ในประเทศญี่ปุ่น มีข่าวประเภทนี้บ่อย ล่าสุดมีข่าว หมอห้องฉุกเฉินทำงานจนตาย พนักงานฆ่าตัวตายเพราะงานหนักเกินไป แต่ประเทศญี่ปุ่นเค้ามีระบบการช่วยเหลือคนที่ได้รับผลกระทบจากการทำงานเป็นอย่างดี มีการชดเชยให้
บริษัทที่เป็นข่าวล่าสุด คือ บริษัทเดนท์สุ ที่พนักงานฆ่าตัวตาย ผู้บริหารบริษัทลาออก(29ธันวาคม2516) เพราะดูแลลูกน้องได้ไม่ดี
(ของเราเป็นยังไงครับ เจ็บป่วยก็ยังต้องมาทำงาน ถ้ายังถ่อสังขารมาได้ก็ต้องมา จะเป็นจะตายผู้บริหารไม่รู้ไม่เห็น)
จากวัฒนธรรมการทำงานหนัก(หลังแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง) มีคนญี่ปุ่นตายจากการทำงานหนักเป็นจำนวนมาก ในปี 1970 มีการตั้งชื่อ กลุ่มอาการคาโรชิ(Karochi syndrome) ขึ้น หมายถึง ตายจากการทำงานหนักมากเกินไป(death from overwork) คือถูกงานฆ่าตายนั่นเอง ตายได้ยังไง หนึ่ง ฆ่าตัวตาย จากภาวะความเครียดและซึมเศร้าจากการทำงาน สอง ตายจากโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง ในปีหนึ่งมีคนฆ่าตัวตายจากการทำงานหนักประมาณ 400 คน ตายจากโรคหัวใจและหลอดเลือดสมองประมาณ300คน (โดยการแยกสาเหตุอื่นๆไปแล้ว บางหน่วยว่าตัวเลขยังน้อยไปอีกด้วย)
หน่วยงานป้องกันและให้คำปรึกษาเหยื่อจากสภาวะคาโรชิ ยืนยันว่า การจำกัดจำนวนชั่วโมงการทำงานเท่านั้นที่จะลดการเสียชีวิตจากเหตุนี้ได้
องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ได้ยกตัวอย่างผู้ที่มีอาการคาโรชิไว้ดังนี้
คนงานในบริษัทผลิตขนมใหญ่ ต้องทำงาน 110 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เขาเสียชีวิตด้วยวัย 34 ปี จากอาการโรคหัวใจกำเริบ
พนักงานขับรถประจำ ใช้เวลาในการทำงาน 3,000 ชั่วโมงต่อปี เขาทำงานโดยไม่มีวันหยุดติดกัน 15 วัน ก่อนจะเสียชีวิตจากอาการหลอดเลือดสมองแตกเฉียบพลัน
พยาบาลวัย 22 ปี เสียชีวิตจากอาการหัวใจวายหลังทำงาน 34 ชั่วโมงต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ครั้งต่อหนึ่งเดือน
ทั้งภาครัฐและบริษัทเอกชนในญี่ปุ่นพยายามให้คนทำงานน้อยลง เช่น เตรียมออกกฎหมายบังคับให้คนลางานบ้าง ลดวันการทำงานเหลือ4วันต่อสัปดาห์บ้าง
ข้อมูลจากกระทรวงแรงงานของญี่ปุ่นในช่วงปี 2014-2015 พบว่ามีการขอเงินชดเชยจากการเสียชีวิตจากการทำงานมากถึง 1,456 ครั้งซึ่งมากเป็นประวัติการ โดยส่วนใหญ่เป็นลูกจ้างในภาคสาธารณสุขซะด้วย
แล้วทำงานแค่ไหนถึงจะพอดี มีการรณรงค์ เรียกร้อง การเดินขบวน การประท้วง การเสียเลือดเสียเนื้อมามากมายในอดีต ที่จะให้มีการทำงานวันละ8ชั่วโมง และที่ประสบผลสำเร็จเป็นแห่งแรก คือ ประเทศออสเตรเลีย จากการเดินขบวนเรียกร้องในนครเมลเบิร์นในปี ค.ศ.1856
8 ชั่วโมงทำงาน 8 ชั่วโมงนันทนาการ 8 ชั่วโมงนอน เป็นแนวคิดของ โรเบิร์ต โอเวน นักมนุษยนิยมและสังคมนิยมชาวเวลส์ที่นำเสนอในปี1817 (ซึ่งในยุคนั้นคนทำงานกัน 10-16 ชั่วโมงต่อวัน) เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตของคนทำงาน ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นมาตรฐานการทำงานในปัจจุบัน
มีการสำรวจการใช้เวลาในหนึ่งวันของคนทำงานชาวอเมริกันอายุ 25-54 ปีที่มีเด็ก(อายุน้อยกว่า18ปี)อยู่ในครอบครัวด้วยในปี 2015 พบว่าโดยเฉลี่ยแล้ว ทำงาน(work) 8.8 ชั่วโมง
นอน(sleep) 7.6 ชั่วโมง
ที่เหลือเป็นการใช้ชีวิต(life)
บันเทิงและกีฬา2.5ชั่วโมง
งานบ้าน 1.1 ชั่วโมง
กินและดื่ม1.1 ชั่วโมง
ดูแลคนอื่น 1.2 ชั่วโมง
อื่นๆอีก 1.7 ชั่วโมง
คนเรานอกจากทำงานและนอนแล้ว ชีวิตต้องมีสีสัน ทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ต้องใช้เวลากับครอบครัว และต้องมีเวลาทำกิจกรรมกับคนอื่น(สังคม) จึงจะเกิดความสมดุลในชีวิต
หากเวลาการทำงานมากขึ้น เวลาสำหรับตัวเอง ครอบครัวและสังคม น้อยลงก็จะเกิดความไม่สมดุลขึ้น เกิดความเครียด ความล้ามากขึ้น
ยิ่งเวลาทำงานมากขึ้นจนแทบจะไม่มีเวลาทำกิจกรรมอื่นเลย จะเป็นการทำลายสุขภาพ ทำร้ายชีวิตของคนทำงานและครอบครัว ถือเป็นการละเมิด เป็นการทำงานที่ทุกข์ทรมาน ซึ่งถ้าถูกบังคับให้ทำ ก็เป็นการถูก(คนอื่น)ละเมิด ถ้าสมัครใจทำเอง ก็เป็นการละเมิดตัวเอง
ในยุโรปอาศัยข้อมูลจากการวิจัย นำไปสู่การออกกฎหมายเพื่อดูแลคนของเค้า
มีการวิจัยเกี่ยวกับชั่วโมงการทำงานกับสุขภาพ พบว่าการทำงานตั้งแต่ 49 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ขึ้นไป นำไปสู่โรคต่างๆ และสุขภาพย่ำแย่
เกี่ยวกับการเกิดอุบัติเหตุอันเนื่องมาจากการทำงานไม่ว่าจะเกิดระหว่างการทำงาน หรือเกิดระหว่างการเดินทางเพื่อหรือกลับจากการทำงาน มากขึ้นหลังจากชั่วโมงที่8 และที่9
คนทำงานเวรละ 12 ชั่วโมงมีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุมากกว่าคนทำงานเวรละ 8 ชั่วโมงถึง 2 เท่า
คนทำงานมากกว่า60ชั่วโมงต่อสัปดาห์ มีความเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยมากกว่าคนทำงานน้อยกว่า60ชั่วโมงถึง 23 %
คนทำงานมากกว่า65ชั่วโมงต่อสัปดาห์ มีความเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุเพิ่มขึ้น 88% เมื่อเทียบกับคนทำงาน 40ชั่วโมงต่อสัปดาห์เป็นต้น (มีการวิจัยอีกมากมาย)
ข้อมูลจากการวิจัยเหล่านี้ สหภาพยุโรปเอามาเป็นเกณฑ์ในการออกกฎหมายที่เรียกว่า working time directive (เริ่มตั้งแต่ ค.ศ.1993 และได้มีการปรับเปลี่ยนมาเป็นระยะๆ) เค้าออกกฎมาเพื่อสุขภาพและความปลอดภัยของคนทำงาน เค้าถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของคนที่รัฐต้องคุ้มครองไม่ให้ถูกคนจ้างงานมาละเมิด กฎนี้ไม่บังคับกับการทำงานของตัวเอง(self- employ)
เนื้อหาหลักๆ คือ
ชั่วโมงการทำงาน (ไม่เกิน48ชั่วโมงต่อสัปดาห์) เวลาพักในแต่ละวันอย่างน้อย11ชั่วโมง และ
วันหยุดสัปดาห์ละ1วัน
ทำงานกลางคืนไม่เกิน8ชั่วโมง
และมีวันพักผ่อนประจำปี อย่างน้อย 4 สัปดาห์
ทั้งนี้ไม่บังคับกับกิจการด้านความมั่นคง(ทหาร) ด้านความปลอดภัย(ตำรวจ) และในภาวะวิกฤตหรือระยะทีมีภัยพิบัติ
แต่หากใครสมัครใจจะทำงานมากกว่าที่กฎหมายระบุไว้(ต้องไม่ได้ถูกบังคับ) เค้าก็มีทางออกให้ เรียกว่า การขอทำงานเกินกว่าที่กำหนด (opt out)ซึ่งต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษร และจะยกเลิกก็ได้เมื่อไม่ต้องการทำงานเกิน นั่นคือ ห้ามบังคับทำเกิน แต่สมัครใจทำเกินได้ (แต่ก็มีจำกัดชั่วโมงทำงานสูงสุดเอาไว้ด้วย)
ทั้งนี้งานเกี่ยวกับขนส่งสาธารณะ ขนส่งมวลชน ขนส่งของสำคัญ ห้าม opt out จะขอทำงานเกินไม่ได้(คนขับรถสาธารณะ นักบิน กัปตันเรือ ไม่อนุญาตให้ทำเกินกฎหมาย)
ทั้งนี้มีบางประเทศในสหภาพยุโรปที่ไม่ยอมให้มีการ opt out เลยไม่ว่าจะอาชีพใดๆ เค้าถือว่า กฎหมายป้องกันไม่ให้ถูกละเมิด แม้แต่ตัวเองก็ห้ามละเมิดตัวเอง คือ ฟินแลนด์ เดนมาร์ก สวีเดน ลักเซมเบิร์ก ออสเตรีย ลิทัวเนีย ไอร์แลนด์ อิตาลี โปรตุเกส โครเอเชีย โรมาเนีย และกรีซ (กลุ่มประเทศสีเขียว)
บางประเทศเปิดให้มีการขอ opt out บ้างเป็นบางส่วน คือ ฝรั่งเศส เยอรมัน เบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ สเปน สโลวีเนีย แลตเวีย ฮังการี สาธารณรัฐเช็ก สโลวาเกีย และโปแลนด์ (กลุ่มประเทศสีส้ม)
อีกกลุ่ม คือ มีการเปิดให้มีการขอ opt out กันอย่างกว้างขวาง คือ อังกฤษ บัลกาเรีย เอสโทเนีย ไซปรัส และมอลต้า
นี่เป็นตัวอย่างของกลุ่มประเทศที่เค้าดูแลคนของเค้า ปกป้องสิทธิคนของเค้า ซึ่งเราน่าจะศึกษานำมาใช้ประโยชน์ในการดูแลคนของเราบ้าง