หลักการผมอยากให้อยู่ได้ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อให้เกิดความสมดุล (ผู้ให้บริการและผู้รับบริการ)
ผมว่าเทรนด์ต่อไปของผู้ใช้บริการคือความเท่าเทียม เรื่องสิทธิมนุษยชน เป็นวัฒนธรรมตะวันตก มีทั้งข้อดีไม่ดี แต่ในเชิงปฎิสัมพันธ์ หากคนเราถ้าจะทำงานด้วยกัน ท่าทีต้องดีต่อกัน หากท่าทีไม่ศรัทธา ยังต้องมาใช้ระบบสปสช.อีก เดี๋ยวก็อาจจะทะเลาะกัน อีกฝ่ายหนึ่ง(ประชาชน)จะกลายว่าเป็นว่านี่คือสิทธินะ จะมาหาหมอเวลาไหนก็ได้ หมอปฏิเสธไม่ได้ สิทธิของเขา เมื่อหมอถาม เป็นอะไรมา ปวดหลัง เป็นมากี่วันแล้ว 2 วัน ถามว่าทำไมเพิ่งมาหาหมอตอนห้าทุ่ม ตีหนึ่ง ตีสอง นี่คือตัวอย่าง เพราะเขาคิดว่าระบบต้องให้บริการเขา เพราะฉะนั้นระบบต้องกำหนดเงื่อนไขการใช้บริการ ไม่ใช่อยากจะมาเมื่อไหร่ก็ได้
หากจะปรับระบบใหม่ อันนี้ต้องอาศัยหลายๆอย่าง ต้องคุยกัน คนเราต้องมีวินัยพอสมควร จะออกกฎได้ไหม หากคนเป็นโรคธรรมดา ที่ไม่ใช่เลือดตกยางออก คลอดลูก ผ่าตัด ช่วยกันหน่อยไหม กำหนดเวลาในการให้บริการ ให้ระบบนี้มันเดินไปได้ ไม่ใช่จะมาเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ใช่ผมเพิ่งขายปลาเสร็จ ตลาดเพิ่งปิด เพิ่งขายข้าวต้มเสร็จ มาห้าทุ่มเที่ยงคืน นี่คือสิทธิที่ยิ่งใหญ่ แต่คนทำงานไม่มีสิทธิอะไร เป็นหน้าที่อย่างเดียว หากเราปล่อยไปอย่างนี้มันเสี่ยงที่ระบบจะล่มสลาย
ที่ผมพูด ยังไม่มีตัวเลข ต้องไปจับดูว่าคนไข้ที่มาโรงพยาบาล เป็นโรคที่ไม่ควรจะมา มีจำนวนเท่าไหร่ อย่าง ญี่ปุ่น กลางคืนมันเหงานะ ไม่ใช่ป่วยฉุกเฉิน เขาก็ไม่มา หมอนอนสบาย เขาลดอัตรากำลังได้ แต่ของเรากลางวันใส่กำลังเต็มที่ แต่กลางคืนลดกำลังลง คาดเดาไม่ได้ ว่าฉุกเฉินจะมาเท่าไหร่ แต่ก็ไม่น้อยกว่ากลางวันนัก ตัวเลขเหล่านี้ต้องเอามากางดูกันว่าเป็นอย่างไร แล้วสร้างโมเดลออกมาว่าจะแก้ปัญหากันอย่างไร
กระทรวงสารณสุขไม่มีอะไรเลย โล่งโจ้ง อำนาจอยู่ที่เงิน จะให้ไม่ให้อยู่ที่สปสช. ขณะนี้ สส.รู้แล้วว่าผลของนโยบายสปสช. ทำให้โรงพยาบาลขาดทุนจำนวนมาก
ความหมายของคำว่าขาดทุน หมายถึงว่าโรงพยาบาลขาดทุน ควักเงินบำรุงของเขาจากที่เขามีอยู่ เช่น เงินบำรุง เงินบริการของเขามาใช้ ถามว่าไม่มีเงินจะบริหารอย่างไรให้ได้มาตรฐาน ประเด็นที่เราเป็นห่วงคือภาคประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่ด้อยโอกาส ขณะที่คนพอช่วยตัวเองได้ ไปใช้บริการเอกชนแทน เราจะเห็นว่างบดุลโรงพยาบาลเอกชนเขาอยู่ได้ ไม่ต้องห่วงเขา
โรงพยาบาลเอกชนที่เป็นเครือข่ายสปสช. เขาเจ๊งเขาออกได้ แต่โรงพยาบาลเอกชนที่ทำ 30 บาทโดยเฉพาะก็มี แต่เขาก็มีวิธีการที่จะทำให้เขาอยู่ได้ เท่าที่ฟังมาคนไหนโรคไหนเยอะให้พรรคพวกไปแนะนำว่าคนนี้ทีหลังอย่ามาเลย หรือถ้าถูกบังคับต้องมาที่โรงพยาบาลนี้ก็ให้บอกว่าที่นี่..หมอไม่เก่งอย่ามาเลย
วงการแพทย์บางอย่างอธิบายยาก เวลาเปรียบเทียบคน เห็นดีๆ ว่าแต่ละคนเหมือนกัน แต่ข้างในไม่รู้ว่ามีอะไรต่างขนาดไหน ความทนต่อความเจ็บป่วยไม่เท่ากัน บางคนนิดเดียวก็มาหาหมอ บางคนจะตายแล้วจึงมา ทั้งๆที่เป็นโรคเดียวกัน หรือใครบอกว่าผ่าตัดไส้ติ่ง ไม่ตาย มี.. ตายก็มี เพราะความรุนแรงมันมาก แล้วบอกว่าเป็นการบกพร่องว่ามาโรคนี้ไม่ควรจะตาย คุณก็ต้องมาไล่ดูว่าเจอตอนแรกเป็นอย่างไร
ผมถึงบอกว่าเวลาเอาเรื่องการรักษาพยาบาลมาผูกโยงกับเงิน มันทำให้ขาดความเป็นอิสระในด้านหนึ่ง เมื่อก่อนหมอโรงพยาบาลรัฐ หมอเขาอยากอยู่ เขามีอิสระ มีแรงยืดหยุ่น แต่ตอนนี้ มีแต่…ต้องๆๆ .. ถ้าไม่อย่างนี้ไม่ต้อง ถ้าไม่ทำแบบนี้ก็ไม่ได้ ก็กลายเป็นการทำงานที่เครียด คนทำงานต้องมีความสุขก่อน ไม่ใช่คิดว่าเมื่อไหร่จะวันศุกร์เสียที โล่งอก แสดงว่าระบบภายในไม่จูงใจ และเจ้าหน้าที่ภายในก็มีระบบกำกับดูแลอีกชั้น เวลาเครียดก็ทะเลาะกันอีกเพราะเรื่องเงิน ขณะที่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะมีผลงานก็ต้องมีเปเปอร์มาส่งถึงจะได้เงินจากสปสช.
เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วคุณคิดว่าหมอจะมาจับตัวคนไข้ถามว่าคุณลุงเป็นอย่างไร ดีขึ้นไหม.. ไปถึงแล้ว ประโยคพวกนี้ไม่มีออกมา มีแต่เป็นไง อึๆๆๆ จบๆไป
ไทยพับลิก้า : เทคนิคการบริหารโรงพยาบาลไม่ให้ขาดทุน จะเอาตัวรอดอย่างไร
ผมคงไม่ก้าวล่วง ต้องถามคงทำงานจริงๆ แต่ละที่ทำอย่างไร แต่มันมีที่ผมเห็นประชาชนมาขอเงินให้ช่วย ผมถามว่าทำอะไร เขาบอกว่าหมอส่งเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ แต่ไม่มีเงิน แม้รัฐจ่ายด้วย แต่เขาต้องจ่ายด้วย หรือคนฟอกเลือดด้วยไตเทียมคนไข้ต้องจ่ายด้วยส่วนหนึ่ง (ข้อเท็จจริงแต่ละบางรพ.ไม่เหมือนกัน) หรือคนที่ล้างไตผ่านช่องท้อง สปสช.ให้คนไตวายให้เขาล้างไตผ่าช่องท้องเป็นอันดับแรก
ดังนั้นถ้าเก็บ 30 บาทพอไหม คุณวิเคราะห์หรือยังว่าพอไหม และ 30 บาท ไม่ได้เก็บทุกครั้งที่มาหาหมอ สมมติวันแรกสั่งยา และนัดมาเอ็กซเรย์ วันที่มาเอ็กซเรย์ถ้าไม่ได้พบหมอก็ไม่เก็บ 30 บาท
ไทยพับลิก้า : ทำไมนำนโยบาย 30 บาทกลับมาใช้ใหม่
อันนี้เป็นนโยบายรัฐบาลที่แถลงต่อสภาที่ผ่านมา จะนำนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคกลับมาใช้ใหม่ นโยบาย 30 บาทที่ไม่มี(ไม่เก็บเงินหรือรักษาฟรี)คือรัฐบาลคุณสุรยุทธ์ จุลานนท์ การเลือกตั้งถัดมารัฐบาลเพื่อไทยได้เขาก็ไม่เก็บ และปชป.มาบริหาร ก็ต่อปอีก 2 ปี ที่ผ่านมาก็ไม่มีการเก็บเงิน ไม่มีใครกล้า เพราะเป็นเรื่องการเมือง เซ้นซิทีพไม่มีใครอยากทำ แต่พอเพื่อไทยกลับมาก็ประกาศว่าจะนำมาใช้ใหม่ พิสูจน์แล้วว่าระบบนี้มันอยู่ไม่ได้
เท่าที่สอบถามมีการร่วมจ่าย(co payment) จะดีกว่าไม่มี เพราะทางการแพทย์มีความยุ่งยาก และระบบสปสช.เขามีความยุ่งยากต้องยาจ่ายตามบัญชียาหลัก
ไทยพับลิก้า : ระบบสุขภาพถ้วนหน้า คุณภาพยาไม่ดี
ที่บอกว่ายาไม่ดี สปสช.เขาอธิบายว่ามีมาตรฐานรับรอง แต่ในโลกความเป็นจริงเป็นอย่างที่ว่า เพราะคนที่คิดรีเสิร์ชได้คนแรก วัตถุดิบยา บอกสูตรหมด ตั้งแต่กรรมวิธีทางเทคนิค ทางวิทยาศาสตร์ แต่หลัง 5 ปี เมื่อหมดสิทธิบัตรแล้ว คนอื่นทำได้ วัตถุดิบ กรรมวิธีการทำ ความบริสุทธิ์เนื้อยา เครื่องมือแพกกิ้ง มันมีขั้นตอนทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี่ เพราะฉะนั้นการผลิตที่อินเดีย ยุโรป มาตรฐานจะต่างกัน แต่เราก็ต้องระวังว่าที่ผลิตที่ยุโรปมันก็อาจจะหลอกเราได้ อะไรก็ดีหมด แต่ในที่สุดก็ต้องดูมาตรฐานยา โดยดูคุณภาพในเชิงฤทธิ์ยาอยู่ในขอบเขตมาตรฐานหรือไม่ ถ้าได้ก็โอเค ซึ่งคณะเภสัชเขาทำวิจัยจะมีการตรวจสอบอยู่
เพราะฉะนั้นยาบัญชียาหลักที่สปสช.ยืนยันว่ายาทุกตัวมีมาตรฐานในระดับเขาว่า แต่มาตรฐานไทย ยุโรป ญี่ปุ่น ไม่เท่ากันหรอก(หัวเราะ) คำว่ามาตรฐานคือสิ่งที่เรายอมรับว่าใช้ทั่วๆไป ได้ ถามว่ามาตรฐานไทยเทียบกับญี่ปุ่น ยุโรปได้ไหม ไม่เท่ากันหรอกคนละมาตรฐานกัน แต่โดยทั่วไปเขาถือว่าอยู่ในระดับที่ปลอดภัย ส่วนการรักษาจะได้ผลไม่ได้ผลมีปัจจัยเยอะแยะ มันอยู่ที่การวินิจฉัยโรคถูกต้องไหม คนไข้กินยาตรงตามเวลาไหม เป็นต้น
ไทยพับลิก้า : อนาคตแพทย์ไทยจะเป็นอย่างไร
อนาคตแพทย์ แบ่งตามสังกัด กระทรวงสาธารณสุข ทหาร โรงเรียนแพทย์(กระทรวงศึกษา) กระทรวงมหาดไทย กทม.หน่วยงานอิสระเช่นกาชาด มันหลายกระทรวง หรือถ้ามองในภาครัฐ ภาคเอกชน ก็แบ่งโดยเศรษฐฐานะในการแบ่ง คนที่มีฐานะก็ไปใช้บริการโรงพยาบาลเอกชน แต่คนที่ไปไหนไม่ได้ใช้ระบบสปสช. แต่จะทำอย่างไรให้สปสช.บริการจะดีขึ้นหรือดีตามที่พูดไว้ ซึ่งงานบริการเหล่านี้การจะดีได้ต้องอาศัยหมอ พยาบาล เภสัชกร ทันตแพทย์ นักเทคนิคการแพทย์ เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล เป็นองค์รวม เป็นทีมใหญ่ไม่ใช่หมอเก่งคนเดียว ต้องช่วยกัน หากกลุ่มคนเหล่านี้ท้อใจ กำลังคนไม่มี มีแต่งานๆๆ เขาก็ไม่ไหว ลาออกกัน
ไทยพับลิก้า : แต่สปสช.ก็มีระบบการป้องกันไม่ให้งานมาหาหมอ
ระบบสปสช. ซ่อมนำสร้าง หากดูสถิติค่อนข้างบอกยาก เพราะระบบสปสช.เปิดกว้างให้เขามาใช้บริการกี่ครั้งก็ได้ ผมเลยไม่ทราบว่าตัวเลขที่คนมาโรงพยาบาลถี่ เพราะโรคมากจริงๆ หรือเพราะเปิดทางให้เขามากี่ครั้งก็ได้ตามสิทธิของเขา ดังนั้นนโยบายสร้างนำซ่อม ก็ไม่จริง สร้างคือป้องกันไม่ให้เป็นโรค หลักการต้องการซ่อมต้องน้อยลง ถ้าหมวดส่งเสริมสุขภาพการป้องกันโรคทำได้ดีจริง การมาหาหมอต้องน้อยลง โรงพยาบาลว่าง เตียงว่าง ร่างกายคนแข็งแรง แต่นี่ไปโรงพยาบาลมีเตียงไหม ไม่มี คนแน่นไปหมด
ไทยพับลิก้า : ดูแล้วมืดมน แก้ไม่ได้
หากเป็นระบบสปสช.ต่อไป ต้องมานั่งดูว่าหากจะให้สปสช.เดินไปข้างหน้าจะต้องปรับอะไรบ้าง ความจริงระบบสปสช.โดยหลักเกณฑ์ก็ดี แต่ปัญหาทำอย่างไรให้ฝ่ายทำงาน ฝ่ายบริการเขาอยู่ได้ ไม่ใช่เขามาร้องว่าขาดทุน อยู่ไม่ไหวแล้ว ซึ่งเขาขาดทุนจริงๆ ทั้งๆที่สปสช.มีเงินค้างท่อ จ่ายช้าเพราะอะไร และสปสช.มักอ้างว่าเอกสารไม่ครบ ดังนั้นระบบทำงานอย่าพยายามทำให้ยุ่งยากซับซ้อน ควรตรวจสอบได้ด้วยระบบไหนก็ว่ามา แต่อย่าให้ยุ่งยาก ต้องทำให้ง่าย
ระบบนี้งบประมาณส่งสปสช. สปสช.ยิงตามรพ. ตรงนี้หากไม่ผ่านสปสช. ยิงไปที่จังหวัดเลยไหม จะแก้อย่างไร ต้องถามผู้อำนวยการโรงพยาบาลว่าจะแก้อย่างไร เพราะเขารู้ดี เราติดแทนเขาไม่ได้
ไทยพับลิก้า : เคยมีไหมที่หนึ่งกระทรวง มี 2 ระบบ
ไม่มี มีแต่กระทรวงสาธารณสุข รมต.นั่งเป็นประธานสปสช.และสำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข การนั่งเป็นประธานสปสช.เขามีคณะกรรมการของเขา 30 กว่าคน ประธานแค่รับทราบ รับรู้ เท่านั้น
ไทยพับลิก้า : สปสช.ทำหน้าที่จัดซื้อยาเอง
ผมว่าโครงสร้างมันเสีย ทำไมสปสช.ต้องถือเงิน ทำไมไม่ให้กระทรวงสาธารสุขซึ่งเขามีองค์การเภสัชกรรมอยู่แล้ว เป็นแม่ข่ายใหญ่ ซื้อกันในกลุ่มของเขา เงินย้ายซ้าย-ขวา ก็ว่ากันไป แต่สปสช.เขาก็ซื้อผ่านองค์การเภสัช แต่เขาอ้างว่าซื้อได้ถูก เช่น สเตนท์หัวใจ
ไทยพับลิก้า : แต่คนใช้บอกไม่ได้คุณภาพ
มองมุมสปสช.เขาบอกว่าได้ผลดี เขาซื้อของตามมาตรฐานทุกอย่าง เรื่องทางการแพทย์อธิบายได้หลายมิติ หมอคนที่ใช้ บอกว่าคนซื้อไม่ได้ใช้คนใช้ไม่ได้ซื้อ ถ้าผม(หมอ)ใส่แบบนี้ไป ฝ่ายจัดซื้อรับผิดชอบไหม เรื่องนี้ต้องถามหมอหัวใจ เป็นความยุ่งยากในการรักษา หลักการถือเงินใครจะถือ
จริงๆ ก็เหมือนกับโรงพยาบาลเอกชน ที่ต้องรับผิดชอบกับบริษัทประกัน เพื่อรักษาลูกค้าที่ซื้อประกันสุขภาพ บริษัทประกันไม่ได้ซื้อยา ซื้อเครื่องมือให้โรงพยาบาล โรงพยาบาลไปบริหารจัดการเอง ให้ลูกค้าได้รับสิทธิตามนั้น บริษัทประกันก็อยู่ได้ เพราะมีปลายปิด มีข้อจำกัดในการรักษาโอพีดีกี่ครั้งต่อปี วงเงินเท่าไหร่ หากมากกว่านั้นก็ต้องจ่ายเอง คุ้มครองโรคไหนบ้าง แล้วแต่เงื่อนไข และโรงพยาบาลที่รับเงื่อนไขต้องมีการต่อรอง
อย่างของสภาผู้แทนราษฏร ที่ทำประกันสุขภาพ ก็ยังมีการจำกัดการใช้ว่ากี่ครั้งต่อปี วงเงินเท่าไหร่ สส.จะใช้โอพีดี ใช้ครั้งละไม่เกิน 3,300 บาทต่อครั้ง มีอั้นทุกอย่าง ค่าห้องใช้ได้ไม่เกินเท่านี้ ค่าธรรมเนียมแพทย์ ค่าผ่าตัดไม่เกินเท่าไหร่ เป็นปลายปิดหมด
สส.ไม่ต้องการแบบนี้ต้องการเบิกแบบราชการ ตามอายุสภาฯ แต่สภาฯอยากได้ใช้โรงพยาบาลรัฐและจ่ายตรงจากกรมบัญชีกลาง อันนี้ไม่ดี
ของสส.ไม่รวมครอบครัว หลักการก็ถูกต้อง ไม่ควรให้ครอบครัว เพราะคุณอาสามาทำงาน วิธีคิดแบบเศรษฐพอเพียง ดูแบบแฟร์ๆกัน อย่ามากไปน้อยไป มีเหตุผล
สาเหตุที่สปสช.อยู่ไม่ได้เพราะปลายเปิดมากเกินไป ที่ให้แบบไม่อั้น ไม่มีการจำกัด ระยะแรกระบบมันอยู่ได้ แต่พอปีที่ 8 ปีที่ 9 ก็เริ่มอยู่ไม่ได้แล้ว คนทำงาน หมอ พยาบาล ลาออก โรงพยาบาลขาดทุน ลองไปดูว่าหมอลาออกไปทำอะไร อย่างพยาบาลเลิกทำไปเลย ปัญหาตอนนี้พยาบาลขาดแคลนอย่างรุนแรง
ตอนนี้มีการปรับอัตรากำลังพล ที่ต้องจ่ายปริญญาตรี 15,000 บาท ตรงนี้โรงพยาบาลจะแก้อย่างไร จะต้องไปหักจากค่าใช้จ่ายต่อหัว หรือว่าจะเอาเงินที่ไปเสริมให้โรงพยาบาล ไม่งั้นรายจ่ายต่อหัวของประชาชนลดลงอีก
ค่าใช้จ่ายต่อหัว 2,700 – 2,800 บาท จริงๆเป็นค่ารักษาพยาบาล ค่ายา ค่ารักษาพยาบาล เฉลี่ยนิดเดียว ไม่ใช่ 2,700 – 2,800 บาท เพราะในนี้รวมค่าเงินเดือน ค่าจ้างด้วย
เวลาที่เราพูดในสภาฯ ทุกคนคิด ได้ต่อหัวเฉลี่ย 2,700 – 2,800 คูณ 48 ล้านคน โอ้ เงินเยอะมาก แต่จริงๆไม่ใช่ เพราะระบบสปสช.วางมาอย่างนั้น จะแก้ก็ลำบาก มีพลังมวลชน ถูกด่าแน่ ว่าทอดทิ้งประชาชน นักการเมืองไม่กล้าทำ
ไทยพับลิก้า : จะให้ใครพูดว่าระบบมันอยู่ไม่ได้แล้ว
ต้องให้หน่วยบริการ ออกมาพูดให้สังคมได้รับรู้เรื่อยๆ ตัวแทนแพทย์ กลุ่มวิชาชีพ ตัวแทนแพทยสภา ว่าระบบนี้ไปไม่ได้ ผู้ให้บริการทั้งหลายต้องออกมาพูด นักการเมืองที่คิดโครงการนี้เอาเปรียบมาก นั่งกระดิกเท้า มีคนมาขอบคุณ เพราะประชาชนชอบ รวมทั้งพรรคผมอาจจะมีปนด้วย เพราะกระแสไปอย่างนั้น หากเราไม่ทำก็แพ้เขา ขนาดทำก็แพ้ นี่คือการต่อสู้ แต่ต้องมีอะไรมากำกับ เช่น มีกฎหมายมากำหนดเรื่องงบประมาณ ต้องมีงบลงทุนว่าเป็นเท่าไหร่ ปัจจุบันงบลงทุนเราน้อยลงเรื่อยๆจาก 30 % ลดลงเรื่อยๆตั้งแต่มีนโยบายประชานิยม เหลือ 16 – 17 % นี่คืออันตรายของประเทศ ที่งบลงทุนเราไม่โต
ดังนั้นเรื่องค่ารักษาพยาบาลขนาดประเทศมหาอำนาจยังอยู่ไม่ได้ ประเทศที่พัฒนาแล้วยังเอาไม่อยู่ ประเทศเหล่านั้นภาษีมูลค่าเพิ่มเขาแพงมาก อย่างสแกนดิเนเวีย 24 – 25 % แต่ของเราเก็บแค่ 7 % เราจะไปเอาอย่างเขาคงไม่ได้ เป็นลัทธิเอาอย่างไม่ได้ ต้องดูฐานะของเราก่อน จะให้บริการเขาได้อย่างไร ต้องเปิดใจคุยกัน
พอออกมาเป็นกฏหมาย ต้องไปแก้ ใครจะเป็นหัวหอกแก้ ต้องให้คนที่ได้รับผลกระทบเป็นคนแก้ เสนอผ่านนักการเมือง การให้นักการเมืองเป็นโต้โผเอง ยาก..ในแง่การเมือง เดี๋ยวก็เถียงกันในพรรคเละ ถ้าเทียบกับอัตรากำลังคน ระหว่างคนใช้บริการ 48 ล้านคน ขณะที่คนให้บริการทั้งหมด รวมครอบครัวหมอและอื่นๆประมาณ 1 ล้านคน จะชนะได้อย่างไร แพ้อยู่แล้ว เวลาเลือกตั้งก็โฆษณาชวนเชื่อ ก็แพ้อยู่แล้วหากจะแก้กฏหมายรื้อระบบบริการสาธารณสุขใหม่
ไทยพับลิก้า : ถ้าปล่อยไปมันล่มสลายแน่นอน
ใช่ ระบบสาธารณสุขล่มสลายแน่ ต้องช่วยกันเพราะว่าโรงพยาบาลรัฐมีคุณค่ามาก จะทำอย่างไรให้ทุกคนอยู่ได้ คนป่วยเนี่ยะ ช่วยตัวเองไม่ได้นะ ต้องวิ่งไปหาคนที่คิดว่าช่วยเขาได้ แต่คนที่จะช่วยก็ป้อแป้ๆ โรงพยาบาลยังไม่รู้จะรอดหรือเปล่า มันจะช่วยได้ดีได้อย่างไร นี่คือภาพ…มันจะช่วยกันอย่างไร ปกติเวลาที่เราเดือดร้อนก็ต้องไปหาคนที่ช่วยเราได้ มั่นคงกว่าเรา แต่นี่กลับไปหาคนที่เดือดร้อนไปด้วย
ไทยพับลิก้า : คุยกับหมอหลายคนถอดใจ ลาออกกันเยอะ
ถอดใจๆ กลายเป็น เข้าทางโรงพยาบาลเอกชน นโยบายนี้นายกฯทักษิณ ชินวัตร เขาจึงทำนโยบายแบบคู่ขนาน ในตลาดหลักทรัพย์มีใครขายโรงพยาบาลบ้าง เพราะรู้แล้วว่าโรงพยาบาลเอกชนหากินกับคนข้างบน คนชั้นกลางที่ขี้เบื่อ หรือกินกรุ๊ปบริษัทประกันสุขภาพ คนไปหาโรงพยาบาลเอกชนไม่ได้จ่ายเงินเอง ส่วนใหญ่ซื้อประกัน คุ้มครองดีกว่าเป็นโคเปเมนท์ และตัวเองก็ต้องรักษาตัวเองให้ดีพอสมควร แต่ถ้าระบบเปิดสปสช.ไม่ต้องดูแลตัวเอง เพราะการรักษาฟรี สำมะเลเทเมา ไปเที่ยวผู้หญิง มาเป็นโรคหนองใน ไม่ต้องกลัว ฟรี เป็นวัณโรค ไม่ต้องกลัว ฟรี
ไทยพับลิก้า : ตกลงระบบรักษาพยาบาลควรจะฟรีหรือจะแชร์
สังคมต้องตอบเรื่องนี้ ถ้าจะฟรี อย่าให้เงินเขาแค่นี้ ก็ต้องให้เขาอีก ก็สะท้อนมาที่งบลงทุน คุณจะทำประชานิยมอย่างไรก็ตาม สำนักงบประมาณต้องมีกฏหมายกำหนดว่าต้องมีงบลงทุนเท่าไหร่ คุณจะทำประชานิยมอย่างไรก็ตาม หากมีอย่างนี้ก็จะต้องกันงบลงทุนไว้ก่อน ประเทศจึงจะเจริญ แต่หากไม่มีกฏหมาย งบประมาณก็จะถูกเฉือนไปอย่างนี้
ไทยพับลิก้า : โรงพยาบาลเตียงคนไข้ไม่พอ ตึกไม่มี โรงพยาบาลต้องหาเงินเอง
ช่วง 7-8 ปี ที่ผ่านมางบลงทุนลดลงไปเรื่อยๆ งบสร้างตึกไม่มี รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีงบไทยเข้มแข็ง หวังให้มีการลงทุน โรงพยาบาลจะได้สร้างตึก
โรงพยาบาลรัฐอยู่ไม่ได้ วิธีหาเงินคือไซ่ฟ่อนเงินจากการรักษาข้าราชการ ใส่เต็มที่กับค่ายาจากข้าราชการ งบค่ารักษาพยาบาลจึงสูงมากเกือบ 7 หมื่นล้านบาท ไซ่ฟ่อนเงินจากกรมบัญชีกลางไปใช้ โรงพยาบาลไหนเล็กๆที่ข้าราชการไม่ค่อยใช้ ก็เจ๊ง โรงพยาบาลแพทย์มักอยู่ได้เพราะความน่าเชื่อถือ
ด้วยเหตุนี้เมื่อระบบข้าราชการเสีย มีการควบคุมการใช้ยาของข้าราชการ นี่เป็นเพราะโรงพยาบาลไม่มีรายได้ก็ต้องเอาจากการให้บริการข้าราชการ ดังนั้นปัญหาพันกันไปหมด
การเมืองสบาย ทำแล้วได้บุญคุณ แต่หมอ พยาบาลหัวหงอกไปหมด ทำไม่ไหว เท่ากับคุณทำลายระบบ แทนที่ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงต้องสร้างความเข้มแข็ง สร้างระบบภูมิคุ้มกันให้เขา แต่ระบบสปสช.กลับทำให้ระบบแย่ลง สังคมต้องรับรู้ จะแก้ไขอย่างไรก็ว่ามา ซึ่งไม่มีสูตรสำเร็จว่าจะแป็นอย่างไร
ระบบมีเงินแค่นี้ สปสช.ได้เงินมาแสนกว่าล้านบาท ให้แค่ซอฟแวร์ ไม่ใช่ฮาร์ดแวร์ ในการสร้างตึก ซื้อครุภัณฑ์ ติดแอร์ ทาสี โรงพยาบาลไปหาเอง ไปทำเอง
หมอที่ริเริ่มโครงการนี้เชื่อตัวเองมากเกินไป เป็นหมอกลุ่มเดียวที่ไปผลักดันนโยบายกับพรรคไทยรักไทย(ตอนนั้น) ไม่ได้ถามคนที่ทำงาน พอนำร่องดี ก็ขยายเต็มพื้นที่ ผมว่าการมีส่วนร่วมให้คน 48 ล้านคน รับรู้ความจริง เป็นเรื่องสำคัญ คุณโปร่งใสคุณต้องเปิดข้อมูลว่าระบบมันไม่สมบูรณ์
ระบบให้บริการสาธารณสุขมีทางแก้ไขได้ อย่างอุปกรณ์เครื่องมือที่ซับซ้อน เครื่องที่ซับซ้อนที่ยากๆ มาแชร์กัน ทำเป็นศูนย์กลางแต่ละภาคเพื่อให้บริการ เป็นต้น
นี่เป็นอีกมุมมองต่อระบบสาธารณสุขไทย
....................................................
http://thaipublica.org 16 พฤศจิกายน 2011