แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - patchanok3166

หน้า: 1 ... 8 9 [10] 11 12 ... 20
136
เปิดคดีช็อก บุรุษพยาบาลวางยาคนไข้ให้หัวใจหยุดเต้น ก่อนโชว์ช่วยชีวิต หวังทำให้เพื่อนร่วมงานประทับใจ สุดสะพรึงพบทำคนตายไปถึง 100 ราย อาจขึ้นแท่นฆาตกรต่อเนื่องที่เลวร้ายสุดในประเทศ

 วันที่ 30 ตุลาคม 2561 สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า นีลส์ โฮเกล อดีตบุรุษพยาบาลวัย 41 ปี อาจกลายมาเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่เลวร้ายที่สุดของเยอรมนี หากเขาถูกศาลตัดสินให้มีความผิดจริงในฐานฆาตกรรมผู้ป่วยทั้ง 100 คน ที่เคยอยู่ในการดูแลของเขา หลังจากที่เขาก่อเหตุวางยาผู้ป่วยให้หัวใจหยุดเต้น เพื่อจะได้โชว์ทักษะการกู้ชีวิต สร้างความประทับใจให้เพื่อนร่วมงาน

          รายงานเผยว่า นีลส์ได้ให้ยากับผู้ป่วยของเขาในโดสที่เป็นอันตรายถึงชีวิต ขณะปฏิบัติหน้าที่ในโรงพยาบาล 2 แห่ง ทางตอนเหนือของเยอรมนี ระหว่างปี 2542-2548 กระทั่งถูกจับได้ในที่สุด เมื่อมีคนพบว่าเขาฉีดยาโดยไม่มีใบสั่งยาจากแพทย์ ให้แก่ผู้ป่วยในความดูแลที่โรงพยาบาลในเมืองเดลเมนฮอร์ส


หลังจากการพิจารณาคดีในปี 2551 นีลส์ถูกตัดสินให้รับโทษจำคุก 7 ปี ฐานพยายามฆ่า แต่ในการพิจารณาคดีครั้งต่อมาระหว่างปี 2557-2558 ศาลได้ตัดสินให้นีลส์มีความผิดจริงในข้อหาฆาตกรรม 2 กระทง และพยายามฆ่าอีก 2 กระทง ซึ่งนั่นทำให้เขาต้องรับโทษจำคุกตลอดชีวิต


          อย่างไรก็ตามระหว่างการพิจารณาคดีครั้งนั้น นีลส์ได้หลุดปากสารภาพกับจิตแพทย์ว่า แท้จริงแล้วเขาได้ฆ่าคนไปมากกว่า 30 คน และคำสารภาพนั้นก็นำไปสู่การขยายผลการสอบสวน ทางตำรวจต้องขุดนำศพของผู้ป่วยที่เคยอยู่ในการดูแลของนีลส์ถึง 130 คน ขึ้นมาตรวจสอบผลทางพิษวิทยา มองหาหลักฐานเกี่ยวกับการใช้ยาที่อาจนำไปสู่ภาวะหัวใจหยุดเต้นของผู้ป่วย พร้อมตรวจสอบบันทึกการรักษาในโรงพยาบาลที่นีลส์เคยทำงานอยู่


          และแล้วพวกเขาก็พบว่า ในบันทึกจากโรงพยาบาลที่โอลเดนเบิร์ก เผยให้เห็นว่ามีอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วย และการกู้ชีพเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ระหว่างช่วงเวลาที่นีลส์เข้ากะปฏิบัติงาน


  กระทั่งล่าสุด ชุดสืบสวนค่อนข้างมั่นใจว่ามีผู้ป่วยทั้งสิ้น 100 คน ที่เสียชีวิตจากการกระทำของนีลส์ แบ่งออกเป็นผู้ป่วย 36 คน ที่เสียชีวิตในโรงพยาบาลที่เมืองโอลเดนเบิร์ก และอีก 64 คน ที่เสียชีวิตในโรงพยาบาลที่เมืองเดลเมนฮอร์ส ซึ่งคดีความของเขาจะเริ่มถูกนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีที่ศาลในเมืองโอลเดนเบิร์ก โดยคาดว่าน่าจะต้องกินเวลาจนถึงเดือนพฤษภาคม


          อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่สืบสวนเผยว่าแท้จริงแล้วอาจมีผู้เสียชีวิตที่ตกเป็นเหยื่อการสังหารของนีลส์มากกว่านี้ แต่ศพเหล่านั้นได้ถูกเผาไปแล้ว จึงไม่อาจนำร่างมาตรวจสอบหาหลักฐานการกระทำผิดได้

อย่างไรก็ตาม เจนนี่ ฮิลล์ ผู้สื่อข่าวบีบีซี เผยว่า คดีดังกล่าวค่อนข้างเป็นคดีที่อ่อนไหวสำหรับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่เยอรมนี หลังจากที่กลุ่มญาติของผู้เสียชีวิต กล่าวหาว่าพวกเขาทำเป็นหูหนวกตาบอดกับคดีที่นีลส์ได้ก่อไว้


เผยแพร่ 31 ต.ค 61 โดย www.kapook.com

137
จิตแพทย์หนุนคลอด กม.ห้ามสอบเข้าอนุบาล - ป.1 ชี้เด็กวัยไม่เกิน 8 ขวบ ไม่ควรมีการสอบแข่งขัน ทำให้เด็กเครียด กดดัน พ่อแม่ไม่รู้ตัว เพราะเด็กสื่อสารความรู้สึกไม่ได้ แนะสังเกตดื้อ ซน ก้าวร้าว ไม่ให้ความร่วมมือ ไม่อยากไป ร.ร.สัญญาณบอกเด็กเครียด ย้ำวัยนี้ควรสอนทักษะสังคม วินัย การช่วยเหลือตัวเอง ไม่เน้นวิชาการ อย่าบังคับเด็กอ่านเขียน ค่อยเริ่มตอน ป.2 ก็ไม่สาย


จากกรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.การพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. ... ซึ่งมีสาระสำคัญในเรื่องการรับเด็กเข้าสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยและสถานศึกษา ไม่ให้มีการสอบเข้า หรือไม่ให้มีการสอบเข้าอนุบาลหรือ ป.1


อ่าน เปิดร่าง พ.ร.บ.เด็กปฐมวัย หลังผ่าน ครม. ต้องไม่มีสอบเข้าอนุบาล-ป.1


วันนี้ (26 ต.ค.) พญ.ศุภรัตน์ เอกอัศวิน ผู้ทรงคุณวุฒิ สถานบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กทม. กล่าวถึงเรื่องนี้ ว่า ตนเห็นด้วยกับการออกกฎหมายดังกล่าวที่ไม่ให้มีการจัดสอบเข้าอนุบาลหรือ ป.1 และหากกฎหมายดังกล่าวจะผ่านออกมาบังคับใช้จริง จะเป็นเรื่องดีสำหรับเด็กไทย เนื่องจากเด็กในช่วงวัยดังกล่าวเป็นช่วงที่จะต้องพัฒนาทักษะการใช้ชีวิตต่างๆ ทั้งทักษะทางสังคม การเรียนรู้สิ่งแวดล้อม การช่วยเหลือตัวเอง การจากบ้านเป็นเวลานาน การอยู่ร่วมกับเพื่อน ครู การมีวินัยในตนเอง เป็นต้น ซึ่งไม่ใช่วัยที่จะมีความพร้อมในการสอบแข่งขัน ดังนั้น หากการเรียนการสอนในช่วงอนุบาลหรือ ป.1 เน้นในเรื่องทักษะเหล่านี้ ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องใช้การสอบเข้า แต่อาจมีอยู่เหตุผลเดียวคือ การแย่งกันเข้าที่เรียน นอกจากนี้ การเรียนการสอนก็ไม่ควรให้ความรู้สึกกดดันกับเด็ก หรือการให้การบ้านมาทำจำนวนมาก แล้วมีการสอบแข่งขันกันระหว่างเรียน


"เด็กในช่วงวัยไม่เกิน 7-8 ขวบนี้ หรือช่วงชั้น ป.1 ไม่ควรมีการสอบแข่งขันใดๆ แต่ควรเน้นเรื่องทักษะการใช้ชีวิตต่างๆ ซึ่งปัจจุบันก็ได้ยินมาว่ามีสถานการณ์การสอบในเด็กเล็กมากขึ้น แต่ที่สังเกต คือ ไม่ค่อยมีผู้ปกครองในการพาเด็กวัยนี้มาพบจิตแพทย์ เนื่องจากอาจไม่ทราบว่าเด็กมีความเครียด เพราะเด็กไม่สามารถอธิบายความรู้สึกในเรื่องอย่างนี้ออกมาได้ ทำให้ผู้ปกครองไม่ทราบ แต่ย้ำว่า การให้เด็กวัยนี้สอบแข่งขันต่างๆ สร้างความเครียดและกดดันให้แก่เด็กได้เช่นกัน ซึ่งวิธีการสังเกตว่าเด็กมีความเครียดหรือไม่ คือ เด็กอาจมีอาการซย ก้าวร้าว ไม่ให้ความร่วมมือ ไม่อยากไปโรงเรียน ก็เป็นอาการที่ช่วยให้พ่อแม่สังเกตได้" พญ.ศุภรัตน์ กล่าว


พญ.ศุภรัตน์ กล่าวว่า ส่วนใหญ่เด็กในวัยนี้จะเกิดความเครียดจาก 3 ปัจจัย คือ ปัจจัยทางบ้าน เช่น พ่อแม่มีปัญหา หรือทะเลาะกัน ตรงนี้พ่อแม่ต้องแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์และอย่าให้เด็กรับรู้เรื่องเหล่านี้ ปัจจัยที่โรงเรียนจากครู เพื่อน และการเรียน โดยเด็กอาจไม่มีความสามารถมากพอในการเรียน มีการบ้านเยอะมาก และปัจจัยที่ตัวเด็กเอง ซึ่งบางคนอาจมีปัญหาด้านอารมณ์ หรือสมาธิสั้น ก็ทำให้มีปัญหาในเรื่องของการเรียนรู้ได้ ซึ่งพ่อแม่ต้องคอยสำรวจปัญหาเหล่านี้ด้วยและหาทางแก้ปัญหา


เมื่อถามถึงค่านิยมพ่อแม่บังคับให้ลูกเล็กเรียนพิเศษ ฝึกอ่านเขียนให้ไว เพราะกลัวสู้ลูกเพื่อนไม่ได้ กลัวอ่านเขียนไม่ได้ จนสร้างความกดดันให้เด็ก พญ.ศุภรัตน์ กล่าวว่า อย่างที่บอกว่าช่วงก่อน 7-8 ขวบ เป็นช่วงที่ต้องฝึกทักษะ ฝึกวินัยต่างๆ ให้แก่เด็ก จะมาฝึกเอาตอนวัยรุ่นนั้นไม่ได้แล้ว ช่วงวัยนี้เป้นเวลาทองที่จะต้องฝึก ดังนั้น พ่อแม่และโรงเรียนก็ต้องเน้นในเรื่องเหล่านี้ ยังไม่เน้นเรื่องของการอ่านออกเขียนได้หรือทางวิชาการมากจนเกินไป โดยเด็กที่พ้น 8 ขวบไปแล้ว หรือช่วง ป.2 ขึ้นไปเด็กจะเริ่มเก่งทุกอย่างในการใช้ชีวิต การช่วยเหลือตัวเองแล้ว ค่อยเน้นเรื่องทางวิชาการก็ยังไม่สาย ส่วนที่กลัวว่าลูกจะอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ในช่วง ป.1 ก็ไม่อยากให้กังวล เพราะจริงๆ แล้วเด็กเขามีการเรียนรู้เริ่มเขียนอ่านได้แล้ว เพราะเขาเห็นตัวอย่างจากผู้ใหญ่ในการเขียนอ่านก็พยายามเลียนแบบ แต่อาจจะไม่คล่อง ซึ่งต้องไม่ไปสร้างความกดดันให้เด็ก


พญ.ศุภรัตน์ กล่าวว่า ในการประเมินว่าเด็กอ่านออกเขียนได้หรือไม่นั้น ต้องชี้แจงว่า อยากให้ดูจากพัมนาการของเด็กว่าสมวัยหรือไม่ ซึ่งจะมีสมุดเล่มสีชมพูในการบันทึกพัฒนาการของลูกว่า ในช่วงวัยนี้เขาต้องทำอะไรได้บ้างแล้ว ก็ช่วยในการประเมินได้ แต่เมื่อเข้าโรงเรียนก็จะมีครูช่วยประเมินพัฒนาการของเด็ก โดยจะดูจากค่าเฉลี่ยของห้อง เช่น การเขียนตัวอักษรนี้ หรืออ่านคำๆ นี้ เด็กส่วนใหญ่สามารถทำได้หรือไม่ ซึ่งหากสามารถทำได้ อยู่ในกลุ่มเฉลี่ย 2 ใน 3 ของห้องก็อาจประเมินได้ว่าเด็กพัฒนาปกติ แต่หากทำไม่ได้อยู่ในโซนรั้งท้าย 1 ใน 3 ก็อาจประเมินว่าเด็กมีความผิดปกติอะไรหรือไม่ ซึ่งครูก็จะแจ้งให้ผู้ปกครองรับทราบ แต่ยืนยันว่าการประเมินต้องไม่ทำให้เด็กรู้สึกกดดันหรือประเมินในเรื่องของทางวิชาการมากจนเกินไป แต่ควรประเมินในเรื่องทักษะการใช้ชีวิตของเด็กมากกว่า สำหรับในช่วง ป.1 ลงมา



เผยแพร่: 26 ต.ค. 2561    โดย: ผู้จัดการออนไลน์

138
รมว.สธ.เปิดคลินิกหมอครอบครัว รพ.สต.ป่างิ้ว จ.เชียงราย ดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ติดตามต่อเนื่องที่บ้าน ลดแออัด ค่าใช้จ่ายไปรักษา รพ.ใหญ่ ปี 62 จ่อขยายอีก 364 แห่ง จากที่มีแล้ว 1,170 แห่ง


วันนี้ (29 ต.ค.) นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังเปิดคลินิกหมอครอบครัวโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ป่างิ้ว อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย ว่า รัฐบาล ให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ ซึ่งมี รพ.สต.ทำงานร่วมกับคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ และทีมหมอครอบครัวที่มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว และทีมสหวิชาชีพให้การดูแลประชาชนใกล้ชิด ประชาชนได้รับบริการขั้นพื้นฐานที่คลินิกหมอครอบครัวใกล้บ้าน สะดวก รวดเร็ว ลดความแออัดในโรงพยาบาลใหญ่ โดยเฉพาะการดูแลผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง สำหรับคลินิกหมอครอบครัว รพ.สต.ป่างิ้ว เป็น PCC ต้นแบบเขตชนบทปี 2561 ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน รพ.สต.ติดดาวระดับ 5 ดาว มีการจัดบริการตามหลักเวชศาสตร์ครอบครัว มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวจากโรงพยาบาลเวียงป่าเป้าออกตรวจรักษา ให้บริการทุกกลุ่มวัย มีคลินิกโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ดูแลผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูงที่ควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ ในปี 2561 PCC รพ.สต.ป่างิ้วให้บริการผู้ป่วยในเขตพื้นที่ร้อยละ 87 ผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังร้อยละ 77.8 ดูแลผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงทั้ง 16 รายต่อเนื่อง โดยทีมหมอครอบครัวและทีมสหวิชาชีพ


นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า ขณะนี้ ทั่วประเทศมีคลินิกหมอครอบครัว (Primary Care Cluster : PCC) จำนวน 1,170 แห่ง ในปีงบประมาณ 2562 จะจัดตั้งเพิ่มอีก 364 แห่งตามจำนวนแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว เน้นคุณภาพให้มีต้นแบบของแต่ละเขตเพื่อเป็นพี่เลี้ยงให้กับคลินิกหมอครอบครัวในเขต พัฒนารูปแบบมาตรฐานบริการ จัดทำคู่มือแนวทางการดำเนินงาน พัฒนาแอปพลิเคชัน H4U สำหรับประชาชนรู้ข้อมูลสุขภาพของตนเอง โปรแกรมจัดการข้อมูลสุขภาพ สำหรับเจ้าหน้าที่ พัฒนาหลักสูตรอบรมสหวิชาชีพของทีมหมอครอบครัวและอบรมแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ซึ่งโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์เป็นแหล่งฝึกอบรมแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ที่ผ่านการรับรองจากราชวิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวแห่งประเทศไทย สามารถผลิตแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวได้อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ครอบครัว 9 คน อยู่ระหว่างฝึกอบรมอีก 21 คน โดยจังหวัดเชียงรายมีประชากร 1.1 ล้านคน ควรมีทีมหมอครอบครัว 107 ทีม ซึ่งปัจจุบันมีเพียง 19 ทีม จึงต้องเร่งผลิตแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวให้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้


เผยแพร่:: 29 ต.ค. 2561    โดย: ผู้จัดการออนไลน์

139
ศิริราชแจ้งปิดประตูทางเข้า ประตูอุบัติเหตุ เพื่อก่อสร้างสกายวอล์ก ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. เป็นต้นไป ให้ใช้ทางเข้าประตูด้านหลัง รพ. ท่าน้ำวังหลัง หรือประตูข้าง ธ.ไทยพาณิชย์


รศ.นพ.นริศ กิจณรงค์ รองคณบดีฝ่ายสื่อสารองค์กรและกิจกรรมเพื่อสังคม คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า รพ.ศิริราชจะปิดเส้นทางเดินรถเข้าประตูตึกอุบัติเหตุ (ประตู 1) ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2561 เป็นต้นไป เพื่อก่อสร้างทางสัญจรยกระดับ (Skywalk) สำหรับผู้ที่จะเดินทางมายัง รพ.ศิริราช โปรดใช้เส้นทางเบี่ยงสะพานอรุณอมรินทร์เข้าด้านหลัง รพ.ศิริราช (ประตู7) หรือเข้าประตูท่าน้ำวังหลัง (ประตู 8) กรณีส่งผู้ป่วยทั่วไปสามารถส่งที่ตึกผู้ป่วยนอก ด้านถนนอรุณอมรินทร์ หรือเข้าทางประตูด้านข้างธนาคารไทยพาณิชย์ (ประตู 10) ถัดจากประตูอุบัติเหตุ


ส่วน ประตูอุบัติเหตุ (ประตู 1) เข้าได้เฉพาะผู้ป่วยอุบัติเหตุเท่านั้น ทั้งนี้ จะมีป้ายแสดงเส้นทางการเดินรถตลอดทาง ภายในโรงพยาบาล และเพื่อความสะดวกในการเดินทาง ขอความกรุณาท่านใช้บริการรถสาธารณะ สอบถาม เพิ่มเติมได้ที่ โทร.0 2419 7272




เผยแพร่: 26 ต.ค. 2561    โดย: ผู้จัดการออนไลน์

140
จิตแพทย์ ชี้ พกหนังสือสอนวิธีฆ่า ทำร้ายคนอื่น ไม่ได้บอกว่าคนนั้นมีปัญหาทางจิต แต่สามารถกระตุ้นอยากแสดงความรุนแรงได้ โดยเฉพาะเด็ก เผย หนังสืออาจตอบสนองคนบางกลุ่ม เช่น คนฆ่าสัตว์ที่ทำเพราะฆ่าตอบแทน ย้ำไม่ควรมีสิ่งเหล่านี้ในประเทศ


จากกรณีการตรวจค้นแบบดีเจที่ต้องสงสัยคดีฆ่าแมวอย่างทารุณ โดยพบหนังสือลัทธินิยมความรุนแรงในห้องของดีเจสาวรายดังกล่าว


วันนี้ (26 ต.ค.) นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า มนุษย์มีจิตสำนึกในการใช้ความรุนแรงในการดำรงเผ่าพันธุ์ แต่มีสมองส่วนหน้าที่คอยควบคุมไม่ให้แสดงความรุนแรงทางร่างกาย แต่หากได้รับการกระตุ้นจากสื่อ เสียง เหตุการณ์ต่างๆ ก็ทำให้เกิดการเลียนแบบได้ง่าย โดยเฉพาะเด็กๆ สำหรับกรณีที่มีการพกหนังสือสอนวิธีฆ่าหรือทำร้ายคนอื่นนั้น จะไปบอกว่าเขามีปัญหา มีความผิดปกติคงไม่ได้ แต่อาจจะเป็นอีกหนึ่งสิ่งกระตุ้นที่อยากแสดงความรุนแรง บางคนดูภาพน่ากลัว ภาพแสดงความโหดร้ายแทนการลงมือกระทำจริงๆ แต่หากเป็นคนที่ควบคุมตัวเองไม่ดี ก็จะเป็นผู้ลงมือกระทำ บางคนใช้วิธีการว่าจ้างคนอื่นกระทำความรุนแรงให้ดู


นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า ส่วนกรณีที่เป็นข่าวนี้ไม่ได้ระบุว่า เป็นผู้ที่มีพฤติกรรมรุนแรงหรือไม่ เพราะเราต้องดูวัตถุประสงค์ แรงจูงใจ ซึ่งมีตั้งแต่ระดับจิตใต้สำนึกคือแรงขับทางความรุนแรง แล้วมีแรงจูงใจบางอย่าง เช่น มีค่าตอบแทน เหมือนคนที่ฆ่าสัตว์ในโรงฆ่าสัตว์ ที่เขาทำ ไม่ได้เพราะชอบ แต่เพราะเป็นอาชีพมีค่าตอบแทน ส่วนหนังสือวิธีฆ่าอาจจะเป็นการศึกษาวิธีการเพื่อตอบสนองผู้ซื้อหรือไม่ อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ควรมีอยู่ในประเทศไทย เราไม่ควรสนับสนุนสิ่งเหล่านี้ ทั้งนี้ คนที่ศึกษาวิธีทำร้ายคนอื่นและลงมือจริง เกิดจากความตั้งใจซึ่งแยกออกจาก ผู้ป่วยที่กระทำความรุนแรงซึ่งจะทำไปโดยไม่รู้ตัว ควบคุมตัวเองไม่ได้


“ถ้าพูดถึงสิ่งกระตุ้นแล้วในทางการแพทย์ก็ว่าไม่ดี ส่วนดีมีน้อยกว่าส่วนไม่ดี สิ่งยั่วยุกระตุ้นมีผลเสียมากกว่า 90% ส่วนน้อยมากที่รู้สึกได้ระบายออกโดยการดูสื่อแต่ไม่ลงมือกระทำ ไม่อย่างนั้นเราคงไม่มีการประกาศจัดเรตความรุนแรงในหนัง ละคร สื่อต่างๆ เพราะสอดคล้องกับเรื่องทางจิตวิทยา เป็นหน้าที่ของทุกคนที่ต้องสั่งสอนลูกหลานให้มีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์” นพ.เกียรติภูมิ กล่าว



เผยแพร่:  28 ต.ค. 2561    โดย: ผู้จัดการออนไลน์

141
กรมอนามัย ห่วงสุขภาพประชาชนในช่วงปลายฝนต้นหนาว โดยเฉพาะเด็กอ่อนและผู้สูงอายุ ต้องดูแลเป็นพิเศษ แนะออกกำลังกายแบบง่ายๆ ควบคู่กับการกินอาหารร้อน เพื่อช่วยสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกายและพักผ่อนให้เพียงพอ


พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ช่วงหน้าหนาวการสร้างความอบอุ่นให้ร่างกายด้วยการออกกำลังกายและกินอาหารที่มีประโยชน์จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันในการป้องกันโรคต่างๆ ได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กอ่อน เด็กเล็กและกลุ่มผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มที่มักได้รับผลกระทบต่อสุขภาพได้ง่ายเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ พ่อแม่และผู้สูงอายุจึงต้องมีความเข้าใจและรู้จักการดูแลสุขภาพอย่างถูกวิธี เพื่อป้องกันโรคต่างๆ ที่เกี่ยวกับโรคระบบทางเดินหายใจ โรคไข้หวัด หากเกิดโรคดังกล่าวในช่วงหน้าหนาว อาจส่งผลกลายเป็นโรคหลอดลมอักเสบและโรคปอดบวมได้ในที่สุด จึงควรสร้างความอบอุ่นร่างกายให้กับตนเองด้วยการสวมเสื้อผ้าที่มิดชิด หลีกเลี่ยงการอาบน้ำเย็นในเวลากลางคืน นอกจากนี้สำหรับคุณแม่มือใหม่ ควรดูแลลูกน้อยเป็นพิเศษ เพราะเมื่อเจอกับสภาพอากาศที่หนาวเย็นลูกอาจปากแห้งแตก จึงควรให้ลูกดื่มนมจากเต้าบ่อยๆ วันละ 6-8 ครั้ง และในช่วงให้นมลูก อ้อมกอดของแม่จะช่วยสร้างความอบอุ่นให้กับลูกด้วย ซึ่งนมแม่เป็นสารอาหารที่สำคัญและสร้างภูมิคุ้มกันและต้านทานโรคที่ดีที่สุดให้กับทารก


ส่วนวิธีที่ทำให้ร่างกายอบอุ่นคลายหนาวที่เหมาะกับทุกกลุ่มวัย คือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อาทิ การเดินเร็วๆ การวิ่งเหยาะ การขี่จักรยาน การเล่นกีฬาที่มีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง การรำมวยจีน โดยทำให้รู้สึกหายใจเร็วขึ้น ไม่ต้องถึงกับหอบ สัปดาห์ละ 5 วันเป็นเวลาอย่างน้อยวันละ 30 นาทีก็เพียงพอที่จะเกิดภูมิคุ้มกัน หรือแม้กระทั่งการทำงานบ้าน ไม่ว่าจะเป็นกวาดบ้าน ถูบ้าน ซึ่งในการเริ่มต้นออกกำลังกายนั้น ควรเริ่มจากเบาๆระยะเวลาน้อยๆก่อนแล้วค่อยๆ เพิ่มเวลาขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละสัปดาห์เพื่อให้ร่างกายปรับตัว จากนั้นจึงเพิ่มความแรงหรือความหนัก และการออกกำลังกายในแต่ละครั้งไม่จำเป็นต้องหนักหรือเหนื่อยมาก


ที่สำคัญ อีกประการหนึ่ง คือ ควรพักผ่อนให้เพียงพอ และกินอาหารประเภทผักและผลไม้สด ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม ฝรั่ง ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการสร้างภูมิคุ้มกันโรคระบบทางเดินหายใจอีกด้วย และเนื่องจากในช่วงอากาศหนาวเย็นจะทำให้อาหารจับตัวเป็นไข ก่อนการบริโภคจึงควรนำไปอุ่นให้ร้อนเสียก่อน ซึ่งจะช่วยเพิ่มรสชาติของอาหารให้อร่อยขึ้น อีกทั้งยังช่วยเพิ่มอุณหภูมิความร้อนให้กับร่างกายและสามารถคลายความหนาวได้อีกทางหนึ่งด้วย



เผยแพร่:  28 ต.ค. 2561   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

142
คณะแพทย์ จุฬาฯ พร้อมวิจัยเฟส 2 ทันที "ยาแอนติบอดี" ต้านมะเร็งด้วยภูมิคุ้มกัน หลังคนบริจาคเกิน 10 ล้านบาทแล้ว วอนบริจาคต่อเนื่อง เหตุยังต้องใช้เงินอีกมาก หวังสำเร็จช่วยราคายาถูกลงจาก 8 ล้านบาท เหลือ 1 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าวิจัยเซลล์บำบัด และวัคซีนรักษามะเร็ง


ความคืบหน้ากรณีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เดินหน้าวิจัยยาต้านมะเร็งจากภูมิคุ้มกันบำบัด ซึ่งขณะนี้สำเร็จในเฟส 1 แล้ว กำลังเข้าสู่เฟส 2 เพื่อปรับปรุงแอนติบอดีให้คล้ายมนุษย์ที่สุด เบื้องต้นต้องใช้งบประมาณ 10 ล้านบาท และตลอดทั้ง 5 เฟสต้องใช้งบ 1,500 ล้านบาท จนป้นที่มาของการชักชวนให้ประชาชนร่วมบริจาคทำการวิจัยนั้น


วันนี้ (24 ต.ค.) ศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯและ ผอ.รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย แถลงข่าวแพทย์จุฬาฯ ก้าวไกล... สร้างนวัตกรรมการรักษามะเร็ง ว่า ปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคมะเร็งเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้พบโรคมะเร็งมากขึ้น จุฬาฯ จึงมียุทธศาสตร์ในการวิจัย การเรียน การสอนเพื่อให้คนไทยได้รับการดูแลเรื่องโรคมะเร็งอย่างครบวงจร โดยจุฬาฯมีความพร้อมในทุกศาสตร์ของโรคมะเร็ง และเพื่อขับเคลื่อนให้คนไทยเข้าถึงสิทธิในการรักษาอย่างเท่าเทียม โครงการรักษาด้วยแอนติบอดี้จึงเป็นอีกหนึ่งโครงการที่จุฬาฯทำการวิจัยพัฒนาเพื่อนำไปสู่การใช้ประโยชน์จริงต่อสังคม ซึ่งต้องใช้เวลานานและมีงบสนับสนุนต่อเนื่อง


นพ.ไตรรักษ์ พิสิษฐ์กุล หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาเชิงระบบคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า มะเร็งจะสร้างเซลล์พีดีแอล-1 ขึ้น เพื่อจับกับเซลล์พีดี-1 ของทีเซลล์หรือเซลล์ภูมิคุ้มกัน เพื่อหลอกว่า เป็นเซลล์ปกติ ทำให้ไม่เกิดการทำลายเซลล์มะเร็ง ซึ่งขณะนี้ทีมวิจัยได้ค้นหาแอนติบอดีต้นแบบ 1 ตัว ที่สามารถหยุดการทำงานไม่ให้พีดี-1 และพีดี-แอล1 มาจับคู่กันได้ ให้ผลในหลอดทดลองใกล้เคียงกับยาแอนติบอดีของต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีการรับรองให้ใช้รักษาในมะเร็ง 15 ชนิด อาทิ มะเร็งปอด มะเร็งผิวหนัง มะเร็งไต มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งปากมดลูก เป็นต้น กำลังเข้าสู่เฟส 2 ในการปรับปรุงแอนติบอดีให้มีความคล้ายของมนุษย์ ซึ่งสามารถเริ่มได้เลย เพราะได้รับเงินบริจาคเกิน 10 ล้านบาทแล้ว แต่ยังสามารถบริจาคเข้ามาได้เรื่อยๆ เพราะต้องการงบ 200 ล้านบาท ในการพัฒนาผลิตเข้าโรงงาน อย่างไรก็ตาม จะมีการทำแอนติบอดี้ต้นแบบจากหนูเพิ่มอีก 10 ตัว เนื่องจากมีโอกาสเพียง 10% ที่ยาต้นแบบที่เราพัฒนาได้จะไม่ซ้ำกับของประเทศอื่น


"ตั้งเป้าว่าภายในปี 2566 จะมียาใช้ทดลองในผู้ป่วยได้ และหากได้ยาแอนติบอดีมาก็อยากให้เป็นสิทธิบัตรของสภากาชาดไทย รวมถึงให้สภากาชาดไทยเป็นผู้กระจายยาดังกล่าว ทั้งนี้ การที่เราทำการศึกษาวิจัยพัฒนายารักษามะเร็งขึ้นเองในประเทศไทย เพราะขณะนี้เราต้องนำเข้ายาดังกล่าวจากต่างประเทศ 100% ยากลุ่มนี้จึงมีราคาแพง ผู้ป่วยส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงการรักษาการผลิตยาใช้เองในประเทศจะทำให้เราสามารถควบคุมราคาค่ารักษาได้และสามารถเพิ่มโอกาสการเข้าถึงยาของผู้ป่วยด้วย" นพ.ไตรรักษ์ กล่าว


ศ.ดร.พญ.ณัฏฐิยา หิรัญกาญจน์ หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็งคณะแพทย์ศาสตร์จุฬาฯ กล่าวว่า แอนติบอดีไม่ได้ใช้ได้กับทุกคน ใช้ได้เฉพาะบางคนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยรายใดใช้แอนติบอดีรักษาไม่ได้ก็จะต้องใช้วิธีอื่น ซึ่งจุฬาฯ กำลังทำการวิจัยพัฒนาต่อยอด เช่น การใส่เซลล์เม็ดเลือดขาวหรือที่เรียกว่าเซลล์บำบัด แต่วิธีนี้ต้องทำในที่ที่มีความสะอาดและปลอดภัยเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีวิธีการผลิตวัคซีนรักษาโรคมะเร็ง โดยเป็นการกระตุ้นให้ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกัน เป็นต้น ซึ่งทั้ง 2 ตัวนี้ จุฬาฯ กำลังต่อยอดทำวิจัยอยู่ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยาแอนติบอดี้ยังมีราคาสูงเพราะต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งผู้ป่วย 1 รายต้องจ่ายเงินในการรักษาเองประมาณ 8 ล้านบาท หากจุฬาฯ พัฒนาสำเร็จค่าใช้จ่ายจะถูกลง หวังว่าราคาน่าจะอยู่ที่ไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือถูกลง 10 เท่า ถือว่ามีความคุ้มค่าในการรักษา และเชื่อว่ารัฐบาลอาจมีการนำยาเข้าสู่หลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือสิทธิบัตรทอง ดังนั้น เราต้องรีบทำการวิจัยและพัฒนาให้ได้ยามาใช้โดยเร็วที่สุดภายใต้มาตรฐานความปลอดภัย


ผู้สนใจสามารถสมทบทุนได้ที่ศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็งคณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เลขบัญชี 408-004443-4 ชื่อบัญชีคณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (เงินบริจาคเพื่อการวิจัย) ธนาคารไทยพาณิชย์สาขาสภากาชาดไทย และบัญชีใหม่ที่เพิ่งเปิดเลขที่บัญชีกระแสรายวัน ธนาคารไทยพาณิชย์ 045-304669-7 ชื่อบัญชีบัญชีคณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (เงินบริจาคเพื่อการวิจัย)




เผยแพร่: 24 ต.ค. 2561   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

143
สบส.แจงไม่พบหลักฐาน "คูณ-คณิน" อดีตพระเอกเป็นทันตแพทย์ จ่อเอาผิดญาติที่เป็นเจ้าของคลินิกเถื่อน เหตุขาด "หมอ" เป็นผู้ดำเนินการ


นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีเอาผิด คูณ-คณิน บัดติยา อดีตพระเอกละคร ที่เปิดคลินิกทันตกรรมโดยไม่ได้รับการขออนุญาต ว่า กรณีนี้มีความผิด 2 กรณี คือ 1.ตัวนายคณิน ซึ่งปฏิบัติงานในคลินิก แต่เมื่อตรวจสอบกลับไม่พบใบประกอบวิชาชีพทันตกรรม แม้เจ้าตัวจะอ้างว่าจบการศึกษาทันตแพทย์จากฟิลิปปินส์ แต่ก็ไม่พบเอกสาร หลักฐานตามที่กล่าวอ้าง ซึ่งทำให้มีโทษจำคุก 3 ปี ปรับ 3 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามกฎหมายวิชาชีพ


นพ.ธงชัย กล่าวว่า 2.ส่วนของคลินิก ตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 กำหนดว่าผู้ที่มายื่นขออนุญาตเปิดคลินิก หรือสถานพยาบาล จำต้องมีใบประกอบคลินิก ทั้ง 2 ชนิด คือ ผู้ประกอบกิจการ หรือเจ้าของคลินิกนั้นๆ ซึ่งเป็นได้ทั้งแพทย์ หรือไม่ใช่แพทย์ก็ได้ และผู้ดำเนินการ ซึ่งต้องเป็นผู้มีใบประกอบวิชาชีพ อาทิ แพทย์ ทันตแพทย์ ฯลฯ ไม่มีไม่ได้ โดยจากการตรวจสอบพบว่า คลินิกแห่งนี้มีเพียงผู้ประกอบกิจการ ซึ่งคาดว่าอาจเป็นพี่ชายหรือญาติของนายคณิน แต่กลับไม่มีผู้ดำเนินการ จึงถือว่ามีความผิดเป็นสถานพยาบาลที่ประกอบกิจการโดยไม่มีผู้ดำเนินการ ส่วนจะติดตามญาติผู้นี้อย่างไรต่อไป ทางตำรวจกำลังดำเนินการ


"ก่อนหน้านี้มีการขออนุญาตเป็นสหคลินิกถูกต้อง เนื่องจากมีทั้งผู้ประกอบกิจการ และผู้ดำเนินการ ซึ่งเป็นแพทย์ แต่ประมาณ 1-2 ปี แพทย์ได้เลิกทำ จึงทำให้ต้องหาผู้ประกอบวิชาชีพมาแทน แต่ปรากฎว่า ไม่มีการดำเนินการ จึงทำให้ต้องยกเลิกใบอนุญาต ดังนั้น ในครั้งนี้เมื่อมีการลักลอบเปิดจึงถือว่าผิดกฎหมาย จึงได้สั่งให้ปิดคลินิกดังกล่าวแล้ว" นพ.ธงชัย กล่าว



เผยแพร่: 23 ต.ค. 2561    โดย: ผู้จัดการออนไลน์

144
กรมแพทย์แผนไทย เตรียมจัดงาน วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 25-29 ต.ค. 2561 ชู 9 ตำรับยาโบราณจาก “วัดโพธิ์” ทั้งแก้ลม บำรุงหัวใจ ขับเลือดเสีย ขับเสมหะ แก้ปวดเมื่อยคลายเส้น ยากวาดปากเด็ก ขับเลือดลมในช่องท้อง


วันนี้ (22 ต.ค.) นพ.มรุต จิรเศรษฐสิริ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก แถลงข่าวจัดงานสัปดาห์วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติประจำปี 2561 ว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ถวายพระราชสมัญญานาม พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ เป็นพระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย และกำหนดให้วันที่ 29 ต.ค. ของทุกปี เป็นวันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติ ซึ่งปีนี้จัดเป็นปีที่ 3 แล้ว โดยทุกปีจะมีพิธีราชสดุดีพระองค์ท่าน รวมถึงการจัดกิจกรรมเทิดพระเกียรติ ต่อคุณูปการที่พระองค์ทรงทำนุบำรุงการแพทย์แผนไทยให้รุ่งเรืองในทุกด้าน โดยเฉพาะด้านเภสัชกรรมไทย การนวดไทย ซึ่งปรากฏอยู่ตามศาลารายในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์) แผ่นจารึกตำรายา ซึ่งมีถึง 1,061 ตำรับ ตำราการนวดไทย 60 ภาพ การสร้างรูปหล่อฤาษีดัดตนที่มีส่วนผสมของสังกะสีกับดีบุก 80 ท่า เป็นต้น



“พระองค์ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดโพธิ์ ซึ่งถือเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของคนไทย ปัจจุบันวัดโพธิ์มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ทั้งนี้ องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้ประกาศรับรองขึ้นทะเบียนวัดโพธิ์ เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก ดังนั้น กรมฯ พร้อมเครือข่าย จึงได้มีกำหนดจัดงานสัปดาห์วันภูมิปัญญาทางแพทย์แผนไทยแห่งชาติ ขึ้น ระหว่างวันที่ 25-29 ต.ค. ที่ วัดโพธิ์ โดยในปีนี้มีเรื่องเด่นที่ต้องการนำเสนอ คือ จะมีการเปิดตำรับยาของชาติ จากจารึกวัดโพธิ์ ทั้งกลุ่มยาเด็กและผู้ใหญ่ จำนวน 9 ตำรับ รวมถึงเวทีทางวิชาการ การบริการด้วยแพทยืแผนไทย แพทย์พื้นบ้านไทย แพทย์ทางเลือก การจำหน่ายสินค้าและผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย สมุนไพรต่างๆ อาหารพื้นเมืองที่ได้มาตรฐานจากทุกภาคทั่วประเทศกว่า 40 ร้าน” นพ.มรุต กล่าว


ภญ.คลิชา ชั่งสิริพร เภสัชกรประจำโรงพยาบาลอู่ทอง จ.สุพรรณบุรี กล่าวว่า สำหรับยา 9 ตำรับ ประกอบด้วย กลุ่มยาลม คือ ยาอินทร์ประสิทธิ์ และยาหทัยวาตาธิคุณ ช่วยแก้ลม บำรุงหัวใจให้ชุ่มชื่น กลุ่มยาสตรี คือ ยากำลังราชสีห์ และ ยาพรหมพักตร์ มีสรรพคุณช่วยบำรุงและขับโลหิต เลือดเสียต่างๆ เพราะปัจจุบันพบว่าสตรีมีปัญหาเรื่องระบบโลหิต สังเกตได้จากฝ้าบนใบหน้า ที่สื่อให้เห็นว่าระบบโลหิตมีปัญหา อย่างไรก็ตาม สตรีที่สนใจควรปรึกษาผู้มีความรู้ เพื่อตรวจหาความบกพร่องทางระบบโลหิต เพื่อได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง
 

ภญ.คลิชา กล่าวว่า กลุ่มยาขับเสมหะ คือ ยาประสะน้ำมะนาว และ ยาฆ้องไชย มีสรรพคุณขับเสมหะ เสมหะเหนียว แก้ไอ แก้หอบหืด เสียงแหบแห้ง กลุ่มแก้ปวดเมื่อย คือ ยาประคบ ช่วยแก้ปวดเมื่อย คลายเส้น ฟกบวม เคล็ดขัดยอก กลุ่มยาเด็ก คือ ยาแผ้วฟ้า เป็นตำรับยาใช้กวาดช่องปากและในคอเด็ก ช่วยรักษาโรคซางต่างๆ ที่ใช้มาตั้งแต่โบราณ และกลุ่มยาใช้ภายนอก คือ ยาสนั่นไตรภพ ตำรับน้ำมันใช้ร่วมกับน้ำมันงา ใช้ทาท้อง ช่วยกระจายลม ขับเลือดลมให้ไหลเวียนได้ดีขึ้น ซึ่ง รพ.อู่ทอง มีการศึกษาตำรับยาเบญจอำมฤตย์รักษามะเร็งตับ ก็กำลังมีแผนที่จะนำตำรับยาสนั่นไตรภพมาใช้ร่วมกับยาเบญจอำมฤตย์เพื่อใช้ในการรักษามะเร็งตับด้วย





เผยแพร่: 22 ต.ค. 2561    โดย: ผู้จัดการออนไลน์

145
คลอดหลักเกณฑ์ “กองทุนสุขภาพตำบล” ฉบับใหม่ เพิ่มวงเงินครุภัณฑ์โครงการเป็น 10,000 บาท นำรายได้ตามขนาด อปท.มาเป็นเกณฑ์กำหนดอัตราสมทบ ปลดล็อกวงเงินหนุนศูนย์เด็กเล็ก ศูนย์ผู้สูงอายุ หวังลดเงินคงเหลือในกองทุน สปสช.เชื่อช่วย อปท.รุกงานสุขภาพท้องถิ่นมากขึ้น


นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และประธานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ได้ลงนามในประกาศคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เรื่องหลักเกณฑ์เพื่อสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินงานและบริหารจัดการระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ พ.ศ. 2561 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยมีสาระสำคัญ มุ่งส่งเสริมบทบาทกองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่น ทั้งประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนให้ประชาชนเข้าถึงบริการสาธารณสุข จัดทำแผนสุขภาพชุมชน ส่งเสริมสุขภาพให้มีมาตรการและกติกาทางสังคม พัฒนาการบริหารจัดการกองทุนให้มีธรรมาภิบาล สร้างความเป็นเจ้าของกองทุน และจัดกิจกรรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและสภาพแวดล้อมที่เอื้อกับสุขภาพของคนในชุมชน


พร้อมสนับสนุนแนวทางดำเนินกิจกรรมกองทุนใน 5 ประเภท คือ 1. การจัดบริการสาธารณสุขของหน่วยบริการ สถานบริการ หรือหน่วยงานสาธารณสุข 2. การจัดกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพ และการป้องกันโรคขององค์กรหรือกลุ่มประชาชน หรือหน่วยงาน 3. การจัดบริการสาธารณสุขของศูนย์เด็กเล็กหรือศูนย์ที่ดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับการพัฒนาศูนย์เด็กเล็กในชุมชน ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในชุมชน หรือการพัฒนาและฟื้นฟูคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุหรือคนพิการในชุมชน 4. สนับสนุนค่าใช้จ่ายบริหารหรือพัฒนากองทุนหลักประกันสุขภาพให้มีประสิทธิภาพของ อปท.ไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินรายรับกองทุน และ 5. สนับสนุนและส่งเสริมกิจกรรมกรณีเกิดโรคระบาดหรือภัยพิบัติในพื้นที่ ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาสาธารณสุขตามความจำเป็น เหมาะสม และทันต่อสถานการณ์


นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่า สาระสำคัญของประกาศฉบับใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม อาทิ ปรับถ้อยคำให้ชัดเจนและเอื้อต่อการดำเนินงานและบริหารจัดการกองทุนมากขึ้น, เพิ่มวงเงินค่าครุภัณฑ์ที่ต้องใช้ในโครงการขององค์กรหรือกลุ่มประชาชนเป็น 10,000 บาท, ยกเลิกการกำหนดบทยุบเลิกกองทุน เป็นการใช้มาตรการทางบริหารกำกับ ติดตามและกระตุ้นการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง, นำรายได้ตามขนาด อปท.มาเป็นเกณฑ์กำหนดอัตราสมทบ, ยกเลิกกำหนดวงเงินไม่เกินร้อยละ 15 ในการสนับสนุนและส่งเสริมการจัดบริการสาธารณสุขของศูนย์เด็กเล็ก ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ เพื่อลดการมีเงินคงเหลือในกองทุน และการยกเลิกการกำหนดอัตราชดเชยค่าบริการการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุขสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง (Long Term Care: LTC) เพื่อไม่ให้เป็นข้อจำกัดเกี่ยวกับอัตราชดเชยและรองรับกรณีมีการเพิ่มวงเงินในการสนับสนุนในอนาคต โดยให้เป็นดุลพินิจของคณะอนุกรรมการ LTC เป็นต้น


“ประกาศฉบับนี้ เชื่อว่า จะส่งผลให้ อปท.ทั่วประเทศมีส่วนร่วมในการดำเนินงานกองทุนเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีความชัดเจนในทางปฏิบัติและเป็นไปทิศทางเดียวกัน รองรับการเบิกจ่ายกองทุนให้ดำเนินไปอย่างถูกต้อง นำไปสู่การสร้างประโยชน์ด้านสุขภาพให้กับประชาชนทุกกลุ่มวัยอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ซึ่งกองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่นฯ จากนี้ไป จะเป็นส่วนสำคัญของการสร้างความร่วมมือระหว่างท้องถิ่นและชุมชนในอนาคต เพื่อร่วมดูแลสุขภาพที่ดีให้กับประชาชนทั่วประเทศต่อไป” เลขาธิการ สปสช. กล่าว





เผยแพร่:  21 ต.ค. 2561    โดย: ผู้จัดการออนไลน์

146
จิตแพทย์ ชี้ ดีเจสาวฆ่าแมวควักไส้ เข้าข่ายมีพฤติกรรมผิดปกติ แต่ไม่ยืนยันป่วยทางจิตหรือไม่ เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องตรวจสอบสาเหตุการกระทำ แต่ผิด กม.ทารุณกรรมสัตว์ชัด


นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวถึงกรณีดีเจสาวรับลูกแมวไปเลี้ยง แต่กลับนำไปทำร้ายจนตายโดยมีการควักไส้ไปขาย ว่า เรื่องนี้ยังไม่สามารถสรุปได้อย่างแน่ชัดว่า ผู้กระทำมีภาวะป่วยทางจิตหรือไม่ ที่แน่ชัดคือ มีความผิดปกติในพฤติกรรม เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องนำตัวตรวจสอบ ว่าการกระทำนั้นเกิดจากสาเหตุอะไร เกิดจากแรงจูงใจ หรือ จิตใต้สำนึก แต่เนื่องจากในข่าวระบุว่า เรื่องของเงื่อนไข สิ่งแลกเปลี่ยนแปลงในดาร์กเว็บ ดังนั้น ต้องตรวจสอบให้ชัดเจน


นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กล่าวว่า พฤติกรรมการทารุณสัตว์ มีได้ตั้งแต่ เกิดจากอารมรณ์ หรือ การต่อต้านสังคม ซึ่งตำรวจอาจต้องนำตัวมาตรวจสอบวิเคราะห์ อีกทั้งมีความผิดตาม พ.ร.บ.ทารุณกรรมสัตว์ อย่างชัดเจน




เผยแพร่:  21 ต.ค. 2561   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

147
ญาติผู้ป่วยเด็กจากอาการอาเจียนเพราะกินไส้กรอก อ้างเป็นนักข่าวสื่อยักษ์ ถ่ายรูปชี้หน้าด่าข่มขู่หมอ รพ.เมืองพัทยา โมโหที่ให้รอเพราะติดเคสฉุกเฉิน


วันที่ 21 ต.ค. นายแพทย์ กิติ ปรมัตผล ผู้จัดการโครงการโรงพยาบาลเมืองพัทยา ได้โพสต์เฟซบุ๊ก “กิตติ ปรมัตผล” ว่า ผ่านการดูแลโรงพยาบาลมาหลายแห่ง ไม่เคยมีการคุกคามข่มขู่แพทย์อย่างหนักหน่วงเช่นนี้มาก่อน จากกรณีที่ญาติผู้ป่วยเด็กจากอาการอาเจียนเพราะกินไส้กรอก อ้างเป็นนักข่าวของสื่อยักษ์ใหญ่ ทำการชี้หน้าด่ากราด ข่มขู่แพทย์โรงพยาบาลเมืองพัทยา หลังให้รอเพราะติดเคสฉุกเฉิน


มีรายละเอียดว่า ...

“บันทึกเรื่องโรงพยาบาล

ผมมารับงานช่วยดูแล รพ. เมืองพัทยา และ รพ.สาขาที่เกาะล้านได้เกือบเดือนแล้วครับ ที่ผ่านมา มีกัลยาณมิตรผู้หวังดีได้เตือนว่า อายุท่านก็มากแล้ว ควรวางมือพักผ่อน ดูแลมารดาที่เจ็บป่วย เล่นหมากรุก และเลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน จึงน่าจะเป็นหนทางที่ชอบที่ควรกว่า

แต่ด้วยความทะนงตน ความถือมั่นในตัวตนอย่างล้นเหลือ ทำให้ผมยังคงมั่นใจและคาดหวังว่าจะทำงานชิ้นนี้ให้เกิดผลสำเร็จ และทำให้ รพ.ทั้ง 2 แห่งนี้ เป็นที่พึ่งแก่ชาวพัทยาและผู้คนนานาชาติที่มาพักอาศัยในเมืองแห่งนี้ได้อย่างมีคุณภาพ

แต่มาในวันนี้ ความมั่นใจเช่นนั้น ก็เริ่มรู้สึกคลอนแคลน ผมได้ประสบพบเจอด้วยตนเอง ผมได้ผ่านการดูแล รพ.มาหลายแห่ง ไม่เคยมีการคุกคามข่มขู่แพทย์อย่างหนักหน่วงเช่นนี้มาก่อน ผมจะยกกรณีให้ท่านอ่านดังนี้

เมื่อคืนมีผู้ป่วยเด็กมาพบแพทย์รายหนึ่ง ขณะนั้นเวลา 04.03 นาฬิกา คุณหมอที่ทำหน้าที่ตรวจท่านนั้นเป็นข้าราชการสังกัดโรงพยาบาลในจังหวัดชลบุรี ท่านกรุณามาช่วยอยู่เวรให้เพราะ รพ.เราไปเชื้อเชิญท่านมาช่วย ในขณะนั้นมีผู้ป่วยอุบัติเหตุบาดเจ็บทางสมองและและผู้ป่วยแพ้ยาใกล้ช็อก นอนรออยู่ในห้องฉุกเฉิน 7 ราย ผู้ป่วยเด็กรายดังกล่าวมีอาการเพียงแค่อาเจียน เพราะรับประทานไส้กรอกมาเมื่อเย็น พยาบาลวัดไข้และตรวจสัญญาณชีพแล้วพบว่าปกติ เดินมาชั่งนำหนักได้ ค่า O2 SAT 99% ซึ่งก็แปลว่ามิได้มีอาการขาดออกซิเจนแต่ประการใด คุณหมอผู้ตรวจแจ้งให้รอสักครู่เพื่อทำการรักษาผู้ป่วยหนักก่อน แต่ญาติผู้ป่วยไม่ยอมฟังเสียง ชี้หน้าด่าหมอว่าจะต้องรอให้ตายเสียก่อนค่อยรักษาใช่หรือไม่ แล้วล้วงโทรศัพท์มือถือมาถ่ายภาพคุณหมอ แล้วตะโกนว่า กูเป็นนักข่าวสื่อยักษ์ใหญ่ของที่นี่ พวกมึงจะได้รู้จักเสียบ้างว่าผู้เสียภาษีอย่างกูไม่มีวันยอมให้พวกมึงมารังแกหรอก

เมื่อพนักงานรักษาความปลอดภัยได้ยินเสียงเอะอะในห้องฉุกเฉิน ก็เข้ามาขอร้องว่าให้หยุดการถ่ายภาพ นักข่าวผู้นั้นก็ชี้หน้าพยาบาลในห้องฉุกเฉินว่า พวกมึงจำเอาไว้ ปฏิเสธการรักษา ไล่คนไข้ออกจากโรงพยาบาล เห็นพวกกูเป็นคนจนใช้บัตร 30 บาทใช่ไหม แล้วพรุ่งนี้จะได้เห็นดีกัน ว่าแล้วพวกเขาก็ออกจากห้องฉุกเฉินไปโดยไม่ยอมให้หมอตรวจ

หลังจากนั้น อีก 2นาที เขาก็เอารถนักข่าวมาเร่งเครื่องอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน แล้วตะโกนว่า พวกเอ็งบอกมาดีๆ หมอเวรชื่ออะไร กูจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด พนักงานรักษาความปลอดภัยเห็นท่าไม่ดี พากันมายืนขวางประตูห้องฉุกเฉินเพื่อไม่ให้เขาบุกรุกเข้ามาทำร้ายคุณหมอ

วันรุ่งขึ้นนักข่าวโทรศัพท์ให้หัวหน้าพยาบาลมาพบที่สำนักงานข่าวด้วยตนเองก่อนเวลา 15.00 น.เพื่อรับข้อร้องเรียนด้วยเอกสาร มิฉะนั้น จะไม่รับประกันว่าจะทำให้ รพ.เมืองพัทยาเสื่อมเสียชื่อเสียงหรือไม่

เมื่อหัวหน้าพยาบาลไปพบเพื่อรับข้อร้องเรียนตามหน้าที่ เขาก็ถือโอกาสถ่ายวิดีโอภาพหัวหน้าพยาบาลท่านนั้นลง FB Live สด แล้วกล่าวหา รพ. อย่างสาดเสียเทเสีย ที่รับไม่ได้อย่างที่สุด คือ เรื่องที่กล่าวหาว่า รพ.เมืองพัทยา ทอดทิ้งผู้ป่วยยากจน และปฏิเสธการรักษา มีชาวบ้านไม่ทราบเรื่องด้วยความเข้าใจผิดมาผสมโรงรุมด่า รพ.เมืองพัทยา เป็นจำนวนมาก เช่นคำว่า ชาติชั่ว พวกเนรคุณ หนักแผ่นดิน เป็นต้น

แต่ในขณะที่ รพ. ขนาดจิ๋ว แห่งนี้มีผู้มารับบริการถึงวันละ 950-1100 คนต่อวัน และเพิ่มขึ้นทุกเดือนๆ ละ ประมาณ 2% ท่ามกลางงบประมาณที่มีอยู่จำกัด มีแพทย์และพยาบาลน้อยกว่า รพ. สังกัดกระทรวงสาธารณสุขหลายเท่า พวกเราก็ไม่เคยย่อท้อ คงมุ่งมั่นที่จะรับใช้พี่น้องประชาชาชนอย่างเต็มกำลัง เมื่อมามาเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ผมอาจต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่างเพื่อให้คนทำงานของเรา ยังคงเดินหน้าต่อไปได้”

ท่านผู้เจริญทั้งหลาย โปรดพิจารณาเรื่องราวเหล่านี้ด้วยใจเป็นธรรม

เหตุการณ์ที่ผมเขียนมาทั้งหมดนี้เป็นแค่เศษเสี้ยวเล็กๆ ที่แสดงให้เห็นความโหดร้ายที่เกิดขึ้นในสังคมของเรา บรรดาผู้คนที่ขาดเมตตาธรรมเอาแต่ความพอใจส่วนตัวแล้วมาทำร้ายผู้อื่น หากท่านเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ที่จะตีแผ่เผยแพร่ความทุกข์ยากลำบากที่บรรดาแพทย์พยาบาลและบุคคลากรทางสาธารณสุขต่างๆ ที่ต้องทนรับอยู่ ก็จะเป็นกุศลผลบุญยิ่งนัก ดังเรื่องจริงที่ผมได้ประสบมาข้างต้น อย่างน้อยก็ให้ผู้คนที่กล่าวร้ายพวกเราอย่างไม่จำแนกและไม่เลือกหน้า ได้เกิดความเห็นอกเห็นใจบ้างว่า คนดีๆ ก็ย่อมมีอยู่ในทุกวงการ ขอขอบคุณ”



เผยแพร่: : 22 ต.ค. 2561    โดย: ผู้จัดการออนไลน์

148
อ.ดร.พญ.ถิรจิต บุญแสน
ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม


การคำนวณค่าดัชนีมวลกาย นอกจากเราได้ทราบถึงรูปร่างและสัดส่วนแล้ว ยังทำให้เราทราบถึงความเสี่ยงการเกิดโรคต่าง ๆ ได้จริงหรือ แล้วค่าดัชนีมวลกายเป็นตัวบ่งชี้อะไรได้บ้าง จะมาไขคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้


ค่าดัชนีมวลกาย Body Mass Index หรือเรียกย่อ ๆ ว่า BMI คือ ตัวชี้วัดมาตรฐานเพื่อประเมินสภาวะของร่างกายว่า มีความสมดุลของน้ำหนักตัวต่อส่วนสูงอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมหรือไม่


ค่า BMI สามารถใช้เป็นเครื่องมือคัดกรองเพื่อระบุผู้ที่มีน้ำหนักเกิน หรือภาวะอ้วนและผู้ที่มีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานในผู้ใหญ่ที่อายุ 20 ปีขึ้นไป


ค่า BMI คำนวณจาก ค่าของน้ำหนักตัวหน่วยเป็นกิโลกรัม หารด้วยส่วนสูงหน่วยเป็นเมตร ยกกำลัง 2 และแสดงในหน่วย กก./ม2


ดัชนีมวลกาย (BMI) = น้ำหนักตัว (กิโลกรัม)
ส่วนสูง (เมตร)2
โดยสามารถแปลผลค่า BMI ได้ดังนี้
ค่า BMI < 18.5 แสดงถึง อยู่ในเกณฑ์น้ำหนักน้อยหรือผอม
ค่า BMI 18.5 - 22.90 แสดงถึง อยู่ในเกณฑ์ปกติ
ค่า BMI 23 - 24.90 แสดงถึง น้ำหนักเกิน
ค่า BMI 25 - 29.90 แสดงถึง โรคอ้วนระดับที่ 1
ค่า BMI 30 ขึ้นไป แสดงถึง โรคอ้วนระดับที่ 2


ในกรณีที่มีค่าดัชนีมวลกายสูง และถูกวินิจฉัยว่ามีภาวะน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน ก็อาจทำให้เสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพมากมาย ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง ระดับโคเลสเตอรอลและระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคเกี่ยวกับถุงน้ำดี โรคข้อเข่าเสื่อม ภาวะการหยุดหายใจขณะหลับหรือปัญหาในการหายใจ และโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ


อย่างไรก็ตาม การแปลผลค่า BMI ในนักกีฬา นักเพาะกายที่มีมวลกล้ามเนื้อสูง หรือผู้ป่วยโรคตับ ไต ที่มีภาวะบวมน้ำ อาจมีค่า BMI สูงได้โดยที่ไม่ได้มีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วนได้


เมื่อทราบผลค่าดัชนีมวลกายแล้ว ต้องปฏิบัติตัวเองเพื่อให้ห่างไกลโรค ดังนี้

1.เลือกการบริโภคอาหารและเครื่องดื่ม โดยเลือกอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ โดยเฉพาะ
ธัญพืช ผัก และผลไม้ ไม่ควรรับประทานอาหารมื้อหลักเกินวันละ 3 มื้อ และเลือกรับประทานอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำ หลีกเลี่ยงหรือลดการรับประทานอาหารมื้อหนักที่ต้องรับประทานมาก ๆ เช่น อาหารบุฟเฟ่ต์ อาหารที่มีไขมันหรือน้ำตาลสูง ของมัน ของทอด เนื้อสัตว์ติดมัน และเลือกดื่มน้ำเปล่าหรือ นมไขมันต่ำแทนน้ำหวาน น้ำอัดลม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์


2.การออกกำลังกาย ควรออกกำลังกายด้วยกิจกรรมที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายอย่างน้อย 150 -
300 นาที / สัปดาห์ ด้วยการเดิน วิ่ง เต้นแอโรบิก ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ การออกกำลังกายเฉพาะส่วน อย่างการใช้เครื่องออกกำลังกาย การยกน้ำหนักหรือออกกำลังกายแบบผสมผสานกันหลายประเภท การออกกำลังกายไม่ได้จำกัดแต่เพียงในโรงยิม เพราะสามารถเปลี่ยนกิจกรรมที่ทำในชีวิตประจำวันให้เป็นการออกกำลังกายไปในขณะเดียวกันได้ด้วย เช่น การทำงานบ้านด้วยตัวเอง ลดการใช้สิ่งอำนวยความสะดวกลง เดินให้มากขึ้น



กิจกรรมดี ๆ ที่ศิริราช
#จัดงาน Siriraj Palliative Care Day 2018” ระหว่างวันที่ 24-26 ตุลาคม 2561 ณ ห้องประชุมราชปนัดดาสิรินธร อาคารศรีสวรินทิรา ชั้น 1 ขอเชิญผู้ป่วย ญาติ และผู้สนใจรับฟังปาฐกถาเกียรติยศ สุมาลี นิมมานนิตย์ ครั้งที่ 10 เรื่อง “ป่วยแต่กาย ใจสบาย” ในวันที่ 25 ตุลาคม 2561 เวลา 14.00-15.45 น. โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 2419 9045, 0 2419 9677 (ราตรี ฉิมฉลอง, ภคภร ผดุงทรัพย์)


#จัดบรรยายให้ควมรู้เตรียมความพร้อมก่อนผ่าตัด เรื่อง “โรคช็อกโกแลตซีสต์” วันที่ 31 ตุลาคม 2561 เวลา 12.00-16.00 น. ณ ศูนย์ฝึกอบรมฯ ตึกจุฑาธุช ชั้น 8 รพ.ศิริราช ขอเชิญผู้ป่วย ญาติ และผู้สนใจรับฟังและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ โดยเสียค่าใช้จ่าย สอบถามและสำรองที่นั่ง โทร. 0 2419 4772 และ 08 3542 3237 (รับจำนวนจำกัด)




เผยแพร่: 19 ต.ค. 2561  โดย: ผู้จัดการออนไลน์

149
เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2541 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เคยมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับข้าวกล้องไว้ว่า ดีต่อสุขภาพ ซึ่งท่านทรงเสวยข้าวกล้องเป็นพระกระยาหารหลัก


โดยพระองค์ตรัสว่า "ข้าวซ้อมมือหรือข้าวกล้อง เรากินทุกวัน  เพราะว่ามีประโยชน์ ร่างกายแข็งแรง ข้าวขาวนี้เอาของดีออกไปหมด ข้าวกล้องนี้ดี คนบอกว่ากินข้าวกล้องต้องเป็นคนจน เราก็เป็นคนจน" กล่าวจบก็ทรงแย้มพระสรวลเล็กๆ ข้าราชบริพารก็หัวเราะอารมณ์ดีตามไปด้วย


เหตุใดพระเจ้าอยู่หัวของเราถึงทรงโปรดข้าวกล้องมากขนาดนี้ เพราะข้าวกล้องมีประโยชน์นานัปการมากจริงๆ นะสิ



ประโยชน์ของข้าวกล้อง

1. แป้งในข้าวกล้องเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน สามารถย่อยได้ในเวลาช้าๆ จึงทำให้ร่างกายควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีกว่าข้าวขาว ที่ย่อยและดูดซึมได้อย่างรวดเร็ว จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานเป็นอย่างยิ่ง


2. ข้าวกล้องเป็นแหล่งรวมวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เช่น วิตามินเอ, บี1, บี2, อี, และ ยังมีธาตุเหล็ก, แคลเซียม, ฟอสฟอรัส, ซิลิเนียม, แมกนีเซียม และ โพแทสเซียมอีกด้วย


3. ป้องกันโรคเหน็บชา และ ปากนกกระจอก ได้เป็นอย่างดี


4. ลดโอกาสในการเป็นโรคหัวใจได้


5. ช่วยลดความดันโลหิต เหมาะสำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูง


6. มีใยอาหารสูง ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น


7. มีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ และ ลดโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง


8. มีไขมันต่ำ และ คอเลสเตอรอลต่ำ จึงเหมาะกับผู้ป่วยไขมันอุดตันเส้นเลือด ไขมันพอกตับ และผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก

 

เทคนิคการหุงข้าวกล้องให้อร่อย

ต้องล้างข้าวกล้องให้สะอาด ซาวน้ำเร็วๆ และแช่น้ำทิ้งไว้ 3-5 นาที จะทำให้ข้าวนิ่มขึ้น

 

รู้อย่างนี้แล้ว อยากเป็นคนจนเหมือนพระองค์ท่านไหมล่ะ



16ต.ค.61    ขอขอบคุณ   ข้อมูล :Healthtoday.net

150
แม้ว่าการได้รับประทานอาหารก่อนเข้านอนนั้น ดูจะเป็นการตอบโจทย์ที่ดีอยู่บ้าง อาจเป็นเพราะว่าอย่างน้อยก็ได้มีความอิ่มก่อนเข้านอนบ้าง แต่ก็มีอีกหลายเหตุผลเช่นกัน หากคุณได้ทำลักษณะอย่างนี้แล้วเกิดอันตรายต่อสุขภาพได้หลายอย่าง อาจจะถึงขั้นเบาไปจนถึงอาการหนักได้


ความเสี่ยงที่เกิดขึ้น หากนอนหลังรับประทานอาหาร


1.อาการแสบร้อนกลางอก

อาการดังกล่าวจะเกิดความแสบร้อนที่เกิดบริเวณกระเพาะอาหารก่อน และลามไปสู่บริเวณกลางอกและในลำคอ โดยอาการนี้เกิดจากระดับกรดในกระเพาะที่เพิ่มสูงขึ้นซึ่งเป็นผลจากการนอนหลังจากรับประทานทันที


2.อาการกรดไหลย้อน


อาการนี้เกิดขึ้นเมื่อลิ้นระหว่างกระเพาะอาหาร และหลอดอาหาร ปิดไม่สนิท ทำให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับสู่ลำคอ การนอนทันทีหลังรับประทานอาหารจะเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดอาการนี้ หากกรดยังคงค้างอยู่จะทำให้เยื่อเมือกบุผิวถูกทำลายโดยกรดในกระเพาะอาหารได้


3.โรคหลอดเลือดในสมอง

สำหรับความเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคนี้ จากงานวิจัยที่มีการศึกษาถึงผู้ที่มีสุขภาพดีจำนวน 500 คน ได้เผยว่าในจำนวนครึ่งหนึ่งของกลุ่มวิจัยนี้เกิดอาการของโรคหลอดเลือดในสมอง และอีกครึ่งหนึ่งมีภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ผู้ที่เว้นช่วงหลังจากรับประทานอาหารนานที่สุดจะมีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดในสมองน้อยที่สุด แม้ว่าการวิจัยนี้อาจจะไม่แสดงอย่างแน่นอน แต่นักวิจัยเชื่อว่าอาการดังกล่าวอาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับซึ่งเกี่ยวข้องกับโรคหลอดเลือดในสมอง ที่เป็นปัจจัยให้เกิดอาการดังกล่าวได้


สิ่งที่ไม่ควรทำหลังรับประทานอาหาร


1.สูบบุหรี่

ในการสูบบุหรี่หลังการรับประทานอาหารนั้น จะเพิ่มความเสี่ยงถึง 10 เท่า แถมยังเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอดสูงขึ้นด้วย


2.อาบน้ำ

การอาบน้ำหลังมื้ออาหาร ทำให้มีปัญหาในการย่อยอาหารได้ เมื่อคุณอาบน้ำ เลือดก็จะสูบฉีดไปทั่วร่างกายไปยังมือและเท้า ซึ่งทำให้เลือดไม่ถูกส่งไปยังระบบย่อยอาหาร หากคุณต้องการอาบน้ำ ควรรออย่างน้อยสัก 40 นาที หลังจากรับประทานอาหาร


3. รับประทานผลไม้

การรับประทานผลไม้หลังอาหารอาจจะทำให้เกิดอาการท้องอืดได้ ฉะนั้น ควรที่จะรับประทานก่อนอาหารสัก 1-2 ชั่วโมง น่าจะดีกว่า


4.ดื่มชา

ในชามักจะมีกรดซึ่งจะทำให้เกิดอาการอาหารไม่ย่อย แถมจะทำให้ร่างกายย่อยโปรตีนได้ยาก ดังนั้น การดื่มชาหลังรับประทานอาหารจะทำให้ความสามารถในการดูดซึมธาตุเหล็กของร่างกายได้น้อยลง



เผยแพร่: 17 ต.ค. 2561   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

หน้า: 1 ... 8 9 [10] 11 12 ... 20