ผู้เขียน หัวข้อ: เที่ยวปิล็อกดินแดนสายหมอกแห่งภาคตะวันตก(จากเมืองกาญจนฯ ก็มองเห็นทะเลอันดามันได้)  (อ่าน 2705 ครั้ง)

seeat

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 470
    • ดูรายละเอียด
ปลายฝนแล้ว ค่ะ  ช่วงเวลานี้จะมองไปทางไหนก็ชุ่มชื่นหัวใจ  ลองจินตนาการดูสิคะ  ไหนจะอากาศเย็นสบายหลังฝนตกใหม่ๆ ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่มงามตา  แล้วยังไอหมอกที่ลอยอ้อยอิ่งเริงเล่นยอดเขาอีก...อืมแค่นึกถึงก็มีความสุข แล้ว  อย่ากระนั้นเลยเราจึงอยากเชิญชวนคุณเดินทางไปเที่ยวที่ ตำบลปิล๊อก  อำเภอทองผาภูมิ  จังหวัดกาญจนบุรี  สัมผัสผืนป่าสีเขียวๆ ไอหมอกขาวๆ และอากาศเย็นๆ กันดีกว่า

    ในอดีตกว่า 50 ปีก่อน  ตำบลปิล๊อกเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในฐานะแหล่งแร่ดีบุกและวูลแฟรม  มีสัมปทานเหมืองแร่เกิดขึ้นมากมายยิ่งกว่าดอกเห็ดยามต้องฝน  ที่คุ้นหูคุ้นตากันก็เช่นเหมืองปิล๊อก  เหมืองสมศักดิ์  แต่เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ราคาแร่ตกต่ำ  เหมืองต่างๆ จึงทยอยปิดกิจการกันหมด

จากตำบลที่ เคยคึกคักมีชาวเหมืองอยู่กันเป็นพันๆ คน  จึงแทบกลายเป็นเมืองร้าง จนกระทั่งมีนักนิยมไพรไปเดินป่าพิชิตยอดเขาช้างเผือกกันเมื่อประมาณ 7 - 8 ปีก่อน  ปิล๊อกจึงกลับมาเป็นที่รู้จักอีกครั้ง  ยิ่งเมื่อมีรายการโทรทัศน์นำเสนอเรื่องราวชีวิตของป้าเกล็นแห่งเหมืองสม ศักดิ์ด้วยแล้ว  ที่นี่จึงอยู่ในความสนใจของคนในแวดวงแอดเวนเจอร์ – ออฟโรดเรื่อยมา  และมีทีท่าว่าจะมีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆ ไปเที่ยวกันมากขึ้น  เพราะมีสถานที่ท่องเที่ยวทั้งแหล่งชมความงามทางธรรมชาติ  และวิถีชีวิตผู้คนให้สัมผัสอย่างครบถ้วนแม้ต้องเดินทางไกลสักหน่อยก็ตาม

    เราเริ่มต้นการท่องเที่ยวที่  อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ  อันเชื่อมต่อกับผืนป่าทุ่งใหญ่นเรศวรและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง  เพราะเป็นจุดท่องเที่ยวแรกเมื่อเข้าเขตปิล๊อก  ที่นี่นอกจากจะมีเขาช้างเผือก  เป็นเส้นทางเดินป่ายอดฮิตอยู่ในความดูแลแล้ว  ยังมีบ้านทาร์ซานที่พักบนยอดไม้แสนเก๋ให้ปีนขึ้นค้างแรมสัมผัสความรู้สึก ทาร์ซานแอนด์เจนด้วย

    ใกล้กันมีจุดชมวิวยอดเขาช้างเผือก  และจุดชมทะเลหมอก  ซึ่งมีโอกาสจะได้ชมทะเลหมอกในช่วงเช้า  ยิ่งวันไหนฝนตกตอนกลางคืน  รับรองว่าตื่นเช้ามาที่นี่จะกลายเป็นเมืองในหมอกทันที  หากลองเดินเล่นรับอากาศบริสุทธิ์ชมสีเขียวของเฟริน  มอสตามต้นไม้  ก็จะช่วยสร้างความรู้สึกสุขสงบ  สบายตาได้เป็นอย่างดี   

    นอกจากนี้ที่อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิยังมีดาวเด่นชื่อ  “แจ๋วแหว๋ว” เป็นนกเงือกขนาดใหญ่  เปรียบเสมือนพีอาร์ประจำอุทยานฯ  สร้างความตื่นเต้นให้เราเป็นอย่างยิ่งเพราะน้อยครั้งนักที่นกเงือกตาม ธรรมชาติจะยอมให้คนชมโฉมอย่างใกล้ชิด  แถมยังยอมให้ถ่ายรูปคู่เป็นที่ระทึกและระลึกเสียด้วย  เรียกว่าได้ใจเราไปเต็มๆ

    จากอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิขับรถอีกไม่เกิน 15 นาทีก็ถึง  บ้านอีต่อง  ที่หากจะนิยามว่าหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้เป็นอย่างไร  คงไม่มีคำใดดีไปกว่า  “หมู่บ้านกลางหุบเขาและอากาศเย็น” เพราะชุมชนสุดเขตชายแดนตะวันตกนี้  ตั้งอยู่ระหว่างหุบเขา  มีภูเขาเหมืองแร่เก่าเป็นฉากหลังช่วยสร้างบรรยากาศเมืองเหมืองแร่ให้ขลัง ยิ่งขึ้น  มีอากาศเย็นเป็นเพื่อนสนิทตลอดทั้งปี  แถมเช้าๆ ในฤดูฝนและฤดูหนาวก็มีสายหมอกให้ชม  จนเมืองทั้งเมืองเหมือนตกอยู่ในม่านหมอกอย่างไงอย่างนั้น

    เดี๋ยวนี้บ้านอีต่องเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น  เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินป่าพิชิต ยอดเขาช้างเผือก  ปลายฝนต้นหนาวอย่างนี้ในหมู่บ้านจึงคึกคักได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวมากเป็น พิเศษ  แต่ถ้าแม้นคุณไม่ใช่เทรคเกอร์  บ้านอีต่องก็เหมาะเป็นสถานที่พักผ่อนสบายๆ เดินเล่นในหมู่บ้านซึ่งมีบ้านเรือนตั้งอยู่เรียงชิดติดกันเต็มสองข้างทาง คล้ายถนนเลียบโขงที่เชียงคานเพียงแต่ขนาดเล็กกว่า  มีร้านขายของที่ระลึก  เกสเฮ้าส์ และร้านอาหารราคาประหยัดอยู่หลายร้าน

    ในซอยหริมอ่างเก็บน้ำมี  ร้านกาแฟเลิฟ  ปิล๊อก  บริการอาหารจานเดียวรสชาติดี  ชา  กาแฟ  เครื่องดื่มร้อน  เย็น  จะนั่งชิว  ดูวิถีชีวิตผู้คน  หรือจะนั่งแฮงค์เอ้าท์ยามค่ำคืนก็ได้  เยื่องกันมีร้านขายขนมจีน  ผักทอดแบบพม่าราคาถูกมากไว้ให้ลองชิม  และมีร้านอาหาร  ร้านของชำอยู่ 3 – 4  ร้าน  เดินดูสินค้าไปเรื่อยๆ มาสะดุดตาที่ร้านขายอาหารทะเลมีปลา  กุ้ง  และปลาหมึกสดๆ ขาย  สอบถามแม่ค้าได้ความว่าได้มาจากทะเลอันดามันฝั่งพม่า  คนที่นี่จึงมีอาหารทะเลกินกันทั้งปี

    เหมืองสมศักดิ์  เป็นจุดหมายปลายทางต่อไปที่เราจะไปกินขนมเค้กโฮมเมดฝีมือป้าเกล็น  หรือที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า “ป้าแหม่ม” กัน  โดยขับรถจากบ้านอีต่องมาจอดรถไว้ที่สถานีตำรวจสภ.อปิล๊อก  เพื่อนั่งรถโฟว์วิวของรีสอร์ทเข้าไปยังเหมือง  เห็นระยะทางไม่ไกลเพียง 5 กิโลเมตร  แต่ด้วยทางขึ้นเขา  ลงเขา  การเดินทางจึงต้องใช้เวลาพอสมควรเลยทีเดียว

    รีสอร์ทเล็กๆ แห่งนี้เกิดจากความตั้งใจของป้าเกล็นที่ต้องการรักษาเหมืองที่สามีรักไว้  หลังจากสามีเสียชีวิต  ป้าเกล็นจึงกลับมาปรับปรุงให้เป็นรีสอร์ท  มีอาหารและเบเกอรีโฮมเมดทั้งเค้กมะนาว  เค้กช็อกโกแลต  เค้กกาแฟ  และเค้กแครอท  ให้บริการ  โดยเฉพาะผู้ที่พักค้างคืนก็จะได้กินบาร์บีคิวอร่อยๆ เป็นมื้อค่ำแบบไม่อั้นด้วย  โดยมีป้าเกล็นจะคอยกำกับการปรุงอาหารให้แขกและยังคอยต้อนรับ  พูดคุยกับแขกด้วยตัวเองเสมอ  จนทำให้เราประทับใจในความเป็นกันเองของป้าเป็นอย่างยิ่ง  หลังรับประทานอาหารกลางวัน  เราไปเที่ยวน้ำตกในเหมืองเก่า  ที่ต้องนั่งรถโฟล์วิว ขึ้นเขาไปและเดินลงไปยังน้ำตกอีกนิด (ด้วยระยะทางแบบพอได้เหงื่อ)

    กลับจากน้ำตกบางคนเลือกจะเล่นน้ำที่ลำธารใกล้เรือนพัก  แต่เราเลือกที่จะกลับออกมาชมแสงสียามค่ำคืนที่บ้านอีต่อง  เพราะคืนนี้มีการแสดงฟ้อนรำจากเด็กนักเรียนที่ร้านเลิฟ  ปิล๊อก หลังจากหาที่นอนได้แล้ว  เราจึงขึ้นไปชมวิวพระอาทิตย์ตกที่  จุดชมวิวเนินช้างศึก เป็นที่ตั้งของฐานตชด.  แต่เปิดให้นักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมได้  ใครที่ไม่เชื่อว่าเมืองกาญฯ มองเห็นทะเลอันดามันต้องมาที่นี่  เพราะคุณจะมองเห็นท้องทะเลได้อย่างชัดเจนในวันฟ้าเปิด  เนื่องจากอยู่ห่างจากทะเลอันดามันเพียง 60 กิโลเมตร ส่วนเรานั้นได้ชมแสงสีทองจับขอบฟ้าด้านหนึ่ง  ส่วนอีกด้านเมฆฝนกลุ่มใหญ่กำลังก่อตัวอยู่ไม่ห่าง  ซึ่งก็ดูสวยงามไปอีกแบบจริงๆ ค่ะ   

    ระหว่างชมวิวเพลินๆ มีพี่ตชด.ที่ดูแลฐานเดินมาพูดคุยให้ความรู้กับเราว่า  เราอยู่บนแนวเทือกเขาตะนาวศรี  สูงจากระดับทะเลถึง 1,053 เมตรเลยทีเดียว  และยอดเขาที่เห็นมีรอยขุดทะลุไปมาเต็มไปหมดก่อนขึ้นมายังจุดนี้ก็คือเหมือง แร่เก่า

    ลงจากจุดชมวิว  อาบน้ำอาบท่าเรียบร้อย  เราก็มานั่งรอชมการแสดง  มีพี่ๆ นักปั่นจากเว็บ thaiMTB  ขี่จักรยานเสือภูเขามาเที่ยวกันหลายคน  ค่ำคืนนี้จึงคึกคักเป็นพิเศษ  มีเสียงหัวเราะ  เฮฮาทั้งจากชาวบ้าน  และแขกผู้มาเยือนอย่างสนุกสนาน  และเราก็มีเพื่อนใหม่รุ่นเล็ก  รุ่นใหญ่เป็นของขวัญกลับกรุงเทพอีกหลายคน           

    สุดท้ายแล้วจะว่าเว่อร์ก็ได้  แต่เรารู้สึกว่าสิ่งที่ทำให้บ้านอีต่องและปิล๊อกสวยงามไม่ใช่เพียงธรรมชาติ บริสุทธิ์  แต่ยังมีอัธยาศัย  น้ำใจไมตรีของผู้คนที่พบเจอด้วยต่างหากที่ทำให้การเดินทางมีความหมายมาก ขึ้น

    “ขอบคุณมิตรภาพที่ทำให้เราได้รู้จักกันค่ะ”

นิตยสาร Health & Cuisine ปีที่ : 10 ฉบับที่ : 117 เดือน : ตุลาคม 2553