลวิชาชีพเจออีกชั้น รพ.ต้นสังกัดเตรียมตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง
       
       หลังจากที่เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนขบวนการค้ายาเสพติดและเครือข่าย เป็นผลสืบเนื่องมาจากการเข้าจู่โจมตรวจค้นเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 22 - 23 เม.ย. 2555 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสืบสวนสอบสวนและถอดรหัสข้อมูล ทั้งจากโทรศัพท์มือถือ และเอกสารต่างๆ รวมทั้งข้อมูลทางการเงิน จนนำไปสู่การขยายผลและสามารถออกหมายจับผู้ต้องหาได้ 8 รายแรก
       
       นำโดยนายณัฐพล ระย้า อดีตเจ้าหน้าที่เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช ที่เพิ่งถูกคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา รวมไปถึงนางสรรุจีย์ ระย้า ภรรยา, น.ส.สกาวเดือน ทิพย์แก้ว, น.ส.สิรินทิพย์ ยกเต้ง และ น.ส.รุ่งนภา อาจารีพิพัฒน์ ชาวอำเภอหัวไทร โดยสามารถยึดทรัพย์สินต่างๆ ได้เป็นจำนวนมาก เช่น บ้านพร้อมที่ดิน บ้านพักตากอากาศริมชายหาดใน อ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช รถยนต์หรู 3 คัน เงินสดในบัญชี 6 ล้านบาท และบัญชีเงินหมุนเวียนโดยมีผู้ถือแทนรวม 25 บัญชี จำนวนกว่า 68 ล้านบาท
       
       ความคืบหน้าในการยึดทรัพย์และจับกุมเครือข่ายของเจ้าหน้าที่เรือนจำนครศรีธรรมราช ล่าสุดวันนี้ (24 ส.ค.) เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนสอบสวนยังคงสืบค้นข้อมูลจากแหล่งต่างๆ อย่างต่อเนื่อง และยังคงมีการทำสำนวนในคดีการเข้าค้นเรือนจำอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยมีสำนวนเป็นจำนวนมากที่จะต้องค่อยๆ ทยอยปิดสำนวนเพื่อนำไปสู่การดำเนินการกับผู้ต้องหา
       
       พ.ต.อ.ภูดิส นรสิงห์ รอง ผบก.ภ.นครศรีธรรมราช ในฐานะหัวหน้าชุดปฏิบัติการสืบสวนเครือข่ายยาเสพติดในเรือนจำนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า ขณะนี้ความคืบหน้ายังคงมีความเป็นไปอย่างต่อเนื่อง มูลค่าทรัพย์สินที่ที่ยึดได้เมื่อวานนี้มีทรัพย์สินรวม 13 ล้านบาท บัญชีเงินหมุนเวียน 25 บัญชี รวม 68 ล้านบาท และยังคงสืบทรัพย์ต่อไป
       
       “อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เครือข่ายทั้งหมดรู้ว่าเรากำลังสืบสวนด้วยการตามทรัพย์สิน จึงมีการยักย้ายกันเป็นจำนวนมาก ด้วยการไปซื้อทรัพย์สินหลายอย่าง แต่ยังไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์ ส่วนใหญ่พบว่าเป็นคนใกล้ชิดของขบวนการ คนในเครือข่ายนี้โยงใยกันทั้งหมดทุกกลุ่ม การเสนอออกหมายจับรอบหลังนั้นมีอยู่ประมาณอีกกว่า 20 ราย ช่วงนี้กำลังดำเนินการ ขณะที่ผู้ต้องหาที่เราได้ตัวมาแล้วทั้ง 6 รายนั้นได้ถูกตั้งข้อหาสนับสนุนช่วยเหลือให้มีการกระทำความผิดตามพรบ.ยาเสพติด ซึ่งจะเป็นความผิดที่มีโทษเดียวกับผู้จำหน่ายยาเสพติด คือหากผู้จำหน่ายมีโทษประหารคนพวกนี้จะมีโทษเช่นเดียวกัน” รอง ผบก.ภ.นครศรีธรรมราช กล่าวและเสริมอีกว่า
       
       หลังจากปฏิบัติการเมื่อวันที่ 22 - 23 เม.ย.ที่ผ่านมานั้น การทำงานของเจ้าหน้าที่ท่ามกลางข้อมูลจำนวนมาก และใช้เวลากว่า 4 เดือนจึงจะออกหมายจับกลุ่มเครือข่ายชุดแรกได้ ช่วงเวลานี้เป็นการเปิดโอกาสให้กับเครือข่ายยาเสพติดในเรือนจำได้ตั้งหลักที่จะสู้ มีการหารือกันว่าหากมีการซักถามสอบสวนแล้วจะต้องให้ข้อมูลเจ้าหน้าที่ว่าอย่างไรเพื่อให้มาถึงตัวน้อยที่สุด และเชื่อว่าในอนาคตที่จะมีการยึดทรัพย์เพิ่มเติมของเครือข่ายจากเรือนจำนั้นจะมีทรัพย์สินที่ได้มานั้นน้อยลง ซึ่งมีการตัดตอนไปมาก ซึ่งพูดได้ว่าขณะนี้มีขบวนการได้ตั้งหลักได้มากขึ้น
       
       “ส่วนเรื่องของผู้ต้องหาคือ นางสรรุจีย์ ระย้า ภรรยาของนายณัฐพล นั้นเป็นข้าราชการตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ ได้ถูกนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครศรีธรรมราช ดำเนินการไปแล้ว โดยพนักงานสอบสวนจะต้องทำหนังสือถึงผู้บริหารของโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งใน จ.นครศรีธรรมราช ต้นสังกัดของนางสรรุจีย์ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของทางการ ซึ่งเป็นอำนาจของทางผู้บริหารว่าจะดำเนินการอย่างไร” รอง ผบก.นครศรีธรรมราช กล่าว
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในส่วนของนางสรรุจีย์ ระย้า หลังจากที่เจ้าหน้าที่ได้ไปรอจับกุมที่ลานจอดรถของข้าราชการในโรงพยาบาลชื่อดังใน จ.นครศรีธรรมราช เมื่อกลางดึกของวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมานั้น เจ้าหน้าที่ได้รายงานการจับกุมส่งไปยังโรงพยาบาลต้นสังกัด และขณะนี้ทางผู้บริหารได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงแล้ว หลังจากนั้นจะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงตามมาอีกครั้งเพื่อให้เป็นไปตามขั้นตอน และให้ความเป็นธรรมกับนางสรรุจีย์ที่จะได้มีโอกาสชี้แจงพร้อมทั้งแสดงพยานหลักฐานต่างๆ อย่างเต็มที่หากมีการปฏิเสธข้อกล่าวหา
       
       ส่วนความคืบหน้าในการดำเนินการกับผู้ต้องหาทั้ง 6 รายนั้น ช่วงสายของวันนี้ (24 ส.ค.) พ.ต.ท.บุญมี ศิริปาละกะ รอง ผกก.สส.สภ.เมืองนครศรีธรรมราช ได้คุมตัวผู้ต้องหา 5 รายประกอบด้วยนายณัฐพล ระย้า อดีตเจ้าหน้าที่เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช, นางสรรุจีย์ ระย้า ภรรยา, น.ส.สกาวเดือน ทิพย์แก้ว, น.ส.สิรินทิพย์ ยกเต้ง และ น.ส.รุ่งนภา อาจารีพิพัฒน์ เพื่อขออำนาจศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชฝากขังเป็นผลัดแรก และคัดค้านการประกันตัว ส่วนอีกรายคือ นช.สรายุทธ เพชรดี นักโทษคดียาเสพติดที่ต้องหาในคดีนี้ด้วยนั้นได้อายัดตัวไว้แล้วเนื่องจากอยู่ในการควบคุมอยู่แล้ว
       
       ขณะเดียวกัน พล.ต.ต.รณพงศ์ ทรายแก้ว ผบก.ภ.นครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า หลังจากการยึดทรัพย์และจับกุมผู้ต้องหาได้แล้ว 5 รายวานนี้ เจ้าหน้าที่ยังคงติดตามผู้ต้องหาที่เหลืออย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ 1 ใน 2 คนร้ายที่ยังเหลือนั้นถือเป็นรายสำคัญ หมายจับที่ออกมาในกรณีนี้ไม่ใช่หมายแรกซึ่งในคดีก่อนหน้านี้ถูกสั่งไม่ฟ้องไป แต่โชคไม่ดีคลาดกันเพียงเล็กน้อยขณะที่เจ้าหน้าที่เข้าจับกุมและยังคงเฝ้าติดตามอย่างไม่ลดละ
       
       “บัญชีทางการเงินที่เราค้นพบนั้นมีวงเงินหลายร้อยล้านบาท และเขาไม่ได้เกี่ยวกันเฉพาะกับผู้คุมรายนี้ มีอยู่หลายกลุ่มที่เขาเกี่ยวพันด้วย ตอนนั้นเราได้เสนอ ปปง.เข้ามาจัดการด้วย เนื่องจากการทำธุรกรรมหนึ่งครั้งจะมีความผิด 1 กรรม โทษจะหนักมาก” ผบก.นครศรีธรรมราชกล่าว
       
       ส่วนความคืบหน้าในคดีสังหารเจ้าหน้าที่เรือนจำ พล.ต.ต.รณพงศ์ ทรายแก้ว ผบก.นครศรีธรรมราช ระบุว่าการประชุมทุกครั้งมีความคืบหน้าไปตามลำดับ และขณะนี้เรารอชุดข้อมูลบางอย่าง คาดว่าจะเข้ามาในวันนี้ หากได้มาแล้วตรงกับข้อมูลที่มีอยู่ทั้งหมดจะชัดเจน แต่หากไม่ตรงนั้นจะต้องมีประเด็นเพิ่มขึ้นมาอีก


 ASTVผู้จัดการออนไลน์    24 สิงหาคม 2555

5614
จดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
เรื่องขอคัดค้านการดำเนินการของกรมบัญชีกลางในการกรมบัญชีกลางเดินหน้ามาตรการ 8 ขั้นคุมข้าราชการใช้ยาแพง

กลุ่มพิทักษ์สิทธิพลเมือง

22 สิงหาคม 2555

เรื่อง ขอคัดค้านมาตรการคุมข้าราชการใช้ยาแพง

เรียน นายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

อ้างถึง       http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20120822/467006/กรมบัญชีกลางงัด8มาตรการคุมขรก.ใช้ยาแพง.html

จากรายละเอียดของข่าวที่กล่าวว่า กรมบัญชีกลางจะเดินหน้าคุมข้าราชการใช้ยาแพง  เพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านยาโดยเริ่มต้นควบคุมการใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ 8 กลุ่มตามรายละเอียดในสิ่งที่อ้างถึงนั้นดิฉันและสมาชิกกลุ่มพิทักษ์สิทธิพลเมืองขอคัดค้านการกระทำของกรมบัญชีกลางด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

1.ข้าราชการเป็นผู้เสียสละเข้ามารับราชการ ยอมสละเงินเดือนสูงกว่าในภาคเอกชน ยอมอยู่ภายใต้กฎ ระเบียบวินัยข้าราชการ ซึ่งบางครั้งก็ทำให้ถูกบังคับให้ใช้เวลานอกเหนือจากเวลาราชการทำงานราชการโดยไม่สามารถปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงได้ เช่น เป็นข้าราชการแพทย์/พยาบาล ก็ต้องถูกบังคับให้ทำงานบริการประชาชนทั้งนอกเวลาและในเวลาราชการ ทำงานติดต่อกันครั้งละ 16-24 ชั่วโมงหรือมากกว่า เป็นข้าราชการทหารก็ต้องเสี่ยงชีวิตออกไปสู้รบกับข้าศึกศัตรู หรือผู้ก่อการร้าย  บางครั้งก็บาดเจ็บ พิการ เสียชีวิต เป็นข้าราชการตำรวจก็ต้องเสี่ยงชีวิตในการตามจับผู้ร้ายเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน ฯลฯ

  แล้วทำไมผู้คนหลายล้านคนเหล่านี้ ยอมเสียสละหรือแม้กระทั่งยอมเสี่ยงต่อความพิการ หรือบาดเจ็บล้มตาย? ดิฉันในฐานะที่เป็นข้าราชการแพทย์มาจนเกษียณอายุราชการขอตอบตามที่เพื่อนๆข้าราชการทั้งหลายเคยบอกว่า เหตุผลหนึ่งที่เรายอมรับราชการก็คือเราได้รับสัญญาก่อนเข้ารับราชการว่า
ข้าราชการและครอบครัว จะได้รับสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลเป็นการตอบแทนความเสียสละและความเสี่ยงภัยดังกล่าว แต่บัดนี้รัฐบาลกำลังดำเนินการ "ละเมิดสิทธิข้าราชการและครอบครัว" ในการที่มอบให้กรมบัญชีกลางดำเนินการมาควบคุมการได้รับยาที่เหมาะสมกับการเจ็บป่วยของตนเองและครอบครัว และกรมบัญชีกลางยัง "ละเมิดสิทธิของแพทย์ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม" ในการที่จะ"สั่งให้แพทย์/โรงพยาบาล ต้องขออนุญาตกรมบัญชีกลางก่อนที่จะใช้ยารักษาผู้ป่วยของตน "นับได้ว่ากรมบัญชีกลางได้ก้าวก่ายและล่วงละเมิดการทำหน้าที่รักษาผู้ป่วยของแพทย์ ทำให้แพทย์ขาดเสรีภาพทางวิชาการที่จะใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของตนในการรักษาผู้ป่วยให้ดีที่สุดตามาตรฐานทางการแพทย์ซึ่งดิฉันขอยกตัวอย่างการห้ามจ่ายยากลูโคซามีนซัลเฟตในการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม ซึ่งตอนแรกกรมบัญชีกลางสั่งห้ามใช้ แต่เมื่อมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคัดค้าน กรมบัญชีกลางก็ยอมให้ใช้ยานี้ได้แต่ให้สั่งยาทีละไม่เกิน 6 สัปดาห์ ซึ่งกรมบัญชีกลางกล่าวว่าแพทย์สั่งยาเกินกำหนด 6 สัปดาห์
(ไม่ทำตามที่กรมบัญชีกลางสั่ง)  ทั้งนี้กรมบัญชีกลางไม่ใช่แพทย์จึงไม่ทราบว่าโรคข้อเข่าเสื่อมมันเป็นโรคเรื้อรัง ไม่สามารถหายได้ด้วยยาแค่ 6 สัปดาห์ และถ้าสั่งยาแค่ 6 สัปดาห์ก็จะทำให้ผู้ป่วย(ที่แก่ชรา)เดือดร้อน ต้องมาโรงพยาบาลทุก 6 สัปดาห์เพื่อมารับยากลูโคซามีน ผู้ป่วยที่ป่วยด้วยโรคข้อเข่าเสื่อมก็คือคนแก่ชรา ที่มีความลำบากในการเดินทางมาโรงพยาบาล จะมาเองโรงพยาบาลเองก็ไม่ได้ ต้องให้ลูก(ที่เป็นข้าราชการ)ลางานราชการพาพ่อแม่มาโรงพยาบาลบ่อยๆทำให้เสียเวลาราชการและเสียเงินค่าเดินทางเพิ่มโดยไม่จำเป็น

  นอกจากนั้นในข่าวยังบอกว่า กรมบัญชีกลางมีเป้าหมายจะควบคุมการจ่ายยาของโรงพยาบาล 169 แห่งที่สั่งจ่ายยานอกบัญชียาหลักที่อ้างว่าเป็นยาราคาแพงดิฉันก็ขอชี้แจงว่า โรงพยาบาลเหล่านี้ ก็คือโรงพยาบาลระดับสูงหรือขนาดใหญ่ที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะโรคที่ต้องรักษาผู้ป่วยที่มีอาการหนักหรือป่วยด้วยโรคยุ่งยากซับซ้อนที่โรงพยาบาลระดับต้นหรือโรงพยาบาลเล็กๆเช่นโรงพยาบาลชุมชนไม่สามารถรักษาได้ต้องส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลระดับสูง และยาสามัญบางอย่างก็ไม่สามารถรักษาอาการป่วยเหล่านี้ได้ ต้องใช้ยาที่มี"ราคาสูง" (ไม่ควรเรียกว่ายาราคาแพงเนื่องจากราคาก็แสดงถึง"คุณค่าของการรักษา") ทำให้กรมบัญชีกลาง "หมายหัวเอาไว้ว่า รพ.เหล่านี้ชอบสั่งยานอกบัญชียาหลัก" และจะเข้ามาควบคุม "แพทย์"ไม่ให้ใช้ยาเหล่านั้นโดยกรมบัญชีกลางนอกจากจะละเมิดสิทธิ์ข้าราชการและครอบครัวละเมิดสิทธิ์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม กรมบัญชีกลางยังขาดความเมตตาปราณีและขาดหัวใจความเป็นมนุษย์อีกด้วย

  ดิฉันและสมาชิกกลุ่มพิทักษ์สิทธิ์พลเมืองจึงเรียนมายังท่านนายกรัฐมนตรีได้โปรดพิจารณาสั่งการให้กรมบัญชีกลางยุติการกระทำที่ละเมิดสิทธิพลเมืองไทยดังกล่าวโดยทันทีเพื่อปกป้องสิทธิพลเมืองไทยทุกคนและเพื่อความถูกต้องในการบริหารบ้านเมืองสืบไป

ขอแสดงความนับถือ
 
พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา
ประธานกลุ่มพิทักษ์สิทธิพลเมือง

5615
1. “ประยุทธ์” ฉะ ดีเอสไอปากไวอ้างทหารใช้สไนเปอร์สลายม็อบ พร้อมแจ้งจับ “อัมสเตอร์ดัม” กล่าวหาทหารซื้ออาวุธฆ่า ปชช.!

       จากกรณีที่ พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนการเสียชีวิตของประชาชนจากเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองเมื่อปี 2553 ได้แถลงเมื่อวันที่ 10 ส.ค.ว่า จะเรียกทหารสไนเปอร์ที่ประจำตามจุดต่างๆ มาสอบปากคำประกอบสำนวนคดี โดยอ้างว่ามีภาพปรากฏผ่านสื่อมวลชนว่าทหารใช้ปืนยิงเพื่อกดดันมวลชนให้ถอยร่นในช่วงดังกล่าว
       
       ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 14 ส.ค. พ.ต.อ.ประเวศน์ ได้ออกมาแถลงเพิ่มเติมอีกว่า มีบางเหตุการณ์ที่มีหลักฐานยืนยันว่า การเสียชีวิตมาจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ เช่น บริเวณสนามมวยลุมพินี หน้าธนาคารกสิกรไทย สาขาพระราม 4 โดยมีคลิปภาพบันทึกการยิงของสไนเปอร์ พร้อมชี้ว่า หากมีการแจ้งข้อกล่าวหาฝ่ายปฏิบัติ ทางผู้สั่งการจะถูกแจ้งข้อกล่าวหาก่อน
       
       ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี รีบออกมาสำทับทันทีว่า ผู้ที่ต้องรับผิดชอบโดยตรงก็คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.)
       
       ขณะที่ พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) แถลงว่า สำนักนายกฯ ได้มีคำสั่งแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ไปปฏิบัติงานในดีเอสไอ และเป็นพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อสืบสวนสอบสวนคดีที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช. ) จำนวน 50 นาย โดยมีตนเป็นผู้กำกับดูแลให้การสืบสวนสอบสวนคดีเสร็จสิ้นโดยเร็ว และว่า ขณะนี้ มีบางคดีมีพยานหลักฐานยืนยันตัวเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ ซึ่งใช้อาวุธปืนในเหตุการณ์สลายการชุมนุมกลุ่ม นปช.จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บแล้ว โดยจะเรียกผู้ปฏิบัติมาให้การในเร็วๆ นี้ และจะขยายผลไปถึงผู้สั่งการในที่สุด
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ไม่พอใจที่ดีเอสไอพาดพิงว่าการเสียชีวิตของประชาชนในเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อปี 2553 เกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยบอกว่า ถ้าคดียังไม่ยุติไม่สมควรออกมาพูด และว่า เรื่องนี้ได้ขอร้องผ่านนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอไปแล้ว ซึ่งนายธาริตรับปากและขอโทษ รวมทั้งจะไปบอก พ.ต.อ.ประเวศน์ด้วย
       
       พล.อ.ประยุทธ์ ยังสวนกลับผู้ที่อ้างว่าทหารในคลิปที่มีการนำออกมาเผยแพร่เป็นทหารสไนเปอร์ด้วยว่า รูปที่ปรากฏเป็นทหารที่ติดกล้องเฉยๆ และปืนนั้นก็ไม่ใช่แบบสไนเปอร์ ถ้าพูดแล้วไม่รู้ อย่าพูดดีกว่า ส่วนกรณีที่คณะกรรมาธิการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ระบุว่า ในปี 2553 มีการเบิกกระสุนมา 3,000 นัด แต่ใช้ไป 800 นัด จึงอยากทราบว่ากระสุนที่เหลือหายไปไหนนั้น พล.อ.ประยุทธ์ โต้กลับว่า อยากถามว่า ถ้าเบิกไป 3,000 นัด ยิงไป 300 นัด ขาดไป 2,700 นัด แสดงว่าต้องมีคนตาย 2,700 คนหรือไม่ มีใครบอกว่าทหารเอาปืนไปยิงคน ถามลูกน้อง เขาบอกว่า ไม่ได้ยิงใครสักคน มีแต่โดนยิง
       
       ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 17 ส.ค. พล.อ.ประยุทธ์ได้มอบหมายให้นายทหารพระธรรมนูญเข้าแจ้งความต่อตำรวจ สน.ลุมพินี ให้ดำเนินคดีนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ชาวแคนาดา ทนายความคนเสื้อแดง และหญิงไทยไม่ทราบชื่อ ที่เป็นล่ามแปลและเป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์เอเชียอัพเดท ข้อหาหมิ่นประมาท จากกรณีที่นายอัมสเตอร์ดัม ได้ปราศรัยบนเวทีคนเสื้อแดงที่แยกราชประสงค์เมื่อวันที่ 19 พ.ค.2555 เป็นภาษาอังกฤษและมีล่ามแปล ผ่านสถานีโทรทัศน์เอเชียอัพเดท โดยกล่าวหาว่ากองทัพบกซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ เพื่อมาเข่นฆ่าประชาชน ทำให้กองทัพได้รับความเสียหายและเสื่อมเสียชื่อเสียง
       
       ขณะที่ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ได้ออกมาแถลงกรณีดีเอสไอจะเรียกทหารสไนเปอร์ในคลิปมาสอบ โดยยืนยันเช่นกันว่า ในคลิปดังกล่าวไม่ใช่สไนเปอร์ พ.ต.อ.สรรเสริญ ยังจับโกหกกรณีที่ พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีดีเอสไอ ระบุว่า ที่ผ่านมากองทัพไม่ได้ส่งข้อมูลหลักฐานที่ทหารอ้างว่ามีชายชุดดำทำร้ายเจ้าหน้าที่ทหารและฆ่าประชาชนในเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อปี 2553 ให้พนักงานสอบสวน โดยยืนยันว่า หลังเหตุการณ์สิ้นสุดลง ทางกองทัพได้รวบรวมข้อมูลหลักฐานที่เกี่ยวข้องส่งมอบให้พนักงานสอบสวนไปหมดแล้ว รวมทั้งกรณีที่กองทัพบกนำเฮลิคอปเตอร์ไปโปรยใบปลิวเพื่อแจ้งให้ยุติการชุมนุม แต่กลับมีการยิงอาวุธขึ้นไปบน ฮ. ซึ่งสามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้ 3 ราย พร้อมยึดของกลางได้จำนวนมาก ทั้งอาวุธสงคราม เอ็ม 16 ปืนอาก้า กระสุนปืนความเร็วสูงเป็นพันนัด ซึ่งได้ส่งหลักฐานให้พนักงานสอบสวนไปแล้ว แต่ปรากฏว่า ศาลพิพากษายกฟ้อง โดยระบุว่า เจ้าหน้าที่ไม่มีหลักฐานประกอบ จึงอยากถามว่าเอกสารหลักฐานที่ส่งมอบให้พนักงานสอบสวนหายไปไหน เหตุใดไม่นำมาประกอบหลักฐาน
       
       พ.ต.อ.สรรเสริญ ยังเตือนความจำนายธาริตด้วยว่า สมัยนั้นนายธาริตก็เป็น 1 ใน ศอฉ. เข้าร่วมประชุมทุกครั้ง รับรู้เหตุการณ์และร่วมกันตัดสินใจมาโดยตลอด น่าจะทราบเหตุการณ์ดีว่า เจ้าหน้าที่ได้ทำอะไรลงไปบ้าง
       
       ด้านนายธาริต เพ็งดิษฐ อธิบดีดีเอสไอ ออกมายอมรับว่า ได้พูดคุยกับผู้ใหญ่ของกองทัพเพื่อทำความเข้าใจเรื่องการให้ข่าวของดีเอสไอแล้ว และว่า หลังจากนี้ตนจะเป็นผู้ให้ข่าวเพียงผู้เดียว ส่วนการดำเนินคดี พนักงานสอบสวนยังคงทำงานตามปกติ โดยดีเอสไอจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย นายธาริต ยังบอกด้วยว่า มีเจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้องบางคดี แต่อาจจะไม่ต้องรับผิด เพราะหากทำในภาวะจำเป็นหรือทำตามคำสั่ง เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติจะมีกฎหมายคุ้มครอง
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลัง พล.อ.ประยุทธ์ออกมาติงการให้ข่าวของดีเอสไอ ปรากฏว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ได้ส่ง พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ไปพูดคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รองผู้บัญชาการทหารบก เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการทำงานและการสืบสวนสอบสวนของตำรวจ พร้อมแจ้งให้แจ้งทราบว่า รัฐบาลต้องการทราบว่าใครคือผู้สั่งการ และว่า การเรียกมาสอบ ไม่ได้ตั้งใจเอาผิดทหาร แต่ต้องการทราบว่าใครคือผู้สั่งการระดับนโยบาย
       
       ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พูดถึงกรณีที่ดีเอสไอจะเรียกมือยิงสไนเปอร์มาสอบปากคำเหตุการณ์ชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 โดยยืนยันว่า ไม่กังวล เพราะรู้ว่าข้อเท็จจริงคืออะไร และว่า เป็นความพยายามของฝ่ายการเมืองที่จะดำเนินการเรื่องนี้ ซึ่งไม่ได้เหนือความคาดหมาย อย่างไรก็ตาม นายอภิสิทธิ์ เตือนว่า เจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติอย่างตรงไปตรงมา หากมีการกลั่นแกล้ง พวกตนก็สามารถใช้สิทธิตามกฎหมายได้
       
       ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ ก็ยืนยันว่า การดูแลสถานการณ์การชุมนุมเมื่อปี 2553 ไม่มีการใช้อาวุธพิเศษหรือสไนเปอร์มาแก้ปัญหาแต่อย่างใด “การให้ข้อมูลของ ร.ต.อ.เฉลิม พยายามจะทำให้เกิดความเข้าใจว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์สั่งฆ่าประชาชนนั้น ผมคิดว่า ร.ต.อ.เฉลิมหลงยุค เพราะกรณีการสั่งฆ่าประชาชนมีในยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี มีคดีอุ้มฆ่าคนตาย 2,500 คน ในยุคนายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่มีการสั่งฆ่าประชาชน แต่วันนั้นเป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน เกิดเหตุรุนแรงก่อจลาจลเผาบ้านเผาเมือง กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่พอ มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ทหารมาเป็นผู้ช่วยตำรวจ การสั่งการทำตามขั้นตอนของกฎหมาย ไม่มีการทำผิดกฎหมาย”
       
       2. “นิคม” ได้เป็นประธานวุฒิสภาคนใหม่ หลังโหวต 2 รอบ พลิกชนะ “พิเชต”!

       เมื่อวันที่ 14 ส.ค.ได้มีการประชุมวุฒิสภา เพื่อเลือกประธานวุฒิสภาคนใหม่แทน พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ที่พ้นตำแหน่งเพราะขาดคุณสมบัติ หลังถูกศาลพิพากษาจำคุก แต่รอลงอาญา 2 ปี ฐานออกระเบียบขึ้นค่าตอบแทนให้ตัวเองสมัยเป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน สำหรับกระบวนการเลือกประธานวุฒิสภาคนใหม่นั้น ที่ประชุมได้เปิดให้มีการเสนอชื่อบุคคลที่จะเข้ารับการคัดเลือกเป็นประธานวุฒิสภา โดยนายดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรี เสนอชื่อนายนิคม ไวยรัชพานิช ส.ว.ฉะเชิงเทรา ,นางเกศินี แขวัฒนะ ส.ว.อยุธยา เสนอชื่อ น.ส.สุนันท์ สิงห์สมบูรณ์ ส.ว.สรรหา ,นายนายอโณทัย ฤทธิปัญญาวงศ์ ส.ว.สรรหา เสนอชื่อนายพิเชต สุนทรพิพิธ ส.ว.สรรหา และนายพรพจน์ กังวาร ส.ว.ระนอง เสนอชื่อนายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ ส.ว.ราชบุรี จากนั้นได้เปิดให้ผู้ถูกเสนอชื่อแสดงวิสัยทัศน์ต่อที่ประชุม
       
       หลังแสดงวิสัยทัศน์ ที่ประชุมได้ให้สมาชิกลงคะแนนว่าจะเลือกใคร โดยลงคะแนนลับ ผลปรากฏว่า นายพิเชตได้ 63 คะแนน ,นายนิคมได้ 46 คะแนน ,นายเกชาได้ 35 คะแนน ,น.ส.สุนันท์ได้ 2 คะแนน อย่างไรก็ตาม แม้ว่านายพิเชตจะมีคะแนนมากสุด แต่ถือว่าคะแนนยังไม่ถึงกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกที่ลงชื่อเข้าประชุมคือ 146 คน ตามระเบียบแล้ว จึงต้องนำผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด 2 ลำดับแรกมาให้สมาชิกเลือกอีกรอบ ซึ่งหลังจากลงคะแนนรอบสองปรากฏว่า นายนิคมได้ 77 คะแนน ขณะที่นายพิเชตได้ 69 คะแนน ส่งผลให้นายนิคมได้เป็นประธานวุฒิสภาคนใหม่
       
       ทั้งนี้ นายนิคมยืนยันว่า จะทำในสิ่งที่ได้แสดงวิสัยทัศน์ และจะไม่ทำงานตามกระแสกดดันจากพรรคการเมืองใด พร้อมกันนี้นายนิคมได้ขอลาออกจากตำแหน่งรองประธานวุฒิสภา คนที่ 1
       
       จากนั้น พล.ต.ท.มาโนช ไกรวงศ์ ส.ว.สุราษฎร์ธานี ได้เสนอญัตติขอให้ที่ประชุมเลือกตำแหน่งรองประธานวุฒิสภาแทนตำแหน่งที่ว่างลง แต่นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ทักท้วงว่า ยังมีวาระพิจารณาร่างกฎหมายอีกหลายฉบับ ประกอบกับเรื่องดังกล่าวก็ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ควรรอให้สมาชิกไปหารือกันก่อน ซึ่งสมาชิกหลายคนเห็นด้วย พล.ต.ท.มาโนชจึงยอมถอนญัตติ ด้านนางพรทิพย์ โล่ห์วีระ จันทร์รัตนปรีดา รองประธานวุฒิสภา คนที่ 2 ซึ่งทำหน้าที่ประธานที่ประชุม ได้แจ้งให้คณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา(วิปวุฒิสภา) ไปหารือเพื่อกำหนดวันเลือกรองประธานวุฒิสภาต่อไป
       
       ส่วนขั้นตอนหลังจากนี้ สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาจะส่งเรื่องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อนำชื่อของนายนิคมขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อไป
       
       3. สภาฯ เสียงข้างมาก ผ่าน พ.ร.บ.งบฯ ปี ’56 แล้ว ด้วยมติ 279 ต่อ 8 สะพัด “เจ๊แดง-เยาวภา” จุ้นผันงบ!

       เมื่อวันที่ 15-17 ส.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2556 ในวาระที่ 2 และ 3 วงเงิน 2.4 ล้านล้านบาท โดยนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ แถลงต่อที่ประชุมว่า กมธ.ได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรวม 452 หน่วยงาน และรัฐวิสาหกิจไม่ได้รับงบรวม 10 หน่วยงาน โดยได้ปรับลดงบกว่า 22 ล้านบาท และได้พิจารณาเพิ่มงบในวงเงินเท่ากับจำนวนที่ปรับลด
       
       สำหรับบรรยากาศการอภิปรายงบนั้น ไฮไลต์ของวันแรก(15 ส.ค.) ได้แก่ นายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงความเป็นห่วงงบปี 2556 ที่มีรายจ่ายสูงถึง 2.4 ล้านล้านบาท เพราะเป็นงบรายจ่ายที่มีเม็ดเงินสูงมากเป็นประวัติการณ์ ขณะที่รายได้ประมาณการณ์ของรัฐบาลมีเพียง 2.1 ล้านล้านบาท ดังนั้นรัฐบาลจะขาดดุล 3 แสนล้านบาท ต้องกู้ยืมเพิ่มเพื่อชดเชยการขาดดุล จึงเป็นห่วงหนี้สาธารณะของประเทศ
       
       ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยืนยัน การจัดทำงบประมาณเป็นไปอย่างโปร่งใส เพราะได้ทำร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ ส่วนการใช้จ่ายงบประมาณจะเป็นไปตามนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงต่อรัฐสภาเป็นหลัก อีกส่วนหนึ่งจะใช้พัฒนาประเทศเพื่ออนาคต
       
       ด้านนายเกียรติ สิทธีอมร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า รัฐบาลล้มเหลวในการใช้งบโครงการที่ช่วยเหลือเกษตรกร โดยเฉพาะโครงการรับจำนำข้าวที่เกษตรกรไม่ได้รับอานิสงส์เลย นอกจากนี้ยังมีการสวมสิทธิไม่น้อยกว่า 3 ล้านตัน ซึ่งขณะนี้ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) กำลังตรวจสอบอยู่ รัฐบาลจะปัดความรับผิดชอบว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ไม่ได้
       
       ขณะที่นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะโฆษก กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ชี้แจงเรื่องการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวว่า กมธ.ได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วให้ดำเนินมาตรการรับจำนำข้าวอย่างเคร่งครัดไม่ให้เกิดการทุจริต หากใครมีข้อมูลทุจริตให้ส่งเรื่องมายังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ เพราะนายกรัฐมนตรีได้ตั้ง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ เป็นผู้รับผิดชอบเรื่องการรับจำนำข้าว
       
       ส่วนวันที่สอง(16 ส.ค.) ของการอภิปรายงบ นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธาน กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ได้อภิปรายโจมตีนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงบประมาณว่า มีการจัดงบลงจังหวัดตัวเองอย่างไม่โปร่งใสและไม่เหมาะสม
       
       ทั้งนี้ มีรายงานว่า ช่วงสายวันเดียวกัน ระหว่างประชุมสภาเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย พี่สาว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เดินทางมาที่รัฐสภา และอยู่ที่ห้องทำงานของนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาฯ โดยมี ส.ส.พรรคเพื่อไทยเข้าร่วมหารือนานกว่า 2 ชั่วโมง ก่อนเดินทางออกจากรัฐสภา ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า มีแกนนำภาคเหนือของพรรคเพื่อไทยคอยชี้นำและครอบงำรัฐมนตรีกระทรวงหนึ่ง ซึ่งเป็นคนใกล้ชิดให้พยายามผันเงินงบประมาณไปลงในกระทรวงและพื้นที่ของตัวเอง
       
       ด้านวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นคนใกล้ชิดนางเยาวภา รีบปฏิเสธข่าวดังกล่าว โดยอ้างว่า นางเยาวภาเดินทางมารัฐสภา เพราะตนชวนไปตรวจสุขภาพประจำปี นางเยาวภาจึงแวะมารับตนที่รัฐสภาเพื่อไปพบแพทย์ด้วยกัน พร้อมย้ำ นางเยาวภาไม่เคยเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องงบแม้แต่น้อย
       
       ขณะที่นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายตั้งข้อสังเกตงบของสำนักงานเลขาธิการนายกฯ 900 ล้านบาท ที่ตั้งชื่อว่า “โครงการพัฒนาชุมชนเมือง” ซึ่งไม่มีรายละเอียดโครงการและหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบ จึงข้องใจว่างบดังกล่าวตั้งขึ้นเพื่อสนองเหตุผลทางการเมือง และเกี่ยวข้องกับการจัดตั้งหมู่บ้านเสื้อแดงหรือไม่
       
       สำหรับการอภิปรายงบวันที่สาม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านได้อภิปรายโจมตีรัฐบาลว่าไม่มีความโปร่งใสในการใช้งบ 1.2 แสนล้านบาทเรื่องน้ำท่วม เพราะไม่ยอมให้รายละเอียดโครงการที่ดำเนินการว่าอยู่ที่ไหน อย่างไร “หากรัฐบาลมีความสุจริตในการใช้จ่ายงบก้อนนี้ ก็ต้องเปิดเผยว่าใช้งบ 1.2 แสนล้านบาทอย่างไร และเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายร่วมกันตรวจสอบว่าข้อครหาเรื่องเปอร์เซ็นต์ การขายโครงการ เป็นความจริงหรือไม่”
       
       ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ได้นำสื่อมวลชนไปดูกล่องใส่เอกสารแสดงรายละเอียดงบประมาณปี 2556 ที่อาคารรัฐสภา 3 พร้อมโจมตีพรรคประชาธิปัตย์ว่าเล่นเกมการเมือง ดึงเวลาประชุมสภาพิจารณางบประมาณด้วยวิธีการลุกขึ้นอภิปรายขอเอกสารรายละเอียดการเบิกจ่ายงบ 1.2 แสนล้านในการแก้ปัญหาน้ำท่วม ทั้งที่ กมธ.ซีกรัฐบาลได้ส่งเอกสารให้บางส่วนแล้ว
       
       ทั้งนี้ หลังที่ประชุมสภาได้อภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณในวาระ 2 เป็นเวลา 3 วัน และข้ามคืนเข้าสู่วันที่ 18 ส.ค. เวลา 01.40น. นายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาฯ คนที่ 1 ซึ่งทำหน้าที่ประธานการประชุมก็ได้สั่งให้ที่ประชุมลงมติว่าจะรับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ประจำปี 2556 วงเงิน 2.4 ล้านล้านบาทในวาระ 3 หรือไม่ ซึ่งผลปรากฎว่า ที่ประชุมเสียงข้างมากมีมติรับร่างดังกล่าว 279 ต่อ 8 เสียง งดออกเสียง 127 เสียง
       
       4. ศาลฎีกา พิพากษากลับ จำคุก “หม่อมลูกปลา” 4 ปี 8 เดือน คดีวางยาพิษ “ท่านกบ” !

       เมื่อวันที่ 17 ส.ค. ศาลอาญา ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่อัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนางชลาศัย ยุคล หรือหม่อมลูกปลา อายุ 40 ปี เป็นจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่น โดยคดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า นางชลาศัยได้บังอาจฆ่าหม่อมเจ้าฐิติพันธ์ ยุคล หรือท่านกบ ซึ่งได้จดทะเบียนสมรสอยู่กินกันฉันท์สามีภรรยาในวังอัศวิน ด้วยการผสมยาพิษ ซึ่งเป็นยาฆ่าแมลงกลุ่มคาร์บอเนตในถ้วยกาแฟให้ดื่ม จนสิ้นชีพิตักษัยเมื่อวันที่ 21 ส.ค.2538 เหตุเกิดที่แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต เขตพญาไท กทม.
       
        ทั้งนี้ หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมและดำเนินคดี จำเลยให้การรับสารภาพ แต่เมื่อคดีถึงชั้นศาล จำเลยกลับให้การปฏิเสธขอต่อสู้คดี อ้างว่าไม่ได้กระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ด้านศาลชั้นต้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยผสมยาพิษในถ้วยกาแฟให้ผู้ตายดื่มจริง พิพากษาจำคุก 9 ปี แต่คำรับสารภาพของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาบ้าง จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 6 ปี
       
        อย่างไรก็ตาม จำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลยกฟ้อง ซึ่งศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ฝ่ายโจทก์ไม่มีประจักษณ์พยานชี้ให้เห็นว่าจำเลยเป็นผู้ใส่ยาพิษในถ้วยกาแฟของผู้ตาย ประกอบกับพยานบุคคลของฝ่ายโจทก์ที่เข้าเบิกความล้วนแต่มีพิรุธ น่าสงสัย และมีน้ำหนักน้อย ส่วนคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวน ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นคำรับสารภาพที่ให้การโดยไม่สมัครใจ รวมทั้งการทำแผนประกอบคำรับสารภาพ พนักงานสอบสวนก็ไม่ได้ดำเนินการตามความสมัครใจของจำเลย พยานทั้งหมดล้วนเป็นคนใกล้ชิดของผู้ตาย และมีส่วนได้เสียกับทรัพย์สินในกองมรดก คำอุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
       
        ต่อมา อัยการโจทก์ได้ยื่นฎีกา ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามความผิด ซึ่งศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้มีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นคนใส่ยาพิษในถ้วยกาแฟให้ผู้ตายดื่มหรือไม่ เห็นว่า พยานโจทก์มีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องจับเท็จมาทดสอบจำเลย โดยก่อนเข้าเครื่องจับเท็จ จำเลยให้การปฏิเสธ แต่เมื่อเข้าเครื่องจับเท็จแล้ว ปรากฏว่าไม่ผ่านการทดสอบ ซึ่งภายหลัง จำเลยยอมรับสารภาพว่าเป็นคนใส่ยาพิษในถ้วยกาแฟจริง แต่หวังเพียงให้ผู้ตายประชวรและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เพื่อที่จำเลยจะได้มีโอกาสไปพบคนรักและมีเวลาอยู่นอกวังอัศวินนานๆ ไม่มีเจตนาที่จะปลงพระชนม์
       
        ส่วนประเด็นที่ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายหรือไม่นั้น ศาลเห็นว่า จากการตรวจสอบน้ำในกระเพาะของผู้ตาย พบสารจากยาฆ่าแมลงในกระเพาะของผู้ตาย แต่ไม่สามารถตรวจหาปริมาณของสารพิษได้ เนื่องจากไม่มีเครื่องมือที่ทันสมัย ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยใส่สารพิษจำนวน 500 มิลลิกรัมในถ้วยกาแฟเพื่อหวังให้เสียชีวิตใน 1 ชั่วโมงนั้น ศาลเห็นว่าเป็นเพียงข้อสันนิษฐานเอาเอง ฎีกาโจทก์ประเด็นนี้จึงฟังไม่ขึ้น ฟังได้เพียงว่า จำเลยมีเจตนาใส่ยาพิษเพียงเพื่อจะทำร้าย แต่การทำร้ายเป็นผลให้เสียชีวิต นอกจากนี้ศาลยังเห็นว่า จำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้ตาย เพราะหลังเกิดเหตุ จำเลยเป็นคนแจ้งให้บุคคลในวังอัศวินทราบและนำผู้ตายส่งโรงพยาบาล
       
        ทั้งนี้ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์รับฟังได้ว่า จำเลยเป็นผู้ใส่ยาพิษในถ้วยกาแฟจริง แต่ไม่มีเจตนาให้ถึงแก่ชีวิต จึงพิพากษาแก้ เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย ตามมาตรา 290 วรรคแรก ให้จำคุกจำเลย 7 ปี แต่จำเลยรับสารภาพในชั้นสอบสวน มีเหตุลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลย 4 ปี 8 เดือน
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังฟังคำพิพากษา นายชลาศัยถึงกับร้องไห้และโผเข้ากอดลูกชายและสามีใหม่ พร้อมถอดสร้อยคอทองคำมอบไว้ให้ลูกชาย ก่อนที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะควบคุมตัวไป
       
       ด้านนายสุทัศน์ เงินหมื่น ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะทนายและนายประกัน เผยว่า ได้เตรียมยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้จำเลย โดยจะพยายามให้ทันวันที่ 5 ธ.ค.นี้

ASTVผู้จัดการออนไลน์    20 สิงหาคม 2555

5616
 1. กองราชเลขาฯ ใน “พระราชินี” แจ้งเลื่อนการเข้าเฝ้าฯ ถวายพระพร ด้วยยังทรงพระประชวร ด้าน วธ. ถวายพระราชสมัญญา “อัคราภิรักษศิลปิน”!

       เมื่อวันที่ 8 ส.ค. สำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์ความคืบหน้าพระอากากรประชวรของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ขณะประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช ฉบับที่ 7 ความว่า คณะแพทย์รายงานว่า พระองค์ทรงพระดำเนินได้มากขึ้น เสวยพระกระยาหารได้มากขึ้น ผลตรวจพระโลหิตอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ ไม่มีภาวะแทรกซ้อน อย่างไรก็ตาม คณะแพทย์ได้ขอพระราชทานให้ทรงงดพระราชกิจต่อไปอีกระยะหนึ่ง
       
       ซึ่งต่อมา กองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ประกาศขอเลื่อนการพระราชทานพระราชวโรกาสให้คณะบุคคลต่างๆ เข้าเฝ้าฯ เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายพระพรชัยมงคลในวันเสาร์ที่ 11 ส.ค.2555 เวลา 16.30น. ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต ออกไปก่อน
       
       ขณะที่กองพระราชพิธี สำนักพระราชวัง ได้แจ้งว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ แทนพระองค์ไปทรงประกอบพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 12 ส.ค.2555 ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง ในวันที่ 12 ส.ค.เวลา 17.00น. สำหรับวันที่ 13 ส.ค.เวลา 10.30น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ แทนพระองค์ไปทรงประกอบพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 12 ส.ค.2555 ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง
       
       ทั้งนี้ ในช่วงค่ำวันที่ 12 ส.ค.เวลา 19.19น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานในพิธีจุดเทียนชัยถวายพระพรชัยมงคลและถวายสดุดีเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง โดยประชาชนทุกหมู่เหล่าต่างพร้อมใจกันร่วมจุดเทียนชัยถวายพระพร และเปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ
       
       ด้านกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) ได้ถวายพระราชสมัญญาแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถว่า “อัคราภิรักษศิลปิน” หมายถึงศิลปินยิ่งใหญ่ผู้ปกปักรักษางานศิลปะ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา
       
       สำหรับงานวันแม่แห่งชาติ ประจำปี 2555 ณ อาคารใหม่ สวนอัมพร ซึ่งมีขึ้นเมื่อวันที่ 12 ส.ค.นั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จฯ แทนพระองค์ไปทรงเปิดงาน โดยปีนี้มีแม่ดีเด่นที่ได้รับรางวัลทั้งสิ้น 214 คน ได้แก่ นางเยาวเรศ ชินวัตร อดีตประธานสภาสตรีแห่งชาติฯ พี่สาว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ,นางพนิดา เทพกาญจนา ภรรยานายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ,คุณหญิงทรงสุดา ยอดมณี ภริยา ดร.สุวิทย์ ยอดมณี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ฯลฯ ส่วนผู้ที่ได้รับรางวัลลูกที่มีความกตัญญูอย่างสูงต่อแม่ประจำปี 2555 มีทั้งสิ้น 85 คน ได้แก่ นายณเดชน์ คูกิมิยะ นักแสดง ,น.ส.วิชญานี เปียกลิ่น หรือแก้ม เดอะสตาร์ ,น.ส.มีสุข แจ้งมีสุข พิธีกร ฯลฯ
       
       2. ศาล นัดฟังคำสั่งถอนประกัน 19 แกนนำ นปช.หรือไม่ 22 ส.ค. ส่วนอีก 5 แกนนำที่เป็น ส.ส.รอไต่สวนหลังปิดสภา!

       เมื่อวันที่ 9 ส.ค. ศาลอาญาได้พิจารณาคดีถอนประกันแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) 24 คน หลังนายเชาวนะ ไตรมาส เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ และนายนิพิฎฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวนายจตุพร พรหมพันธุ์ ,นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก และนายก่อแก้ว พิกุลทอง เนื่องจากมีพฤติการณ์เข้าข่ายผิดเงื่อนไขการให้ประกันตัว ด้วยการขึ้นเวทีปราศรัยที่หน้ารัฐสภา และกล่าวโจมตีข่มขู่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่รับคำร้องร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ไว้วินิจฉัยว่าขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 หรือไม่
       
       สำหรับแกนนำ นปช.ทั้ง 24 คนที่ศาลจะพิจารณาว่าจะถอนประกันหรือไม่ ประกอบด้วย 1.นายวีระกานต์ หรือวีระ มุสิกพงศ์ 2.นายจตุพร พรหมพันธุ์ 3.นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ 4.นพ.เหวง โตจิราการ 5.นายก่อแก้ว พิกุลทอง 6.นายขวัญชัย สาราคำ หรือไพรพนา 7.นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก 8.นายนิสิต สินธุไพร 9.นายการุณ หรือเก่ง โหสกุล 10.นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท 11.นายภูมิกิติ หรือพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง 12.นายสุขเสก หรือสุข พลตื้อ 13.นายจรัล หรือยักษ์ ลอยพูล 14.นายอำนาจ อินทรโชติ 15.นายชยุต ใหลเจริญ 16.นายสมบัติ หรือแดง มากทอง 17.นายสุรชัย หรือหรั่ง เทวรัตน์ 18.นายรชต หรือกบ วงค์ยอด 19.นายยงยุทธ ท้วมมี 20.นายอร่าม แสงอรุณ หัวหน้าการ์ด นปช. 21.นายเจ็มส์ สิงห์สิทธิ์ 22.นายสมพงษ์ หรืออ้อ หรือแขก หรือป้อม บางชม 23.นายมานพ หรือเป็ด ชาญช่างทอง การ์ด นปช. และ 24.นายอริสมันต์ หรือกี้ร์ พงศ์เรืองรอง
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า วันดังกล่าว มีจำเลยมารายงานตัวต่อศาลแค่ 23 คน ขาดไป 1 คน คือ นายภูมิกิติ จำเลยที่ 11 ทั้งนี้ ศาลได้เลื่อนการสอบถามจำเลยที่มีสถานะเป็น ส.ส.จำนวน 5 คนออกไปเป็นวันที่ 29 พ.ย.เพราะ ส.ส.มีเอกสิทธิ์คุ้มครอง ศาลจึงเกรงว่าหากสอบถามจำเลยที่เป็น ส.ส.อาจเป็นการก้าวล่วงอำนาจนิติบัญญัติ จึงจะรอให้ปิดสมัยประชุมสภาก่อน สำหรับจำเลยที่เป็น ส.ส.ทั้ง 5 คน ประกอบด้วย นายณัฐวุฒิ ,นายก่อแก้ว ,นายการุณ ,นพ.เหวง และนายวิภูแถลง
       
       ส่วนจำเลยคนอื่นๆ โดยเฉพาะนายยศวริศ หรือเจ๋ง ดอกจิก นั้น ศาลได้สอบถามนายนิพิฎฐ์ ในฐานะผู้ร้องให้เพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราว ซึ่งนายนิพิฎฐ์ได้เบิกความพร้อมยื่นหลักฐานเป็นซีดีบันทึกภาพและเสียงขณะนายยศวริศปราศรัยเมื่อวันที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมาที่หน้ารัฐสภา โดยนายศวริศได้กล่าวผ่านเครื่องขยายเสียงต่อหน้าผู้ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงจำนวนมาก พร้อมประกาศชื่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ชื่อภรรยาและบุตร ที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์ของตุลาการฯ ภรรยา และบุตร รวมทั้งบอกให้ผู้ชุมนุมไปเยี่ยมตุลาการฯ ซึ่งเข้าข่ายผิดเงื่อนไขในการปล่อยตัวชั่วคราวที่ศาลได้กำหนดไว้
       
       ด้านนายยศวริศ ยอมรับว่า การปราศรัยในซีดีดังกล่าวเป็นคำพูดของตนจริง แต่อ้างว่าข้อมูลอาจไม่ครบถ้วน จึงขอนำเอกสารหลักฐานไปตรวจสอบก่อนว่า คำพูดและข้อมูลตรงกันหรือไม่ มีการตัดต่อหรือไม่ นายยศวริศยังอ้างด้วยว่า ชื่อ ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ของตุลาการฯ เป็นเอกสารสาธารณะ ปรากฏตามอินเตอร์เน็ต และมีพี่น้องประชาชนนำมาให้ช่วยพูดบนเวที ตนจึงพูดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และหลังจากพูดไปแล้ว นึกได้ว่าอาจกระทบเงื่อนไขศาล จึงได้ขอโทษพี่น้องประชาชนและตุลาการฯ พร้อมกำชับประชาชนอย่าโทรศัพท์ไปคุกคามตุลาการฯ “ต่อมาโฆษกศาลรัฐธรรมนูญแถลงข่าวว่า ศาลไม่ติดใจไม่ถือโทษ เพราะผมกล่าวขอโทษแล้ว...ไม่มีเจตนายุยงปั่นป่วนและผิดเงื่อนไขของศาล ขอความเมตตาต่อศาล เพราะมีตำแหน่งทางการเมือง ทำงานเพื่อประเทศชาติ และยืนยันว่าจะไม่กระทำการเช่นนี้อีก”
       
       ขณะที่นายจตุพร เบิกความว่า การปราศรัยของตนเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ โดยได้วิพากษ์วิจารณ์การทำงานขององค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่รับคำร้องร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้วินิจฉัยโดยไม่ผ่านสำนักงานอัยการสูงสุด ไม่ได้มุ่งร้ายตัวบุคคลแต่อย่างใด ส่วนจำเลยคนที่ 12-23 ได้เบิกความต่อศาลว่า ไม่เคยขึ้นเวทีปราศรัยและไม่เคยทำผิดเงื่อนไขการประกันตัว รวมทั้งไม่ได้เกี่ยวข้องกับคำพูดของนายยศวริศ จำเลยที่ 7 แต่อย่างใด
       
       ด้านศาลพิจารณาคำเบิกความของจำเลยทั้งหมด รวมทั้งคำขอเลื่อนคดีของนายยศวริศแล้ว เห็นว่า ควรให้โอกาสนายยศวริศสู้คดีได้อย่างเต็มที่ เพื่อความยุติธรรม จึงอนุญาตให้เลื่อนการสอบถามเฉพาะในส่วนของนายยศวริศออกไปเป็นวันที่ 22 ส.ค.เวลา 09.00น. พร้อมนัดฟังคำสั่งว่าจะถอนประกันจำเลยทั้ง 19 คน(ไม่รวม 5 จำเลยที่เป็น ส.ส.) หรือไม่ในเวลา 15.00น.วันเดียวกัน ขณะที่กลุ่มคนเสื้อแดงที่มาให้กำลังใจแกนนำ นปช.ที่หน้าศาลอาญาได้สลายตัวทันทีหลังทราบคำสั่งศาล
       
       ทั้งนี้ ระหว่างการพิจารณาคดี เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.สำราญราษฎร์ ได้มาขออายัดตัวนายสุรชัย หรือหรั่ง เทวรัตน์ จำเลยที่ 17 พร้อมแจ้งข้อหามีอาวุธสงครามไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จากนั้นได้นำตัวนายสุรชัยไปควบคุมที่ สน.สำราญราษฎร์ทันที
       
       3. “ขุนค้อน” นัดประชุมสภาถกงบ 15-17 ส.ค. ขณะที่ “เพื่อไทย” ตั้งองครักษ์ 3 ชุดคอยประท้วง ด้าน ปชป.เย้ย อย่าตื่นตูม!

       เมื่อวันที่ 11 ส.ค. นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้มีคำสั่งด่วนมากถึงบรรดา ส.ส. โดยนัดประชุมสภาฯ นัดพิเศษในวันที่ 15-17 ส.ค. เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2556 ในวาระ 2 และ 3 ที่คณะกรรมาธิการ(กมธ.) วิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว
       
       ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ประจำปี 2556 วงเงิน 2.4 ล้านล้านบาท มีการปรับลดงบของหน่วยงานต่างๆ ลงประมาณ 2.2 หมื่นล้านบาท โดยหน่วยงานที่ถูกปรับลดงบมากสุดคือ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ถูกปรับลดประมาณ 5.2 พันล้านบาท รองลงมาคือ กระทรวงศึกษาธิการ ถูกปรับลด 2.6 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า มีการแปรงบเพิ่มขึ้นมาในวงเงินเดียวกับที่ปรับลดลงไปคือ 2.2 หมื่นล้านบาท โดยหน่วยงานที่ได้รับการปรับเพิ่มงบมากสุดก็คือ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ปรับเพิ่ม 4.8 พันล้านบาท รองลงมาคือ กระทรวงศึกษาธิการ ปรับเพิ่ม 2.9 พันล้านบาท
       
       ด้านนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) เผยว่า พรรคฯ จะติดตามการใช้งบประมาณใน 3 ประเด็น คือ 1.ความล้มเหลวของการใช้งบในนโยบายสำคัญตามที่รัฐบาลได้หาเสียงไว้ ทั้งโครงการรับจำนำข้าว และกองทุนตั้งตัวได้ 2.ความผิดพลาดบกพร่องของการบริหารจัดการงบที่ใช้บริหารประเทศ ทั้งราคาสินค้าแพง และการแก้ปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตร และ 3.ความไม่ชอบมาพากลของการตั้งงบไว้ใช้จ่ายในลักษณะเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เช่น การตั้งงบให้สำนักเลขาธิการนายกฯ 900 ล้านบาท แต่กลับไม่มีรายละเอียดการใช้เงิน นายสาทิตย์ ยืนยันด้วยว่า พรรคฯ มีความพร้อมอย่างเต็มที่ที่จะอภิปรายงบ โดยฝ่ายค้านมีผู้สงวนคำแปรญัตติประมาณ 100 คน
       
       ขณะที่พรรคเพื่อไทย ก็เตรียมรับมือการอภิปรายงบของฝ่ายค้าน โดยนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย เผยว่า พรรคฯ ได้ตั้งทีมองครักษ์ขึ้นมา 3 ชุด ชุดละ 5 คน เพื่อสลับกันทำหน้าที่ควบคุมการประชุมและประท้วง หากฝ่ายค้านอภิปรายนอกเรื่องงบประมาณ เช่น ไปพาดพิง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
       
       ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาแขวะพรรคเพื่อไทยที่ตั้งทีมองครักษ์ขึ้นมา 3 ชุดว่า อย่าเป็นกระต่ายตื่นตูม หรือแสดงออกถึงความเป็นคนขี้ขลาดตาขาวให้สังคมได้รับรู้ เพราะการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ วาระ 2 เป็นการอภิปรายตั้งคำถามและขอคำชี้แจงจาก กมธ.งบประมาณเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนายกฯ เลย จึงไม่เข้าใจว่าจะมีการตั้งองครักษ์ขึ้นมา 3 ชุดทำไม
       
       ส่วนความคืบหน้าการเตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของฝ่ายค้านนั้น ชัดเจนแล้วว่าจะมีการชะลอออกไปก่อน โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้นำฝ่ายค้าน บอกว่า ต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง โดยจะรอให้รัฐบาลชี้แจงร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ และแถลงผลงานครบรอบ 1 ปีเสร็จเรียบร้อยก่อน นอกจากนี้จะรอดูทิศทางของรัฐบาลในเรื่องรัฐธรรมนูญและร่าง พ.ร.บ.ปรองดองด้วย
       
       4. จวกเละ “สุชาติ” ตั้งแกนนำแดง “ธิดา-วรเจตน์” เป็นอนุ กก.สภาการศึกษา ด้าน ปชป.ประณาม-จี้ทบทวน!

       เมื่อวันที่ 9 ส.ค. มีรายงานว่า นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ลงนามแต่งตั้งคณะอนุกรรมการสภาการศึกษา(สกศ.) ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า มีแกนนำ นปช.-คนเสื้อแดง เครือญาตินายกฯ และผู้ที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยได้รับแต่งตั้งด้วยหลายคน เช่น นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช. ได้รับแต่งตั้งเป็นคณะอนุกรรมการฯ ด้านนโยบายและแผนการศึกษา ,นายเพชรศักดิ์ กิตติดุษฎีกุล ประธานแนวร่วมหมู่บ้านเสื้อแดงแห่งประเทศไทย เป็นคณะอนุกรรมการฯ ด้านติดตามและประเมินผลการศึกษา ,นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ แกนนำคณะนิติราษฎร์ เป็นคณะอนุกรรมการฯ ด้านกฎหมายการศึกษา ,นายวรพล พรหมิกบุตร อาจารย์คณะสังคมวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่ม นปช.ได้เป็นคณะอนุกรรมการฯ ด้านนโยบายและแผนการศึกษา ,นายอุดมเกียรติ ปานมี ทนายเสื้อแดง เป็นคณะอนุกรรมการฯ ด้านการสร้างจิตสำนึก คุณธรรมและจริยธรรม ,นายสิงห์ทอง บัวชุม อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย เป็นคณะอนุกรรมการฯ ด้านติดตามและประเมินผลการศึกษา ,นางเยาวเรศ ชินวัตร พี่สาว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นคณะอนุกรรมการฯ ด้านพัฒนาศักยภาพเยาวชนสตรีในสถานศึกษา ,น.ส.ศุภรัตน์ นาคบุญนำ อดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นคณะอนุกรรมการฯ ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างนวัตกรรมทางการศึกษา ฯลฯ
       
       ทั้งนี้ หลังคำสั่งแต่งตั้งดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ทางเว็บไซต์ของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ปรากฏว่า ได้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมในการแต่งตั้ง จากนั้นได้มีการลบข้อมูลคำสั่งแต่งตั้งดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ด้านนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ไม่พอใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์ จึงได้ออกมาชี้แจงว่า คณะทำงานของสภาการศึกษาได้เสนอชื่อบุคคลที่เหมาะสมเป็นอนุกรรมการ และว่า ถ้าจะแยกเป็นสี ก็มีหลายสี ทั้งเสื้อเหลืองและสีต่างๆ “ในกระบวนการแต่งตั้งทั้ง 36 คน ไปดูกันได้ว่ามีมาจากเสื้อทุกสี หลายคนอ่านตามชื่อสามารถเป็นรัฐมนตรีได้ ทำไมเราจะขอให้เขามาช่วยทำงานเล็กๆ ไม่ได้ แต่พออ่านข่าว เขาก็ไม่มาช่วยแล้ว ผมก็ต้องให้สภาการศึกษาไปทาบทามหาชื่อใหม่มา”
       
       อย่างไรก็ตาม มีรายงานแจ้งว่า สาเหตุที่นายสุชาติแต่งตั้งแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นอนุกรรมการสภาการศึกษาดังกล่าว เนื่องจากมีกระแสข่าวว่านายสุชาติอาจถูกปรับออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการหากมีการปรับ ครม. ซึ่งนายสุชาติไม่มีกลุ่มการเมืองภายในพรรคเพื่อไทย จึงไม่สามารถต่อรองใดใด ดังนั้นนายสุชาติจึงตั้งแกนนำคนเสื้อแดงมาเป็นอนุกรรมการ โดยอาจหวังเพิ่มอำนาจต่อรองให้ตนเองก็เป็นได้
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังการแต่งตั้งดังกล่าวปรากฏเป็นข่าวและถูกวิพากษ์วิจารณ์ ปรากฏว่า ผู้ได้รับการแต่งตั้งบางคนได้ออกมาปฏิเสธไม่รับตำแหน่ง เช่น นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และแกนนำคณะนิติราษฎร์ โดยบอกว่า ยังไม่เคยถูกทาบทาม และแม้จะทาบทามก็ไม่สะดวกที่จะรับตำแหน่งดังกล่าว “ถ้ายังไม่มีการยกเลิกคำสั่งดังกล่าว ผมจะขอลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากไม่มีเวลาที่จะไปทำงานให้กับสภาการศึกษา เพราะมีงานประจำเป็นอาจารย์อยู่แล้ว”
       
       ขณะที่นางธิดา ถาวรเศรษฐ แกนนำ นปช.ได้ออกมาโต้กระแสวิพากษ์วิจารณ์การแต่งตั้งอนุกรรมการดังกล่าวว่า อย่ามาตั้งแง่รังเกียจคนที่มีความคิดแตกต่างกัน พร้อมยืนยันว่า ตนไม่ว่างที่จะเป็นอนุกรรมการสภาการศึกษา เพราะมีภารกิจในการสร้างโรงเรียน นปช.และมหาวิทยาลัยเสื้อแดง
       
       ด้านนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) บอกว่า ตนไม่เคยดูถูกความคิดของใคร แต่การที่นายสุชาติแต่งตั้งนางธิดา ประธาน นปช.เป็นอนุกรรมการวางแผนการศึกษานั้น เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ เนื่องจากนางธิดามีแนวคิดต่อต้านประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 (ความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์) ดังนั้นพรรคฯ ขอประณามการกระทำของนายสุชาติ และขอให้ทบทวน อย่านำเรื่องการเมืองมาปนกับเรื่องการศึกษาของชาติ
       
       5. “ลอนดอนเกมส์” ปิดฉากแล้ว “แก้ว พงษ์ประยูร” ร่ำไห้โดนปล้นเหรียญทอง ขณะที่ “เสธ.อ้าย” ตอบโต้ “ไอบ้า” ล้มจัดมวยเยาวชนโลก!

       ปิดฉากไปเรียบร้อยแล้วสำหรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์ ฤดูร้อน ครั้งที่ 30 “ลอนดอนเกมส์” ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อคืนวันที่ 12 ส.ค.ที่ผ่านมา สรุปเหรียญ สหรัฐฯ คว้าไป 104 เหรียญ แบ่งเป็น 46 เหรียญทอง 29 เหรียญเงิน 29 เหรียญทองแดง ตามด้วยจีน 87 เหรียญ แบ่งเป็น 38 เหรียญทอง 27 เหรียญเงิน 22 เหรียญทองแดง และสหราชอาณาจักร 65 เหรียญ แบ่งเป็น 29 เหรียญทอง 17 เหรียญเงิน และ 19 เหรียญทองแดง ขณะที่ไทยอยู่อันดับ 57 โดยทำได้ 3 เหรียญ แบ่งเป็น 2 เหรียญเงิน และ 1 เหรียญทองแดง นับเป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปี ที่ไทยไม่ได้เหรียญทองจากการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์
       
        สำหรับ 2 เหรียญเงินของไทย ได้จาก “น้องแต้ว” พิมศิริ ศิริแก้ว นักยกน้ำหนักหญิง รุ่น 58 กก.และ “แก้ว พงษ์ประยูร” จากมวยสากลสมัครเล่นรุ่นไลท์ฟลายเวท 49 กก.ชาย ส่วนเหรียญทองแดง เป็นของ“น้องเล็ก” ชนาธิป ซ้อนขำ จากการแข่งขันเทควันโดรุ่น 49 กก.หญิง
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า ในส่วนของ แก้ว พงษ์ประยูร ซึ่งพ่ายเหรียญทองให้กับซู ชิ หมิง นักมวยทีมชาติจีน แชมป์เก่าโอลิมปิกครั้งที่แล้วนั้น ผู้ชมต่างเห็นตรงกันว่าแก้วถูกโกง โดยทันทีที่กรรมการตัดสินให้ซู ชิ หมิง คว้าชัย เสียงโห่สนั่นหวั่นไหวของผู้ชมก็ดังขึ้น ขณะที่แก้วถึงกับทรุดลงกับพื้นเวทีและคุกเข่าก้มหน้าร้องไห้ที่ไม่สามารถคว้าเหรียญทองให้กับประเทศไทยได้
       
       สำหรับผลการตัดสินที่ค้านสายตาและมีข้อกังขาดังกล่าว ไม่เพียงทำให้สหพันธ์มวยสากลสมัครเล่นนานาชาติ(ไอบ้า) ถูกรุมด่าจากแฟนกีฬาชาวไทย รวมทั้งสื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศเท่านั้น แต่ทางสมาคมมวยสากลแห่งประเทศไทยได้พยายามทำเรื่องประท้วงผลการตัดสิน แต่ได้รับการปฏิเสธจากทางไอบ้า โดยอ้างว่าตามกฎ จะต้องยื่นประท้วงภายใน 5 นาทีหลังตัดสิน ขณะที่ฝ่ายไทยเข้าใจว่าสามารถประท้วงได้ภายใน 30 นาที
       
       ทั้งนี้ การชวดเหรียญทองเพราะถูกโกงและไม่สามารถประท้วงได้ ส่งผลให้ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย นายกสมาคมมวยสากลแห่งประเทศไทย ออกมายืนยันว่าจะลาออกจากตำแหน่ง หากนักชกไทยไม่ได้เหรียญทอง พร้อมตอบโต้ไอบ้าด้วยการประกาศยกเลิกเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันมวยสากลสมัครเล่นเยาวชนชิงแชมป์โลกในเดือน พ.ย.ตามที่เคยรับปากไอบ้าไว้ รวมทั้งจะไม่รับตำแหน่งในไอบ้าตามที่เคยถูกทาบทามไว้ด้วย
       
       ด้านแก้ว พงษ์ประยูร เผยความรู้สึกหลังพิธีรับเหรียญรางวัลว่า รู้สึกเหมือนใจสลาย ขอโทษคนไทยที่เอาเหรียญทองมาฝากไม่ได้ ไม่สามารถนำเหรียญทองถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ รวมถึงพ่อแม่ ภรรยา และลูกสาวได้ แต่ตนทำสุดความสามารถแล้ว รู้สึกเสียใจและเสียดายมาก
       
       อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการบริษัท อิชิตัน กรุ๊ป ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่า “ผมขอมอบรางวัลชนะใจคนไทยทั้งประเทศให้กับแก้ว พงษ์ประยูร เต็มเต็ม 10 ล้านบาท ตามที่ตั้งใจไว้ ถึงแม้ผลการตัดสินออกมา เราจะได้เหรียญเงิน แต่สำหรับผม คนไทยได้เหรียญทองอย่างสมศักดิ์ศรีแล้วครับ...”

ASTVผู้จัดการออนไลน์    14 สิงหาคม 2555

5617
1. พรรคร่วมฯ มีมติตั้งคณะทำงานสรุปวิธีแก้ รธน. ขณะที่ พ.ร.บ.ปรองดองยังค้างสภา วาระ 11-14 ด้านพันธมิตรฯ ย้ำ พิจารณาวันไหน ชุมนุมใหญ่!

       ความคืบหน้าเรื่องร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291และร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ หลังแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประกาศว่าจะชุมนุมใหญ่ทันทีหากไม่มีการถอนร่าง พ.ร.บ.ปรองดองออกจากที่ประชุมสภาวันที่ 1 ส.ค.ซึ่งเป็นวันเปิดสภาสมัยสามัญทั่วไป ขณะที่นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร แก้ปัญหาด้วยการเรียกประชุมสภานัดพิเศษในวันที่ 1 ส.ค. เพื่อจะได้เลื่อนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปรองดองที่ค้างอยู่ในวาระแรกออกไปก่อนได้ และเลื่อนเรื่องอื่นขึ้นมาพิจารณาแทน ขณะที่พันธมิตรฯ ยังไม่นัดชุมนุม โดยรอดูท่าทีของรัฐบาลก่อนนั้น
       
       ปรากฏว่า บรรยากาศการประชุมสภานัดพิเศษเมื่อวันที่ 1 ส.ค. ที่ประชุมได้มีการเสนอให้เลื่อนร่าง พ.ร.บ.เรื่องอื่นๆ ขึ้นมาพิจารณาก่อนร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง 10 เรื่อง ขณะที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน(วิปฝ่ายค้าน) ได้ขอความชัดเจนจากที่ประชุมว่า การเลื่อนวาระอื่นขึ้นมานั้น สำหรับพิจารณาในการประชุมสภานัดพิเศษครั้งต่อไปหรือสำหรับการประชุมสภาตามปกติ พร้อมเสนอว่า ทางออกที่ดีที่สุดคือถอนร่าง พ.ร.บ.ปรองดองออกจากสภา “การเลื่อนการพิจารณาออกไป ไม่ได้แก้ไขปัญหาความขัดแย้ง การถอนร่างกฎหมายจะช่วยทำให้บ้านเมืองไม่เข้าสู่ความวุ่นวาย”
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังเปิดให้สมาชิกหารือเกือบ 1 ชั่วโมง นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาฯ ได้ตัดบทว่า สัปดาห์หน้าการประชุมสภาจะพิจารณาวาระที่เลื่อนขึ้นมา 10 ฉบับ เช่น ร่าง พ.ร.บ.การเข้าชื่อเสนอกฎหมาย ,ร่าง พ.ร.บ.เงินเดือนเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ,ประธานและคณะกรรมการการเลือกตั้ง ,ประธานและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ฯลฯ เมื่อเสร็จแล้วจะต่อด้วยร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง 4 ฉบับ ซึ่งแม้พรรคประชาธิปัตย์จะไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะที่ประชุมมีมติเห็นด้วยกับการเลื่อนดังกล่าว ด้วยเสียง 272 ต่อ 1 งดออกเสียง 8 ไม่ลงคะแนน 6
       
       ทั้งนี้ นายสมศักดิ์ได้นัดประชุมสภาครั้งต่อไปในวันที่ 8 ส.ค. โดยร่าง พ.ร.บ.ปรองดองอยู่ในวาระลำดับที่ 11-14 ขณะที่นายอุดมเดช รัตนเสถียร ประธานวิปรัฐบาล เชื่อว่า กว่าจะถึงวาระการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปรองดองคงใช้เวลาอีกนาน เพราะที่ผ่านมาประชุมสภาแต่ละวัน ผ่านร่าง พ.ร.บ.ได้ไม่เกินวันละ 2-3 ฉบับ ประกอบกับในวันที่ 15 ส.ค.จะมีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2556 ก็ต้องใช้เวลาอีกนาน ดังนั้นกว่าจะถึงคิวร่าง พ.ร.บ.ปรองดองคงต้องใช้เวลาเป็นเดือน
       
       ส่วนแนวโน้มการถอนร่าง พ.ร.บ.ปรองดองออกจากสภานั้น ค่อนข้างชัดเจนว่ารัฐบาลไม่ถอนแน่ ขณะที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ และอดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) ในฐานะผู้เสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ก็ยืนยันว่าจะไม่ถอนร่างดังกล่าวเช่นกัน โดยอ้างว่าไม่มีความจำเป็น และว่า แม้ตนถอน ก็ไม่มีความหมายอะไร เพราะยังเหลือร่างของคนอื่นอีก 3 ฉบับที่ยังอยู่ในวาระ พร้อมยืนยันว่า ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
       
       ขณะที่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้แถลงย้ำอีกครั้งเมื่อวันที่ 2 ส.ค. โดยเรียกร้องให้ผู้เกี่ยวข้องถอนร่าง พ.ร.บ.ปรองดองออกจากการประชุมสภา หากมีการประชุมพิจารณาร่างดังกล่าวเมื่อไหร่ พันธมิตรฯ จะชุมนุมใหญ่ทันที
       
       ส่วนความคืบหน้ากรณีที่รัฐบาลจะเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น หลังจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้เผยแพร่คำวินิจฉัยส่วนกลางและคำวินิจฉัยส่วนตนเมื่อสัปดาห์ก่อน ปรากฏว่า ทางรัฐบาลอ้างว่าคำวินิจฉัยยังไม่ชัดเจน ทำให้รัฐบาลยังไม่กล้าตัดสินใจว่าจะเดินหน้าให้รัฐสภาลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในวาระ 3 ต่อไป หรือจะแก้ไขเป็นรายมาตรา หรือจะแก้ไขทั้งฉบับ โดยทำประชามติก่อน โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 30 ก.ค.ได้มีมติให้คณะกรรมการกฤษฎีกาไปศึกษาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ชัดเจนอีกครั้ง และระหว่างรอผล ได้มอบหมายให้นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไปหาวิธีให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ แต่ไม่ใช่การทำประชามติ โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี บอกว่า ไม่ใช่การทำประชามติ แต่เป็นกระบวนการสอบถามประชาชน
       
       ด้านพรรคร่วมรัฐบาลได้ประชุมหารือเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 31 ก.ค. ก่อนออกแถลงการณ์ร่วมกันว่า จะมีการจัดตั้งคณะทำงานของพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อศึกษาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างเป็นระบบและเร่งด่วน โดยระหว่างรอผลศึกษาของคณะทำงานดังกล่าว ควรจะมีการชะลอการลงมติในวาระ 3 ไว้ก่อน นอกจากนี้ให้สมาชิกพรรคร่วมรัฐบาลไปรณรงค์ให้ประชาชนเข้าใจเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย
       
       ขณะที่แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) เช่น นายจตุพร พรหมพันธุ์ เริ่มออกมากดดันว่าคณะทำงานที่รัฐบาลตั้งขึ้นเพื่อศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ไม่ควรใช้เวลานานกว่า 3-4 เดือน และว่า ในส่วนของ นปช.จะไปหาทางออกเรื่องนี้เช่นกัน
       
       2. ศาล ออกกฎเหล็กกันป่วนวันนัดไต่สวนแกนนำแดง 9 ส.ค. เตือนใครฝ่าฝืน ละเมิดอำนาจศาล เจอคุก 6 เดือน!

       เมื่อวันที่ 1 ส.ค. นายจุมพล ชูวงศ์ รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ได้เชิญสื่อมวลชนมาซักซ้อมความเข้าใจการปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ 9 ส.ค.ซึ่งเป็นวันที่ศาลนัดฟังคำสั่งว่าจะเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวนายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. หรือไม่ หลังถูกนายเชาวนะ ไตรมาศ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนการปล่อยตัว นอกจากนี้ในวันดังกล่าว ศาลยังได้นัดสอบถามนายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กับพวกรวม 24 คน ซึ่งเป็นจำเลยในคดีก่อการร้าย เพื่อประกอบการพิจารณาว่าจะสั่งเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยทั้งหมดหรือไม่ หลังถูกนายนิพิฎฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนการปล่อยตัว
       
       ส่วนสาเหตุที่ศาลต้องเชิญสื่อมวลชนมาซักซ้อมทำความเข้าใจก่อนถึงวันที่ 9 ส.ค.นั้น เนื่องจากในการไต่สวนนายจตุพรเมื่อวันที่ 23 ก.ค.ได้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในบริเวณศาล จากกรณีคนเสื้อแดงที่มาให้กำลังใจนายจตุพรมีการใช้รถติดตั้งเครื่องขยายเสียงพูดจาปลุกเร้าเสียงดังกึกก้อง ทำให้ขัดขวางการพิจารณาคดีนี้และคดีอื่นๆ ทั้งของศาลอาญา ศาลแพ่ง ศาลอุทธรณ์ และศาลแขวงพระนครเหนือ นอกจากนี้ยังมีการเร่ขายสินค้าขัดขวางการจราจรบนถนนรัชดาภิเษกด้วย ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดเหตุวุ่นวายในวันที่ 9 ส.ค.อีก ศาลจึงอาศัยกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 30 ประกอบกฎหมายวิธิพิจารณาความอาญามาตรา 158 ออกข้อกำหนดสำหรับผู้ที่จะมาศาลอาญาในวันดังกล่าวว่า ห้ามมิให้ผู้ใดประพฤติตนในทางที่ก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย ก่อความรำคาญในบริเวณศาล หรือกระทำการในลักษณะที่เป็นการยั่วยุหรือสนับสนุนในบริเวณศาล ห้ามใช้เครื่องขยายเสียงส่งเสียงดัง อันเป็นการรบกวนการพิจารณาของศาล ห้ามวางสินค้ากีดขวางทางเข้าออกศาลอาญา ผู้ใดฝ่าฝืนมีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ต้องระวางโทษจำคุก 6 เดือน
       
       ด้านนางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช. บอกว่า วันที่ 9 ส.ค.จะไม่เปิดเครื่องขยายเสียงไปรบกวนศาลอย่างเด็ดขาด แต่จะใช้เมื่อมีความจำเป็นเท่านั้น และว่า หากมีเหตุการณ์อะไรควบคุมไม่ได้ ก็ต้องโทษศาลเอง เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากศาลจะออกกฎเพื่อความเรียบร้อยในวันที่ 9 ส.ค.แล้ว ศาลยังได้ประสานตำรวจเพื่อเปลี่ยนกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะมาดูแลศาลในวันที่ 9 ส.ค. จากตำรวจนครบาล เป็นตำรวจคอมมานโดจากกองปราบปรามแทน
       
       ด้านนายทวี ประจวบลาภ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา บอกว่า วันที่ 9 ส.ค.ศาลได้นัดสอบถามกรณีนายนิพิฎฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวนายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จำเลยในคดีก่อการร้าย กรณีปราศรัยแจกที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและครอบครัว โดยศาลต้องสอบถามนายยศวริศเป็นกรณีพิเศษเหมือนที่สอบถามนายจตุพรไปก่อนหน้านี้
       
       นายทวี ยังบอกด้วยว่า ขณะนี้เปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ทำให้จำเลยคดีก่อการร้ายที่เป็น ส.ส.รวม 4 คน สามารถใช้เอกสิทธิ์คุ้มครอง และไม่ต้องเดินทางมาศาลตามที่นัดไว้ในวันที่ 9 ส.ค.ได้ แต่ต้องส่งทนายมาแจ้งต่อศาลว่าขอใช้เอกสิทธิ์คุ้มครอง ประกอบด้วย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ,นพ.เหวง โตจิราการ ,นายก่อแก้ว พิกุลทอง และนายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ซึ่งศาลจะรอจนกว่าจะปิดสมัยประชุมสภา แล้วจะเรียกจำเลยทั้ง 4 คนมาสอบถามต่อไป ส่วนจำเลยอื่นๆ ที่ไม่ได้เป็น ส.ส. หากไม่มาศาลตามที่ได้ออกหมายเรียกในวันที่ 9 ส.ค. ศาลจะมีคำสั่งออกหมายจับทันที เพราะถือว่าฝ่าฝืนหมายเรียก แสดงว่ามีพฤติการณ์หลบหนี
       
       3. “ยิ่งลักษณ์” สั่งตั้งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไฟใต้ที่กรุงเทพฯ ขณะที่ “กอ.รมน.” เล็งชงเคอร์ฟิวพื้นที่ไม่สงบ ด้านแม่ทัพภาค 4 ค้าน!

       ความคืบหน้าหลังคนร้ายลอบยิงทหารชุดลาดตระเวนสังกัดร้อย ร.15321 ฉก.ปัตตานี 25 ทำให้ทหารเสียชีวิต 4 นาย บาดเจ็บ 2 นาย ที่ อ.มายอ จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 28 ก.ค. ปรากฏว่า ผู้เกี่ยวข้อง ทั้งทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ได้สนธิกำลังเข้าปิดล้อมตรวจค้นหมู่บ้านตำบลน้ำใส อ.มายอเมื่อวันที่ 29 ก.ค. โดยควบคุมผู้ต้องสงสัยยิงทหารชุดลาดตระเวนดังกล่าวได้ 3 คน ประกอบด้วย นายอิสมาแอล ดาโอง ผู้ขี่รถจักรยานยนต์รายงานความเคลื่อนไหวของทหาร ,นายอับดุลอสซี จือแน มือปืน และนายรอสดี จือแน มือปืน ซึ่งเป็นพี่น้องกัน
       
       ด้านคณะรัฐมนตรีที่สัญจรไปประชุมที่ จ.สุรินทร์ ได้หารือปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อวันที่ 30 ก.ค. โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้สั่งให้หน่วยงานด้านความมั่นคงบูรณาการเรื่องกล้องวงจรปิดหรือซีซีทีวี ในพื้นที่ เพื่อให้รู้ว่าตรงจุดไหนติดกล้องซีซีทีวีบ้าง โดยเจ้าหน้าที่ต้องรู้และนำมาเชื่อมโยงกันให้มากขึ้น นอกจากนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังได้ให้ตำรวจทำงานร่วมกับสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) มากขึ้น
       
       ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาจี้ให้รัฐบาลทบทวนทั้งนโยบายและแนวปฏิบัติในการแก้ปัญหาเหตุไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยขอให้นายกรัฐมนตรีดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดและคิดถึงบ้านเมือง อย่าคิดแต่เรื่องการเมือง
       
       ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เรียกประชุมรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและหน่วยงานด้านความมั่นคงประชุมด่วนเมื่อวันที่ 31 ก.ค. เพื่อหาทางแก้ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยหลังประชุม พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี เผยว่า ที่ประชุมได้ทบทวนยุทธศาสตร์ที่นายกฯ เคยให้ไว้ว่าควรปรับปรุงอะไรให้สมบูรณ์ขึ้นบ้าง พร้อมยืนยันว่ายุทธศาสตร์ที่ได้วางไว้ถูกต้องแล้ว อย่างไรก็ตาม จะมีการตั้งศูนย์ปฏิบัติการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ขึ้นที่กรุงเทพฯ โดยเป็นการรวมทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับปัญหาชายแดนภาคใต้ รวมทั้งกระทรวงทั้ง 17 กระทรวง โดยมี พล.อ.ยุทธศักดิ์ ,ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ และนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อยู่ในศูนย์เพื่อทำงานร่วมกัน
       
       ทั้งนี้ ช่วงค่ำวันเดียวกัน(31 ก.ค.) เวลา 19.00น. ได้เกิดเหตุระเบิดคาร์บอมบ์บริเวณหลังโรงแรม ซี.เอส. ปัตตานี แรงระเบิดทำให้เกิดไฟลุกไหม้ด้านหลังโรงแรม และส่งผลให้ไฟฟ้าดับทั้งเขตเทศบาลเมืองปัตตานี ขณะที่ทางโรงแรมต้องอพยพแขกที่เข้าพักและพนักงานออกจากโรงแรม หลังผ่านไป 2 ชั่วโมง สถานการณ์จึงกลับเข้าภาวะสู่ปกติ
       
       นายอนุศาสน์ สุวรรณมงคล ส.ว.ปัตตานี เจ้าของโรงแรม ซี.เอส. ปัตตานี บอกว่า เหตุการณ์คาร์บอมบ์ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 แล้วที่เกิดกับโรงแรมของตน โดยครั้งก่อนเกิดเมื่อวันที่ 14 มี.ค.2551 มีผู้เสียชีวิต 2 ราย คือ พนักงานขับรถและพนักงานของโรงแรม สำหรับครั้งนี้เคราะห์ดีที่ไม่มีผู้เสียชีวิต
       
       ด้าน พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี พูดถึงเหคุการณ์คาร์บอมบ์ดังกล่าวว่า มาจาก 2 สาเหตุ 1.เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มข้น ส่งผลให้ผู้ก่อการร้ายต้องออกมาแก้ไขสถานการณ์ 2.เกิดจากผู้ก่อการร้าย 2 ฝ่ายพยายามแย่งอำนาจกัน และว่า ขณะนี้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(กอ.รมน.) และแม่ทัพภาคที่ 4 ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และรู้ตัวบุคคลทุกครั้งที่มีการปฏิบัติการ แต่ยังไม่สามารถติดตามตัวได้ “เหตุคาร์บอมบ์ที่โรงแรม ซี.เอส. เข้าใจว่าเป็นการกระทำของบุคคลที่ไม่มีศาสนา ยืนยันว่าไม่ถึงกับเป็นการก่อการร้ายสากล”
       
       ด้านศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศชต.) ได้แจ้งให้ทุกสถานีตำรวจภูธรในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาตใต้ระวังรถยนต์หมายเลขทะเบียนต่อไปนี้ที่ถูกโจรกรรมไปจำนวน 16 คัน ซึ่งอาจถูกคนร้ายสวมรอยนำไปก่อเหตุไม่สงบในพื้นที่ได้ ประกอบด้วย ทะเบียน บร.7934 สงขลา ,กค 1006 ยะลา ,กด6714 พัทลุง ,บต 9179 ปัตตานี ,บง 955 ยะลา ,บฉ 2256 ยะลา ,บง 3171 ยะลา ,ผค 4883 สงขลา ,กบ 4316 สงขลา ,บจ 4179 ยะลา ,บต 3957 สงขลา ,ดง 1598 กรุงเทพมหานคร ,บจ 105 ปัตตานี ,กบ 3315 นราธิวาส ,ถล 8099 กรุงเทพมหานคร และ ผก 7930 สงขลา
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังเหตุไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปรากฏว่า รัฐมนตรีในรัฐบาลเริ่มส่งสัญญาณว่าถึงเวลาต้องใช้กฎหมายพิเศษหรือประกาศเคอร์ฟิวในพื้นที่ที่เกิดเหตุการณ์ไม่สงบแล้ว โดย พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยอมรับว่า ได้มีการหารือเรื่องนี้กับผู้นำเหล่าทัพ เพราะเป็นเรื่องจำเป็น พร้อมขอโทษประชาชนด้วยหากเกิดความไม่สะดวก และว่า เวลาอย่างนี้จะเอาความสะดวกไม่ได้แล้ว จะมีการนำกฎหมายมาบังคับใช้ จำเป็นต้องทำแล้วในวันนี้
       
       ทั้งนี้ มีรายงานว่า กอ.รมน.เตรียมเสนอให้ที่ประชุม ครม.เห็นชอบประกาศเคอร์ฟิวในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในเร็วๆ นี้ ขณะที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้ยกระดับการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุดในพื้นที่ 7 เขตที่เป็นหัวเมืองเศรษฐกิจ ประกอบด้วย อ.เมือง อ.เบตง จ.ยะลา ,อ.เมือง จ.ปัตตานี ,อ.เมือง อ.ตากใบ อ.สุไหง-โกลก จ.นราธิวาส และ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยมีการเสริมยุทโธปกรณ์พิเศษ เช่น ซีซีทีวี และกำลังทหาร รวมทั้งทบทวนการกำหนดพื้นที่ปลอดภัย หรือเซฟตี้ โซน ให้เหมาะสมมากขึ้น
       
       ขณะที่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี ก็หนุนประกาศเคอร์ฟิวเช่นกัน แต่ควรใช้ในบางจุด “ทางทหารจะประกาศเป็นจุดและบางเส้นทางสัญจรที่ได้รับผลกระทบเท่านั้น จะไม่ได้ปิดเต็มพื้นที่เหมือนที่ผ่านมา เพื่อป้องกันการเกิดความวิตกกังวลของประชาชนในพื้นที่และความเสียหายด้านเศรษฐกิจ”
       
       อย่างไรก็ตาม พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 ไม่เห็นด้วยกับการประกาศเคอร์ฟิว โดยบอกว่า มาตรการเคอร์ฟิวนั้นเป็นแค่กรอบการทำงานของเจ้าหน้าที่กรณีมีคนหรือสิ่งของกีดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ แต่ตอนนี้ชาวบ้านในพื้นที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ไม่มีการขัดขวาง ดังนั้นจึงยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้เคอร์ฟิว
       
       ด้านนายอนุศาสน์ สุวรรณมงคล ส.ว.ปัตตานี เจ้าของโรงแรมซีเอส ปัตตานี ที่ถูกคนร้ายวางระเบิดคาร์บอมบ์ ก็ไม่เห็นด้วยกับการประกาศเคอร์ฟิวเช่นกัน เพราะจะสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน พร้อมอยากให้เจ้าหน้าที่รัฐแก้ปัญหาไฟใต้ด้วยการตรวจสอบและค้นหาความจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากกว่าประกาศเคอร์ฟิว
       
       เช่นเดียวกับนายวันอับดุลกอเดร์ แวมุสตอฟา ผู้นำศาสนาอิสลาม จ.ยะลา ก็ไม่เห็นด้วยกับการประกาศเคอร์ฟิวในช่วงเดือนรอมฎอนที่ชาวมุสลิมกำลังถือศีลอด “การประกอบพิธีทางศาสนาในช่วงนี้ ควรจะออกจากบ้านไปที่มัสยิดหรือสุเหร่า ถ้ามีการประกาศเคอร์ฟิว ก็เหมือนกับการไปกีดกั้นการปฏิบัติของแต่ละคน เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง การละหมาดที่บ้านกับการละหมาดที่มัสยิด ผลตอบแทนที่พระเจ้าจะให้นั้น ต่างกันอย่างทวีคูณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนรอมฎอน”
       
       4. ศาลฎีกาฯ สั่งเพิกถอน “สัก กอแสงเรือง” พ้น ส.ว. แต่ไม่ตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี!

       เมื่อวันที่ 1 ส.ค. ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ได้อ่านคำสั่งคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการเป็น ส.ว.สรรหาของนายสัก กอแสงเรือง และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนายสักเป็นเวลา 5 ปี โดย กกต.ร้องว่า นายสักได้รับการสรรหาเป็น ส.ว.ในการสรรหาเมื่อวันที่ 25 ก.พ.2554 จากนั้นนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้เข้ารับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็น ส.ว.ได้ยื่นคำร้องว่าการสรรหา ส.ว.เป็นไปโดยไม่ถูกต้อง โดยชี้ว่า นายสักเป็นผู้ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามมิให้ได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็น ส.ว.ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 115 (9) เพราะนายสักเคยได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ว.ครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญ 2540 เมื่อวันที่ 4 มี.ค. 2543 และพ้นจากการเป็น ส.ว.ชุดดังกล่าวมายังไม่เกิน 5 ปี สภาทนายความก็ได้เสนอชื่อนายสักเข้ารับการสรรหา ส.ว.เมื่อวันที่ 6 มี.ค.2554
       
        ทั้งนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง พิจารณาแล้วเห็นว่า นายสักพ้นจากตำแหน่ง ส.ว.มายังไม่เกิน 5 ปีจริงตามที่ถูกร้อง จึงต้องถือว่าได้รับการสรรหามาเป็น ส.ว.โดยไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเป็นการสรรหาจากผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 240 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ.2550 มาตรา 134 (1) จึงสั่งเพิกถอนการสรรหา ส.ว.ของนายสัก พร้อมสั่งให้มีการสรรหา ส.ว. ในส่วนของนายสักใหม่ อย่างไรก็ตาม ศาลไม่ได้ตัดสิทธิเลือกตั้ง 5 ปีนายสักแต่อย่างใด โดยให้เหตุผลว่า พิจารณาพฤติการณ์แล้ว ยังไม่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า นายสักรู้ดีอยู่แล้วว่าตนมีลักษณะต้องห้าม หรือมีเจตนาหรือจงใจที่จะกระทำการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย หรือประสงค์ให้ผลการสรรหา ส.ว.เป็นไปโดยไม่สุจริตและเที่ยงธรรม จึงยังไม่มีเหตุที่จะสั่งเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งของนายสัก ด้านนายสัก ไม่ได้เดินทางมาฟังคำสั่งศาลแต่อย่างใด มีเพียงทนายความเดินทางมาเท่านั้น

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 สิงหาคม 2555

5618
1. พันธมิตรฯ ขู่ชุมนุมใหญ่ หากสภาไม่ถอนร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ด้าน “ขุนค้อน” ยัน เลื่อนวาระพ้น 1 ส.ค. แล้ว!

       เมื่อวันที่ 24 ก.ค. แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประกอบด้วย นายสนธิ ลิ้มทองกุล ,พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ,นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ,นายพิภพ ธงไชย และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ ได้แถลงข่าวคัดค้านการเดินหน้าร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการปรองดองแห่งชาติ
       
       โดยนายสนธิ พูดถึงจุดยืนของพันธมิตรฯ ว่า จะนำมวลชนออกมาเคลื่อนไหวใน 2 กรณี 1.หากรัฐบาลทำอะไรก็ตามที่แสดงให้เห็นว่าเป็นการดูหมิ่นหรือล้มล้างสถาบัน พันธมิตรฯ จะออกมาปกป้องสถาบัน เพราะสถาบันเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยที่ต้องดำรงอยู่ และ 2.การออกกฎหมายล้างความผิด ถือเป็นการทำลายหลักนิติรัฐ พันธมิตรฯ ยอมไม่ได้ ซึ่งร่าง พ.ร.บ.ปรองดองที่ค้างอยู่ในสภา เป็นกฎหมายที่ล้างความผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณและพรรคพวก ดังนั้นหากรัฐบาลไม่ถอนร่างดังกล่าวออกจากสภาในวันที่ 1 ส.ค. พันธมิตรฯ จะชุมนุมทันที “ถ้าหากว่ายังมีวาระคงค้างอยู่และไม่ถอน เราจะชุมนุมทันที ส่วนการชุมนุมจะยืดเยื้อหรือจะปักหลักพักค้างอย่างไร ขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะมีท่าทีเช่นไร ผมคิดว่าพันธมิตรฯ จะไม่ยอมรับคำพูดของท่านนายกรัฐมนตรี ซึ่งท่านคงจะพูดว่าเป็นเรื่องของสภา เพราะคำพูดนี้เป็นคำพูดที่โกหก พูดความจริงครึ่งเดียว เพราะในสภา ส.ส.เกินกว่าครึ่งเป็นเสียงของพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล เพราะฉะนั้นถ้านายกรัฐมนตรีเห็นด้วยว่าควรจะถอนร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง น่าจะแจ้งให้พรรคเพื่อไทยทราบ ถ้าพรรคเพื่อไทยทราบแล้ว พรรคร่วมรัฐบาลต้องไม่ขัดข้องเช่นกัน เพราะฉะนั้นกรุณาอย่าใช้คำพูดเดิมๆ ที่ปัดสวะพ้นตัวว่า เป็นเรื่องของสภา รัฐบาลไม่เกี่ยวข้อง เพราะคำพูดนี้เป็นคำพูดที่โกหก”
       
       ทั้งนี้ หลังแถลงเสร็จ นายปานเทพได้เดินทางไปยื่นหนังสือที่รัฐสภา เพื่อให้นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ประสาน ส.ส.และผู้ที่เกี่ยวข้องถอนร่าง พ.ร.บ.ปรองดองออกจากการประชุมสภาก่อนวันที่ 1 ส.ค. เพื่อยุติความขัดแย้งของคนในชาติ และถือเป็นการสร้างความปรองดองอย่างแท้จริง “กลุ่มพันธมิตรฯ ขอแจ้งให้ทราบว่า ทันที่ปรากฏวาระการประชุมเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปรองดองในวันใด กลุ่มพันธมิตรฯ จะจัดให้มีการชุมนุมใหญ่ในทันที พร้อมเคลื่อนมวลชนไปในสถานที่ต่างๆ จนกว่าจะมีการถอนร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวออกจากการประชุมรัฐสภา”
       
       ขณะที่ท่าทีของรัฐบาลหลังแกนนำพันธมิตรฯ ขู่ชุมนุมใหญ่หากไม่ถอนร่าง พ.ร.บ.ปรองดองออกจากสภา ปรากฏว่า นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรัฐมนตรีที่ทำหน้าที่ประสานงานกับรัฐสภา ก็ยืนยันว่า จะไม่มีการหยิบยกร่างดังกล่าวมาพิจารณาในสภาแน่นอน โดยวิปรัฐบาลจะเสนอให้นำกฎหมายอื่นมาพิจารณาแทนทันทีที่เปิดสมัยประชุมสภา ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อไม่คิดหยิบยกขึ้นมาพิจารณา ทำไมจึงไม่ถอนร่างดังกล่าวออกไป นายวรวัจน์ บอกว่า การถอนเป็นเรื่องของเจ้าของร่าง ซึ่งมีอยู่หลายร่าง สิ่งที่วิปรัฐบาลทำได้คือหยิบยกเรื่องอื่นขึ้นมาพิจารณาแทนเท่านั้น
       
       ขณะที่นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานรัฐสภา ก็บอกว่า ได้เรียกประชุมนัดพิเศษในวันที่ 1 ส.ค. ซึ่งเป็นวันเปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญทั่วไป แต่จะเลื่อนญัตติร่าง พ.ร.บ.ปรองดองออกไปก่อน เพื่อให้ทุกฝ่ายสบายใจ ส่วนที่พันธมิตรฯ ขู่ชุมนุมใหญ่ หากไม่ถอนร่าง พ.ร.บ.ปรองดองนั้น นายสมศักดิ์ บอกว่า ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อยุติว่าจะเอาอย่างไร จึงจะขอเลื่อนวาระอื่นขึ้นมาพิจารณาก่อน จนกว่าจะได้คำตอบสุดท้ายเพื่อที่การประชุมสภาปกติในวันที่ 8-9 ส.ค.จะได้ไม่เกิดปัญหา
       
       ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พูดถึงการถอนร่าง พ.ร.บ.ปรองดองออกจากสภา โดยรีบโยนว่า เป็นเรื่องของรัฐสภา รัฐบาลไม่สามารถถอนร่างดังกล่าวได้ เพราะไม่ใช่ร่างของรัฐบาล ดังนั้นรัฐบาลจะไม่ไปก้าวล่วงอำนาจของรัฐสภา
       
       2. ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด “สุเทพ” แทรกแซง ขรก.- ส่งวุฒิฯ ลงมติถอดถอน ด้านเจ้าตัวประกาศเลิกเล่นการเมือง หากถูกตัดสิทธิ 5 ปี!

       เมื่อวันที่ 26 ก.ค. คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ได้ประชุมพิจารณากรณีมีการกล่าวหานายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ สมัยดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ว่ามีพฤติการณ์ที่ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ กรณีได้ลงนามหนังสือสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อส่ง ส.ส.ของพรรคและบุคคลอื่นรวม 19 คน ไปช่วยราชการที่กระทรวงวัฒนธรรมเมื่อวันที่ 25 ก.พ.2552 ซึ่งอาจเข้าข่ายก้าวก่ายหรือแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ประจำของข้าราชการเพื่อประโยชน์ของตนเองหรือผู้อื่นหรือพรรคการเมือง อันเป็นการกระทำต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 268 ประกอบมาตรา 266(1)
       
       พร้อมกันนี้ ป.ป.ช.ได้พิจารณากรณีมีผู้กล่าวหานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยว่ารู้เห็นเป็นใจกับนายสุเทพในการกระทำดังกล่าวด้วยหรือไม่ โดยหลังประชุม นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการและโฆษก ป.ป.ช.แถลงว่า จากข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า นายสุเทพได้มีหนังสือสำนักนายกรัฐมนตรีลงวันที่ 25 ก.พ.2552 ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม แจ้งความประสงค์ขอส่ง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์จำนวน 19 คนไปช่วยราชการที่กระทรวงวัฒนธรรม โดยหนังสือดังกล่าวถึงกระทรวงวัฒนธรรมในวันที่ 27 ก.พ.2552 จากนั้นวันที่ 2 มี.ค.2552 นายสุเทพได้สั่งให้รองเลขาธิการนายกฯ ฝ่ายการเมืองไปขอรับหนังสือดังกล่าวคืน เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมแจ้งนายสุเทพว่าไม่ประสงค์รับ ส.ส.ไปช่วยราชการที่กระทรวง โดยนายสุเทพได้รับหนังสือคืนมาในวันที่ 3 มี.ค.2552
       
       ส่วนการกระทำของนายสุเทพถือว่าเป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการเพื่อผลประโยชน์ของตนหรือพรรคการเมืองหรือไม่นั้น ป.ป.ช.พิจารณาแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องไม่ได้นิยามคำว่าก้าวก่ายหรือแทรกแซง จึงต้องพิจารณาตามความหมายของพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 ซึ่งระบุคำว่า “ก้าวก่าย” หมายความว่า ล่วงล้ำเข้าไปยุ่งเกี่ยวหน้าที่ผู้อื่น ส่วน “แทรกแซง” หมายความว่า แทรกเข้าไปเกี่ยวข้องในกิจการของผู้อื่น ดังนั้นจึงเห็นว่าการกระทำของนายสุเทพเป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแซงการปฏิบัติราชการหรือการดำเนินงานในหน้าที่ประจำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และเป็นไปเพื่อประโยชน์ของตน ส.ส.หรือของพรรคการเมือง ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม “การแก้ปัญหาความเดือดร้อน การรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงวัฒนธรรม เป็นหน้าที่ของข้าราชการหรือลูกจ้าง และเป็นหน้าที่โดยตรงของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งเป็นฝ่ายบริหารที่จะต้องรับผิดชอบ ฝ่ายนิติบัญญัติจึงไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซง”
       
       ส่วนประเด็นการขอถอนเรื่องคืนของนายสุเทพจะถือว่ายังไม่มีการก้าวก่ายหรือแทรกแซงการปฏิบัติราชการของกระทรวงวัฒนธรรมหรือไม่นั้น ป.ป.ช.เห็นว่า การกระทำของนายสุเทพเป็นการใช้สถานะหรือตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีก้าวก่ายหรือแทรกแซงการปฏิบัติราชการของกระทรวงวัฒนธรรมเพื่อประโยชน์ทางการเมืองในการสร้างฐานเสียง และเพื่อประโยชน์ของ ส.ส.หรือพรรคประชาธิปัตย์ จึงมีมติว่า นายสุเทพมีพฤติการณ์ส่อจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และให้ส่งเรื่องไปยังประธานวุฒิสภา เพื่อให้ที่ประชุม ส.ว.พิจารณาว่าจะถอดถอนนายสุเทพหรือไม่ โดยการถอดถอนจะต้องใช้เสียง ส.ว. 3 ใน 5 ซึ่งหากมีมติถอดถอน จะส่งผลให้บุคคลนั้นถูกห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปีทันที
       
       ส่วนกรณีนายอภิสิทธิ์รู้เห็นเป็นใจกับนายสุเทพในการดำเนินการดังกล่าวหรือไม่นั้น นายกล้านรงค์ บอกว่า จากการไต่สวนข้อเท็จจริงไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่านายอภิสิทธิ์รู้เห็นเป็นใจกับนายสุเทพตามที่ถูกกล่าวหา จึงเห็นว่าข้อกล่าวหาไม่มีมูล และให้ข้อกล่าวหาตกไป
       
       ด้านนายสุเทพ เผยความรู้สึกหลังถูก ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด โดยยืนยันว่า การจัดส่ง ส.ส.ไปช่วยงานกระทรวงวัฒนธรรม ยังไม่ได้มีการดำเนินการ แค่ทำหนังสือถึงกระทรวงวัฒนธรรมให้พิจารณา แต่เมื่อตนเปิดกฎหมายดูพบว่ามีความหมิ่นเหม่ จึงถอนหนังสือกลับ แต่ ป.ป.ช.เห็นว่าเป็นความผิดก็ต้องยอมรับมติของ ป.ป.ช. ส่วนจะถูก ส.ว.มีมติถอดถอนและตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปีหรือไม่ นายสุเทพ บอกว่า ไม่สามารถคาดเดาได้ และว่า ขณะนี้ตนอายุ 64 ปีแล้ว หากถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปีจริง ก็จะมีอายุ 69 ปี ถึงตอนนั้นคงเลิกเล่นการเมืองและกลับไปเลี้ยงหลาน
       
       3. ศาล พิพากษาจำคุก 3 อดีตผู้ตรวจการแผ่นดิน “พล.อ.ธีรเดช”โดนด้วย ส่งผลหลุดเก้าอี้ ปธ.วุฒิฯ !

       เมื่อวันที่ 25 ก.ค. ศาลอาญา ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ฟ้องนายพูลทรัพย์ ปิยะอนันต์ อดีตผู้ตรวจการแผ่นดิน ,พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ประธานวุฒิสภา ในฐานะอดีตผู้ตรวจการแผ่นดิน และนายปราโมทย์ โชติมงคล อดีตประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ในฐานะอดีตเลขาธิการผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นจำเลยที่ 1-3 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต และเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 กรณีออกระเบียบขึ้นเงินเดือนให้ตัวเองโดยมิชอบ
       
       คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 29 ก.ค.-30 ก.ย.2547 จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันจัดทำร่างระเบียบผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเบี้ยประชุมกรรมการและอนุกรรมการและค่าตอบแทนบุคคลหรือคณะบุคคล พ.ศ.2547 โดยนายปราโมทย์ จำเลยที่ 3 ได้นำร่างระเบียบของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกระเบียบในลักษณะดังกล่าวมาเป็นต้นแบบในจัดทำร่างระเบียบเพื่อใช้กับสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินบ้าง ซึ่งร่างระเบียบดังกล่าวเป็นข้อกำหนดที่ออกโดยมิชอบ โดยนายพูลทรัพย์และ พล.อ.ธีรเดช จำเลยที่ 1-2 ได้ให้ความเห็นชอบเพื่อออกระเบียบดังกล่าวเมื่อวันที่ 30 ก.ค.2547 และให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.2547 ซึ่งสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้เบิกจ่ายค่าตอบแทนประจำเดือน ก.ค.-ก.ย.2547 ให้จำเลยทั้งสาม เดือนละ 20,000 บาท เป็นเงิน 60,000 บาท
       
       ทั้งนี้ โดยหลักแล้ว การจะออกระเบียบจ่ายเงินค่าตอบแทนให้ผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นรายละเดือนในลักษณะเหมาจ่ายเป็นเงินเพิ่มพิเศษในลักษณะควบกับเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง จะต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 253 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา พ.ศ.2542 มาตรา 5 คือต้องผ่านกระบวนการจากคณะรัฐมนตรี(ครม.) เข้าสู่รัฐสภาเพื่อออกเป็นกฎหมายใช้บังคับ ซึ่งหลังจากจำเลยทั้งสามกระทำผิด ได้มีการส่งเงินคืนให้สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินแล้วคนละ 60,000 บาท
       
       ส่วนที่จำเลยทั้งสามอ้างว่า ขาดเจตนากระทำผิดเพราะเชื่อโดยสุจริตใจว่าสามารถออกระเบียบดังกล่าวได้ เนื่องจากคัดลอกข้อความมาจากระเบียบศาลรัฐธรรมนูญนั้น ศาลเห็นว่า ฟังไม่ขึ้น เพราะจำเลยได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้รับความไว้วางใจในความรู้ความสามารถ คุณธรรม จริยธรรม ความดี และความสุจริต การขึ้นเงินเดือนให้ตัวเองเป็นการกระทำที่ขัดแย้งระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์สาธารณะ จึงต้องมีมโนธรรมกำกับอย่างยิ่งยวด จะใช้มาตรฐานความรู้สึกนึกคิดเช่นคนทั่วไปไม่ได้ ศาลจึงพิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิด โดยจำเลยที่ 1-2 ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 83 ให้จำคุกคนละ 2 ปี ส่วนจำเลยที่ 3 ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 86 ให้จำคุก 1 ปี 4 เดือน โดยให้รอลงอาญาเป็นเวลา 2 ปี
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า ขณะฟังศาลอ่านคำพิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิด ปรากฏว่า นายพูลทรัพย์ จำเลยที่ 1 เกิดอาการหน้ามืดและเป็นลม จำเลยที่ 2-3 จึงช่วยประคอง ขณะที่เจ้าหน้าที่ รปภ.ของศาลช่วยหายาดมมาให้ สักพักจึงมีอาการดีขึ้น
       
       ทั้งนี้ การถูกศาลพิพากษาจำคุกแม้รอลงอาญา ก็ส่งผลให้ พล.อ.ธีรเดชต้องพ้นจากตำแหน่งประธานวุฒิสภาทันที แต่ยังคงสถานะสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) ต่อไปได้ ขณะที่เริ่มมีการเคลื่อนไหวเพื่อเลือกประธานวุฒิสภาคนใหม่แทน พล.อ.ธีรเดชแล้ว โดยนายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 บอกว่า จำเป็นต้องสรรหาประธานวุฒิสภาคนใหม่โดยเร็ว เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการประชุมรัฐสภา โดยคาดว่าจะมีการเรียกประชุมวุฒิสภาเพื่อสรรหาในวันที่ 10 ส.ค.นี้
       
       4. ป.ป.ช.มีมติเอกฉันท์ “สุพจน์” ร่ำรวยผิดปกติ ส่ง อสส.ยื่นศาลสั่งยึดทรัพย์ 64.7 ล้านตกเป็นของแผ่นดิน!

       เมื่อวันที่ 24 ก.ค. คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ได้ประชุมพิจารณากรณีนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงคมนาคม ถูกกล่าวหากระทำการทุจริตต่อหน้าที่ ร่ำรวยผิดปกติ และจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ หลังคณะกรรมการไต่สวนที่ ป.ป.ช.ตั้งขึ้นได้มีมติเมื่อวันที่ 24 และ 29 พ.ค.ที่ผ่านมาว่านายสุพจน์ร่ำรวยผิดปกติ
       
       ทั้งนี้ หลังประชุม นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการและโฆษก ป.ป.ช. แถลงว่า ป.ป.ช.ได้พิจารณาสำนวนการไต่สวนเกี่ยวกับทรัพย์สินของนายสุพจน์ ซึ่งได้มีการรวบรวมทรัพย์สินและหนี้สินของนายสุพจน์ ทั้งจากธนาคาร ส่วนราชการ และบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินที่นายสุพจน์ได้ยื่นต่อ ป.ป.ช.รวม 36 ครั้งตั้งแต่วันที่ 28 พ.ย.2544 ถึง 22 พ.ย.2554 รวมทั้งได้สอบปากคำพยานบุคคลและพยานหลักฐานต่างๆ แล้ว ปรากฏข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า นายสุพจน์เริ่มรับราชการครั้งแรกเมื่อเดือน ก.ย.2520 ในตำแหน่งสารวัตรแรงงาน กรมแรงงาน ได้รับเงินเดือน 1,750 บาท ปีต่อมา ได้โอนย้ายมาสังกัดกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม และได้เลื่อนตำแหน่งเรื่อยมา กระทั่งได้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงคมนาคมเมื่อวันที่ 1 ต.ค.2552 โดยนายสุพจน์ได้ยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.เมื่อวันที่ 28 พ.ย.2544 ว่ามีจำนวน 65.79 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นเงินที่มากกว่าที่เจ้าหน้าที่ของรัฐในตำแหน่งดังกล่าวจะพึงมี
       
       คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงได้ให้นายสุพจน์ชี้แจงการได้มาซึ่งทรัพย์สินดังกล่าว รวมทั้งไต่สวนพยานบุคคล รับฟังได้ว่า นายสุพจน์มีรายได้จากทางราชการประมาณ 4.98 ล้านบาท รายได้จากการทำงานกับบริษัทเอกชน 16 ปี 9.6 ล้านบาท รายได้จากงานพิเศษ 1 ล้านบาท รายได้เงินกู้จากธนาคาร 5.5 ล้านบาท รวมแล้วแค่ 21 ล้านบาท ซึ่งไม่สัมพันธ์กับทรัพย์สินที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. จำนวน 65 .79 ล้านบาท แม้ทรัพย์สินดังกล่าวจะได้มาก่อนดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงคมนาคม แต่นายสุพจน์ก็ไม่สามารถชี้แจงถึงการได้มาซึ่งทรัพย์สินดังกล่าวได้
       
       คณะกรรมการป.ป.ช.จึงมีมติเอกฉันท์ว่า นายสุพจน์ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ 64.73 ล้านบาท ประกอบด้วย เงินสดของกลางที่ตำรวจยึดได้จากคนร้ายที่ปล้นบ้านนายสุพจน์ 17.55 ล้านบาท ,ทองรูปพรรณหนัก 10 บาท ,รถยนต์ยี่ห้อโฟล์กสวาเกน มูลค่า 3 ล้านบาท และทรัพย์สินอีกกว่า 44 ล้านบาท ซึ่งมีทั้งเงินฝากธนาคาร ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
       
       ทั้งนี้ ป.ป.ช.จะส่งเรื่องต่อให้อัยการสูงสุด(อสส.) เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลขอให้สั่งให้ทรัพย์สิน 64.73 ล้านบาทดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดินต่อไปตาม พ.ร.บ. ป.ป.ช. มาตรา 80 โดย ป.ป.ช.ได้หักทรัพย์สินที่นายสุพจน์ได้มาโดยชอบออกจากทรัพย์สินที่ไม่สามารถชี้แจงได้แล้ว
       
       5. ศาล เลื่อนถอนประกัน “จตุพร” นัดฟังคำสั่งพร้อมแกนนำแดงอีก 24 คน 9 ส.ค. ด้านศาล รธน. ฟ้องเอาผิด “ก่อแก้ว-เจ๋ง ดอกจิก” แล้ว!

       เมื่อวันที่ 23 ก.ค. ศาลอาญา ได้นัดสอบถามนายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หลังนายเชาวนะ ไตรมาศ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. เพื่อให้มีคำสั่งเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวนายจตุพร เนื่องจากมีพฤติการณ์เข้าข่ายผิดเงื่อนไขการให้ประกันตัว ด้วยการขึ้นเวทีปราศรัยที่หน้ารัฐสภาโจมตีข่มขู่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่รับคำร้องเรื่องร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ไว้วินิจฉัยว่าขัดมาตรา 68 หรือไม่
       
        ทั้งนี้ นายจตุพรได้เดินทางมาศาล โดยมีแกนนำ นปช.คนอื่นๆ และคนเสื้อแดงมาให้กำลังใจกว่า 1,000 คน ด้านศาลพิเคราะห์คำแถลงของนายเชาวนะและนายจตุพรแล้วเห็นว่า ยังมีข้อเท็จจริงบางส่วนที่ยังไม่ยุติ ดังนั้นเพื่อให้ข้อเท็จจริงชัดแจ้งว่านายจตุพรกระทำการผิดเงื่อนไขของศาล จึงเห็นควรให้รอฟังการสอบถามแกนนำ นปช.จำเลยคนอื่นๆ อีก 24 คนที่ศาลได้นัดไว้ในวันที่ 9 ส.ค. โดยจะสอบถามนายจตุพรพร้อมกับจำเลยคนอื่นๆ ในดังกล่าว เวลา 09.00น. และจะมีคำสั่งกรณีนายจตุพรพร้อมกับจำเลยอื่นในคราวเดียวกัน
       
       สำหรับการนัดสอบถามแกนนำ นปช.และจำเลยคดีก่อการร้ายอีก 24 คน ได้แก่ นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย , นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ ,นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ,นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ฯลฯ มีขึ้นหลังนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นหนังสือขอให้ศาลทบทวนคำสั่งปล่อยตัวชั่วคราวนายก่อแก้ว เนื่องจากได้พูดข่มขู่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก่อนหน้าตุลาการฯ จะมีคำวินิจฉัยกรณีร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ศาลจึงได้ออกหมายเรียกแกนนำ นปช.และจำเลยทั้ง 24 คนที่มีพฤติกรรมคล้ายกันมาไต่สวนในวันที่ 9 ส.ค.เพื่อมีคำสั่งว่าจะถอนประกันจำเลยทั้งหมดหรือไม่
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังศาลแจ้งเลื่อนสั่งคดีนายจตุพร ศาลได้แจ้งนายจตุพรด้วยว่า แม้นายจตุพรจะมีเสรีภาพในการพูดและแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญ แต่นายจตุพรไม่สามารถพูดหรือแสดงความคิดเห็นอะไรที่กระทบต่อสิทธิ เสรีภาพ เกียรติยศ ชื่อเสียง สิทธิในครอบครัว หรือความเป็นอยู่ส่วนตัวของคนอื่น จึงขอกำชับและตักเตือนให้นายจตุพรระมัดระวังการปราศรัยหรือการแถลงข่าวใดใดให้มากกว่านี้ และขอให้ตระหนักว่าการกระทำดังกล่าวอาจส่งผลให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยขึ้นในบ้านเมืองและศาลอาจสั่งเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวได้
       
        ด้านนางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช.ได้แถลงเชิญชวนให้คนเสื้อแดงเดินทางไปให้กำลังใจนายจตุพรและแกนนำคนอื่นๆ ที่ศาลอาญาในวันที่ 9 ส.ค. พร้อมหวังว่าผลที่ออกมาน่าจะเป็นบวก โดยศาลอาจเรียกไปอบรมแล้วปล่อยตัวกลับมา
       
        ทั้งนี้ นอกจากสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญจะขอให้ศาลอาญาเพิกถอนคำสั่งปล่อยตัวชั่วคราวนายจตุพรแล้ว ล่าสุด เมื่อวันที่ 27 ก.ค. นาวเชาวนะ ไตรมาศ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ยังได้ให้เจ้าหน้าที่ไปแจ้งความดำเนินคดีแกนนำ นปช.อีกหลายคน เช่น นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก ,จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย และนายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ข้อหาดูหมิ่นและข่มขู่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในฐานะเจ้าพนักงาน ให้เกิดความกลัวขณะทำหน้าที่ โดยได้มีการบอกเบอร์โทรศัพท์ให้พรรคพวกโทรไปหาตุลาการฯ เพื่อก่อกวนและข่มขู่ ซึ่งมีโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 198 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-7 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2,000 - 14,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
       
        นอกจากนี้เจ้าหน้าที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญยังได้แจ้งความดำเนินคดีนายอนุรักษ์ เจตนวนิชย์ และนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ นักจัดรายการวิทยุชุมชนและพวกประมาณ 25 คน ที่ไปเผาโลงจำลองตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 9 คนที่หน้าศาลรัฐธรรมนูญและมีการไปแจ้งความดำเนินคดีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยขอให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดีบุคคลดังกล่าวฐานแจ้งความเท็จ รวมทั้งดูหมิ่นและข่มขู่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้เกิดความกลัวด้วย

ASTVผู้จัดการออนไลน์    30 กรกฎาคม 2555

5619
ปลุกแอนตี้ร่วมจ่าย 30 บาท ชี้ไม่ก่อประโยชน์ แค่เครื่องมือหวังผลทางการเมือง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   17 สิงหาคม 2555 21:33 น.   
http://www.manager.co.th/Qol/ViewNews.aspx?NewsID=9550000101383

ค้านเก็บ 30 บาท อัดรัฐหวังรีแบรนด์
โดย ไทยรัฐออนไลน์ 18 สค. 2555
http://www.thairath.co.th/content/edu/284370

อ่านข่าวนี้แล้ว ..เรื่องนี้ต้องคิดดีๆ มีหลายมุมครับ..ประเทศที่เจริญแล้ว การร่วมจ่าย ร่วมดูแลสุขภาพตนเองเป็นปกติ ประเทศที่ฟรีได้ทั้งหมด ที่ทราบ มี ดูไบ ซาอุ บรูไน ที่รวยมากหรือภาษีสูงมาก แม้ในยุโรป ออสเตรเลีย ยังต้องจ่ายค่ารักษา หรือยาเองบางส่วนครับ

ไทยฟรีหมด ทำได้ง่ายมากคือต้องมีงบให้เพียงพอ งบที่ว่าคือจากภาษีนั่นเอง จ้าง แพทย์ พยาบาล ให้พอ ซื้อยาให้พอ ซื้อเครื่องมือราคาแพงให้พอ สร้างตึกมีเตียงให้พอ .. แต่ไม่ใช่ บอกให้รักษาฟรี แต่รัฐไม่มีเงินให้ ต้องกดราคาถูกๆ ทั้งยา เครื่องมือ ..ไม่มีเตียงให้พอ วันนี้คนไข้ไม่มีเตียงเข้ารพ...ยังมีคนขอฟรีทั้งหมด รัฐจะไปหาเงินจากไหน ท้ายสุดความจริงคือ งบ สปสช.ปีหน้า 2556 ไม่ได้เพิ่มขึ้น ทั้งที่ค่าครองชีพสูง ค่าแรงสูงขึ้น รพ.ต่างๆ จะเอาตัวไม่รอดกันอยู่แล้ว ..

"อยากลองถามท่านที่ Anti การเก็บเงินเพราะไม่ชอบคำว่า 30 บาท ว่าหวังผลการเมืองด้วยครับ ว่า รพ.ที่มีปัญหาในการเพิ่มสิทธิให้ผู้ป่วยตลอดเวลาแต่เงินไม่มีพอ ..จะให้เขาไปเอาจากไหนมาจ่าย ของฟรีไม่มีในโลกนะครับ..เพียงแต่ใครจ่าย.."
โปรดบังคับให้รัฐจ่ายงบให้พอใช้ จนคนไข้เข้าได้สะดวก หมอพอ พยาบาลพอ เตียงพอ มีคุณภาพก่อนเถอะครับ..แล้วค่อยขอฟรี..
 


5620
   เมื่อวานนี้ได้อ่านข่าวว่า”วิทยาเพิ่มสิทธิประชาชน เปลี่ยนสถานพยาบาลได้ปีละ 4 ครั้ง”(1) และในรายละเอียดของข่าวบอกว่า จะเริ่มให้ประชาชนร่วมจ่าย 30 บาทในวันที่ 1 เดือนกันยายน แต่ก็จะมีการยกเว้นประชาชนที่ไม่ต้องร่วมจ่ายอีก 21 ประเภท ซึ่งประเภทหลลังสุดนี้ จะเป็นใครก็ได้ที่ไม่อยู่ใน 20ประเภทข้างต้น แต่ไม่ขอจ่ายเงิน

การสั่งการของรมว.สาธารณสุขนั้น สั่งการในตำแหน่งประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ไม่ทราบว่าเป็นมติของที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือไม่? เพราะถ้าไม่ใช่มติของคณะกรรมการหลักประกัน คำสั่งนี้ก็ไม่ชอบด้วยกฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

การสั่งให้ประชาชขนร่วมจ่ายเงิน 30 บาท มีข้อยกเว้นมากมาย คงจะทำให้เจ้าหน้าที่การเงินของโรงพยาบาลมีความลำบากและสับสนวุ่นวาย เสียเวลาชี้แจงกับประชาชน และคงจะเป็นแค่คำสั่งที่ไม่มีคนปฏิบัติตาม เพราะประชาชนที่ยากจนก็คงไม่มีเงินจ่ายอยู่แล้ว ส่วนประชาชนที่ไม่ยากจน แต่รู้ว่าตัวเองมีสิทธิ์ที่จะไม่จ่ายเงินตามข้อยกเว้นที่ 21 ก็คงจะไม่ยอมจ่ายเงินซะเป็นส่วนมาก

เพราะฉะนั้นคำสั่งของนายวิทยา บุรณะศิริ ก็คงเพื่อ “รักษาหน้าของตัวเองไว้” เพราะเคยประกาศในตอนหาเสียงว่าพรรคเพื่อไทยจะนำระบบการเก็บเงิน 30 บาทมาใช้อีก ก็เลยต้องสั่งว่าให้เก็บ 30 บาท แต่กลัวจะเสียคะแนนเสียง ก็เลยยกเว้นคนที่จะไม่ต้องจ่ายทุกคนไว้ด้วย

นอกจากนั้นในข่าวยังบอกว่า ให้เพิ่มสิทธิให้ประชาชนเปลี่ยนหน่วยบริการได้ปีละ 4 ครั้ง แปลว่าอะไร? แปลว่าโรงพยาบาลไหนบริการดีมากเอาใจประชาชนดี ไม่มีปากมีเสียง ก็จะมีประชาชนแห่ไปใช้บริการมาก แล้วระบบการจ่ายเงินให้รพ.นั้น สปสช.จะตามไปจ่ายเงินให้รพ.ตามเวลา หรือจะให้รพ.ตรวจผู้ป่วยไป แต่ไม่มียาจ่าย เพราะไม่มีเงินซื้อยา หรือจะให้รพ.ใช้เฉพาะยาขององค์การเภสัช จะได้ติดหนี้ได้ เพราะเป็นหน่วยงานราชการเหมือนกัน?

   ที่สำคัญก็คือในข่าวบอกว่า บริการไม่มีหยุดพักเที่ยง” แปลว่าอะไร? แปลว่าบุคลาสกรที่ทำงานในโรงพยาบาลทุกคน เป็นเครื่องจักรหรือเป็นอิฐหินดินทราย ที่ไม่มีความเหนื่อยล้า ความหิว และไม่มีชีวิตจิตใจ ผู้เขียนเข้าใจว่านายวิทยา บุรณศิริ คงสั่งการในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้บุคลากรภายใต้การบังคับบัญชาของท่าน ทำงานบริการประชาชนโดยไม่ต้องพักผ่อน ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ละเมิดกฎเกณฑ์ของการทำงานของมนุษย์ทั่วไป แม้แต่เครื่องจักรหรือวัวควายที่เขาใช้ไถนา ก็ยังต้องมีเวลาหยุดพัก แล้วบุคลากรสาธารณสุขไม่จำเป็นต้องหยุดพักเลยหรือไร? หรือจะให้ตีความแบบศรีธนนชัยว่า ตอนเที่ยงไม่ต้องพัก ให้ไปพักตอนบ่ายโมงแทน?

และขอถามนายวิทยา บุรณศฺริว่า รัฐมนตรีล่ะมีเวลาพักเที่ยงไหม? ไม่อยากจะถามปลัดกระทรวงสธ.ว่า ไม่บอกรัฐมนตรีหรือว่า สำหรับผู้ป่วยฉุกเฉินนั้น บุคลากรของโรงพยาบาลก็ต้องดูแลรับผิดชอบตลอดเวลา 24 ชั่วโมงใน 366วันตลอดปีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมาโฆษณาหาเสียงกับประชาชนหรอกว่า “ผม(รัฐมนตรี เป็นคนสั่งให้พวกมันทำงานตลอดเวลาไม่ต้องพักเที่ยง”

   ในข่าวยังบอกอีกว่าให้รพ.ทุกแห่งพัฒนาความพร้อมให้บริการที่ดีขึ้นทุกด้าน  แต่ไม่คิดว่าจะทำอย่างไรให้ประชาชนมีหน้าที่ “สร้างสุขภาพ ป้องกันโรค และป้องกันอุบัติเหตุ” เพื่อจะได้มีสุขภาพแข็งแรง จะได้ลดจำนวนคนป่วยที่ต้องมาพึ่งพาการ”ซ่อม”สุขภาพจนล้นโรงพยาบาล และก็เพิ่มแต่สิทธิการรักา ตามใจประชาชนอยากจะมาเอายาเมื่อไรก็ได้ ไปรักษาที่ไหนก็ได้ จะจ่ายเงินค่ายาหรือไม่ก็ได้ ขอยาไปเยอะๆ เพื่อจะได้เก็บยาที่เหลือไว้มาแลกไข่ไปกินเวลาไม่มีกับข้าวกินก็ได้

  ส่วนปลัดกระทรวงสาธารณสุขในฐานะผู้ที่ทำงานในกระทรวงสาธารณสุขมานาน ก็ไม่เคยบอกรัฐมนตรีเลยหรือไรว่า การทำเช่นนี้จะทำให้บุคลากรจะแบกรับภาระงานมากขึ้น เห็นในข่าวว่ารัฐมนตรีจะจัดให้มีแพทย์ในรพ.ชุมชนอย่างน้อย 2 คน เพื่อจะได้ทำงานโดยไม่ต้องพักเที่ยงตามการสั่งการของรัฐมนตรีได้

ผู้เขียนโชคดีที่เกษียณอายุราชการก่อนที่จะต้องตกอยู่ใต้การบังคับบัญชาของ “เจ้าขุนมูลนาย” แบบรัฐมนตรีและปลัดกระทรวงสธ. ถ้าผู้เขียนยังต้องทำงานราชการสธ.อยู่ ก็คงต้อง”ขอมติจากข้าราชการสธ.เพื่อ”สั่ง“ รัฐมนตรีให้ทำงานโดยไม่ต้องพักเที่ยง และสั่งให้ปลัดกระทรวงลองไปรับหน้าที่หมอในรพ.ชุมชน 2 คน ที่ต้องรักษาผู้ป่วยวันละ 300 คน โดยไม่ต้องพักเที่ยงบ้าง คงจะได้รู้รสชาติความเหนื่อยและความหิวบ้าง จะได้คิดทบทวนแก้ไขคำสั่งไม่ให้พักเที่ยงนี้ เพื่อให้เหมาะสมกับเป็นการสั่ง”มนุษย์” บ้าง

  ส่วนสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ก็ไม่เคยบอกคณะกรรมการหลักประกันเลยหรือไรว่าคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีหน้าที่ตามมาตรา 18(13)แห่งพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติพ.ศ. 2545 ที่จะต้อง”จัดประชุมเพื่อให้คณะกรรมการรับฟังความคิดเห็นโดยทั่วไปจากจากผู้ให้บริการและผู้รับบริการเป็นประจำทุกปี”

  ตั้งแต่มีพ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติมาเป็นปีที่ 11 แล้ว ปรากฏว่าคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติยังไม่เคยจัดประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นจาก “ผู้ให้บริการเลยแม้แต่ครั้งเดียว และไม่เคยรับฟังเสียงท้วงติงใดๆจากผู้ให้บริการทั้งสิ้น ถือว่าคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้ประชาชนได้รับความเสียหายจากการที่ไม่มีการปรับปรุงการให้บริการที่เหมาะสมและมีมาตรฐานแก่ผู้ป่วย

  แต่ประชาชนจะรู้ไหมว่า  ระบบ30 บาทรักษาทุกโรคนี้ กำลังก่อให้เกิดมหันตภัยอย่างใหญ่หลวงต่อประชาชน และมาตรฐานการแพทย์ไทย ดังนี้

1.   รพ.ไม่สามารถให้การรักษาผู้ป่วยตามมาตรฐานได้ ทั้งนี้เนื่องจากงบประมาณแผ่นดินใส่เข้าไปเท่าไรก็ยังไม่ทำให้ประชาชนได้รับการรักษาตามมาตรฐานการแพทย์ที่ดีที่สุด เนื่องจากคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพ “จำกัดรายการยา” ให้แพทย์ไม่สามารถสั่ง”จ่ายยา”ได้ตามดุลพินิจทางวิชาการแพทย์เฉพาะทาง(ไม่ต้องเปรียบเทียบกับรพ.ชุมชนหรือรพ.ตำบลที่ส่วนใหญ่แล้ว ต้องการใช้แค่ยาสามัญประจำบ้านขององค์การเภสัชกรรม เพราะใช้รักษาโรคง่ายๆ(ที่ประชาชนก็อาจจะรักษาตัวเองได้ เช่นปวดหัว ตัวร้อน ท้องผูก ท้องเดิน  ฯลฯ)

การจำกัดรายการยาของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จึงถือเป็นการ”ละเมิดสิทธิผู้ป่วย” และเป็นการ “ละเมิดสิทธิและเสรีภาพทางวิชาการแพทย์” ซึ่งจะส่งผลกระทบแก่คุณภาพการรักษา อาจทำให้ผู้ป่วยไม่ทุเลาจากอาการป่วย กลายเป็นโรคเรื้อรัง และอาจตายโดยยังไม่สมควรตาย

2.   ประชาชนอาจไม่ได้รับยาที่เหมาะสมที่สุดในการรักษา นอกจากคณะกรรมการหลักประกันฯจะ “จำกัดรายการยา”ไว้เป็นบางชนิดแล้ว ต่อไปประชาชนอาจจะไม่ได้รับยาที่เหมาะสมกับการเจ็บป่วยของตน เนื่องจากโรงพยาบาลไม่มีเงินซื้อยาไว้รักษาผู้ป่วย เนื่องจากสปสช.จ่ายเงินให้รพ.ล่าช้า และจ่ายเงินไม่ครบตามต้นทุนที่โรงพยาบาลใช้ในการรักษาผู้ป่วย ไม่คุ้มต้นทุนในการรักษาผู้ป่วย ทั้งๆที่งบประมาณแผ่นดินที่จ่ายไปเป็น”กองทุนหลักประกันสุขภาพ” ตั้งแต่พ.ศ. 2545 จนถึงปัจจุบัน เพิ่มจาก 27,612 ล้านบาท มาเป็น107,814 ล้านบาทในปีพ.ศ. 2555 เพิ่มมากขึ้น 3 เท่าตัวหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 288.35

  ทั้งๆที่งบประมาณแผ่นดินต้องให้แก่กองทุนหลักประกันสุขภาพอย่างมากมายมหาศาลเช่นนี้  แต่หน่วยบริการประชาชนคือโรงพยาบาลและสถานบริการต่างๆ กลับได้รับเงินงบประมาณไม่พอที่จะทำงานได้ มีภาระหนี้สินเป็นจำนวนมากหลายร้อยโรงพยาบาล (2) ต่อไปโรงพยาบาลอาจไม่มียาที่เหมาะสมในการจ่ายให้ผู้ป่วยอีกแล้ว หรืออาจจะต้องจ่ายเฉพาะยาพารา หรืออาจไปเอายาเก่า(ที่แลกกับไข่กลับคืนมาจากประชาชน) มาจ่ายให้ผู้ป่วยแทน ?

3.ประชาชนเสี่ยงอันตรายจากความผิดพลาดของบุลากรทางการแพทย์มากขึ้น เนื่องจากประชาชนไปโรงพยาบาลปีละ 200 ล้านครั้ง แต่แพทย์ที่ทำการตรวจรักษาผู้ป่วยมีไม่ถึง 10,000 คน ที่เหลือก็ไปทำงานบริหาร งานนโยบาย กันหมด แพทย์ที่รักษาผู้ป่วยในรพ.สธ.ต้องทำงานสัปดาห์ละ 90-120 ชั่วโมง โดยเฉพาะศัลยแพทย์ต้องอดนอนยืนผ่าตัดตลอดคืน แต่ในตอนเช้ามีผู้ป่วยฉุกเฉินต้องผ่าตัดอีก ญาติผู้ป่วยจะกล้าเสี่ยงให้แพทย์คนนี้ผ่าตัดอีกหรือไม่? หรือจะเสี่ยงพาผู้ป่วยไปรักษาที่รพ.อื่นที่ห่างกันอีก 100 กม.?

 หรือแพทย์อยู่เวรตรวจรักษาผู้ป่วยมาทั้งคืนแล้ว ตอนเช้ายังต้องมาตรวจรักษาให้บริการผู้ป่วยอีกโดยไม่หยุดพักเที่ยง แล้วจะทำหน้าที่ได้ดีหรือไม่?อาจมีการโมโหหิวกันบ้าง ทำให้พูดจาไม่เข้าหูผู้ป่วย ถูกฟ้องร้องกันอีก แล้วก็อาจจะถูกแพทย์บางพวกที่ไม่ต้องรักษาผู้ป่วยแล้ว กล่าวหาว่าเป็นแพทย์ที่ไม่มีหัวใจความเป็นมนุษย์อีก  ประชาชนทราบบ้างไหม?

และประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขที่สวมหมวก 2 ใบ ควบ 2 ตำแหน่ง ก็เอาใจประชาชนโดยการให้เลือกว่าจะจ่ายเงินหรือไม่ก็ได้ จะย้ายโรงพยาบาลไปไหนๆตามสะดวกก็ได้ จะไปหาหมอเวลาพักเที่ยงก็ต้องได้ตรวจรักษา โดยพวกหมอไม่ต้องพักเที่ยง มีการ เพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่ประชาชนมากมาย ซึ่งน่าจะได้เสียงจากประชาชนมาก แต่ประชาชนจะได้รับบริการดีมีมาตรฐานหรือไม่ก็ไม่กล้ารับรอง เพราะหมอและพยาบาลเปรียบเหมือนรถเก๋ง แต่นายวิทยา ให้ทำงานแบบรถบรรทุก 10 ล้อที่บรรทุกเกิน 30ตัน และขับตะบึงทั้งวันทั้งคืน

 แต่นายวิทยา ในฐานะรัฐมนตรี เคยคิดจะแก้ไขปัญหาโรงพยาบาลขาดบุคลากร ขาดอาคารสถานที่ขาดเตียงรองรับผู้ป่วย(ต้องปูเสื่อนอนตามระเบียงบ้าง หน้าห้องส้วมบ้าง ) ขาดงบประมาณในการซื้อยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ และเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับจำนวนผู้ป่วยและจำนวนโรคที่หลากหลายยุ่งยากเพิ่มขึ้นทุกวันไหม? มีแต่เพิ่มภาระงานให้มากๆขึ้นๆ  “โดยที่ไม่ช่วยแก้ไขปัญหาและไม่ช่วยจัดหาและพัฒนาทรัพยากร (เงิน คน สิ่งของ)ในการทำงานให้เหมาะสมเพื่อบริการประชาชน “

 ผู้เขียนก็จะเฝ้าดูว่า ลาที่ต้องทำงานหนักจะรับน้ำหนักฟางเส้นสุดท้ายได้หรือไม่ หรือยอมก้มหน้าให้เขา “บังคับขับไส”ต่อไป?

พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา
ประธานสหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขแห่งประเทศไทย(สผพท.)
14 สิงหาคม 2555


เอกสารอ้างอิง
1. http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9550000099318
2. http://thaipublica.org/2011/09/commission-report/เปิดรายงานกรรมาธิการสาธารณสุข30 กันยายน 2011

5621
  Leonardo da Vinci คือ ต้นแบบของมนุษย์ Renaissance ผู้รอบรู้และสามารถในศาสตร์ทุกด้าน แต่ในช่วงเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ เขาเป็นที่รู้จักและยกย่องว่าเป็นสุดยอดจิตรกรที่ทำงานวิทยาศาสตร์เป็นงานอดิเรก เมื่อถึงวันนี้ Leonardo เองก็คงไม่นึกว่า ผลงานวิทยาศาสตร์ที่ตนทำ (เล่นๆ) นั้น ยิ่งใหญ่เทียบเท่ากับผลงานศิลปะทีเดียว
       
        หากเราได้ศึกษางานวิทยาศาสตร์ของ Leonardo แล้ว เราก็จะเห็นว่ามีทั้งงานธรณีวิทยา ทัศนศาสตร์ พฤกษศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ ชลศาสตร์ ฯลฯ แต่งานกายวิภาคศาสตร์ของมนุษย์เป็นวิทยาศาสตร์ที่ Leonardo สนใจและผูกพันมากที่สุด
       
        ขณะนี้ภาพวาดด้านกายวิภาคศาสตร์ของ Leonardo 87 ภาพ ซึ่งเป็นภาพที่ราชวงศ์อังกฤษเก็บสะสมเป็น Royal Collection จากภาพทั้งหมด 550 ภาพ กำลังถูกนำออกแสดงที่ Queen’s Gallery ในกรุงลอนดอน ตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคมจนกระทั่งถึงวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ.2555 ภายใต้ชื่อว่า Leonardo da Vinci: Anatomist ซึ่งมีทั้งภาพของกล้ามเนื้อ กระดูก เส้นประสาท ลำไส้ มดลูก ตัวอ่อนในครรภ์มารดาที่ Leonardo ได้เคยวาดไว้ในปี 1490 กับในช่วงปี 1507-1513
       
        การนำผลงานด้านกายวิภาคศาสตร์ของ Leonardo ออกเสนอต่อสาธารณชนในครั้งนี้จึงนับเป็นการแสดงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ได้มีการนำผลงานเรื่องเดียวกันออกแสดงในปี 1977 คือ เมื่อ 35 ปีก่อน
       
        Leonardo ได้สร้างผลงานนี้จากการผ่าตัด และชำแหละศพประมาณ 30 ศพ และได้ตั้งใจจะเผยแพร่ผลงานทั้งหมดโดยการตีพิมพ์ แต่ไม่ได้ดำเนินการใดๆ ซึ่งถ้าได้ทำวิทยาการด้านกายวิภาคศาสตร์คงได้ก้าวหน้ากว่านี้มาก เพราะบางสิ่งที่ Leonardo เห็นและวาดนั้น ไม่มีนักกายวิภาคศาสตร์คนใดได้เห็นจนอีก 400 ปีต่อมา สำหรับสาเหตุที่ทำให้ Leonardo ไม่ตีพิมพ์ผลงาน นักประวัติศาสตร์คิดว่าคงเพราะสิ่งที่ Leonardo เห็นมิได้เป็นไปตามที่นักสรีรวิทยาในสมัยนั้นเชื่อ ดังนั้น Leonardo จึงมิกล้าโต้แย้งกับ “ผู้รู้” จนกระทั่งเสียชีวิต
   
       Leonardo เกิดเมื่อปี 1452 (ตรงกับรัชสมัยของพระบรมไตรโลกนาถ) ที่หมู่บ้าน Vinci ในแคว้น Tuscany ของอิตาลี บิดา Ser Piero เป็นนักกฏหมาย และมารดาเป็นสาวชาวนาชื่อ Caterina เพราะเป็นลูกนอกสมรส ดังนั้น จึงใช้ชีวิตในวัยเด็กอยู่กับปู่ย่า และเรียนหนังสือที่บ้านจนอ่านออกเขียนได้ แต่ไม่ถนัดวิชาคณิตศาสตร์และไม่ได้เรียนภาษากรีกกับละติน ซึ่งเป็นภาษาที่นักวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้นใช้ในการสื่อสารกัน (การไม่รู้ละตินนับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับ Leonardo เพราะสมองไม่ได้ถูกล้างหรือจิตใจถูกรบกวนด้วยข้อมูลผิดๆ ที่มีมากมายในยุคนั้น)
       
        ตามปกติ Leonardo เล่นพิณ (lyre) เก่ง กินอาหารมังสวิรัติ มีจิตใจอ่อนโยน และเมตตาต่อสัตว์ เพราะคิดว่าสัตว์มีวิญญาณและรู้จักคิด ดังนั้นเวลาวาดนก แมว และม้าทุกตัวจะมีแววตาฉลาด
       
        เมื่ออายุ 15 ปี Leonardo ได้เดินทางไปพำนักกับบิดาในบ้านใหญ่โตที่เมือง Florence เพราะ Piero ไม่มีลูกกับภรรยาเดิม และ Caterina ผู้ซึ่งเป็นแม่ของ Leonardo ได้ไปแต่งงานกับคนอื่น ดังนั้น Piero จึงยอมรับให้ Leonardo เป็นลูกจริง และได้นำไปฝึกวาดภาพกับจิตรกรและปฏิมากรที่มีชื่อเสียงชื่อ Andrea del Verrocchio แต่ Leonardo ทำงานที่นี่ได้ไม่นาน เพราะไม่ได้มีเสรีภาพในการวาดภาพตามที่ตนพอใจ แต่ก็ได้ความรู้พื้นฐานด้านวิศวกรรมศาสตร์บ้าง
       
        ในปี 1482 Leonardo ได้เดินทางจาก Florence ไป Milan เพื่อทำงานกับ Ludovico Sforza ในฐานะนักดนตรีมิใช่นักประดิษฐ์ และไม่ใช่จิตรกร แต่ตลอดเวลา 17 ปีที่อยู่ที่ Milan ความสนใจของ Leonardo ก็เบ่งบาน โดยเริ่มศึกษาเรขาคณิตก่อน เพราะ Leonardo คิดว่าเป็นแขนงหนึ่งของวิชาคณิตศาสตร์ที่ยากที่สุด และความเข้าใจเรขาคณิตนั้นจะทำให้เข้าใจกลศาสตร์ ซึ่ง Leonardo เรียกว่า เป็นสวรรค์ของวิทยาศาสตร์ทฤษฎี และความรู้กลศาสตร์จะนำไปสู่ความเข้าใจธรรมชาติ ซึ่งรวมถึงมนุษย์ด้วย
       
        ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นก็ได้เริ่มสนใจเทคนิค และทฤษฎีการวาดภาพด้วย โดยเฉพาะภาพคนซึ่ง Leonardo มีความคิดว่า ไม่ควรแสดงเพียงความเหมือนนายแบบหรือนางแบบ แต่ควรแสดงอารมณ์ และความรู้สึกลึกๆ ในจิตใจของผู้ถูกวาดด้วย ดังนั้น Leonardo จึงคิดต่อไปว่า เพียงแค่วาดอวัยวะที่เห็นจากภายนอกคงไม่เพียงพอ เขาต้องการรู้ว่า อวัยวะเหล่านั้นทำงานอย่างไรด้วย ทำให้ต้องมีการชำแหละเนื้อ และเจาะลึกลงไปในร่างกายคน

The Uterus of a Gravid Cow
   
       ในความเป็นจริง การผ่าศพเป็นเรื่องที่สันตะปาปาแห่งกรุงวาติกันได้ทรงอนุญาต ให้แพทย์กระทำได้ตั้งแต่ปี 1482 แต่ Leonardo เป็นเพียงจิตรกรโนเนม และมิใช่หมอ ดังนั้นจึงไม่มีทางจะได้ศพมาผ่าศึกษา ทำให้ต้องพึ่งพาศพสัตว์เป็นการแก้ขัดไปก่อน
       
        จนถึงปี 1489 Leonardo จึงได้รับกระโหลกคนมาศึกษา และได้ผ่าดูเพื่อบันทึกรายละเอียดทุกอย่างที่เห็นลงในสมุดบันทึก แต่ข้อมูลที่ได้และภาพที่เห็นไม่ได้ช่วยให้ Leonardo เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างของสมองกับจิตใจของคนแต่อย่างใด เมื่อถึงทางตัน Leonardo จึงหยุดวาดภาพสรีระของคน
       
        ในปี 1492 Leonardo ได้วาดภาพ The Last Supper ซึ่งแสดงสานุศิษย์ที่มีอารมณ์ต่างๆ แต่ภาพนั้นมิได้แสดงข้อมูลด้านกายวิภาคศาสตร์แต่อย่างใด
       
        เมื่ออายุ 52 ปี Leonardo ได้วาดภาพการสู้รบในสงครามประดับผนังของ Palazzo della Signoria ใน Florence ซึ่งแสดงทหารที่มีรายละเอียดของกล้ามเนื้อ ภาพนี้จึงแสดงว่า Leonardo ได้รับอนุญาตให้ใช้ศพในการวาดภาพอย่างเป็นทางการแล้ว เพราะขณะนั้น Leonardo คือจิตรกรที่มีชื่อเสียงที่สุดของอิตาลี
       
        จากนั้นอีก 3 ปี เมื่อ Leonardo เห็นชายชราคนหนึ่งกำลังจะตายในโรงพยาบาลที่ Florence เขาได้เขียนบันทึกว่า ต้องการจะชำแหละศพชายคนนี้ เพื่อหาสาเหตุการตาย และหลังจากที่ได้ผ่าศพ เขาก็พบว่า เส้นเลือดแดงของชายคนนั้นตีบมาก นี่คือการบรรยาย 2,000 คำที่กล่าวถึงอาการผนังหลอดโลหิตแดงแข็ง atherosclerosis เป็นครั้งแรกในวงการแพทย์ Leonardo ยังได้บันทึกสภาพของตับชายคนนั้นว่าแห้งผาก แข็ง และซีด (อาการโรคตับแข็ง cirrhosis)
       
        การศึกษาศพของของชายคนนั้นได้จุดประกายให้ Leonardo หันมาสนใจวิชากายวิภาคศาสตร์อีกครั้งหนึ่ง และได้ศึกษาเรื่องนี้นาน 5 ปี ร่วมกับ Marcantonio della Torre ซึ่งเป็นศาสตราจารย์กายวิภาคศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย Pavia ตำแหน่งศาสตราจารย์ของ Marcantonio ได้ช่วยให้ Leonardo มีศพศึกษาประมาณ 20 ศพ
       
        ในฤดูหนาวของปี 1510 Leonardo ได้บันทึกว่าได้ศึกษากระดูก กล้าม เนื้อส่วนต่างๆ และวิเคราะห์โครงสร้างของอวัยวะเหล่านี้อย่างละเอียด ยกเว้นกะโหลกศรีษะ จึงคิดว่าจะวางมือด้านกายวิภาคศาสตร์แล้ว
       
        แต่มิได้กระทำ เพราะในปี 1511 เมือง Milan มีสภาพปั่นป่วนเนื่องจากเกิดสงคราม และกาฬโรคระบาดจนทำให้ Marcantonio เสียชีวิต Leonardo จึงอพยพไปพักอาศัยในคฤหาสถ์ของลูกศิษย์ชื่อ Francesco Melzi ที่ตั้งอยู่นอกเมือง

The Last Supper
       เมื่อไม่มีศพคนจะให้ชำแหละ Leonardo ได้หันไปศึกษากายวิภาควิทยาของสัตว์แทน จึงใช้หัวใจวัวที่มีโครงสร้างแตกต่างจากหัวใจคนเล็กน้อย และได้วาดภาพของช่องว่างในหัวใจ รวมถึงได้วิเคราะห์หน้าที่ของลิ้นหัวใจอย่างละเอียด จากนั้นได้ออกแบบอุปกรณ์แสดงการทำงานของหัวใจ โดยใช้น้ำแทนโลหิต เพื่อศึกษาการไหลของเลือดในเส้นโลหิตแดงใหญ่ และพบว่ากระแสวนที่เกิดขึ้นมีบทบาทสำคัญในการปิดลิ้นหัวใจซึ่งองค์ความรู้นี้ได้รับการยืนยันว่าถูกต้องในปี 1912 นี้เอง
       
        เมื่อ Leonardo ไม่สามารถอธิบายสิ่งที่เห็นให้เข้ากับความเชื่อ (ความรู้) ของคนยุคนั้นได้ ที่ว่าหัวใจสูบฉีดเลือดทั้งเข้าและออก Leonardo ก็ถึงทางตัน จึงหยุดทำงานด้านกายวิภาควิทยาตั้งแต่นั้นมา
       
        โลกไม่มีหลักฐานใดๆ ที่แสดงว่า Leonardo ได้พยายามนำภาพที่วาดและข้อความที่บันทึกไปเผยแพร่ เพราะเมื่อเสียชีวิตในปี 1519 Leonardo ได้ทิ้งผลงานทั้งหมดให้กับศิษย์ Melzi และประวัติชีวิตของ Leonardo ก็กล่าวแต่เพียงว่า สนใจเรื่องกายวิภาคศาสตร์ แต่รายงานและบันทึกต่างๆ มิได้ถูกจัดเรียงอย่างเป็นระบบ อีกทั้งภาษาเขียนก็เข้าใจยากด้วย ดังนั้น เมื่อไม่มีการตีพิมพ์ผลงาน จึงไม่มีใครรู้เกี่ยวกับสิ่งที่ Leonardo พบ

   
       ในปี 1543 เมื่อ Andreas Vesalius เสนอผลงานเรื่อง “On the fabric of the human body” วิชากายวิภาคศาสตร์ก็ได้ถือกำเนิด ซึ่งถ้า Leonardo ได้เผยแพร่ผลงานที่ตนทำก่อน Vesalius ร่วม 30 ปี เกียรติการเป็นบิดาของวิชา Anatomy ก็ต้องตกเป็นของ Leonardo อย่างมิต้องสงสัย
       
        หลังจากที่ Leonardo เสียชีวิต ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ผลงานภาพวาดด้านกายวิภาคศาสตร์จำนวน 150 ชิ้น ได้ถูกนำไปอังกฤษ และถูกเก็บรวมกับภาพอื่นๆ ของ Leonardo อีก 450 ภาพ เป็นสมบัติในราชวงศ์อังกฤษ (Royal Collection) จนกระทั่งปี 1900 ภาพเหล่านี้จึงถูกนำออกตีพิมพ์ แต่ ณ เวลานั้นวิทยาการด้านกายวิภาควิทยาได้ก้าวเกินที่ความคิดของ Leonardo จะมีอิทธิพลใดๆ แล้ว
       
        ในงานแสดงที่ Queen’s Gallery นี้ ผู้เข้าชมจะได้เห็นภาพ “The Uterus of a Gravid Cow”, “The Lungs”, “Blood Flow through the Aortic Valve”, “The Hemisection of a Man and Woman in the Act of Coition” ซึ่งน่าจะทำให้นึกถึง Leonardo ในขณะผ่าศพเมื่อ 500 ปีก่อน โดยไม่มียาดองศพ ไม่มีตู้เย็น ในห้องผ่าตัดที่สกปรกและมีกลิ่นเน่ารุนแรงจนจิตรกรธรรมดาไม่น่าจะทนได้ (Michelangelo เองก็บ่นว่า ตนวาดภาพศพไม่ได้เพราะกลิ่นที่สูดดม ทำให้กินอาหารไม่ลง)
       
        แต่ Leonardo เป็นคนอยากรู้จึงใช้ความสามารถที่มีทั้งด้านวิทยาศาสตร์และศิลปะศาสตร์ (ในสมัยนั้นความสามารถทั้งสองด้านยังไม่แยกกันเหมือนในสมัยนี้) เจาะลึกอย่างละเอียดด้วยการใช้สายตาที่แหลมคม อีกทั้งยังได้บรรยายสิ่งที่เห็นในเชิงวิทยาศาสตร์ด้วย
       
        ภาพวาดที่โด่งดังของ Leonardo เช่น Mona Lisa ได้เปลี่ยนโลกศิลปะ แต่ภาพวาดกายวิภาคศาสตร์ของ Leonardo กลับไม่มีใครเห็นในยุคนั้น ซึ่งถ้าได้เห็น กายวิภาควิทยาจะเปลี่ยนไปแค่ไหน ไม่มีใครรู้

 สุทัศน์ ยกส้าน    10 สิงหาคม 2555
manager.co.th

5622
  เจ้าหน้าที่สาธารณสุข จ.ตรัง ให้คำแนะนำเรื่องการดูแลตัวเอง และการเลี้ยงดูลูกกับคุณแม่แรกคลอดในโรงพยาบาลต่าง ๆ โดยเฉพาะคุณแม่ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี หลังสำรวจพบว่า จ.ตรัง มีผู้หญิงอายุต่ำกว่า 20 ปี ตั้งครรถ์มากกว่าร้อยละ 10 เกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด
        น.พ.วิฑูรย์ เหลืองดิลก สาธารณสุขจังหวัดตรัง เปิดเผยว่า หญิงสาวที่ตั้งครรถ์ก่อนวัยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ไม่ได้เรียนหนังสือ หรือ ออกจากโรงเรียนกลางคันที่ผ่านมาพบว่า มักมีปัญหาเรื่องการดูแลสุขภาพตัวเองระหว่างตั้งครรภ์ และ หลังคลอดบุตร เช่น การรับประทานอาหาร ซึ่งส่งผลกับสุขภาพของแม่และเด็ก


 ASTVผู้จัดการออนไลน์    11 สิงหาคม 2555

5623
  เอเจนซี่ - ศาลประชาชนเขตเป่ยหู เมืองเชินโจว มณฑลหูหนาน เริ่มการพิจารณาคดีครึกโครมสะเทือนขวัญ วัยรุ่นชายวัย 17 ปียอมพลีไตข้างหนึ่ง แลกกับเงิน เพื่อไปซื้อเครื่องไอโฟน และไอแพด 2 ของบริษัทแอ๊ปเปิ้ลเมื่อปีที่แล้ว โดยวัยรุ่นฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงินถึง 2.27 ล้านหยวน เพื่อนำเงินมาซ่อมแซมสุขภาพร่างกาย ที่กำลังย่ำแย่อย่างหนัก
       
       คดีนี้มีผู้ตกเป็นจำเลยรวม 9 คน ซึ่งถูก
       ฟ้องในข้อหาเจตนาทำร้ายร่างกายให้บาดเจ็บ ในจำนวนนี้รวมทั้งศัลยแพทย์ 2 คนด้วย
       
        เรื่องราวการขายไตของวัยรุ่นนามว่า หวัง ซั่งคุน ซึ่งอาศัยในมณฑลอานฮุย แดงโร่ขึ้นมา เมื่อพ่อแม่สังเกตเห็นลูกชายมีอาการอิดโรย ไม่สบาย ต่อมาลูกชายจึงยอมเล่าเรื่องให้บุพการีฟัง เรื่องจึงไปถึงตำรวจ ซึ่งไม่รอช้า ได้เข้ากวาดล้างขบวนการขายไตเถื่อนในเมืองเชินโจว จนจับกุมจำเลยทั้ง 9 คนได้
       
       เมื่อเดือนเม.ย. 2554 หวังรู้จักคนกลางรับซื้อขายไตทางอินเทอร์เน็ต และหวังบอกว่าเขาอยากขายไตของตน เพื่อแลกกับเงิน คนกลางรายนี้จึงจัดแจงหาแพทย์และโรงพยาบาลในเมืองเชินโจว และทำการผ่าตัดตามความประสงค์ของวัยรุ่นผู้นี้

 หวังได้รับเงินค่าตอบแทนเพียง 22,000 หยวน แต่ไต ซึ่งหลุดลอยไปจากร่างกายของเขาแล้วข้างนั้น ถูกขายต่อในที่สุดได้เป็นเงินจำนวนถึง 150,000 หยวน บวกกับเงินอีก 10,000 ดอลลาร์ ซึ่งถูกนำไปแบ่งกันระหว่างคนกลางกับแพทย์
       
       ศาลระบุในการเปิดการพิจารณาคดีเมื่อวันพฤหัสฯ ( 9 ส.ค.) ว่า หวังได้รับการวินิจฉัยว่า เขาได้รับบาดเจ็บร้ายแรง และทุพพลภาพขั้นที่ 3
       
       อย่างไรก็ตาม เรื่องของวัยรุ่นหวังมิใช่เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นครั้งแรกบนแดนมังกร ที่คนหนุ่มสาวยอมขายอวัยวะของตนเอง เพียงเพื่อนำเงินไปซื้อสินค้าของแอ๊ปเปิ้ล กระทั่งชาวเน็ตทุกวันนี้พากันหยิกแกมหยอกแอ๊ปเปิ้ลในอินเทอร์เน็ตกันว่า
       
       “ ไอโพนรุ่นใหม่กำลังมาแล้ว แต่ตอนนี้ฉันเหลือไตอยู่ข้างเดียว แล้วจะทำยังไงดีล่ะ”
       
       ทั้งนี้ หากถูกตัดสินว่ากระทำความผิดจริง จำเลยเหล่านี้อาจถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 10 ปี แต่บางคนในจำนวนนี้อาจถูกตัดสินเพียงแค่จ่ายค่าปรับเท่านั้น
       
       สำหรับวัยรุ่นหวัง เงินค่าตอบแทนจากการขายไตไปซื้อไอโฟน เวลานี้ไม่คุ้มกับเงิน ที่เขาต้องเสียไปกับการรักษาตัว และทางครอบครัวกำลังประสบความยากลำบากอย่างมากในการหาเงินมาเป็นค่ารักษาลูกชาย ซึ่งมีอาการไตวายอยู่ระยะหนึ่ง หลังจากผ่าตัดขายไตไปอย่างน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง

ASTVผู้จัดการออนไลน์    11 สิงหาคม 2555

5624
 เดลิเมล์ - สาวนักศึกษามหาวิทยาลัยป่วยเป็นโรคปริศนา ซึ่งเป็นสาเหตุให้ "เล็บ" งอกออกมาจากรูขุมขนทั่วทั้งตัวแทนที่จะเป็นเส้นขน ขณะที่แพทย์ก็ไม่สามารถระบุได้ว่าเธอเป็นโรคอะไร หรือแม้แต่วิธีที่เยียวยารักษาอาการของเธอได้
       
       ชานีนา ไอซอม วัย 28 ปี อาศัยอยู่กับครอบครัวของเธอในเมืองเมมฟิส มลรัฐเทนเนสซี โดยที่เธอเพิ่งเป็นนักศึกษาวิชากฏหมายปี 1 เมื่อฝันร้ายของเธอเริ่มต้นในเดือนกันยายน ปี 2009 หลังจากโรคหืดของเธอกำเริบ และหมอจ่ายยาสเตียรอยด์ให้ แต่ภายในไม่กี่ชั่วโมงเธอก็รู้สึกคันไปทั้งตัว
       
       ไม่นานหลังจากนั้น ก็เกิดตุ่มก้อนสีดำไปทั่วขาของเธอ โดยที่แพทย์ได้รักษาตามอาการทุกอย่าง ตั้งแต่โรคอักเสบทางผิวหนัง ไปจนถึงการติดเชื้อสแตฟิโลค็อกคัส แต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ จนล้มป่วยเรื้อรัง ซึ่งแพทย์ก็พยายามระบุว่าอะไรที่ผิดปกติไป
       
       ในปี 2011 ชานีนาเริ่มเข้ารับการรักษาในบัลติมอร์ ซึ่งแพทย์ได้ชี้ว่า ตุ่มเหล่านั้นแท้จริงแล้วคือ "เล็บ" คน ที่กำลังค่อยๆ ขึ้นไปทั่วตัวของเธอ โดยที่เธอผลิตเซลล์ผิวหนังมากกว่าปกติถึง 12 เท่าต่อรูขุมขน ทำให้ผิวหนังของเธอขาดอากาศหายใจ
       
       "ที่ที่ขนขึ้น กลับมีเล็บงอกขึ้นมาแทน" ชานีนากล่าวกับดับเบิลยูเอเอฟบีนิวส์ ขณะที่ทุกวันนี้ แพทย์ก็ยังไม่สามารถวินิจฉัยโรคของเธอได้ แต่ก็สามารถควบคุมอาการไม่ให้เลวร้ายลง
       
       "ฉันไม่สามารถนั่งหรือเดินได้เลย แต่ตอนนี้ ฉันเดินได้ด้วยไม่ค้ำ และบางทีก็สามารถเดินได้ด้วยตัวเอง" ชานีนาเผย พร้อมกับเล่าว่า เธอถูกทดสอบทุกอย่าง แต่ผลออกมาเป็นลบทั้งสิ้น "จนถึงขณะนี้ ฉันเป็นคนเดียวในโลกที่มีอาการป่วยแบบฉัน"
       
       อาการป่วยดังกล่าวทำให้ชานีนา และครอบครัวของเธอมีหนี้สินพะรุงพะรัง เนื่องจากประกันสังคมไม่ครอบคลุมการรักษาในแผนกเฉพาะทางของเธอ บัญชีเงินเก็บของครอบครัวร่อยหรอ และปัจจุบันค่ารักษาพยาบาลของเธอสูงถึง 250,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ แล้ว

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    11 สิงหาคม 2555

5625
 วันนี้ผมไปว่าความที่ศาลมาครับ เป็นกรณีที่ผู้ป่วยฟ้องกระทรวงสาธารณสุข แพทย์และพยาบาล เรียกค่าเสียหาย ๑๑ ล้านบาทเศษ กรณีคลอดบุตรแล้วสมองเด็กขาดออกซิเจนทำให้เด็กพิการ ผมเข้ามาเกี่ยวข้องเนื่องจากคดีนี้มีการเรียกค่าเสียหายเกินสิบล้าน อำนาจการพิจารณาสั่งคดีอยู่ที่ท่านรองอธิบดีอัยการฝ่ายคดีแรงงานเขต ๘ เจ้าของสำนวนจึงต้องเสนอสำนวนตามลำดับชั้นจนถึงรองอธิบดีอัยการฯ ผมเป็นผู้เชี่ยวชาญสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีแพ่งเขต ๘ จึงต้องตรวจผ่านสำนวนนี้

        ในเบื้องต้นพิจารณาคำฟ้องแล้ว ผู้ป่วยฟ้องว่าแพทย์และพยาบาลไม่เอาใจใส่ดูแลในขณะเขาปวดท้องคลอด จนบุตรของเขาออกมาคาอยู่ที่ปากช่องคลอดนานถึง ๔๐ นาที ทำให้บุตรเขาขาดอากาศหายใจ สมองขาดออกซิเจน ทำให้บุตรของเขาพิการทางสมอง แถมพยาบาลคนที่ถูกฟ้องก็มัวแต่นั่งเล่นคอมพิวเตอร์ไม่มาช่วยเขา บอกให้เบ่งคลอดแล้วไม่สอนวิธีเบ่ง เรียกค่าเสียหายจากการที่บุตรพิการไม่สามารถส่งเสียเลี้ยงดูบิดามารดา ๓๕ ปี เป็นเงิน ๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท ค่าเศร้าโศกเสียใจอีก ๘๐๐,๐๐๐ บาท ค่าใช้จ่ายต่างๆในการเดินทางไปมารักษาบุตร ฯลฯ รวมแล้ว ๑๑ ล้านบาทเศษ

        ผมได้เชิญคุณหมอมาอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นประกอบกับเอกสารที่ปรากฏอยู่ในสำนวนและเอกสารที่เกี่ยวกับวิชาการเกี่ยวกับการคลอดบุตร ได้ความรู้เยอะมาก และเราเดาด้วยว่าคนบรรยายฟ้องก็ไม่เข้าใจกระบวนการคลอดบุตร เพราะพวกเราเองอ่านคำฟ้อง อ่านคำชี้แจงแล้ว แรกๆก็มึนกับปากมดลูกขยายกับปากช่องคลอดขยาย มันอย่างเดียวกันไหมว้า....อิอิ การตัดฝีเย็บในขณะปากช่องคลอดบางมากและมองเห็นศีรษะเด็กมีขนาดโตเท่าไข่ห่าน ถ้าตัดฝีเย็บในขณะที่ปากช่องคลอดยังไม่ขยายตัวเต็มที่จะเป็นอันตรายแก่มารดาเด็กได้ คดีนี้คุณหมอตัดฝีเย็บแรกๆเราเข้าใจว่าศีรษะเด็กโผล่ออกมาขนาดเท่าไข่ห่านแล้วหมอจึงตัดฝีเย็บ แต่พอคุยกับหมอจริงๆกลับได้ความว่า ปากมดลูกมารดาเปิดกว้าง ๑๐ เซนติเมตร พร้อมที่จะคลอดแต่ยังไม่คลอด ยังไม่เห็นศีรษะเด็กที่ปากช่องคลอดแต่จำเป็นต้องตัดฝีเย็บเพื่อใช้เครื่องดูด ดูดทารกออกมา พอตัดฝีเย็บไม่ทันได้ใส่เครื่องดูดเด็กก็คลอดพรวดออกมาทันที เลยต้องนั่งฟังหมอเลคเชอร์เรื่องการคลอดและเอาเอกสารวิชาการที่หมอถ่ายไว้ให้มานั่งอ่าน นี่กว่าจะทำคดีนี้จบ ผมคงทำคลอดเองได้เลย ฮ่าๆ

        ทราบมาว่าในการนัดไกล่เกลี่ยครั้งที่ผ่านมา มารดาเด็กไม่อยากฟ้องหมอเพราะหมอดูแลผู้ป่วยดีมาก แต่หมั่นไส้พยาบาล หมออยากให้เรื่องจบยอมควักกระเป๋าจ่ายให้ส่วนตัวสองแสนบาท มารดาเด็กก็ไม่เอา อยากจะเอาจากพยาบาลเพราะเจ็บใจที่ไม่ยอมมาช่วยในขณะที่ตัวเองปวดท้องคลอดมัวแต่นั่งเล่นคอมพิวเตอร์ และเขาก็บรรยายฟ้องในส่วนนี้ไว้ด้วย ผมจึงต้องหาข้อมูลว่าพยาบาลนั่งเล่นคอมฯหรือเขาทำงาน ก็ได้ความว่าพยาบาลคนที่ถูกฟ้องไม่ได้มีหน้าที่รับผิดชอบผู้ป่วยรายนี้แต่เป็นพยาบาลอีกท่านหนึ่ง และพยาบาลท่านดังกล่าวก็ดูแลผู้ป่วยอย่างดีแต่จะให้ถึงขนาดนั่งเฝ้าผู้ป่วยรายนี้คนเดียวคงไม่ได้ เพราะในวันดังกล่าวมีการคลอดต่อเนื่องหลายราย หมอก็กำลังทำคลอดท่าก้น (ฮ่าๆ..อย่านึกว่าหมอทำคลอดแล้วทำก้นกระดก  อิอิ) คือมีผู้ป่วยอีกรายกำลังจะคลอดแต่เด็กอยู่ในท่าเอาก้นออกจากช่องคลอด ซึ่งอันตรายกว่าการคลอดของผู้เสียหายซึ่งเป็นการคลอดธรรมดาและเป็นท้องที่สองแล้วด้วย หมอทำคลอดท่าก้นเสร็จก็วิ่งมาจัดการมารดาเด็กในคดีนี้เลย จะว่าช้าก็ไม่ช้าได้มาตรฐานการรักษาทุกประการ การคลอดท้องแรกให้เวลาในการคลอดถึง ๑๒๐ นาที ส่วนการคลอดบุตรท้องต่อๆมาให้เวลาไม่เกิน ๖๐ นาที ถ้าตามเวลาดังกล่าวเด็กยังไม่คลอดออกมาแพทย์จะต้องช่วยดำเนินการให้ออกมาแล้วครับ แต่ผู้ป่วยรายนี้ไม่ยังไม่เกินเวลามาตรฐาน

        พยาบาลคนที่ถูกฟ้องมีหน้าที่ดูแลคนไข้อีกส่วนหนึ่ง(คนละโซนกัน แต่บางทีเธอก็มาช่วยคนไข้ข้ามโซน) เมื่อเวลาเด็กคลอดออกมาแล้ว ก็หมดหน้าที่สูตินรีแพทย์ เด็กและมารดาจะถูกส่งต่อไปยังแพทย์เฉพาะทาง ในขั้นตอนนี้ก่อนส่งตัวไปก็ต้องมีการลงทะเบียนในเครื่องคอมพิวเตอร์ ป้อนข้อมูลเด็กมารดาเด็ก ยาที่หมอสั่ง รายละเอียดเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล ไม่เช่นนั้นแล้วแพทย์พยาบาลที่รับไปต่อจะไม่มีข้อมูลการรักษาพยาบาล ก็ต้องถือว่าเขาทำงานส่วนที่เขารับผิดชอบอยู่ ไม่ใช่เล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ (คำว่าเล่นคอมฯในความหมายของผู้ป่วย คงหมายถึง พยาบาลอยู่ว่างๆคนไข้แหกปากร้องก็ไม่ดูแล มัวแต่นั่งเล่นเกมส์หรืออินเทอร์เน็ต หรือแชท เรื่องไร้สาระ ทำนองนั้น เธอถึงได้แค้นนักหนา เพราะไม่เข้าใจว่าพยาบาลคนที่ถูกฟ้องเขาทำหน้าที่อะไร)

        ผมร่างคำให้การสู้คดีในส่วนของการคลอดที่ฝ่ายโจทก์เขาบรรยายว่าศีรษะเด็กมาคาที่ปากช่องคลอดนาน ๔๐ นาที ทำให้เด็กขาดอากาศหายใจว่าไม่ใช่หรอก เพราะในขณะที่กระบวนการคลอดยังไม่สมบูรณ์เด็กยังอยู่ในครรภ์มารดา เด็กยังไม่หายใจเพราะเด็กยังอาศัยออกซิเจนจากรกที่เชื่อมระหว่างแม่สู่ลูกต่างหาก ดังนั้นที่ว่าศีรษะเด็กมาคาอยู่ปากช่องคลอด ศีรษะถูกบีบจนออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่ได้นั้นไม่ใช่อย่างแน่นอน และมีการต่อสู้ถึงการปฏิบัติของแพทย์และพยาบาลตามมาตรฐานวิชาชีพ ทั้งมาตรฐานของโรงพยาบาลและมาตรฐานสากล และอีกหลายข้อ

        ที่สำคัญผมตัดฟ้องว่า คดีนี้ โจทก์ฟ้องแพทย์และพยาบาลให้รับผิดเป็นส่วนตัวไม่ได้ เพราะโจทก์ได้บรรยายฟ้องว่าแพทย์กับพยาบาลปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อไม่เอาใจใส่ดูแล จึงต้องว่ากันไปตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.๒๕๓๙ มาตรา ๕ ซึ่งบัญญัติว่า

                 “หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหายในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าวได้โดยตรง แต่จะฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้”

        เรื่องนี้เคยไปบรรยายให้แพทย์พยาบาลฟังทั้งที่โรงพยาบาลของรัฐและโรงพยาบาลเอกชนตั้งแต่ยังเป็นอัยการจังหวัดประจำกรม หลายคนมาบอกว่าค่อยใจชื้นหน่อยที่มีกฎหมายตัวนี้ วันนี้ได้ใช้จริงและเห็นผล เพราะศาลก็เห็นด้วยกับข้อต่อสู้ที่เราสู้ให้หมอและพยาบาล ศาลท่านถามความเห็นทนายโจทก์ว่ามีความเห็นอย่างไร จะถอนฟ้องไปหรือไม่ เพราะกฎหมายเขียนไว้ชัดเจนตามข้อต่อสู้ของฝ่ายจำเลยที่ ๒ และ ๓ แต่ถ้าไม่ยอมถอนศาลก็จะใช้มาตรการตาม พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.๒๕๕๑ มาตรา ๑๘

“ภายใต้บังคับของกฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย การยื่นคำฟ้องตลอดจนการดำเนินกระบวนพิจารณาใดๆ ในคดีผู้บริโภคซึ่งดำเนินการโดยผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคให้ได้รับยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวง แต่ไม่รวมถึงความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นที่สุด

ถ้าความปรากฏแก่ศาลว่าผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคนำคดีมาฟ้องโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร เรียกร้องค่าเสียหายเกินสมควร ประพฤติตนไม่เรียบร้อย ดำเนินกระบวนพิจารณาอันมีลักษณะเป็นการประวิงคดีหรือที่ไม่จำเป็น หรือมีพฤติการณ์อื่นที่ศาลเห็นสมควร ศาลอาจมีคำสั่งให้บุคคลนั้นชำระค่าฤชาธรรมเนียมที่ได้รับการยกเว้นทั้งหมดหรือแต่บางส่วนต่อศาลภายในระยะเวลาที่ศาลเห็นสมควรกำหนดก็ได้ หากไม่ปฏิบัติตาม ให้ศาลมีอำนาจสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ”

ศาลถามทนายโจทก์ว่ารู้อยู่แล้วใช่ไหมเกี่ยวกับกฎหมายความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ ทนายก็ตอบว่ารู้ ศาลก็เลยให้ทนายคิดว่าจะเอาอย่างไร ทนายโจทก์ก็เลยยอมถอนฟ้องจำเลยที่ ๒,๓ ออกจากคดี (เพราะคดีคุ้มครองผู้บริโภคเขามีเจตนาให้ชาวบ้านฟ้องง่าย ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายค่าธรรมเนียมศาล แต่บางทีก็มีฟ้องแบบป่วนไปหมดทุกคนเกี่ยวนิดเกี่ยวหน่อยก็ฟ้องหมด เสียเวลาเสียค่าใช้จ่ายสำหรับคนถูกฟ้องเหมือนกัน ถ้าไม่มีมาตรการข้างต้นกำหนดไว้ผมว่าคดีเต็มศาลบานเบอะแน่นอนครับ)เหลือแต่กระทรวงสาธารณสุข จำเลยที่ ๑ ที่เราจะต้องมาว่ากันต่อ

โดยความเป็นจริงแล้ว พวกเราหาได้มีเจตนาจะต้องต่อสู้เอาแพ้ชนะกันไม่ เพราะผู้เสียหายเขาก็ได้รับความเสียหายลูกพิการทางสมอง มันจะเกิดจากอะไรก็แล้วแต่ถ้าเราไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าความเจ็บป่วยของเด็กเกิดจากปัญหาทางร่างกายของมารดาเด็กหรือเด็กโดยตรงแล้ว ผมว่ากระทรวงสาธารณสุขควรจ่ายค่าชดเชยให้กับมารดาเด็กตามสมควร ผมทราบมาว่า สปสช.เขาจ่ายให้มารดาเด็กไปแล้ว ๒๐๐,๐๐๐ บาท หากจะเรียกร้องอีกก็ควรจะดูที่ความเหมาะสม

ผมเขียนเรื่องนี้เพราะเป็นห่วงปัญหาสังคมในอนาคต เรากำลังออกกฎหมายตามก้นฝรั่ง เราฟ้องแพทย์พยาบาลเพราะถือว่าเป็นผู้ให้บริการ ในขณะที่ผู้ป่วยเป็นผู้บริโภค ถามสักนิดเถอะว่า แพทย์พยาบาลบ้านเราเหมือนกับแพทย์ทางตะวันตกไหม จะเอาแบบเขาไหมครับ แพทย์รักษาผู้ป่วยได้ไม่เกินวันละ ๒๐ คน เขาเรียกค่ารักษาพยาบาลสูงมาก ปวดฟันไปหาหมอ หมอนัดทำฟันอีกทีปีหน้า จะเอาอย่างนั้นไหมครับ เวลาถูกฟ้องก็ถูกเรียกค่าเสียหายสูงมากเช่นกัน แล้วบ้านเราในแต่ละวันแพทย์รักษาผู้ป่วยวันละกี่คนมีใครตอบผมได้ไหม เกินมาตรฐานอเมริกันกี่เท่าตัว รายได้เดือนละกี่ตังค์ครับ  ไม่รักษาก็ถูกฟ้อง ฟ้องแล้วผิดพลาดต้องชดใช้ค่าเสียหาย ผมไม่ได้เข้าข้างหมอ แต่ทำกับหมอและพยาบาลอย่างนี้เป็นธรรมกับหมอและพยาบาลไหม..ถามสักคำเหอะ.....

อัยการชาวเกาะ
นาย บัณฑูร ทองตัน
อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สำนักงานคดีแรงงานภาค ๘(ภูเก็ต) ปฏิบัติหน้าที่รองอัยการพิเศษฝ่ายคดีแพ่งภาค ๘
สำนักงานอัยการสูงสุด

สร้าง: 27 กรกฎาคม 2552 16:11 · แก้ไข: 20 มิถุนายน 2555 01:25

หน้า: 1 ... 373 374 [375] 376 377 ... 535