ณ ห้องประชุมกระทรวงแรงงานชั้น ๗ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๘ พฤษภาคมนี้ ลูกจ้างชายร่างสันทัด ผิวกร้านดำ ได้ลุกขึ้นพูดอย่างทะนงตัวตามใจความข้างต้น กลางที่ประชุมผู้ใช้แรงงานกว่า ๒๐๐คน ที่พากันมาสัมมนาพูดคุยกันว่า ควรหรือไม่ที่ผู้ใช้แรงงาน กว่า ๙ ล้านคน จะยกพวกเอาประกันสุขภาพของตนออกจากระบบประกันสังคมไปอยู่ในระบบบัตรทองของฟรีจากรัฐบาล ดังที่เอ็นจีโอกลุ่มหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวผลักดันในทุกวันนี้
อะไรคือเหตุผลที่ชายผู้นั้น และผู้ใช้แรงงาน กว่า ๒๐๐ คน ที่ลงมติเป็นเอกฉันท์ในภาคบ่ายว่าไม่เอาของฟรี และยอมที่จะลงขันในอัตราโดยเฉลี่ย คนละ ๘๐๐ บาทต่อปี เพื่อสร้างหลักประกันสุขภาพของพวกตนเองในระบบประกันสังคม ต่อไปอีก ก็เป็นข้อที่ผมจะขอรายงานไปโดยลำดับดังนี้
ระบบประกันสังคม
ที่ประชุมวันนั้นได้ให้ข้อความคิดเป็นความหมายของระบบประกันสังคมไว้ชัดเจนก่อนว่า เป็นระบบที่สมาชิกพร้อมจะรับผิดชอบตัวเองอยู่ก่อนแล้ว แล้วจึงออกเงินมารวมเป็นกองทุนกลางเพื่อเป็นหลักประกันสุขภาพร่วมกันของทุกคน ถ้าเป็นระบบของผู้ใช้แรงงานไทยก็ออกกันเฉลี่ยปีละ ๘๐๐ บาท มีรัฐกับนายจ้างสมทบให้อีกก้อนหนึ่ง จนทุกคนก็ได้หลักประกันไปถ้วนหน้า เช่นถ้าใครป่วยเป็นมะเร็ง โดนค่าใช้จ่ายไป ๕ แสนบาท ก็เอาจากกองกลางนี้ได้ ทั้งๆที่เพิ่งออกเงินไปแค่ ๑๐ ปี เป็นเงิน ๘ พันบาทเท่านั้นเอง เป็นต้น
การลงเงินสร้างหลักประกันร่วมกันเช่นนี้ อาจเกิดขึ้นโดยการร่วมกันซื้อกรมธรรม์ประกันสุขภาพของบริษัทเอกชนก็ได้ หรือแม้ในกรณีสวัสดิการรักษาพยาบาลฟรีของข้าราชการนั้น พิเคราะห์ให้ลึกๆแล้วก็เป็นประกันสังคมเช่นกัน เพราะสวัสดิการอย่างนี้คือเหตุผลสำคัญที่ดึงดูดคนให้มาทำราชการด้วยเงินเดือนต่ำได้ ส่วนต่างของเงินเดือนข้าราชการที่ต่ำกว่าตลาดนี่เอง ที่เปรียบได้เช่นเงินที่ข้าราชการได้นำมาลงขันกันไว้เป็นรายเดือน แล้วจ่ายจริงออกมาจากกรมบัญชีกลางเมื่อมีใครเจ็บป่วย
ความเข้าใจเช่นนี้พิเคราะห์ให้ลึกซึ้งต่อไปอีก ก็จะได้ความคิดต่อไปว่า คนเราถ้าอยู่โดยลำพังไม่ร่วมมืออะไรกันเลย ก็จะเกิดหลักประกันอะไรขึ้นมาไม่ได้ ต่อเมื่อลงทุนร่วมกันเป็นสังคม ชีวิตส่วนตนก็จะมีหลักประกันดีขึ้น เช่นร่วมกันสร้างหลักประกันสุขภาพก็ได้ ร่วมกันสร้างเป็นความฝันหวานถ้วนหน้าทุกสองอาทิตย์สำหรับทุกคนที่ซื้อสลากกินแบ่งก็ได้
แม้กระทั่งการร่วมกันโดยสารรถเมล์ตอนเช้า ไม่ว่านั่งหรือโหนอยู่ท้ายรถ ก็จ่ายตั๋ว ๗ บาทเท่ากันหมด ซึ่งถ้าดูเฉพาะเที่ยวเช้านั้นรถคันนั้นก็กำไรเละ แต่พอเที่ยว ๔ ทุ่ม นั่งอยู่ ๕ คน ก็จ่าย ๗ บาทอีกเหมือนเดิม ซึ่งถ้าดูเฉพาะเที่ยวดึกนั้นก็ถือว่าขาดทุนยับ แต่ที่ยังเดินรถดึกได้ในราคาเดิม ก็เพราะอาศัยกำไรจากเที่ยวเช้ามาเฉลี่ยนั่นเอง มองอย่างนี้แล้วระบบขนส่งมวลชนนี้ก็เป็นหลักประกันของการเดินทางในเมือง ที่เราทุกคนช่วยกันสร้างไว้เหมือนกันว่า ทุกคนมีโอกาสต้องกลับดึกได้เสมอ จึงต้องสร้างระบบกลางเป็นประกันไว้ว่า๔ ทุ่มแล้วก็ยังกลับบ้านได้ในราคา ๗ บาทนั่นเอง
เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้ว “ ประกันสังคม” คือหลักประกันที่เกิดจากการลงทุนลงแรงร่วมกันเป็นสังคม และจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าต่างคนต่างอยู่กันไปตามลำพัง
ระบบโรงทานสังคม
ระบบรักษาฟรีจากงบประมาณของรัฐนี้มีมานานแล้ว เพิ่งมาปรับขยายรักษาฟรีไปถึงทุกคนที่ไม่เป็นข้าราชการหรือลูกจ้าง รวม ๔๘ ล้านคน เมื่อในสมัยรัฐบาลทักษิณ ๑ นี่เอง โดยใน๖ ปีแรก มีการเก็บค่าธรรมเนียมครั้งละ ๓๐ บาท จนมาในปี ๒๕๕๐ ถึงได้เลิกเก็บเงิน จนเปลี่ยนฉายาจาก ๓๐ บาทรักษาทุกโรค เป็น บัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกโรคไปในที่สุด
จากการอภิปรายในที่ประชุมผู้ใช้แรงงานได้ปรากฏข้อมูลของระบบนี้ ขึ้นมาโดยลำดับว่า
๑) ระบบนี้ครอบคลุมทั้งคนยากจนจริงประมาณ ๒๐ ล้านคน และคนที่พอดูแลตัวเองได้กว่า ๒๐ ล้านคน
๒) ระบบนี้เรียกตัวเองเป็นกองทุนประกันสุขภาพ แต่ตัวจริงไม่ได้มีรายได้อะไรนอกจากแบมือของบประมาณแผ่นดินในลักษณะเหมาจ่ายมาเทรวมกันเป็นกอง แล้วเรียกว่ากองทุนเท่านั้น การคิดเหมาจ่ายจะคิดเป็นรายหัว หัวละ ๑๒๐๐ บาทในปีแรกแล้วบานปลายขอเพิ่มมาเรื่อยๆ จนเ ป็น ๒,๘๕๐ บาท/หัว ในปีนี้ และกำลังจะขออีก ๗๐๐ บาท/หัว ในปีหน้า เหตุเพราะเงินที่ให้ในอัตราปัจจุบันไม่พอใช้ จนโรงพยาบาลหลวงร้อยกว่าแห่งขาดทุนกว่า๕ พันล้านบาทแล้ว
๓) สอบถามกันต่อไปอีกพบว่า เงินที่เหมาจากรัฐบาลนั้น รวมเงินเดือนบุคลากรด้วย,งบลงทุนด้วย, กิจกรรมพิเศษของ สปสช.ด้วย เหลือมาเป็นค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลประชาชนจริงๆ เพียง ๖๐๐บาท/หัวเท่านั้น ซึ่งก็หาได้พอกับค่าใช้จ่ายจริงของโรงพยาบาลแต่อย่างใดไม่ ทำให้โรงพยาบาลต้องสำรองจ่ายแล้วได้คืนไม่ครบอยู่ทุกปี จนขาดสภาพคล่องสิ้นไขมันสิ้นทุนรอนที่เคยสะสมไว้ไปถ้วนหน้าในที่สุด
๔) สภาพบานปลายอย่างนี้เกิดขึ้นอย่างก้าวกระโดดเมื่อรัฐบาล ขิงได้เลิกค่าธรรมเนียม ๓๐ บาท ทำให้ผู้คนมาขอยาจากโรงพยาบาลกันมากขึ้นง่ายขึ้น หมอทั้งหลายนั้นเมื่อถูกเอ็นจีโอพาคนไข้มาร้องเรียนฟ้องร้องมากเข้า ก็เลยต้องสั่งตรวจประกอบการรักษาอย่างถี่ยิบไว้ก่อนเพื่อป้องกันตัว ส่วนเตียงในทุกโรงพยาบาลก็ล้นมากขึ้น ล้นเพราะคนป่วยเรื้อรังและญาติไม่ต้องการให้นอนป่วยที่บ้านอีกต่อไป ฯลฯ
๕) ด้วยภาระที่มากแต่จ่ายน้อยจ่ายยากอย่างนี้ โรงพยาบาลหลายแห่งจึงทยอยถอนตัวจากระบบบัตรทองนี้มากขึ้นทุกวัน ทั้งโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย โรงพยาบาล กทม. โรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ เหลือแต่โรงพยาบาลกระทรวงสาธารณะสุขที่ดิ้นไปไหนไม่ได้ ต้องรับดูแลราษฎร ๔๘ ล้านคน ด้วยคิวคนไข้ที่ยาวเหยียด ตั้งแต่ ตี ๕ และภาระหนักอึ้งแทบไม่มีเวลากินข้าวกินปลาที่ตกแก่หมอพยาบาลในปัจจุบันนี้
ด้วยสภาพอย่างนี้บรรดาคุณหมอกว่า ๕ ท่าน จึงได้แจ้งต่อที่ประชุมผู้ใช้แรงงานว่า ของฟรีแล้วดีด้วย ในโลกนี้ไม่มีแน่นอน แต่ฟรีแล้วได้มาตรฐานต่ำสุดโดยถ้วนหน้าแบบคอมมิวนิสต์นั้นมีแล้วในระบบบัตรทองนี้นี่เอง ดังนั้นถ้าพวกคุณดูแลตัวเองได้ มีระบบของคุณอยู่แล้ว จะดีชั่วอย่างไร ก็เป็นเงินของคุณ อยู่ในอำนาจของคุณที่จะปรับแก้ให้ดีขึ้นได้ ก็ขออย่ามาเป็นภาระเพิ่มลงไปในระบบบัตรทองที่กำลังจะตายมิตายแหล่ และไม่มีคนจะดูแลรับผิดชอบได้อีกเลยความไม่เสมอภาค
ต่อปัญหาที่กลุ่มเอ็นจีโอพยายามดันหลังให้ผู้ใช้แรงงานกลุ่มหนึ่งไปฟ้องศาลปกครองว่ารัฐบาลเลือกปฏิบัติไม่ให้ผู้ใช้แรงงาน ๙ ล้านคนเข้าโรงทานคือรับการรักษาฟรีในระบบบัตรทองโดยเสมอภาคกับผู้อื่นนั้น ก็ปรากฏข้ออภิปรายโต้แย้งโดยชัดเจนดังนี้
๑) สำหรับข้อที่รัฐธรรมนูญระบุว่า บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในบริการสาธารณสุขที่เหมาะสมและได้มาตรฐานนั้น ก็หาได้หมายความว่าต้องมีระบบประกันสุขภาพระบบเดียว
อย่างเช่นที่เอ็นจีโอเข้าใจเอาเองแต่อย่างใดไม่ จะมีหลายระบบก็ได้แต่ต้องเกินมาตรฐานขั้นต่ำทุกระบบ และทุกคนต้องเข้าถึงได้เท่านั้นเอง
๒) ที่ประชุมเห็นต่อไปว่า ปัญหาความไม่เสมอภาคที่แท้จริงนั้น น่าจะอยู่ตรงที่การให้คนที่พออยู่พอกินที่อยู่นอกระบบเงินเดือน ไปแย่งคนจนเพื่อรับรักษาฟรีมากกว่า ซึ่งผู้ใช้แรงงานก็จะไม่ขอยอมไปร่วมแย่งกับเขาด้วย
การปฏิบัติต่อคนจนแร้นแค้นกับคนพอมีฐานะโดยให้การรักษาฟรีเสมอกันด้วยระบบบัตรทองเช่นนี้ต่างหาก คือความไม่เสมอภาค ที่จะต้องแก้ไข โดยดึงคนเหล่านี้มาเข้าสู่ระบบประกันสังคม ไม่ใช่เอาคนในระบบประกันสังคมไปเข้าโรงทานเพิ่มขึ้นอีก
อิสระชน
“ ผมมีงานมีการทำ....ไม่ต้องการไปขอทานใคร! ”
จากเนื้อหาที่นำเสนอกันในที่ประชุมผู้ใช้แรงงานเช่นที่ผมได้ลำดับมา ผมจึงฟังคำกล่าวนี้
ด้วยความซาบซึ้งและคารวะในจิตใจอิสระชนของท่านผู้พูดเป็นอย่างยิ่ง
นี่คือ “อิสระชน” ที่เป็นอิสระจากความโลภ รู้จักละอาย เมื่อเห็นว่าตนเองยังพอช่วยตัวเองได้ ก็ไม่ขอเห็นแก่เล็กแก่น้อยไปแย่งโอกาสเบียดเสียดกับคนจน
นี่คือ “อิสระชน” ที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้ต้องอ้อนวอนเฝ้ารอของฟรี รอสินค้าประชานิยมต่างๆนานาจากรัฐหรือนักการเมือง หรือร่วมเคลื่อนไหวกับนายหน้าค้าความจนทั่วราชอาณาจักรเช่นเอ็นจีโอปัจจุบันนี้
นี่คือ “อิสระชน” ที่ประกาศว่า เงินประกันสังคมคือสิทธิของผู้ใช้แรงงาน ข้าราชการเป็นแค่ผู้จัดการและเสมียนเท่านั้น ผู้ใช้แรงงานจะต้องเข้ามีส่วนร่วมจัดการ ตรวจสอบ และติดตามตรงนั้นตรงนี้
คนอย่างนี้ สำนึกอย่างนี้นี่เอง ที่ต้องเบิกบานขึ้นมากๆ ให้เต็มแผ่นดินโดยไม่จำกัดชนชั้น ราวกับดอกไม้ร้อยชนิดร้อยสีร้อยดอก เพื่อพาสังคมให้พ้นจากความเจ็บป่วยทางความคิดนานาที่ สิงสู่ผู้คนจนทำให้บ้านเมืองต้องตกปลักไปไหนไม่เป็น เช่นทุกวันนี้
แก้วสรร อติโพธิ