แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - single

หน้า: [1] 2
1
เอมอน ซัลมอน ซีอีโอของสมาคมแพทย์ฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ็มเอ) ออกแถลงการณ์ปกป้อง เอวา การ์เนโร่ แพทย์หญิงของสโมสรเชลซี วัย 41 ปี หลังจากโดน โจเซ่ มูรินโญ่ กุนซือสิงห์บลูส์ สั่งห้ามไม่ให้ทำหน้าที่ในเกมพรีเมียร์ลีก นัดดวล แมนฯ ซิตี้ วันที่ 16 สิงหาคม รวมทั้งการซ้อมกับทีมชุดใหญ่ด้วย เนื่องจากกรณีความขัดแย้งในเกมเสมอ สวอนซี ซิตี้ 2-2 เมื่อวันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา

ต้นเหตุของความบาดหมาง เกิดจากคุณหมอเอวา พร้อมด้วย จอน เฟิร์น นักกายภาพบำบัด วิ่งลงไปในสนาม เพื่อดูแลอาการของ เอเดน อาซาร์ เพลย์เมกเกอร์ตัวเก่ง ทั้งๆ ที่ มูรินโญ่ มองว่า อาซาร์ ไม่ได้บาดเจ็บรุนแรงอะไร ถึงขั้นที่ต้องให้ทีมแพทย์เข้าไปดูอาการ ส่งผลให้ เชลซี ต้องเหลือผู้เล่นเพียง 9 คน หลังจากก่อนหน้านั้น ติโบ คูร์ตัวส์ มือกาวเบอร์ 1 เพิ่งโดนใบแดง ไล่ออกจากสนาม

"ถ้านักเตะได้รับบาดเจ็บ และแสดงให้เห็นว่าเขาต้องการความช่วยเหลือ ดังนั้นก็เป็นหน้าที่ของผู้ตัดสินที่จะอนุญาตให้แพทย์เข้าไปประเมินอาการ ในขณะนั้นผู้เล่นจะกลายเป็นผู้ป่วยของทีมแพทย์และมันเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของแพทย์ประจำสโมสรที่จะเข้าไปดูอาการของนักเตะและไม่กระทบต่อผลประโยชน์ของคนอื่น รวมทั้งสโมสรที่จ้างพวกเขา"

"สมาคมแพทย์ฟุตบอลอังกฤษ สนับสนุนอย่างเต็มที่กับการกระทำของสมาชิกและเพื่อนร่วมงานของเราในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเราทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและเป็นมืออาชีพตลอดเวลา เข้าใจในกฏของฟุตบอลเป็นอย่างดี และทำหน้าที่ในการดูแลผู้ป่วยของพวกเขาอย่างเต็มที่ เรื่องปัจจัยอื่นๆ ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการพิจารณาของพวกเขาในช่วงเวลาดังกล่าว" ซัลมอน ระบุในแถลงการณ์

มติชนออนไลน์ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2558

2
จากกรณีอุบัติเหตุรถกระบะรับส่งนักเรียนโรงเรียนนราสิกขาลัย อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เกิดเสียหลักพุ่งชนต้นไม้ จนทำให้คนขับและนักเรียนเสียชีวิตรวม 8 ราย สาหัสอีก 4 คน เมื่อช่วงเย็นวันที่ 11 ส.ค.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ เบื้องต้น เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า คนขับอาจเกิดหลับใน ทำให้รถกระบะเสียหลักตกไหล่ทางไปชนต้นไม้คูกลาง

http://www.matichon.co.th/online/2015/08/14393539951439354199l.jpg

"น้องจุ๋มจิ๋ม" น.ส.ขนิษฐา ทับทิมไทย พยาบาลตึกอายุรกรรมชาย โรงพยาบาลหาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และ ร.ต.ท.แสนศักดิ์ อารักษ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรยี่งอ จ.นราธิวาส แฟนหนุ่ม พลเมืองดีผู้อยู่ร่วมเหตุข้างต้น ได้เผยถึงเรื่องราวสะเทือนใจว่า

"หลังจากถ่ายรูปพรีเวดดิ้งที่น้ำแบ่ง อ.ตากใบ เรียบร้อยแล้ว ตนเองพร้อมแฟนหนุ่มก็ได้ขับรถเดินทางกลับบ้านที่ อ.สุไหงปาดี แต่ในระหว่างนั้นพบเห็นอุบัติเหตุเกิดขึ้น จึงลงไปดู ด้วยความที่แต่งกายด้วยชุดพยาบาลสีขาว ชาวบ้านจึงเข้าใจว่าเป็นหมอ ต่างร้องตะโกนว่า "หมอมาแล้ว หมอมาแล้ว" พร้อมทั้งให้รีบช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ วินาทีนั้นด้วย จรรยาบรรณของวิชาชีพ แม้ไม่ได้อยู่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ แต่คิดว่าต้องเข้าไปช่วยเหลือ อย่างน้อยการปฐมพยาบาลก็คงจะยื้อชีวิตน้องไว้ได้ก่อนที่จะถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล" น.ส.ขนิษฐา กล่าว

http://www.matichon.co.th/online/2015/08/14393539951439354194l.jpg

ขณะเดียวกัน น.ส.ขนิษฐา นั้นยอมรับว่าตกใจมาก และไม่รู้ว่าจะเข้าไปช่วยเหลือนักเรียนคนใดก่อน มีผู้บาดเจ็บสาหัสจำนวนมาก แต่สุดท้ายก็พยายามตั้งสติ และขอให้ ร.ต.ท.แสนศักดิ์ คนรัก นำนักเรียนที่บาดเจ็บไม่มากขึ้นรถไปส่งโรงพยาบาลก่อน

น.ส.ขนิษฐา กล่าวว่า “ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์จนกระทั่งตอนนี้ยังรู้สึกสะเทือนใจและเสียใจกับน้องๆ ที่ต้องเสียชีวิตก่อนวัยอันควรโดยไม่มีโอกาสบอกรัก หรือกล่าวลาพ่อแม่ เพราะเห็นว่าในบริเวณจุดเกิดเหตุมีการ์ดวันแม่ ที่น้องๆ เหล่านี้ ได้ทำไว้เพื่อเตรียมนำไปมอบให้ผู้เป็นแม่ในวันที่ 12 สิงหาคม 2558 ซึ่งก็คือวันนี้

ถ้าน้องๆ ยังมีชีวิตอยู่ การ์ดบอกรักแม่ทุกใบตรงนั้น คงส่งถึงมือแม่ พร้อมคำบอกรักหวานๆ ซึ้งๆ ที่ทั้งแม่และลูกๆ ได้มีโอกาสบอกรักกันอย่างที่ตั้งใจไว้ ขอให้วิญญาณน้องๆ ไปสู่สุคติในภพภูมิที่ดี และขอแสดงความเสียใจกับทุกครอบครัวด้วยที่ต้องสูญเสียแก้วตาดวงใจไปก่อนวัยอันควร"

ส่วนตนเองก็ยังยืนยันที่จะตั้งมั่นในการทำความดีปฎิบัติงานในหน้าที่ด้วยจรรยาบรรณที่ได้รับการสั่งสอนอบรมมาจากพ่อแม่และครูบาอาจารย์โดยเฉพาะจากคณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ที่ทำให้ประกอบอาชีพนี้ด้วยความภาคภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และสังคม

มติชนออนไลน์ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2558

3
(12 ส.ค.58) พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ จากวัดสร้อยทอง กรุงเทพฯ ได้แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงกรณี ภาพพระกราบเท้าแม่ ที่ปรากฏในโลกโซเซียล โดยโพสต์ข้อความดังกล่าวระบุว่า

"ก่อนอื่น อาตมาขอตั้งข้อสงสัยส่วนตัวก่อนว่า ทำไมวันแม่ทีหนึ่ง ต้องมีรูปพระที่ไปทำท่าทำทางกราบเท้าแม่ตัวเองออกมาโชว์ผ่านเฟซบุ๊กเพื่อให้ต้องได้ดราม่ากันทุกปีเลย นี่ไม่เข้าใจจริงจริง การกราบเท้าแม่นี่มันจะช่วยให้พระรูปนั้นดูเป็นพระลูกชายที่ดีขึ้นมาหรืออย่างไร เรื่องวัฒนธรรมการกราบเท้าในวันแม่ เพื่อจะสื่อถึงคุณธรรมคือความกตัญญูกตเวทีของคนที่เป็นลูกนั้นเป็นอะไรที่มายาที่สุด ยิ่งเป็นพระด้วยแล้ว ไม่ควรมองอะไรแค่เรื่องของรูปแบบเช่นนี้ อย่าลืมว่า นับแต่วันที่พระหันหลังให้บ้านเพื่อมุ่งหน้าเข้าโบสถ์ มาเปล่งคำขอถึงพระไตรรัตน์เป็นสรณะเป็นที่พึ่ง มาขอให้บรรพชาอุปสมบทในท่ามกลางหมู่สงฆ์ พระถือเป็นบุตรของพระสมณะผู้โคดม เป็นเชื้อสายของพระศากยะ ไม่ใช่ลูกของยายคนนี้นางคนนั้นที่นึกจะทำอะไรอย่างไรก็ได้อีกต่อไป

คนโบราณเขาจึงถือกันว่า ก่อนจะบวชลูกบวชหลาน หรือมอบลูกมอบหลานให้กับพระศาสนา เขาจะให้ลูกให้หลานล้างเท้าให้ตนเองก่อน มีการให้ขอขมาลาโทษต่อกัน เพื่อไม่ให้มีอะไรเป็นโทษที่ติดค้างกันอีก เพราะหลังจากบวชแล้ว จะทำเช่นนี้ไม่ได้ พระจะอ้างความเป็นลูก มากราบเท้าพ่อเท้าแม่ ทั้งที่อยู่ในสมณะเพศไม่ได้ พระซึ่งเปลี่ยนจากลูกชาวบ้านมาเป็นคนวัดเพื่อฝึกหัดตนเอง ไม่มีโทษมีความผิดอะไรที่จะต้องมากราบเท้าเพื่อขอขมาพ่อแม่แล้ว ที่น่าสังเกตก็คือว่า อย่าว่าแต่เรื่องของการกราบเท้าเลย แม้แต่การกล่าวสอนหรือตักเตือน พ่อแม่ก็จะไม่ทำกับลูกชายที่อยู่ในเพศของนักบวชแล้ว เป็นเรื่องที่พระลูกชายจะต้องศึกษาในขณะที่บวชด้วยตนเอง

นี่พระไม่เข้าใจตรงนี้ ไม่เข้าสถานะตัวเอง คนสมัยก่อนพอลูกบวชพระเสร็จแล้ว ยังไม่ทันจะก้าวออกจากประตูโบสถ์เลย เขาก้มกราบเท้าลูกตัวเองตรงนั้นทันที เพราะเขาถือว่า พระที่อยู่ตรงหน้าคือหน่อเนื้อเชื้อสายของพระพุทธเจ้า เป็นผู้มีศีลมีคุณมากกว่าพวกเขา ที่เป็นเพียงชาวบ้าน พูดก็พูดเถอะ คนเป็นพ่อเป็นแม่ที่เขาเอาลูกตัวเองมาบวช เขาคาดหวังให้พระลูกชายของเขาประพฤติปฏิบัติตัวให้ดีงาม เพื่อที่เขาจะกราบไหว้ได้อย่างสนิทใจ เท่านั้นเอง ไม่ได้มาคาดหวังเพื่อให้ยังต้องมากราบเท้าตัวเอง ทั้งๆ ที่ยังห่มผ้าเหลืองอยู่แบบนี้ มันน่าละอายไหมหละ ถ้าอย่างนั้นจะอุตส่าห์เอามาบวชเพื่อหวังเกาะชายผ้าเหลืองกันทำไม

ขอต่ออีกนิด เรื่องการอ้างเรื่องความเป็นพระอรหันต์ของพ่อแม่ แล้วบอกว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้พระสามารถกราบไหว้พ่อแม่ตนเองได้ นี่ฟังไม่ขึ้นเลย และแสดงให้เห็นได้ชัดว่า คนที่อ้างไม่เข้าใจความหมายของคำๆนี้อย่างแท้จริง ที่พุทธศาสนาบอกว่า มารดาบิดา เป็นพระอรหันต์ของลูก นั่นก็เพราะว่า ท่านถือว่า มารดาบิดมามีคุณ คือให้ความเมตตากรุณาต่อลูกอย่างเดียว ไม่มีความความคิดร้าย เหมือนดังหัวใจของพระอรหันต์ที่ไม่ถือโทษต่อผู้อื่น แม้ว่าจะทำความผิดต่อตนเอง

นี่ท่านเปรียบแบบนี้ ไม่ได้หมายความว่า พ่อแม่คือพระอรหันต์จริงๆ ท่านเห็นว่าพ่อแม่มีคุณบางประการที่เหมือนกับพระอรหันต์ คและคุณข้อนี้บางทีก็ใช่ว่าจะมีในพ่อแม่ทุกคน ถึงยังจะขืนอ้างเอาให้ได้ ก็อยากจะเสริมว่า ขนาดถึงเป็นพระอรหันต์จริงๆ ท่านยังไม่กราบกันมั่วเลย พระอรหันต์ถึงบรรลุธรรมก็ต้องให้ความเคารพยำเกรงในหมู่สงฆ์ ต้องถือลำดับตามวัสสการ ยอมกราบไหว้พระปถุชนผู้แก่กกว่า แม้ว่า มีคุณน้อยกว่าตน

ดังนั้นที่ขอความเห็นกันมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงอยากจะบอกไม่ถูกไม่ควรโดยประการทั้งปวง มันมีแค่การกราบเท้าหรือไง ถึงจะเป็นลูกกตัญญูให้คนชื่นชมได้เนี๊ยะ การทำหน้าที่อย่างอื่น มันกตัญญูไม่ได้ใช่ไหม หรือมันเห็นไม่ชัด ไม่ชวนให้น้ำหูน้ำตาไหลเหมือนภาพของการก้มกราบเท้าแม่ตัวเอง

ในคำสอนทางศาสนาท่านก็พูดถึงหน้าที่และบทบาทที่พระลูกชายสามารถทำต่อพ่อแม่ของตนเองได้อย่างที่ไปพ้นจากเรื่องของรูปแบบกราบกราบไหว้ไหว้พุทธองค์ท่านประทานช่องไว้ตั้งเยอะแยะทั้งการให้อามิสสิ่งของ ให้บิณฑบาตที่ตนยังไม่ฉันกับพ่อแม่ได้ โดยไม่ถือเป็นความผิด อนุญาตให้ปรนบัติดูแล พ่อแม่ที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ อนุญาตให้เอามาดูแลถึงในวัดก็ยังได้ นี่เรื่องพวกนี้ต่างหากที่พระควรทำ และทำแล้วน่าสรรเสริญ เพราะเป็นการทำหน้าที่เมื่อจำเป็นจริงๆ เมื่อพ่อแม่ท่านต้องการความช่วยเหลือ เรื่องการกราบเท้าล้างเท้าอะไรนี่มันของฉาบฉวย เพียงชั่วครู่ ขอเจ้ากูอย่าไปตามก้มชาวบ้านกันนักเลย ควรจะเป็บแบบอย่างที่ถูกต้อง กันได้แล้ว"

ที่มา: เฟซบุ๊ก ไพรวัลย์ วรรณบุตร

 12 สิงหาคม พ.ศ. 2558

4
มีลูก 3 คน มีบ้าน 2 หลัง จะแบ่งยังไงดีครับ? เพื่อนผมคนหนึ่งคิดยังไงก็คิดไม่ตก เกษียณอายุราชการแล้วยังต้องทำงานงกๆ

“สู้เพื่อลูก” ผ่อนบ้านหลังที่ 3 กลัวแบ่งสมบั...ติไม่ลงตัว เดี๋ยวจะนอนตายตาไม่หลับ

ผมบอกถ้าไม่อยากวุ่นวาย..ง่ายนิดเดียว

แค่ขายบ้านให้หมด แล้วใช้เงินให้มีความสุขกับชีวิตหลังเกษียณ

เหลือเท่าไหร่ก็เท่านั้น..

ตอนพ่อแม่ผมเสีย ไม่ได้มีเงินทองมากมาย

ผมเลือกพระหนึ่งองค์เป็นสมบัติจากพ่อ

หยิบแหวนวงเดียวจากกองมรดกของแม่

สมบัติสุดท้ายไม่กี่ชิ้นของพ่อกับแม่ที่เทกองบนโต๊ะ..ผมกับพี่น้องแบ่งกันยังไงก็ลงตัว

สำห รับผมในวันนี้สอนลูกตั้งแต่พวกเขายังเล็ก

ว่าการศึกษาเท่าที่เขาต้องการคือสมบัติที่ผมจะให้

น้องกิฟท์ลูกสาวคนโตรู้ดีและเขาเข้าใจว่าผมไม่มีนโยบายเก็บเงินให้ลูก

วันหนึ่งเขาบอกผมว่า “ป่าป๊า ไม่ต้องห่วงกิฟท์ ธุรกิจและเงินที่ป่าป๊าทำมาไม่ต้องเผื่อกิฟท์ หนูรับผิดชอบตัวเองได้”

ผมให้เงินเขาก้อนหนึ่ง ไปตั้งต้นร้านอาหารชื่ออิซีลี่ บริหารไม่นานก็เจ๊ง

เขาใช้โอกาสอีกครั้งกับเงินทุนที่เหลืออยู่ตั้งใจทำร้านอาหารใหม่ชื่อแซ่บอีลี่

คราวนี้เขาไม่ประมาทและตั้งใจกว่าเดิมอีกหลายเท่า จนวันนี้ร้านแซ่บอีลี่ก็อยู่ได้

ลูกทุกคนของผมรู้ดีว่าสมบัติทุกอย่างที่ผมให้ ถ้าไม่ตั้งใจทำย่อมมีวันหมด

ผมให้โอกาสการศึกษาเต็มที่..ที่เหลือเขาต้องเลือกทางเดินชีวิตด้วยตัวของเขาเอง

ไม่ใช่ผมไม่รักลูก แต่ใช่ว่ามีเงินเยอะๆ แล้วจะดีสำหรับเขา

ผมอยากให้ลูกได้รู้จักกับความยากลำบาก ไม่อยากให้เคยชินกับความสบาย

ไปต่างประเทศด้วยกันทุกครั้ง ลูกๆ ทุกคนต้องนั่งเครื่องบินชั้นอิโคโนมี

บางครั้งน้องเก็ตลูกชายยังเป็นเด็ก เขาเคยแผลงฤทธิ์ไม่พอใจทำไมไม่ได้นั่งบิซิเนสคลาสด้วยกัน

วันนี้เขาอาจจะยังไม่เข้าใจ แต่โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ทำงานหาเงินเองได้เมื่อไหร่

วันนั้นเขาจะเข้าใจได้ด้วยตัวเอง

ประสบการณ์สอนให้ผมรู้ว่าเงินเป็นได้ทั้งความทุกข์และความสุข

ในวันที่ต้องดิ้นรน เงิน คือ สิ่งจำเป็น

เป็นขนมปังชิ้นแรกที่ประทังชีวิต

ขนมปังชิ้นที่สอง คือ ความอร่อย มีชีวิตที่สุขสบาย หายเหนื่อย

มากกว่านั้น...กินเท่าไหร่ก็เป็นส่วนเกิน

ขนมปังชิ้นที่สาม คือ ยาพิษ

อะไรที่มากเกินไปมักจะไม่มีประโยชน์ กลายเป็นให้โทษมากกว่าคุณ..

เงินก็เช่นกัน...

ถ้าคุณรู้ล่วงหน้าว่าจะมีบุญหล่นทับร่ำรวยเป็นพันๆ ล้าน

คุณอาจไม่รู้จักคุณค่าของความพยายาม

ชีวิตนี้อาจไม่เคยรู้สึกว่าจะต้องออกแรงดิ้นรนอะไรอีกต่อไป

เงินถ้าไม่รู้จักใช้ ไม่รู้จักหา ไม่รู้จักคุณค่า...มีเท่าไหร่ก็ไม่พอ

ถ้าหน้าที่ของพ่อแม่คือการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูก

เราควรรักลูกแบบไหน?

ลองถามตัวเองดูว่าเรากำลังยื่นขนมปัง "ชิ้นที่สาม" ที่เต็มไปด้วยยาพิษให้ลูกหรือเปล่า

5
 ทริปแอดไวเซอร์ เผยรายชื่อโรงแรมสุดโรแมนติกในเอเชีย ที่ได้รับรางวัล Travellers’ Choice Awards มีโรงแรมของไทย ติด 2 แห่ง คือ ลยานะ รีสอร์ท แอนด์ สปา เกาะลันตา และ เดอะ ชอร์ แอท กะตะธานี หาดกะตะ ภูเก็ต
       
       ทริปแอดไวเซอร์ เว็บไซต์ท่องเที่ยวรายใหญ่ที่สุดในโลก ประกาศรายชื่อโรงแรมและรีสอร์ทที่ได้รับรางวัล 2013 Travellers’ Choice Awards
       
       ทั้งนี้รางวัล The Travellers' Choice Awards สำหรับโรงแรมที่โรแมนติกที่สุด มีที่มาจากบทวิจารณ์และความคิดเห็นของนักเดินทางท่องเที่ยวนับล้านคนที่เยี่ยมชมบนเว็บไซต์ทริปแอดไวเซอร์ ที่ได้รวบรวมไว้มากกว่า 12 เดือนนับจากการประกาศรางวัลในปีพ.ศ. 2555 โดยใช้ข้อมูลจากแขกที่ให้คะแนนที่พัก การแสดงความคิดเห็น และต้องเข้าพักจริงในโรงแรมและ รีสอร์ทนั้นๆ
       
       โดยมิสบาร์บารา เมสซิ่ง หัวหน้าฝ่ายการตลาด ทริปแอดไวเซอร์ กล่าวว่า “หากคุณต้องการสถานที่พักผ่อนสำหรับคุณและคนที่คุณรักที่มีความโรแมนติก ไม่ว่าจะอยู่ใกล้บ้านหรือที่ใดในต่างประเทศ คุณสามารถค้นหาได้จากรายชื่อของที่พักที่ได้รับรางวัล TripAdvisor Travellers’ Choice Awards”
       
       “การมอบรางวัลในครั้งนี้ตัดสินจากผลการตอบรับจากคู่รักที่เคยเข้าพักในโรงแรมและรีสอร์ทต่างๆ เหล่านี้และให้การยอมรับว่าโรแมนติกมากที่สุด” มิสบาร์บารากล่าว
       
       สำหรับการประกาศผลรางวัลดังกล่าว ปรากฏว่ามีโรงแรม 2 แห่งในประเทศได้ ติดอันดับท็อป 10 ได้แก่ ลยานะ รีสอร์ท แอนด์ สปา บนเกาะลันตา จ.กระบี่ ได้รับอันดับที่ 3 ในเอเชีย และเป็นอันดับที่ 9 ในโลก ในขณะที่ เดอะ ชอร์ แอท กะตะธานี บนหาดกะตะ จ.ภูเก็ต ได้รับอันดับที่ 8 ในเอเชีย
       
       “เรารู้สึกยินดีมากที่ได้เป็น 1 ในผู้ชนะรางวัล Travellers’ Choice Awards สำหรับโรงแรมที่โรแมนติกที่สุดในเอเชียและในโลก ที่ได้รับการโหวตจากนักท่องเที่ยวของเว็บไซต์ท่องเที่ยวรายใหญ่ที่สุดในโลก” มร. สเตฟาน ไฮนซ์ ผู้จัดการทั่วไป ลยานะ รีสอร์ท แอนด์ สปา กล่าว
       
       “การได้รับการยอมรับในครั้งนี้จากแขกที่มาพักกับทางรีสอร์ท ถือเป็นกำลังใจที่สำคัญสำหรับพนักงานของเราทุกคน ที่จะยังคงให้การต้อนรับและมอบการให้บริการแบบเฉพาะบุคคลที่ดีเยี่ยมอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ตลอดไป มร. สเตฟาน ไฮนซ์เพิ่มเติม

เดอะ ชอร์ แอท กะตะธานี หาดกะตะ ภูเก็ต
       สำหรับรายชื่อ โรงแรมและรีสอร์ทที่โรแมนติกที่สุดในเอเชียได้แก่
       
       1. บารอส มัลดีฟส์ - นอร์ธ เมเล่ อะทอล หมู่เกาะมัลดีฟส์
       2. คาซา เดล มาร์ ลังกาวี - ปันไต เซนัง ประเทศมาเลเซีย
       3. ลายานะ รีสอร์ท แอนด์ สปา - เกาะลันตา กระบี่ ประเทศไทย
       4. เวลิกันดู ไอส์แลนด์ รีสอร์ท - อารี อะทอลเหนือ แห่งหมู่เกาะมัลดีฟส์
       5. คอนสแตนท์ มูฟูชิ - อารี อะทอลใต้ หมู่เกาะมัลดีฟส์
       6. โกโก้ ไอส์แลนด์ บาย โคโม - เมเล่ อะทอลใต้ หมู่เกาะมัลดีฟส์
       7. มิริฮิ ไอส์แลนด์ รีสอร์ท - อารี อะทอลใต้ หมู่เกาะมัลดีฟส์
       8. เดอะ ชอร์ แอท กะตะธานี - หาดกะตะ ภูเก็ต ประเทศไทย
       9. มาฟูชิวารุ - อารี อะทอลใต้ หมู่เกาะมัลดีฟส์
       10. คุรีดุไอส์แลนด์ รีสอร์ท แอนด์ สปา - คุรีดุ หมู่เกาะมัลดีฟส์

ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 กุมภาพันธ์ 2556

6





Live! วารสารสำหรับผู้ถือกรมธรรม์ VIP ฉบับที่ 19

7
ห้องพักผ่อนรวม (Common Room) / ๗ มหัศจรรย์แห่งชีวิต
« เมื่อ: 15 พฤศจิกายน 2012, 09:29:52 »


Live! วารสารสำหรับผู้ถือกรมธรรม์ VIP ฉบับที่ 19

8



Live! วารสารสำหรับผู้ถือกรมธรรม์ VIP ฉบับที่ 19

9
วอล์ล ฟรุ๊ตทาเร่  ทำนายนิสัยจากการรับประทานไอศกรีมว่าคุณเป็นคนอย่างไร เพราะแต่ละคนก็มีลีลาที่แตกต่างกันไป ก่อนจะอ่านต่อไป คุณลองนึกซิว่า ลีลาการรับประทานไอศกรีมของคุณเป็นแบบไหน?

 กัดคำแรกแสนอร่อย     
เป็นคนที่มีนิสัยค่อนข้างดื้อ ชอบยึดติดกับความคิดของตัวเอง ไม่ค่อยมีความอดทน แต่ชอบทำงานหาเงิน   โผงผาง ขี้โวยวาย เอาแต่ใจตัวเอง และค่อนข้างดื้อรั้น บางครั้งก็ชอบความรุนแรง ต้องการเป็นคนที่เด่นกว่าผู้อื่น ชอบทำงานและซื่อตรงน่าคบหาเป็นเพื่อน สามารถเป็นที่พึ่งให้คนอื่นได้ หรือคู่รักที่เชื่อถือได้เลยล่ะสำหรับคนที่ชอบรับประทานไอศกรีมแบบเริ่มต้นก็กัดเลยนั้น

  ไอศกรีมอร่อยต้องดูด        
คนที่ทานไอศกรีมแบบค่อย ๆ ดูด และขบริม ๆ ขอบ ๆ ไปเรื่อย ๆ บ่งบอกถึงการเป็นคนที่ ไม่ชอบวิ่งชนกับปัญหาและแคร์กับปัญหาต่าง ๆ ว่าแก้ไขแล้วจะดีขึ้นหรือไม่ เป็นคนช่างระมัดระวัง รอบคอบ บางครั้งก็ดึงตัวเองออกจากความวุ่นวาย โดยไม่แคร์เพื่อน  บางครั้งก็แก้ปัญหาได้ดีนอกจากนี้ยังเป็นคนอ่อนไหวและเอื้ออารี

  รับประทานช้าจนไอศกรีมละลาย   
รับประทานช้าๆ จนไอศกรีมละลายเปรอะไปหมดนั้น ผู้ทานไอศกรีมแบบนี้ขอทายว่ามักจะเป็นคนที่มีหัวใจเป็นเด็ก ชอบคิดถึงเรื่องในอดีต ที่ทำให้ตัวเองมีความสุข หรืออาจจะทำตัวเป็นเด็กอยู่ตลอดเวลา

  ค่อยๆเล็ม ที่ละนิด   
คนที่รับประทานแบบค่อยๆ เล็มรอบนอกถ้วยก่อนกินนั้น ผู้ทานไอศกรีมแบบนี้ บ่งบอกได้ว่า เจ้าตัวเป็นคนที่มีความระมัดระว้ง ทำอะไรจะคิดรอบคอบก่อนเสมอ เชื่อฟังผู้ใหญ่ และเป็นผู้มีมนุษย์สัมพันธ์ดี

  ทานแบบเลียจนหมด
มากกว่าวิธีอื่นการทานไอศครีม 1 โคน หรือ 1 แท่งมันก็ต้องใช้หลายวิธี แต่ถ้าคุณ หนักเลียมากกว่าลีลาอื่น ก็แสดงว่าคุณเป็นคนปราดเปรียว ไม่เฉื่อยชา เฉยนิ่ง ชอบสังคม ชอบเรื่องท้าทาย และอยากให้ผู้คนสนใจ รักการได้รื่นเริงเฮฮาปาร์ตี้ กระตือรือร้น และทะเยอทะยานสูงคนที่ชอบใช้ลิ้นเลียริมผีปากหรือไอศกรีม เป็นคนที่ชอบพบปะคนแปลกหน้า เข้ากับคนอื่นได้ง่าย รักความสนุก ร่าเริง และชอบให้คนอื่นเห็นความสำคัญของตัวเอง

ประชาชาติธุรกิจ  13 เมษายน พ.ศ. 2555

10
         มาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก ในฐานะผู้ก่อตั้ง ได้รับการสถาปนาจากสื่อมวลชนบางกระแสให้เป็นพระเจ้าแห่งโลกใบนี้

         4 กุมภาพันธ์ 2004 มาร์ก ซักเกอร์เบิร์กและผองเพื่อนนักเรียนวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้เปิดประตูให้ผู้คนเข้าไปสัมผัสโลกที่พวกเขาสร้าง

         จากฮาร์วาร์ด เครือข่ายสังคมออนไลน์และเว็บไซต์ ‘เฟซบุ๊ก’ เริ่มขยายอาณาเขตสู่มหาวิทยาลัยแห่งอื่นๆ ในอเมริกา

         11 กันยายน 2006 อาณาเขต ‘เฟซบุ๊ก’ ได้แผ่ขยายไปยังประเทศต่างๆ ผู้คนในโลกรับรู้การมีอยู่ของโลกใบนี้

         หลายคนที่ก้าวเข้าไปทำความรู้จัก วันนี้พวกเขาได้สมาทาน ‘เฟซบุ๊ก’ เป็นโลกอีกใบด้วยสาเหตุต่างๆ กันไป

         แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนล้วนติดใจในความเป็นไปของโลกชื่อเฟซบุ๊ก คือการได้แชร์ความรู้สึกและเรื่องราวต่างๆ ร่วมกันกับคนใกล้และคนไกล

    *684,367,360 คือจำนวนสมาชิกผู้ใช้เฟซบุ๊กทั่วโลก
     
    *ประเทศที่มีผู้ใช้เฟซบุ๊กมากที่สุดในโลกคืออเมริกา (155,348,540 users)
     
    *ส่วนประเทศที่มีจำนวนผู้ใช้เฟซบุ๊กเป็นอันดับสอง ไม่ใช่จีน อินเดียหรือประเทศในทวีปยุโรป แต่คือประเทศในกลุ่มอาเซียน ชื่ออินโดนีเซีย (36,586,820 users)
     
    *นครรัฐวาติกันมีจำนวนผู้ใช้เฟซบุ๊กน้อยที่สุดในโลก (80 users)
     
    *9,397,940 คือจำนวนผู้ใช้เฟซบุ๊กในประเทศไทย
     
    ในเมืองไทย กลุ่มคนที่เล่นเฟซบุ๊กมากที่สุด มีอายุระหว่าง 25-34 ปี เป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
     
    หนุ่มสาวออฟฟิซส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯ ทันทีที่นั่งโต๊ะทำงานแล้วเปิดคอมพิวเตอร์ พวกเขาจะเข้าเฟซบุ๊กเป็นเว็บไซต์แรกของวัน
     
    ระหว่างทำงาน คนนิยมเปิดหน้าเพจเฟซบุ๊กทิ้งไว้ หรือไม่ก็เข้าไปเช็กความเคลื่อนไหวของสถานะตัวเองและคนอื่นเป็นระยะๆ
     
    3.5 วินาที คือเวลาโดยเฉลี่ยที่คนใช้พิมพ์คำว่า www.facebook.com
     
    แต่คนที่เล่นเฟซบุ๊กบ่อยๆ มักนิยมพิมพ์แค่อักษร ‘f’ กับ ‘a’ แล้วกดเข้าเว็บไซต์ทันที เนื่องจากโปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์สมัยนี้จะจำชื่อเว็บไซต์ที่ผู้ใช้เข้าเป็นประจำ
     
    www.thefacebook.com คือชื่อเริ่มต้นของเว็บไซต์เฟซบุ๊ก มีที่มาจากชื่อเรียกหนังสือรวบรวมรายชื่อ ข้อมูลนักศึกษา และทีมงานในฮาร์วาร์ด
     
    สีสัญลักษณ์ของเฟซบุ๊กเป็น ‘สีฟ้า’ เพราะว่ามาร์ก ซักเกอร์เบิร์กเป็นคนตาบอดสีแดงและเขียว “ผมเห็นสีฟ้าได้ทุกๆ เฉด”
     
    **Abhisit Vejjajiva คือหน้าเพจเฟซบุ๊กนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของประเทศไทย ซึ่งเป็นหน้าเพจที่มีคนติดตามมากที่สุด จำนวน 615,904 คน
     
    **ดาราสาวที่มีคนกด ‘Like’ ในหน้าเพจมากที่สุด คือเต้ย-จรินทร์พร จุนเกียรติ
     
    คนทั่วไปมักเลือกภาพถ่ายที่คิดว่าตัวเองดูดีที่สุดเป็นภาพโปรไฟล์ ซึ่งส่วนใหญ่มักไม่ใช่ภาพถ่ายหน้าตรง!
     
    ผิดกับคน ‘แนวๆ’ หรือคิดว่าตัวเอง ‘แนว’ ที่จะใช้ภาพโปรไฟล์ซึ่งแสดงถึงความเท่ เก๋ มีสไตล์ ภาพที่ใช้อาจเป็นใบหน้าตัวเอง สิ่งของ งานศิลปะ ฯลฯ ตามแต่รสนิยมและอารมณ์ในช่วงนั้นๆ
     
    หากคุณอยากรู้หน้าตาที่เป็นความจริงของเจ้าของหน้าเพจเฟซบุ๊กแนะนำให้ดูภาพที่ถูก ‘Tag’
     
    ใครที่ถูก 'Tag' ในภาพใดก็ตาม แสดงว่าคุณมีส่วนเกี่ยวข้องกับภาพนั้น หรือเจ้าของภาพอยากให้คุณได้เห็นภาพดังกล่าว
     
    หลายคนพูดคำว่า ‘แท็ก’ จนเคยปาก แต่บางคนอาจไม่รู้ว่า Tag หมายถึง ติดป้าย, ติดฉลาก
     
    รูปสาวสวย เซ็กซี่ น่ารัก ขาวโบ๊ะเกินจริงที่เห็นในเฟซบุ๊ก มักมาพร้อมกับข้อความโฆษณาชักชวนทำงานบนอินเทอร์เน็ต หรือไม่ก็อาชีพขายตรง
     
    ผู้หญิงส่วนใหญ่มักไม่แสดงปีเกิดของตัวเองในหน้าเพจแสดงข้อมูลส่วนตัว
     
    เวลาที่ไม่มีอะไรทำ คนมักใช้เวลาไปกับการนั่งอ่านสถานะและดูรูป ‘เพื่อน’ ในเฟซบุ๊กไปเรื่อยเปื่อย
     
    เฟซบุ๊กเป็นเครื่องมือหนึ่งที่คนยุคโซเชียลเน็ตเวิร์กใช้ฆ่าเวลา
     
    คำว่า ‘เพื่อน’ ในเฟซบุ๊กมีทั้งที่เป็นเพื่อนจริงๆ เพื่อนของเพื่อน คนรู้จัก แฟน หลาน ญาติผู้ใหญ่ ครู-อาจารย์ หัวหน้า ลูกน้อง กิ๊ก ฯลฯ
     
    คนหน้าตาดีมักมีคนเข้ามาขอเป็น ‘เพื่อน’ เยอะกว่าคนหน้าตาธรรมดาแต่ถ้าคนหน้าตาธรรมดาคนนั้นมีชื่อเสียงถือเป็นข้อยกเว้น
     
    การเล่นเกมในเฟซบุ๊กเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ใช้ฆ่าเวลาได้อย่างเพลิดเพลินเป็นอันดับต้นๆ ของคนเล่นเฟซบุ๊กคอเกมเฟซบุ๊กคนหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าเล่นเกมในเฟซบุ๊กจนถึงระดับหนึ่งอาจทำให้เกิดอาการ ‘ติด’ เกมคนที่ ‘ติด’ เกมเฟซบุ๊กส่วนใหญ่เป็นหนุ่ม-สาววัยทำงาน
     
    หลายคนยอมรับว่าการเล่นเกมเฟซบุ๊กทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง
     
    ยามใดที่มี ‘การแจ้งเตือน’ ใหม่ๆ เข้ามา คนเล่นเฟซบุ๊กจะมีโรคเดียวกัน คือรีบไปกดดูด้วยความอยากรู้ทันที
     
    ผู้ชายบางคนนิยมนั่งดูรูปผู้หญิงสวยๆ (ที่ไม่ใช่แฟนของตัวเอง) ระหว่างการเล่นเฟซบุ๊ก
     
    ขณะที่ผู้หญิงเกือบทุกคนชอบแอบเข้าไปดูเฟซบุ๊กของแฟน เพื่อตรวจสอบความประพฤติอันล่อแหลมด้านความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่น
     
    เฟซบุ๊กทำให้คนเลิกกันและรักกันได้
     
    หลายคนมีแฟนจากการเล่นเฟซบุ๊ก
     
    นอกจากการได้พบเจอเพื่อนเก่าและคนที่ห่างหายกันไปนาน ฯลฯ คุณประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของเฟซบุ๊กคือการสนองตอบความอยากรู้อยากเห็นเรื่องชาวบ้านของมนุษย์
     
    ความสนใจและตัวตนของคนคนหนึ่ง สามารถประเมินได้จากสถานะและรูปที่โพสต์บนเฟซบุ๊ก
     
    หากเข้าไปดูหน้าเพจของบก.หนวด ที่มีชื่อว่า Petch Samudavanijaแล้วอ่านข้อความที่โพสต์แต่ละวันในรอบอาทิตย์ที่ผ่านมา จะพบว่าบก.หนวดเป็นคนที่สนใจเรื่องการเมือง (ฝักใฝ่ฝ่ายไหนคงต้องถามกันเอาเอง) นิยายจีนกำลังภายใน กล้องถ่ายรูป เทคโนโลยี เครื่องเสียงวินเทจและเป็นแฟนบอลทีมลิเวอร์พูล
     
    ฟุตบอลคือประเด็นยอดฮิตที่ผู้ชายนิยมโพสต์ใน ‘วอลล์’
     
    กด ‘Like’ หรือ ‘ถูกใจ’ บางครั้งคนที่กดก็ไม่ได้ถูกใจจริงๆ แต่อาจกดในกรณีที่ขี้เกียจคอมเมนต์ หรือไม่รู้ว่าจะโต้ตอบด้วยการคอมเมนต์อะไรดี
     
    เมื่อโพสต์ข้อความบน ‘วอลล์’ เรามักคาดหวังถึงการได้รับฟีดแบ็กจากใครบางคนเสมอ
     
    ในชีวิตการเล่นเฟซบุ๊ก ทุกคนเคยโพสต์คำคมๆ อย่างน้อยที่สุด 1ข้อความ
     
    โสดให้จริง แล้วค่อยมา ‘ฟีเจอริ่ง’ กัน เป็นข้อความบน ‘วอลล์’ ของหนุ่มนักรักคนหนึ่ง ที่ผู้เขียนกด ‘ถูกใจ’ ครั้งล่าสุด
     
    สถานะในเฟซบุ๊ก แต่ละวันมีข้อความที่แสดงถึงความรู้สึกมากมายทั้งสุข เศร้า เหงา ดีใจ เสียใจ หงุดหงิด เบื่อ นอยด์ รัก เลิก ฯลฯ
     
    สิ่งที่เกิดขึ้นและข้อความต่างๆ ในเฟซบุ๊ก นอกจากความสนุกเพลิดเพลิน พูดคุย สนทนา โพสต์รูปภาพ เขียนบันทึก แชร์ประสบการณ์ ฯลฯ ยังแสดงถึงสัจธรรมอันไม่จีรังในชีวิตมนุษย์ที่ว่า ใครๆ ในโลกไม่ว่ารวย จน สวย ขี้เหร่ มีชื่อเสียงหรือมีชื่อเสีย ล้วนมีทั้งความสุขและความทุกข์ใจ
     
    เกือบร้อยทั้งร้อยของคนเล่นเฟซบุ๊กมักไม่นิยม Sign out ออกจาก Account ของตัวเองหลังเลิกเล่น เพราะทุกคนต่างรู้ว่าตัวเองจะต้องกลับเข้ามาสู่โลกใบนี้ใหม่ในวันถัดไป

*ข้อมูลจาก www.socialbakers.com
**ข้อมูลจาก www.marketingbyte.com
Mars Magazine No.104

11
ที่ไหนๆในโลกนี้  ต่างก็มีพระจันทร์ดวงเดียวกัน

หลายๆ ที่ในโลกนี้  ต่างก็มีชายหาดสวยๆ เหมือนๆ กัน

และอีกหลายที่ในโลกนี้  ต่างก็มีปาร์ตี้ในแบบคล้ายๆ กัน

แต่เหตุใด ผู้คนจากหลายสิบประเทศ ทั่วโลก ต้องมารวมตัว ณ ที่แห่งนี้ - เกาะพะงัน   ในคืนพระจันทร์เต็มดวง

และนี่คือ  Full Moon Party

อาจกล่าวได้ว่า เป็นมนต์ขลังอย่างหนึ่งที่ยากจะหาคำอธิบาย

ราวสามทุ่ม ของคืนพระจันทร์เต็มดวง พลุจาก หาดริ้น  จะถูกจุดขึ้น เป็นสัญญาณว่า “ปาร์ตี้ ของเรา”  เริ่มขึ้นแล้ว และปาร์ตี้ในค่ำคืนนี้จะลากยาวไปราว 8.00 -9.00 น. ของวันรุ่งขึ้น

“มติชนออนไลน์” ลงพื้นที่สำรวจ ฟูลมูนปาร์ตี้ ณ เกาะพะงัน อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี  ในแบบที่ไม่ทันได้ตั้งตัว  เพราะไปรู้ตัวอีกทีก็ไหลเข้าไปในฝูงชนราวหมื่นชีวิต ที่ร้อยละ 95 คือนักท่องเที่ยวต่างชาติ

พูดคุยกับชาวเกาะที่เกิดและเติบโต  ณ ที่แห่งนี้ ได้ความว่า นักท่องเที่ยวจะเริ่มทยอยเดินทางมาล่วงหน้า ก่อนวันขึ้น 15 ค่ำ 1-2 วัน และเมื่อปาร์ตี้ผ่านไปแล้ว ก็จะอยู่ต่อไปอีกนานนับสัปดาห์  ดังนั้น เจ้าของห้องพัก รีสอร์ท หรือบังกะโล ต่างเต็มใจที่จะให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าพักมากกว่าคนไทย ด้วยเหตุที่ว่าคนไทยส่วนใหญ่จะจองพี่พักเพียง 1-2 วันเท่านั้น ดังนั้นจึงรู้กันว่า ถ้าจะมาพัก ต้องจองอย่างน้อย 3 คืนขึ้นไป

และไม่เพียงแต่นักท่องเที่ยวที่เข้าพัก ที่เกาะพะงันเท่านั้น ช่วงดึก ๆ จะมีนักท่องเที่ยวมาจากเกาะสมุย โดยเรือเร็ว ที่เรียกว่า สปีดโบ้ท วิ่งรับ-ส่งนักท่องเที่ยว อีกทั้งคืน ค่าเรือตกคนละ 200-300 บาท ใช้เวลาเดินทางราว 30-40 นาที   นั่นหมายความว่า นักท่องเที่ยวต้องการมาปาร์ตี้เพียงอย่างเดียว  เมื่อเมา  สนุกเต็มที่แล้ว ก็นอนมันที่ชายหาดเลยในคืนนั้น

เที่ยงคืนสำหรับปาร์ตี้นี้  ถือว่าเร็วเกินไป  ราว ตี 2 ถึง ตี 3 นั่นล่ะ คือช่วงเวลาที่มีนักท่องเที่ยวสูงสุด

ร้านรวง ที่เน้นขายเฉพาะเครื่องดื่มแอลกอฮอล เรียงรายเต็มชายหาด   ทุกร้านจะมีรูปแบบเหมือนกันคือ เครื่องดื่มแอลกอฮอลหลายสิบประเภท โซดา น้ำอัดลม เครื่องดื่มบำรุงกำลัง ถูกคละเคล้า ใส่ถังพลาสติกใบเล็กๆ คล้ายถังสังฆทานย่อส่วน จำหน่าย ในราคาตั้งแต่ 200-600 บาท และถังเล็กๆ ที่ว่านี้ ก็จะกลายเป็นภาชนะบรรจุเครื่องดื่มแอลกอฮอล ไปในทันที่ที่นักท่องเที่ยวตกลงซื้อ  โดยผสมให้เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมที่ “พวกเขา” รู้จักกันดี

โปรโมชั่นขายชุดแอลกอฮอลที่นี่ก็สุดเหวี่ยง ตั้งแต่ซื้อ 1 ชุด แถมน้ำแข็ง, ซื้อ 1 ชุด แถมการเพ้นต์ตัว ไปจนกระทั่ง.ซื้อ 1 ชุด แถมถุงยางอนามัย!!

ก่อนที่จะเดินเข้าสู้ปาร์ตี้ ต้องแปลงกายก่อน ด้วยเสื้อผ้าในแบบเฉพาะ  ผู้ชาย  ใส่เสื้อกล้าม หรือไม่ใส่เสื้อ กางเกงเลสั้นแค่เข่า กางเกงขาสั้น   ผู้หญิงใส่เสื้อกล้าม  เสื้อเกาะอก กางเกงสั้นจิ๋ว บิกินี่ หรือ กระโปรงพริ้ว ฯลฯ  จากนั้นเพ้นต์สีลงบนตัว มีหมวกเก๋ๆ  มีอุปกรณ์สะท้อนแสงบนศีรษะ หรืออะไรก็ได้บ้าๆ บอๆ  แค่นี้ก็พร้อมที่จะเข้าไปสนุกแล้ว

ทันทีที่ลงไปถึงชายหาด ก็ได้ยินเสียงเพลงดังมาก(มากๆ) เปิดประชันกัน  ใครจะยืนเต้น  ยืนดื่มตรงไหนก็ได้ และมีเสียงฮิ้ว ฮ้าว ตลอดเวลา  บางร้านสร้างจุดสนใจด้วยโชว์ควงกระบองไฟ ด้วยชายหนุ่ม รูปร่างดี มีซิกแพ็ค

มีบางจุดที่สร้างเป็นเวทีไม้ไว้ ให้ขึ้นเต้นกันบนนั้น บ้างก็ บนโต๊ะ เก้าอี้ ตามสะดวก  แต่น้อยคนนัก ที่จะยืนเฉยๆ

ห้องน้ำมีให้บริการ ครั้งละ 10-20 บาท ตามสภาพ  ทว่า ตกดึกหน่อย ผู้ชายก็ยืนหันหลังให้ฝูงชน หันหน้าเข้าหาทะเล ไม่ต้องเสียเวลา และเสียเงิน  20 บาท ในขณะที่บางคนก็วิ่งลงทะเลไป ประหนึ่งว่า ชื่นชมกับเกลียวคลื่น ท่ามกลางแสงจันทร์  ......

สอบถามกับ พ.ต.ท  ชาตรี  ปานดำ  สารวัตรป้องกันและปราบปราม  สถานีตำรวจภูธร อ.พะงัน   ได้ความว่า มีเจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงาน คอยเดินตรวจตรา เฉพาะงานนี้ราว 40-50 คน ทั้งตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจน้ำ ตำรวจท่องเที่ยว และตำรวจตระเวนชายแดน

เคยมีตีกันบ้างมั๊ย  ?  สารวัตรท่านนี้ตอบว่า  มีบ้างแต่น้อยมาก  และที่พบ กลุ่มที่ตีกันคือวัยรุ่นชาวไทย ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ต่อให้เมา ให้เต้น บ้าบอขนาดไหน ก็ไม่เคยตีกัน กระทบกันบ้าง ต่าง say sorry   จับมือกัน  แล้วต่างคนต่างไป นี่คือวัฒนธรรมของเขา ที่ต้องการมาสนุกสุดเหวี่ยง ก็แค่นั้น

 ปาร์ตี้นี้นักท่องเที่ยวชาวไทยเข้าฟรี แต่นักท่องเที่ยวต่างชาติ คนละ 100 บาท ในแต่ละคืน เก็บได้ราว ๆ 1 ล้านบาท (ตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการ) รายได้นำไปตกแต่งและพัฒนาชายหาด ภายใต้การดำเนินงานของชมรมผู้ประกอบการบ้านหาดริ้น

ผ่านจากคืน Full moon ในวัน ขึ้น 15 ค่ำไปแล้ว   ที่เกาะแห่งนี้ยังมีปาร์ตี้  ในคืนแรม 14  ค่ำหรือ Black moon  , ในคืน ขึ้น   8   ค่ำ และแรม 8 ค่ำ  หรือ Half moon อีกด้วย แต่ปาร์ตี้ที่ไม่ใช่ Full moon นี้  จัดโดยเอกชนบางกลุ่ม  และเสียบัตรผ่านงาน ทำนอง private party   ไม่โด่งดังและยิ่งใหญ่เท่า Full moon  เพราะ Full moon คือสุดยอดที่ใฝ่ฝัน

นักท่องเที่ยวที่ได้อ่าน ไกด์บุ้คบางคน  ถึงกับตั้งใจอย่างมุ่งมั่น ว่าปาร์ตี้นี้   “ต้องไป ไม่ไป ตายตาไม่หลับ”  กระนั้นเลยทีเดียว

มติชนออนไลน์  12 มีนาคม พ.ศ. 2555

12
นิตยสาร Forbes ได้คัดราชวงศ์หนุ่มสาว 20 คน ที่โดดเด่นที่สุดของโลก ที่ทรงยังโสดและมีพระชนมายุต่ำกว่า 35 ถึงแม้ยังไม่ได้เป็นพระราชาหรือพระราชินีแต่ก็เชื่อได้เลยว่าราชวงศ์หนุ่มสาวเหล่านี้ฮอตที่สุดแล้ว

พระเจ้าหลานเธอพระเจ้าสิริวัณณวรีฯ ของไทยเราทรงติดอันดับราชวงศ์หนุ่มสาวที่ฮอตที่สุดด้วย

อันดับ 1  Prince William เจ้าชายวิลเลี่ยม 

อันดับ 2 Prince Harry เจ้าชายแฮรี่ สองพี่น้องแห่งสหราชอาณาจักร

คู่เจ้าชายพี่น้องดูโอวัย 26 และ 23 คู่นี้ติดท็อปลิสต์ของราชวงศ์รุ่นเยาว์ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในโลก แถมยังทรงเป็นทหารหนุ่มที่หล่อที่สุดด้วย เจ้าชายวิวฃเลี่ยมทรงรับผิดชอบในพระกรณียกิจต่าง ๆ อย่างสง่างามและราบรื่นด้วยไหวพริบปฏิภาณความชาญฉลาดในการวางพระองค์และควบคุมพระองค์ได้ดีเยี่ยม แต่ก็ไม่ลืมที่จะท่องราตรีใช้ชีวิตสนุกสนานตามประสาชายโสด  เจ้าชายแฮรี่ก็ทรงหล่อเหลามีเสน่ห์ไปอีกแบบและได้รับความสนใจมากขึ้นเมื่อทรงเข้าร่วมสนามรบที่อัฟกานิสถาน ทั้ง 2 พระองค์ทรงต่างยึดมั่นต่อครอบครัว และทรงยินดีกับบทบาทที่เป็นเหมือนทูตของประเทศด้วย

อันดับ 3 Zara Phillips ซาร่า ฟิลลิปส์ (แห่งสหราชอาณาจักร)

ถึงแม้ว่าจะไม่มีบรรดาศักดิ์ใด ๆ นำหน้า เนื่องจากเจ้าฟ้าหญิงแอนน์พระมารดาทรงพยายามปกป้องลูกจากความกดดันในการมีฐานันดรศักดิ์ ด้วยการให้ลูกทุกคนถอดถอนจากฐานันดรศักดิ์ แต่กระนั้น ซาร่า ฟิลลิป ก็มีความเป็นเลือดสีน้ำเงินทุกระเบียดนิ้ว เธอเป็นนักขี่ม้าระดับโลก และเมื่อใดก็ตามที่มีงานปาร์ตี้ของราชวงศ์อังกฤษ เธอก็เป็นหัวใจของงานที่ขาดไม่ได้ ที่สำคัญซาร่าแต่งตัวสวยและดูดีเสมอในทุก ๆ งาน

อันดับ 4 Princess Beatrice เจ้าหญิงเบียทริซ (แห่งสหราชอาณาจักร)

เจ้าหญิงเบียทริซทรงมีพระชัญษา 19 ปีแล้ว พระองค์คือภาพลักษณ์ที่ทันสมัยของราชวงศ์สมัยใหม่ เจ้าหญิงพระองค์นี้ใส่ใจเรื่องแฟชั้นมาก และทรงใช้ชีวิตได้อยางสมดุลทั้งในบทบาทของราชวงศ์และฐานะสามัญชนคนธรรมดาคนหนึ่ง

อันดับ 5 Charlotte Casiraghi ชาร์ล็อตต์ คาสิรากี (แห่งโมนาโค)

เจ้าหญิงที่เก๋ไก๋ที่สุด ไปไหนก็มีแต่คนมองจนเหลียวหลังเพราะทรงเป็นหลานของเจ้าหญิงเกรซ เคลลี่ ผู้หญิงที่สวยระดับตำนานคนหนึ่งของโลกนั่นเองทรงเป็นทายาทลำดับ 4 แห่งราชวงศ์โมนาโค พระธิดาวัย 21 ของเจ้าฟ้าหญิงแคโรลายน์และจะเป็นทายาทรับมรดกมูลค่ากว่า 300 ล้านเหรียญในอนาคต

อันดับ 6 Sheikh Hamdan bin Mohammed bin Rashid al Maktoum ชีคฮัมดานุ บิน โมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล มาคทุม (แห่งสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์)

ชีคฮัมดาน โอรสของชีคโมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล มาคทุม นายกรัฐมนตรีของสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ พระองค์กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งทั่วโลกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เมื่อกลายเป็นมกุฎราชกุมารของดูไบ เชื้อพระวงศ์วัย 25 ที่โก้เท่ห์ ทรงเป็นหัวหน้าทีมบริหารรัฐสภาของดูไบ ได้รับการศึกษาจากประเทศอังกฤษ และเป็นนักขี่ม้าตัวยงคนหนึ่ง

อันดับ 7 Princess Victoria เจ้าหญิงวิกตอเรีย -อันดับ 9 Prince Carl Philip เจ้าชายคาร์ล ฟิลิป -อันดับ 12 Princess Madeline เจ้าหญิงมัดเดอลีน (แห่งสวีเดน)

เจ้าหญิงวิกตอเรียกลายมาเป็นรัชทายาทลำดับ 1 แห่งบัลลังค์แทนเจ้าชายคาร์ล ฟิลลิปพระอนุชา หลังจากที่มีการประกาศใช้กฏใหม่ในการครองราชย์ ในปี 1979 ที่บอกว่าพระโอรสหรือพระธิดาองค์โตคือทายาทลำดับต่อไปในการครองราชย์ไม่ว่าจะเป็นเพศใดก็ตาม เพราะฉะนั้นเจ้าหญิงวัย 30 พระองค์นี้จึงใช้เวลากับการเตรียมพระองค์มาตลอด ทรงศึกษาเรียนรู้จากองค์การสหประชาชาติและองค์การพัฒนาสังคมนานาชาติโดยมีพระขนิษฐาและพระอนุชาร่วมด้วย โดยพระอนุชา คาร์ลทรงงานอยู่ในกองทัพสวีเดน ส่วนพระขนิษฐา เจ้าหญิงมัดเดอลีนอยู่เป็นอาสาสมัครอยู่กับองค์กรยูนิเซฟและองค์กรเพื่อเด็ก Min Stora Dag

อันดับ 8 Prince Azim เจ้าชายอาซิม (แห่งบรูไน)

เจ้าชาย อาจิ อับดุล อาซิม ทรงพลิกโฉมหน้าของคำว่า "รวยแต่เก๋" ทรงเป็นรัชทายาทลำดับ 4 แห่งราชวงศ์พันล้านแห่งบรูไน ด้วยพระชันษา 25 ปี ทรงมีเชื่อเสียงโด่งดังจาการเชื้อเชิญ ไมเคิล แจ็กสัน และ มารายห์ แครี่ มาร่วมงานปาร์ตี้อันหรูหราอู้ฟู่ที่พระองค์จัดขึ้น

อันดับ 10 Andrea Casiraghi อันเดรีย คาสิรากิ (แห่งโมนาโก)

พระนัดดาในเจ้าหญิง เกรซ เคลลี่วัย 24 ชันษา และเป็นพระโอรสองค์โตของหญิงแคโรไลน์แห่งโมนาโค ทั้งยังเป็นนักกีฬาตัวยงจัดเป็นรัชทายาทลำดับ 2 แห่งราชวงศ์โมนาโค พูดได้ถึง 4 ภาษาและเพิ่งจะจบการศึกษาด้านศิลปะและรัฐศาสตร์การเมืองจากมหาวิทยาลัยอเมริกันในกรุงปารีสมาหมาด ๆ

อันดับ 11 Prince Albert เจ้าชายอัลเบิร์ต วอน เธิร์น อุนด์ ทาซิส

มีนึกศึกษาเพียงไม่กี่คนที่จะอวดได้ว่าในสมุดบัญชีของเขามีตัวเลขเกิน 2 พันล้านดอลล่าร์ แค่เพียง 24 ชันษา ก็เป็นมหาเศรษฐีอันดับ 3 ของโลกที่มีอายุน้อยที่สุด สมบัติของเขามีตั้งแต่ทรัพย์สินในธุกิจเทคโนโลยีและอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งมรดกของครอบครัว เช่น ธุรกิจเหล้าและบริษัทก่อสร้างปราสาท และยังทรงเป็นนักแข่งรถในสังกัดทีมไรเตอร์เอ็นจิเนียริ่งด้วย

อันดับ 13 Princess Theodora เจ้าหญิงธีโอดอรา (แห่งกรีซและเดนมาร์ก)

ถึงแม้ราชวงศ์กรีซจะถูกล้มเลิกไปในปี 1974 เจ้าหญิงธีโอดาราก็ยังดำรงพระยศในฐานันดรศักดิ์อยู่ เจ้าหญิงวัย 25 อาศัยอยู่ในลอนดอนและกำลังเรียนปริญญาโทที่เซ็นทรัล เซนต์ มาร์ตินส์

อันดับ 14 Prince Wenzeslaus เจ้าชายเวนเลาส์ (แห่งลิกเตนสไตน์)

สื่อมวลชนต่างก็เรียกพระองค์ว่า "ปริ๊นส์เวนส์" เจ้าชายวัย 33 ปี เป็นที่รู้จักกันดีจากการที่มีสัมพันธ์รักกับนางแบบสาวของวิกตอเรีย ซีเครต "อาเดรียน่า ลิมา" ครอบครัวของพระองค์นับเป็นราชวงศ์ที่มั่งคั่งที่สุดในยุโรป

อันดับ 15 Princess Tsuguko เจ้าหญิงซึกูโกะ (แห่งญี่ปุ่น)

ไม่มีใครรู้อะไรเกี่ยวกับเจ้าหญิงพระองค์นี้มากนัก เนื่องจากมีการห้ามเสนอเรื่องราวของราชวงศ์นี้เผยแพร่ออกสื่อ เจ้าหญิงวัย 22 พระองค์นี้ทรงกำลังศึกษาด้านสังคมวิทยาที่มหาวิทยาลัยเอดินเบิร์ก

อันดับ 16 Princess Sirivannavari พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์

พระธิดาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมารแห่งประเทศไทย นอกจากทรงเป็นนักกีฬาแบดมินตันทีมชาติแล้ว พระองค์ยังมีความสนใจในเส้นทางของแฟชั่น ทรงเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์ ซึ่งนอกจากจะได้รับเชิญไปแสดงผลงานที่ปารีสแฟชั่นวีคแล้ว ก็ยังทรงนำผลงานไปร่วมแสดงในบางกอกแฟชั่นวีคถึง 2 ครั้งอีกด้วย

อันดับ 17 Sheikha Maitha bint Mohammed bin Rashid al Maktoum เชคก้าไมทา บินท์ โมฮัมหมัด บิน ราชิด อัล มาคทุม (แห่งสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์)

เป็นที่ทราบกันดีว่าทรงเป็น "เจ้าหญิงคาราเต้" เจ้าของเหรียญโอลิมปิคทางด้านศิลปะการป้องกันตัวและทรงเป็นพี่สาวของชีคฮัมดาน อันดับ 6

อันดับ 18 Princess Iman bint Al Hussein เจ้าหญิงอิมาน บินท์ อัล ฮุสเซน (แห่งจอร์แดน)

เจ้าหญิงอิมานวัย 24 ชันษาทรงเข้าทำงานในกองทัพของจอร์แดนหลังจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยแซนด์เฮิร์สต์ โรงเรียนเดียวกับเจ้าชายวิลเลี่ยมและเจ้าชายแฮรี่

อันดับ 19 Prince Philippos เจ้าชายฟิลิปโปส์ (แห่งกรีซและเดนมาร์ก)

พระโอรสผู้หล่อเหลาชันษา 22 ปี ในกษัตริย์คอนสแตนตินและพระราชินีแอน-มารี แห่งกรีซ และ พระโอรสอุปถัมภ์ในเจ้าหญิงไดอาน่าและยังทรงเป็นว่าที่นักการเมืองในอนาคต

อันดับที่ 20 Princess Sikhanyiso เจ้าหญิงซิคฮานยีโซ (แห่งสวาซิแลนด์)

พระธิดาองค์โตในกษัตริย์เอ็มสวาติ ในบรรดาพระโอรสธิดา 27 พระองค์ทรงเป็นหนึ่งในพระราชวงศ์สุดท้ายที่เหลืออยู่ ด้วยความที่ทรงเป็นเจ้าหญิงนักขบถ จึงทรงต่อต้านระบบการปกครองโดยผู้ชายและทรงนุ่งยีนส์เป็นกิจวัตร


13

Version แรก...เวรหนู ไม่รู้เป็นอะไร
วิดีโอการแสดงศิลปวัฒนธรรม นิสิตเวชปฏิบัติ(Extern)กุมารเวชศาสตร์ รุ่นที่ 7 ปีการศึกษา 2554 MDCU62.... ตามลิงค์ข้างล่าง
http://www.youtube.com/watch?v=f3Nl0nhOC4I&feature=related

เวรหนูไม่ รู้เป็นอะไร
มือถือมันดังอยู่ไม่รู้หาย
ดังจริงดังอยู่เรื่อยไป
เวรหนูทีไรถึงเช้าทุกที
อาบน้ำตีสองเคสก็เข้า
หนูก็เอาประวัติ OPD
ลูกคุณแม่ก็ไม่หยุดร้องสักที
จะหลับจะนอนมันวี้ดว้ายเหลือดี
เวรหนูทุกทีขนลุกขนชัน เฮ้ย เยินอ่ะ

เวรหนูไม่ รู้เป็นอะไร
มีแต่เด็ก Dyspnea เกินคาดหมาย
พ่นจริงพ่นยาเข้าไป
เวรหนูทีไรมี Tube ทุกที
แม่จ๋าพ่นยาแทนหนูหน่อย
ไม่งั้นต้องคอยจับมันอยู่อย่างนี้
เริ่มดึกๆ วอร์ดสงบอยู่ดีๆ
พอหลับพอนอนสักสองสามนาที
ปัดโธ่คุณพี่... มาราวน์ I/O ฮือ เยินอีกแล้วอ่ะ

เวรหนูไม่ รู้เป็นอะไร
BP drop ให้ load มันไม่หาย
I/O negative กันเข้าไป
เวรหนูทีไรถึงช็อกทั้งปี
หากใครอยู่เวรแทนหนูได้
จะเอาอะไรจะยกให้ฟรีๆ
ยิ่ง Nursery เด็กมันเกิดได้เกิดดี
เจอ Jaundice ต้องเจาะ Hct MB 
Sepsis ทั้งทีหนูหงายหลังเลย  เยิน ไม่ได้นอนเลย เหนื่อยนะเนี่ย...

เวรหนูไม่ รู้เป็นอะไร
มือถือมันดังอยู่ไม่รู้หาย
ดังจริงดังอยู่เรื่อยไป
เวรหนูทีไรถึงเช้าทุกที
หากใครอยู่เวรแทนหนูได้
จะเอาอะไรจะยกให้ฟรีๆ
ยิ่ง Nursery เด็กมันเกิดได้เกิดดี
เจอ Jaundice ต้องเจาะ Hct MB 
Sepsis ทั้งทีหนูหงายหลังเลย

.........................................................................................
Version ที่สอง...เวรหนู วันนี้
เมื่อจ๊ะเทอร์โบ คันหนู ปะทะ จ๊ะเอ๋ เวรหนู .... ตามลิงค์ข้างล่าง
http://www.youtube.com/watch?v=8dmB4dNG244&feature=related

โอ๊ย...โอ๊ย...เวรหนูไม่ รู้เป็นอะไร
คนไข้กระหน่ำมามากหลาย
ยุ่งจริ๊ง Admit กันเข้าไป
ขึ้นเวรทีไรขนลุกทุกที
Med ชายก็เลยต้องงานเข้า
คนไข้ไม่เบาทั้ง ER OPD
คนไข้ศัลย์ชายก็ใส่แต่ ET
ตลอดทั้งเวรมันเหน็ดเหนื่อยเหลือดี
เวรหนูทุกที ขนลุกขนชัน

อุ๊ย...อุ๊ย อื้ม...อื้ม...เวรหนูไม่ รู้เป็นอะไร
ไม่เคยมีที่จะสบาย 
ยุ่งจริ๊ง คนไข้ก็วุ่นวาย
ขึ้นเวรทีไรมีอุบัติการณ์ทุกที
คนไข้จ๋าเข้าใจพวกหนูหน่อย
น่าจะทยอยไปเวรอื่นบ้างซี
จะบ่ายจะดึก คนไข้ก็เต็มทั้งปี
สูติ ศัลย์ Med เด็ก Eye ENT
อย่างเงี๊ยะทุกที ยุ่งกันทั้งวัน

อุ๊ย อื้ม เวรหนูไม่ รู้เป็นอะไร
ไม่เคยมีที่จะให้สบาย   
ทั้ง Shock ทั้ง Sepsis ไตวาย
เวรหนูทีไร มีอุบัติการณ์ทุกที
ศัลย์หญิง Med หญิง ก็ใช่ย่อย
ไอซียูก็พลอย เตียงเต็มทุกที
โรงบาลลูกข่าย ก็ Refer ได้ Refer ดี
จะ Refer ต่อก็ดันไม่ได้ซักที
โรงบาลเราดี รับเละทั้งวัน
หมอจ๋า เราคงต้องเหนื่อยหน่อย
คุณหมออย่าพลอย อารมณ์ไม่ดี
หนูเองก็เหนื่อย ไม่อยากได้หรอกโอที
หนูทำเต็มเหนี่ยว ถ้าหมอน่ะพูดดีๆ
เหนื่อยกันทั้งทีอย่าให้เสียอารมณ์

อุ๊ย...อุ๊ย อุ๊ย  อื้ม เวรหนูไม่ รู้เป็นอะไร
Head Injury STEMI MI
เหนื่อยจริงมันเหนื่อยแทบตาย
เวรหนูทีไร ขนลุกทุกที
โรงบาลนี้หมอดีรักษาได้
คนไข้ที่ไหนก็แห่กันเต็มที
ยากินยาฉีด เภสัชเค้าจัดยาดี
หมอพยาบาลคนงานก็เข้าที
อย่างนี้ทั้งปี เลยเหนื่อยกันทุกวัน
.................................................................................................

14
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขนิวยอร์กกล่าวปฏิเสธ ตามที่มีการร้องเรียนผู้ใช้บริการแผนกผดุงครรภ์ของโรงพยาบาลว่า พวกเขาไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเหมาะสมระหว่างที่บิยอนเซ่ นักร้องสาวชาวสหรัฐฯชื่อดังมาคลอดบุตร

ทั้งนี้ บียอนเซ่ ให้กำเนิดบุตรสาวที่มีชื่อว่า บลู ไอวี่ คาร์เตอร์ ที่เกิดกับเจย์-ซี ศิลปินฮิปฮอปชื่อดัง เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โฆษกสำนักงานสาธารณสุขนิวยอร์กกล่าวว่า ทางการได้รับคำร้องเรียนจากผู้ใช้บริการ 2 รายเกี่ยวกับโรงพยาบาลเลน็อกซ์ ฮิลล์ ในย่านแมนฮัตตัน โดยกล่าวว่า พวกเขาไม่ได้รับบริการและถูกกีดกันไม่ให้เข้าไปในบริเวณห้องเด็กแรกเกิดเมื่อคืนวันพุธ

สื่อรายงานว่า บิยอนเซ่และเจย์-ซี หรือมีชื่อจริงว่า ฌอว์น คาร์เตอร์ คู่รักนักร้องคนดัง ทุ่มเงินถึง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 31 ล้านบาท) เพื่อเหมาปิดชั้นคลอด และให้ทีมพนักงานรักษาความปลอดภัยคอยกันผู้ปกครองที่จะมาเยี่ยมลูกในห้องเด็กแรกเกิดเป็นเวลานานหลายชั่วโมง ซึ่งทางโรงพยาบาลปฏิเสธข่าวดังกล่าว โดยยืนยันว่าทั้งสองจ่ายค่าห้องพิเศษในอัตราปกติแต่ไม่ได้เปิดเผย อย่างไรก็ตาม โฆษกโรงพยาบาลกล่าวว่า ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกำลังสอบสวนตามที่มีการร้องเรียนเกี่ยวกับบริการในแผนกเด็กแรกเกิด

ด้านมารดารายหนึ่งซึ่งให้กำเนิดลูกแฝด เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. และบุตรของเธอได้รับการดูแลที่หน่วยเด็กอ่อน เผยว่า เมื่อวันที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของนักร้องสาว ได้กีดกันเธอไม่ให้เยี่ยมลูกๆของเธอ และพื้นที่โรงพยาบาลก็เต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย คล้ายกับว่ามีประธานาธิบดีสหรัฐฯอยู่ที่นั่น

ด้านโฆษกโรงพยาบาลเผยว่า ได้ทำการสอบถามผู้ปกครองที่มาใช้บริการในช่วงขณะนั้น โดย 7 จาก 10 ราย กล่าวว่าพวกเขาได้รับการบริการที่เป็นปกติดี  แต่กล่าวยืนยันว่ามีการใช้เทปกาวปิดบริเวณกล้องวงจรปิดจริง ในช่วงที่บียอนเซ่ถูกนำไปยังห้องคลอด แต่ปฏิเสธสาเหตุของการกระทำเช่นนั้น

มติชนออนไลน์  12 มกราคม พ.ศ. 2555

15
ผลสำรวจแนวโน้มทรัพยากรบุคคลจาก ทาวเวอร์ส วัทสัน เรื่องแนวโน้มและประเด็นท้าทายด้านทรัพยากรบุคคลในประเทศไทยปี 2554 หรือ 2011 Flash Survey Result : HR Trends and Challenging Issues in Thailand 2011 ที่เผยแพร่ออกมาเพื่อสำรวจประเด็นด้านทรัพยากรบุคคลใน 3 เรื่องใหญ่ ได้แก่ การปรับขึ้นเงินเดือน การจ่ายโบนัสตามผลงาน และอัตราการเข้า-ออกของพนักงานตามรายอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นการสำรวจข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่ปี 2553-2554 และคาดการณ์แนวโน้มด้านทรัพยากรบุคคลตามรายอุตสาหกรรมของปี 2555

พบว่าในเรื่องการปรับขึ้นเงินเดือน ธุรกิจและอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในประเทศไทย มีการปรับอัตราเงินเดือนเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป นับตั้งแต่เศรษฐกิจโลกชะลอตัวเมื่อปี 2552 โดยภาพรวมอุตสาหกรรมทั่วไปในประเทศไทยยังมีการปรับอัตราเงินเดือนแก่พนักงานเพิ่มขึ้นทุกปีในอัตราเฉลี่ย 5.7-6.2% ระหว่างปี 2553-2555

ส่วนในปี 2555 นี้ ทาวเวอร์ส วัทสันคาดการณ์ว่าจะมี 3 อุตสาหกรรมหลักที่จะปรับอัตราเงินเดือนแก่พนักงานสูงสุดเรียงตามลำดับ ได้แก่
อุตสาหกรรมการผลิต 7.1%
อุตสาหกรรมการบริการทาง การเงิน 6.5% และ
อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค 6.4%

ขณะที่ภาพรวมการปรับฐานเงินเดือนของทุกอุตสาหกรรมในปี 2555 มีค่าเฉลี่ยที่ 6.2%

ด้านการจ่ายโบนัสแก่พนักงานแปรผันตามผลงาน หรือ variable bonus ซึ่งหลายบริษัทนิยมนำมาใช้เพื่อสร้างขวัญกำลังใจและผูกใจพนักงานมากขึ้น เป็นการจ่ายโบนัสที่บางบริษัทใช้ทดแทนและเพิ่มเติมจากการจ่ายโบนัสแบบเก่า หรือ fixed bonus โดยผลสำรวจพบว่าภาพรวมการจ่ายโบนัสแปรผันตามผลงานของพนักงานและผลประกอบการของบริษัทในอุตสาหกรรมทั่วไประหว่างปี 2554-2555 มีค่ากลางที่ 3.4 เดือน หรือคิดเป็น 28.3% ของฐานเงินเดือนทั้งปี

โดยในปี 2554 มี 3 อุตสาหกรรมที่จ่ายโบนัสแปรผันตามผลงานมากที่สุด ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน 5.5 เดือน อุตสาหกรรมการจัดการสินทรัพย์ 4.8 เดือน และธุรกิจประกัน 3 เดือน ขณะที่ในปี 2555 ทั้ง 3 อุตสาหกรรมดังกล่าวยังคงเป็นกลุ่มธุรกิจหลักที่มีการจ่ายโบนัสแปรผันตามผลงานสูงสุด โดยมีการคาดการณ์การจ่ายโบนัสตามผลงานในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน 5.6 เดือน อุตสาหกรรมการจัดการสินทรัพย์ 4.8 เดือน ขณะที่ธุรกิจประกันจ่ายโบนัสตามผลงานในปี 2555 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าเป็น 3.4 เดือน

อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจด้านอัตราการเข้า-ออกของพนักงาน หรือ staff turnover ยังพบว่า แนวโน้มอัตราการเข้า-ออกของพนักงานในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมไทยตลอด 8 ปีที่ผ่านมา มีแนวโน้มลดลงทุกปี โดยในปีที่ผ่านมามีอัตราการเข้า-ออกของพนักงานในภาพรวมของทุกอุตสาหกรรมอยู่ที่ 7.6% และอุตสาหกรรมที่มีอัตราการเข้า-ออกของพนักงานสูงสุดคือ อุตสาหกรรมสินค้าเพื่ออุปโภคบริโภค ที่มีอัตราเฉลี่ย 11.1% ตามมาด้วยอุตสาหกรรมด้านการประกัน 10.1% และธุรกิจบริการทางการเงิน 8.6% ตามลำดับ

ทั้งนี้ ยังพบว่าอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนเป็นกลุ่มที่มีอัตราการเข้า-ออกของพนักงานต่ำสุดคือ 4.2% ในปี 2554 และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างปีต่อปี อัตราการเข้า-ออกของพนักงานในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนในประเทศไทยในปี 2554 ยังลดลง เมื่อเทียบกับปี 2553 ที่มีอัตราการเข้า-ออกของพนักงานอยู่ที่ 4.4% ด้วย

นอกจากนี้ ในการสำรวจดังกล่าวของทาวเวอร์ส วัทสัน ยังได้ศึกษาถึงผลกระทบจากนโยบายเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ และค่าจ้างขั้นต่ำสำหรับผู้จบการศึกษาปริญญาตรีของรัฐบาลชุดปัจจุบันไว้ด้วย

โดยผลสำรวจจากความคิดเห็นของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมในเรื่องนโยบายการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำพบว่า 70% ของผู้ตอบแบบสอบถามไม่เห็นด้วย และมีความกังวลต่อนโยบายการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ โดยส่วนใหญ่เป็นกังวลว่านโยบายดังกล่าวจะส่งผลกระทบในทางลบต่อธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก หรือเอสเอ็มอี

ส่วนภาคอุตสาหกรรมที่น่าจะได้รับผลกระทบอย่างมากจากนโยบายปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิต 68% อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค 44% อุตสาหกรรมยานยนต์ 39% และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ 37%

อีกทั้ง 62% ของผู้ตอบแบบสอบถามยังระบุว่า นโยบายนี้จะทำให้กำไรของธุรกิจลดลง และอีก 38% มองว่าจะทำให้การจ้างงานลดลง ผู้ตอบแบบ สอบถามอีก 69% บอกว่าจะเป็นภาระต่อการทำกำไรของธุรกิจ ขณะที่ตัวแทนธุรกิจที่ตอบแบบสอบถามเหล่านี้ 84% ควบคุมต้นทุนจากการดูเรื่องต้นทุนแรงงาน 84% และจากการควบคุมต้นทุนด้านการจัดซื้อและขายสินค้าและบริการ 68%

ส่วนในระยะยาว หลายบริษัทให้ความเห็นว่า ธุรกิจจำเป็นต้องมีมาตรการรับมือกับนโยบายการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ภายหลังนโยบายนี้มีผลบังคับใช้ด้วยการใช้เครื่องมือหรือเครื่องจักรเข้ามาทดแทนแรงงานคน 37% หรือด้วยการเพิ่มราคาสินค้าและผลิตภัณฑ์ 33% รวมถึงการพิจารณาเรื่องการลดกำลังแรงงาน 28% นอกเหนือจากมาตรการอื่น ๆ ที่จะนำมาใช้ อาทิ การลดกำลังการผลิต 6% การย้ายไปประกอบกิจการในประเทศเพื่อนบ้าน 3% การใช้แรงงานข้ามชาติ 3% หรือแม้กระทั่งการปิดกิจการ 2%

นับว่าในปี 2555 ประเด็นเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำ และการดำเนินการภายหลังนโยบายภาครัฐมีผลบังคับใช้จะเป็นเรื่องที่ท้าทายต่องานบริหารทรัพยากรบุคคล ซึ่งหลายธุรกิจและอุตสาหกรรมจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์รับกับความเปลี่ยนแปลงต่อไป

ประชาชาติธุรกิจ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

หน้า: [1] 2