ข้อเท็จจริงและคำชี้แจงต่อรายงานการตรวจสอบประเมินผล สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตามรายงานของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๔ ความเป็นมา
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ตรวจสอบสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ มีภารกิจบริหารจัดการเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติตามนโยบายของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงและได้รับบริการสาธารณสุขอย่างมีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และในระยะยาวการบริหารเงินกองทุนฯ ต้องไม่เป็นภาระด้านงบประมาณของประเทศด้วย การบริหารจัดการของ สปสช.จึงต้องมีการศึกษาวิเคราะห์ความจำเป็นพื้นฐานด้านสุขภาพ ศักยภาพการให้บริการของหน่วยบริการตั้งแต่ระดับสถานีอนามัยจนถึงระดับโรงพยาบาลของสถาบันแพทย์ศาสตร์ทั้งภาครัฐและเอกชน แบบแผนการให้บริการทางการแพทย์และการสาธารณสุข ต้นทุนบริการด้านต่างๆ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการใช้บริการและต้นทุนบริการ การรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีทางการแพทย์ และการประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ต่างๆ โดยต้องใช้องค์ความรู้และบุคลากรระดับวิชาชีพที่ซับซ้อน เพื่อการวิเคราะห์ สังเคราะห์ การจำลองสถานการณ์ และการคาดการณ์ โดยใช้ข้อมูลจากการสำรวจและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง นอกจากนั้นเพื่อเป็นหลักประกันด้านคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุขที่ประชาชนจะได้รับจากหน่วยบริการ สปสช.ยังมีภารกิจในด้านการสนับสนุนการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐาน ตามมาตรา ๔๘ แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕
สปสช.เป็นหน่วยงานของรัฐที่มี พรบ เฉพาะของตนเอง ถูกจัดเป็นเป็นองค์การมหาชน มีบทบาทหลักในการบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีจากรัฐบาล จากรายงานผลการตรวจสอบของ สตง. เมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๔ มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะให้แก้ไขรวม ๗ ข้อ โดยไม่มีข้อกล่าวหาหรือเป็นการชี้มูลความผิด หรือชี้มูลการทุจริตแต่อย่างไร ลักษณะเฉพาะของ สปสช.ที่แตกต่างจากส่วนราชการทั่วไป สปสช.เป็นหน่วยงานของรัฐ มีฐานะเป็นนิติบุคคลอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขตามมาตรา ๒๔ แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ โดยมีคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นองค์กรกำหนดนโยบายและควบคุมกำกับการบริหารงานของ สปสช. และเนื่องจาก สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ได้จัดให้ สปสช.เป็นองค์การมหาชนที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะแยกต่างจากส่วนราชการทั่วไป ซึ่งการเป็นองค์การมหาชนมีหลักการสำคัญ ๓ ประการ คือ
(๑) เมื่อรัฐบาลมีนโยบายด้านใดด้านหนึ่งโดยเฉพาะเพื่อจัดทำบริการสาธารณะ
(๒) แผนงานการจัดทำบริการสาธารณะนั้นมีความเหมาะสมที่จะจัดตั้งหน่วยงานบริหารขึ้นใหม่ที่แตกต่างไปจากส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ
(๓) การจัดตั้งหน่วยบริหารขึ้นใหม่นั้นมีความมุ่งหมายให้มีการใช้ประโยชน์ทรัพยากรและบุคลากรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
สปสช.เป็นองค์การมหาชนที่มีระบบตรวจสอบอย่างเข้มงวด
ด้วยเหตุที่ต้องรับผิดชอบบริหารเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่ได้รับงบประมาณจากรัฐบาลจำนวนนับแสนล้านบาทต่อปี จึงต้องมีระบบและได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ และนโยบายของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ดังนี้
(๑) มีคณะอนุกรรมการตรวจสอบการบริหารเงินและการดำนินงาน ตามมาตรา ๒๑ และต้องรายงานผลการตรวจสอบต่อคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ทุก ๓ เดือน
(๒) ได้รับการตรวจสอบทางการเงินและบัญชีจาก สตง. โดย สตง.ได้จัดตั้งสำนักงานย่อยปฏิบัติงานประจำที่ สปสช. ผลการตรวจสอบต้องนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาทุกปีตามมาตรา ๔๓
(๓) มีกระบวนการถูกตรวจสอบและรับข้อเสนอแนะจากผู้รับบริการและผู้ให้บริการ ตามมาตรา ๑๘ ในประเด็นทั่วไปและในส่วนที่เป็นหลักเกณฑ์การจ่ายค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุข ตามมาตรา ๔๖
สรุป
๑. ผลการตรวจสอบและข้อเสนอแนะของหน่วยตรวจสอบนั้น สปสช.ได้ใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการปรับปรุงพัฒนาระบบงานและการบริหารให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลให้ สปสช. ผ่านการประเมินตามตัวชี้วัดของบริษัทไทยเรทติ้งแอนด์อินฟอร์เมชั่นเซอร์วิสจำกัด (TRIS) ที่กระทรวงการคลังมอบหมายให้เป็นผู้ประเมินผลงานกองทุนต่างๆของรัฐ ผลการประเมินอยู่ในระดับดีมากมาตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๔๘ – ๒๕๕๔ ทุกปี
๒. ผลการตรวจสอบและข้อเสนอแนะที่เกิดจากความแตกต่างของหน่วยตรวจสอบภายนอก ที่ใช้แนวคิดและความชำนาญในการใช้ กฎหมาย มติคณะรัฐมนตรี หรือกฎ ระเบียบของส่วนราชการ เป็นพื้นฐานการตรวจสอบ ขณะที่ พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ บัญญัติให้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีอำนาจหน้าที่กำหนดหลักเกณฑ์การบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและการบริหารจัดการภายในของ สปสช. รวมทั้งการที่ สปสช.เป็นองค์การมหาชน ทำให้มีระบบงานและวัฒนธรรมการปฏิบัติที่แตกต่างจากหน่วยงานราชการทั่วไป จึงเป็นความจำเป็นที่ สปสช.ต้องสรุปข้อเท็จจริงและทำคำชี้แจงต่อรายงานการตรวจสอบประเมินผลของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ทั้ง ๗ ประเด็น
สรุปข้อตรวจพบ ข้อเสนอแนะของ สตง. และคำชี้แจงของ สปสช.
ข้อตรวจพบที่ ๑ การใช้จ่ายงบบริหารไม่ถูกต้อง และไม่ประหยัด
ข้อตรวจพบที่ ๑.๑ การปรับอัตราเงินเดือนให้เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี กล่าวคือ การปรับอัตราเงินเดือนให้เลขาธิการหลังจากการประเมินผลการปฏิบัติงานปีที่ ๑ นั้น คณะกรรมการมีมติเห็นชอบให้ปรับอัตราเงินเดือนเป็นเดือนละ ๒๐๐,๐๐๐ บาท และเงินประจำตำแหน่งเดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นกรอบอัตราสูงสุดของกรอบเงินเดือนเลขาธิการตามมติคณะรัฐมนตรี ทำให้การปรับอัตราเงินเดือนของเลขาธิการปรับได้ เฉพาะการปฏิบัติงานปีที่ ๒ ไม่สามารถปรับอัตราเงินเดือนตามผลงานเป็นระยะ ๆ ตลอดอายุสัญญา จึงไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของการได้รับเงินเดือนของเลขาธิการตามมติคณะรัฐมนตรี
ข้อเสนอแนะที่ ๑.๑ เพื่อให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นไปอย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพ ประหยัด และคุ้มค่า สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินมีข้อเสนอแนะให้ประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติพิจารณาดำเนินการ ๑.๑ แก้ไขการกำหนดอัตราเงินเดือนของเลขาธิการให้มีการปฏิบัติให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด
คำชี้แจงที่ ๑.๑ ของ สปสช.
๑. การพิจารณากำหนดเงินเดือน และการปรับขึ้นเงินเดือนของเลขาธิการเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตามมาตรา ๓๑ ของ พรบ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๕ และที่ผ่านมา คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้เจรจาและกำหนดเงินเดือนเลขาธิการโดยพิจารณาจากภารกิจหลักของเลขาธิการที่ต้องรับผิดชอบบริหารเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่มีงบประมาณปีละกว่าหนึ่งแสนล้านบาท เปรียบเทียบกับเงินเดือนหน่วยงานที่เป็นองค์การมหาชนอื่น รวมทั้งการอ้างอิงแนวทางตามมติของคณะรัฐมนตรี เรื่องการปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือน และประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้อำนวยการองค์การมหาชนฯ เมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๗ คือ พิจารณาทั้งมิติด้านความรับผิดชอบที่ต้องบริหารงานอย่างกว้างขวางครอบคลุมทั้งประเทศ มิติด้านประสบการณ์ที่ปฏิบัติหน้าที่รองเลขาธิการ สปสช.มาตั้งแต่เริ่มต้น มิติด้านสถานการณ์ที่ต้องผลักดันภารกิจใหม่เรื่องหลักประกันสุขภาพของประเทศ
๒. สำหรับการพิจารณาปรับขึ้นเงินเดือนนั้น คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีวิธีดำเนินการอย่างเป็นระบบและเป็นธรรม กล่าวคือพิจารณาจากเงินเดือนเดิมที่เคยได้รับก่อนได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ ผลการปฏิบัติงานในรอบปีที่ผ่านมาที่ได้รับการ
ประเมินอยู่ในเกณฑ์ดีมาก โดยการประเมินของหน่วยงานภายนอก และได้รับโล่ห์บริหารกองทุนดีเด่นต่อเนื่องสามปีซ้อน ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๕๐-๒๕๕๒ ของกระทรวงการคลัง รวมทั้งการเทียบเคียงเงินเดือนกับหน่วยงานของรัฐอื่นที่มีลักษณะและปริมาณงานใกล้เคียง ตลอดจนการเทียบเคียงกับการปรับขึ้นเงินเดือนของเลขาธิการท่านเดิม ซึ่งเมื่อเทียบอัตราการปรับขึ้นของเงินเดือนของเลขาธิการจะพบว่าไม่ต่างจากหน่วยงานที่เป็นองค์การมหาชนอื่น เช่น โรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย และ
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เป็นต้น
๓. กล่าวโดยสรุปคณะกรรกการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้ใช้อำนาจหน้าที่ที่บัญญัติในกฎหมาย โดยได้คำนึงถึงการใช้จ่ายเงินงบประมาณของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้เป็นไปอย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพ ประหยัด และคุ้มค่า และมติคณะรัฐมนตรี ในการกำหนดเงินเดือนและปรับเงินเดือนของเลขาธิการ สปสช. อย่างเคร่งครัดอยู่แล้ว
ข้อตรวจพบที่ ๑.๒ การจ่ายเงินค่าเบี้ยประชุมคณะอนุกรรมการตรวจสอบไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี
สปสช. เป็นองค์การมหาชนในกลุ่มที่ ๓ อัตราเบี้ยประชุมกรรมการขั้นต่ำและขั้นสูงเท่ากับ ๖,๐๐๐ - ๑๒,๐๐๐ บาท อนุกรรมการให้ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายเดือนตามที่คณะกรรมการกำหนดแต่ ไม่เกินครึ่งหนึ่งของอัตราเบี้ยประชุมกรรมการ และประธานอนุกรรมการให้ได้รับในอัตราสูงกว่าอนุกรรมการร้อยละ ๒๕ ดังนั้นอนุกรรมการตรวจสอบจะได้รับเบี้ยประชุมขั้นต่ำและขั้นสูงเท่ากับ ๓,๐๐๐ – ๖,๐๐๐ บาท และประธานอนุกรรมการจะได้รับเบี้ยประชุมในอัตราไม่เกินเดือนละ ๗,๕๐๐ บาท จากการตรวจสอบพบว่าอนุกรรมการตรวจสอบได้รับเบี้ยประชุมในอัตราคนละ ๑๖,๐๐๐บาทต่อเดือน และประธานอนุกรรมการตรวจสอบได้รับเบี้ยประชุมในอัตราเดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท ทำให้ตั้งแต่มีมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๗ ถึงปัจจุบันเดือนมีนาคม ๒๕๕๓ สปสช.จ่ายค่าเบี้ยประชุมคณะอนุกรรมการตรวจสอบสูงเกินกว่าที่คณะรัฐมนตรีกำหนดเป็นเงินจ านวน ๓,๑๐๕,๐๐๐ บาท
ข้อเสนอแนะที่ ๑.๒ เพื่อให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นไปอย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพ ประหยัด และคุ้มค่า สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินมีข้อเสนอแนะให้ประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติพิจารณาดำเนินการ
๑.๒ ให้ตรวจสอบการจ่ายค่าเบี้ยประชุมคณะอนุกรรมการตรวจสอบให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี โดยหารือกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ หากคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมี ความเห็นว่าการปฏิบัติงานของคณะอนุกรรมการตรวจสอบไม่ได้เป็นการมาประชุมเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการจ่ายผลตอบแทนให้คณะอนุกรรมการตรวจสอบในการปฏิบัติงานตรวจสอบ
คำชี้แจงที่ ๑.๒ ของ สปสช.
๑. ตาม พรบ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๕ ได้บัญญัติให้มีคณะอนุกรรมการแบ่งได้เป็น ๒ ประเภทคือ คณะอนุกรรมการทั่วไปที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติแต่งตั้งขึ้นตามความจำเป็น และคณะอนุกรรมการตรจสอบ ที่กฎหมายกำหนดให้แต่งตั้งตามมาตรา ๒๑ ที่ผ่านมามีคณะอนุกรรมการทั่วไป เช่น คณะอนุกรรมการพัฒนาสิทธิประโยชน์และระบบบริการ คณะอนุกรรมการพัฒนาระบบการเงินการคลัง เป็นต้นคณะอนุกรรมการประเภทนี้ จะได้รับเบี้ยประชุมตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ในขณะนั้น) ประกาศกำหนดตามมาตรา ๒๓ ให้อนุกรรมการได้เบี้ยประชุมครั้งละ ๑,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นไปตามกรอบที่คณะรัฐมนตรี
กำหนด
รายละเอียดในประกาศกระทรวงสาธารณสุขเรื่อง อัตราค่าเบี้ยประชุมและค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประธานกรรมการ กรรมการ ประธานอนุกรรมการ อนุกรรมการ ลงวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติมเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ (เอกสารภาคผนวกที่
๑.๒.๑)
๒. คณะอนุกรรมการตรวจสอบ แต่งตั้งตามมาตรา ๒๑ มีหน้าที่ตรวจสอบการบริหารเงินและการด าเนินงานของ สปสช.ทั่วประเทศ และต้องรายงานผลการตรวจสอบต่อคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ทุก ๓ เดือน ประกอบกับมีสำนักตรวจสอบเป็นสำนักงานเลขานุการตามมาตรา ๓๗ ดังนั้นคณะอนุกรรมการตรวจสอบจึงปฏิบัติหน้าที่เสมือนกึ่งเต็มเวลา มิได้เพียงแต่ประชุมเป็นรายเดือนเท่านั้น หากแต่ยังได้ออกติดตามตรวจสอบการใช้จ่ายเงินกองทุนในพื้นที่และหน่วยบริการต่างๆด้วยอย่างน้อยเดือนละ ๑-๓ ครั้ง
เนื่องจากคณะอนุกรรมการตรวจสอบมีลักษณะเฉพาะกว่าคณะอนุกรรมการทั่วไป อย่างน้อยสามประการคือ
๑) กฎหมายบัญญัติให้มี
๒) ต้องการคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามเฉพาะของอนุกรรมการ
๓) มีภารกิจหรืออ านาจหน้าที่กว้างขวางทั่วประเทศ และต้องรายงานผลการตรวจสอบต่อคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ทุก ๓ เดือน เพื่อให้เหมาะสมกับคุณสมบัติและภารกิจเฉพาะที่กฎหมายกำหนดไว้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ในขณะนั้น) จึงได้ใช้อำนาจตามมาตรา ๒๓ ที่ก าหนดให้ “ให้อนุกรรมการได้รับเบี้ยประชุม ค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่าใช้จ่ายอื่นในการปฏิบัติหน้าที่ ...”กำหนดเป็นค่าตอบแทนเหมาจ่ายรายเดือนซึ่งรวมค่าเบี้ยประชุมและค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติหน้าที่ แตกต่างจากอนุกรรมการทั่วไปที่ได้รับเฉพาะเบี้ยประชุมอย่างเดียว รายละเอียดตามคำสั่งที่ ๑๕๓/๒๕๔๖ ลงวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๔๖ (เอกสารภาคผนวก ๑.๒.๒)
๓. กรณีนี้ สปสช. จึงเห็นว่าเป็นการใช้กฎหมายคนละฉบับ สตง.ใช้ กฎหมายว่าด้วยองค์การมหาชนและมติคณะรัฐมนตรีที่ออกตามกฎหมายดังกล่าว ส่วน สปสช.ใช้กฎหมายว่าด้วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ดังนั้น การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกำหนดให้อนุกรรมการตรวจสอบได้รับค่าตอบแทนเหมาจ่ายรายเดือนตามที่ตรวจพบนั้น จึงเป็น
การใช้อำนาจกำหนดตามความเหมาะสมและคำนึงถึงมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยมีกฎหมายรองรับอย่างถูกต้องแล้ว
ข้อตรวจพบที่ ๑.๓ การจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษ (โบนัส) ให้แก่เจ้าหน้าที่พนักงานและลูกจ้างไม่เหมาะสม จากการตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลการจ่ายเงินโบนัสให้แก่ เจ้าหน้าที่ พนักงาน และลูกจ้างของสปสช. พบว่าไม่ได้นำเสนอข้อมูลที่ครบถ้วนต่อคณะกรรมการ โดยมีรายละเอียดคือ ปีงบประมาณ ๒๕๔๙ สปสช.จ่ายเงินโบนัสจำนวนเงิน ๑๘,๗๐๒,๘๓๖.๐๐ บาท โดยไม่มีมติเห็นชอบจากคณะกรรมการ ในขณะที่ปีอื่น ๆ ทุกปีจะมีมติคณะกรรมการอนุมัติให้จ่าย และในปีงบประมาณ ๒๕๕๐ - ๒๕๕๑ สปสช. จ่ายเงินโบนัสให้พนักงานซึ่งไม่เป็นลูกจ้างของ สปสช. โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการกำหนดนโยบายบริหารทรัพยากรบุคคล แต่ไม่ได้นำเสนอการจ่ายโบนัสให้พนักงานเพื่อขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ทำให้คณะกรรมการยังไม่ได้พิจารณาว่า การจ่ายโบนัสให้พนักงานถูกต้องตามแนวทางหลักเกณฑ์การจ่ายเงินโบนัสที่คณะกรรมการกำหนด การจ่ายเงินโบนัสให้พนักงานในปีงบประมาณ ๒๕๕๐ – ๒๕๕๑ เป็นจำนวนเงิน ๒,๗๕๑,๖๑๕.๐๐ บาท
ข้อเสนอแนะที่ ๑.๓ เพื่อให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นไปอย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพ ประหยัด และคุ้มค่า สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินมีข้อเสนอแนะให้ประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติพิจารณาดำเนินการ
๑.๓ ทบทวนการจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษ (โบนัส) ให้แก่ผู้ปฏิบัติงานของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยประสานงานกับ
สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามแนวทางที่ถูกต้อง และควบคุมกำกับให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปฏิบัติตามมติคณะกรรมการในการจ่ายค่าตอบแทนพิเศษ (เงินโบนัส) และนำเสนอจำนวนเงินที่ต้องจ่ายค่าตอบแทนพิเศษ (โบนัส) ให้บุคลากรทุกประเภทของสำนักงานหลักประกันสุขภาพในแต่ละปีต่อคณะกรรมการ
คำชี้แจงที่ ๑.๓ ของ สปสช.
๑. การจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษ (โบนัส) เจ้าหน้าที่พนักงานและลูกจ้าง ตามนโยบายรัฐบาลในขณะนั้นเช่นเดียวกับส่วนราชการอื่นๆ และเป็นไปตามข้อบังคับ สปสช.ว่าด้วยการบริหารงานบุคคล พ.ศ.๒๕๔๖ ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ในขณะนั้น)ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้ประกาศกำหนดไว้ ในข้อ ๒๔ “ผู้ปฏิบัติงานอาจได้รับเงินประจำตำแหน่ง เงินเพิ่มพิเศษ ค่าตอบแทนอื่น สวัสดิการ การสงเคราะห์และประโยชน์เกื้อกูลตามที่คณะกรรมการกำหนด” โดยมีการเริ่มให้ในปี ๒๕๔๘ เป็นปีแรก ในการจ่ายโบนัสให้แก่บุคคลากรของ สปสช. เป็นไปตามมติที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๔๘ เมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๔๘ ซึ่งมีสาระสำคัญสรุปได้ ๓ ประการคือ (เอกสารภาคผนวกที่ ๑.๓.๑)
(๑.๑) เห็นชอบให้บุคคลากรของ สปสช.ได้รับค่าตอบแทนพิเศษ (โบนัส) ตามการประเมินผลงานแต่ละปี เหมือนส่วนราชการอื่น
(๑.๒) การจ่ายโบนัสให้แบ่งเป็นระดับลดหลั่นไป เป็นเกรด A, B, C
(๑.๓) ระดับอัตราการจ่ายโบนัสให้เป็นไปตามคะแนนที่ได้จากการประเมินของ TRIS ที่ได้รับมอบหมายจากกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลังในการประเมินผลการปฏิบัติงานของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดย หากได้เกรด A (คะแนนมากกว่าร้อยละ ๘๐) ให้ได้โบนัส ร้อยละ ๑๒ ของเงินเดือนรวม หากได้เกรด B (คะแนนระหว่างร้อยละ ๗๐-๘๐) ให้ได้โบนัส ร้อยละ ๘ ของเงินเดือนรวม และ หากได้เกรด C (คะแนนระหว่าง ร้อยละ ๖๐-๗๐) ให้ได้โบนัส ร้อยละ ๖ ของเงินเดือนรวม
............................................................