ข้อเท็จจริง
พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา
1.การอ้าง medical error นั้น นับเป็น Human Error อย่างหนึ่งและเรามีพ.ร.บ.ความรับผิดทางละะเมิดของเจ้าหน้าที่ สามารถให้การช่วยเหลือได้ ซึ่งต้องไปสอบสวนว่า เป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ก็ไม่ต้องไปไล่เบี้ยให้เจ้าหน้าที่ต้องรับผิด แต่ถ้าเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงก็ต้องถูกไล่เบี้ยให้ต้องรับผิดชอบอย่างแน่นอน
และผลจากการรักษาของแพทย์ ที่ไม่ทำให้เกิดผลดีในผู้ป่วยนั้น อาจไม่ได้เกิดจาก medical error เสมอไป ยกตัวอย่างกรณีแพ้ยาแล้วเกิดอาการรุนแรงจนตาบอด (Steven Johnsons Syndrome) ก็ไม่ใช่ Medical Error แต่เป็นกลุ่มอาการแพ้ยาอย่างหนึ่ง หรือผู้ป่วยมีอาการตอบสนองต่อการรักษาไม่ดี อาจเป็นเพราะผู้ป่วยมีความเจ็บป่วยหลายๆระบบ หรือความรุนแรงของโรคในแต่ละขั้นตอนของการเจ็บป่วยไม่เหมือนกัน สภาวะร่างกายของผู้ป่วยแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ปฏิกิริยาของระบบในร่างกายที่มีต่อการเจ็บป่วยก็ไม่เหมือนกัน และเชื้อโรคที่ทำให้เจ็บป่วยก็อาจตอบสนองต่อยาไม่เหมือนกัน บางคนเป็นโรคเดียวกับคนอื่น แต่เชื้อโรคก็ดื้อยา เพราะองคาพยพภายในแต่ละคนไม่เหมือนกัน ซึ่งทำให้การใช้ดุลพินิจในการตัดสินใจรักษาผู้ป่วย ต้องขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยแต่ละคน หมอไม่อาจสั่งการรักษาเหมือนการตัดเสื้อสำเร็จรูปได้ ต้องเปลี่ยนยาใหม่ ตามสถานการณืของผู้ป่วยในแต่ละวัน
ฉะนั้น ผู้ที่จะมาตรวจสอบการตรวจรักษาผู้ป่วย ต้องเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขาจริงๆ ไม่ใช่จะเอาใครก็ได้มาตัดสิน ซึ่งจะทำลายมาตรฐานทางการแพทย์
2.การจะบอกว่า การช่วยเหลือโดยไม่มีการพิสูจน์ถูกผิดนั้น ไม่มีปรากฏที่ใดในโลก
ยกตัวอย่างในการชุมนุมของคนเสื้อแดงนั้น มีการบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก รัฐบาลก็ได้ให้การเยียวยาแก่ผู้เสียหายเบื้องต้นไปแล้ว แต่ประชาชนก็ยังต้องการให้พิสูจน์หาความจริงว่า ความเสียหายเหล่านี้เป็นฝีมือของใครกันแน่ ที่จะต้องรับผิดชอบ ใช่หรือไม่?
แต่ถ้ามาดูพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายในมาตรา 6 ของร่างรัฐบาลแล้ว ได้กำหนดไว้ว่า ผู้เสียหายจะไม่ได้รับการช่วยเหลือใน 3 กรณีดังนี้คือ
(1) ความเสียหายที่เกิดขึ้นตามธรรมดาของโรคนั้น แม้มีการให้บริการสาธารณสุขตามมาตรฐานวิชาชีพ
(2) ความเสียหายซึ่งหลีกเลี่ยงมิได้จากการให้บริการสาธารณสุขตามมาตรฐานวิชาชีพ
(3) ความเสียหายที่เมื่อสิ้นสุดกระบวนการให้บริการสาธารณสุขแล้ว ไม่มีผลต่อการดำรงชีวิตตามปกติ
ทั้งนี้คณะกรรมการอาจประกาศกำหนดรายละเอียดเพิ่มเติมภายใต้หลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้นได้
ในกรณีที่มาตรา 6 กำหนดไว้เช่นนี้ ผู้เสียหายที่ตาบอดจาก Steven Johnsons Syndrome นั้น ย่อมไม่ได้รับการช่วยเหลือ เพราะจะเข้าข่ายมาตรา6(2) ที่ว่าเป็นความเสียหายที่หลีกเลี่ยงมิได้ เพราะผู้ป่วยแพ้ยา ซึ่งหมอไม่สามารถทำนายได้ล่วงหน้าว่าใครจะแพ้ยาหรือไม่ แต่ถ้ากระทรวงสาธารณสุข จะให้ความช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรม ก็ย่อมทำได้ เพราะเกิดความเสียหาย โดยไม่ต้องรับผิด ในฐานที่เกิดความเสียหายจริง แต่ไม่มีใครทำความผิด อันนี้ จึงจะเข้าข่าย No Fault Compensation ที่คนไทยเอามาแปลผิดๆว่า ไม่ต้องพิสูจน์ถูก/ผิด ซึ่งที่ถูกต้องคือช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรม แต่ต้องพิสูจน์ว่าบุคลากรได้ทำตามมาตรฐานแล้ว
หรือการฉีดวัคซีน แล้วมีอาการแทรกซ้อน ผู้ได้รับวัคซีนตายหรือพิการ สหรัฐอเมริกาก็จะให้เงินช่วยเหลือ โดยแพทย์ที่ฉีดวัคซีนไม่ต้องรับผิด เรียกว่า No Fault Compensation แต่ต้องพิสูจน์ว่ากระบวนการฉีดวัคซีนนั้นถูกต้อง
ข้อสังเกตจากผู้เขียน ถ้ากรรมการส่วนใหญ่ไม่ใช่ผู้ทรงคุณวุฒิทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้แล้ว จะสามารถตัดสินใจตามมาตรฐานวิชาชีพแพทย์ได้หรือไม่ว่า เหตุการณ์(ความเสียหาย)ที่เกิดขึ้นนั้น ใช่หรือไม่ใช่เหตุการณ์ใน 3 ข้อนั้น
และคณะกรรมการพวกมากลากไป ยังสามารถประกาศกำหนดรายละเอียดเพิ่มเติมได้อีก
เหมือนเอาคนที่ไม่เคยดูฟุตบอลเลยว่าเขามีกฎกติกาอย่างไร มาเป็นกรรมการตัดสินการแข่งขันฟุตบอลโลก มันย่อมเป็นการทำลายกฎ ระเบียบ กติกา มารยาท ตามมาตรฐานของกีฬาฟุตบอลไปโดยสิ้นเชิง
มาตรฐานทางการแพทย์ย่อมเสียหายแน่นอน อีกหน่อยหมอคงเลิกรักษา ผ่าตัด ทำคลอด เพราะกลัวกรรมการตัดสินให้ชดเชย แล้วประชาชนก็คงเกิดความสงสัย (เหมือนในกรณีสลายการชุมนุม) แล้วพอสภาวิชาชีพตัดสิน ก็ไม่เชื่อถืออีก คือไม่เชื่อมาตรฐานจากผู้มีความรู้และประสบการณ์ อีกหน่อยคงต้องกลับไปรักษากันเอง คลอดกับหมอตำแย เพราะในพ.ร.บ.นี้ไม่รวมหมอตำแยเข้าไปด้วย คงจะกล้าช่วยทำคลอดให้ได้ หรือต้องเอาเฮลิคอปเตอร์ไปรับเพื่อตระเวนไปหาหมอที่ยอมเสี่ยง(ที่จะถูกตัดสินอย่างไม่มีมาตรฐาน) ทำคลอดให้
3. การพัฒนาคุณภาพมาตรฐานบริการทางการแพทย์นั้น เป็นหน้าที่ของรัฐบาล โดยผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ต้องแก้ปัญหาให้ได้ ว่าต้องมีการทำงานบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ เพื่อความปลอดภัยของประชาชนและคุ้มครองผู้ให้บริการที่ทำงานตามคุณภาพมาตรฐาน ตามมาตรา 80(2) ของรัฐธรรมนูญแห่งราอาณาจักรไทยพ.ศ. 2550
แต่ในปัจจุบันนี้ กระทรวงสาธารณสุขไม่ได้บริหารจัดการให้การบริการทางการแพทย์มีมาตรฐาน มีประชาชนมารับบริการปีละ 200 ล้านครั้ง แต่มีแพทย์ปฏิบัติงานรักษาประชาชนเพียง 8,000 คน (ที่เหลือเป็นแพทย์ผู้บริหารหรือเดินฉุยฉายอยู่ในกระทรวง)แพทย์ต้องรีบเร่งทำงานบริการรักษาประชาชน โดยหัวใจของความเป็นมนุษย์จนเหนื่อยล้า ต้องตรวจรักษาผู้ป่วยวันละเป็น 100 ๆคน มีเวลาในการตรวจผู้ป่วย คนละ 2- 4 นาที มีเวลาทำงานสัปดาห์ละ 80-120 ชั่วโมง อดหลับอดนอน ทำงานทั้งกลางวันกลางคืน ก็เพราะแพทย์ส่วนใหญ่แล้ว มีหัวใจของความเป็นมนุษย์อันประเสริฐ ต่างก็ก้มหน้าก้มตาทำงานรับใช้ประชาชนไป ช่วยชีวิตคน เสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์ไป จนทนไม่ไหว ก็ลาออกไป คนที่ยังทนอยู่(หรืออยู่ทน) ก็ต้องรับภาระงานมากขึ้น เสี่ยงต่อความเสียหายของประชาชน แพทย์เสี่ยงต่อการฟ้องร้อง ถูกประณามหยามเหยียดจากสังคม
แต่แทนที่ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขจะช่วยแก้ปัญหาให้แพทย์ได้ทำงานอย่างมีมาตรฐาน กลับออกกฎหมายมาเพื่อลงโทษ ให้รับผิดชอบอยู่ฝ่ายเดียว แต่ผู้บริหารมองเงินกองทุนก้อนโต ที่จะได้เอามาหาผลประโยชน์ในคณะกรรมการ
ถ้าดูจากสถิติการขอรับเงินช่วยเหลือตามมาตรา 41 แห่งพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545พบว่า ในจำนวนประชาชนที่มารักษา 200 ล้านครั้งนี้มีการร้องเรียนขอค่าช่วยเหลือเบื้องต้นเพียง1,978 ราย คิดเป็นความเสียหายไม่ถึง0 .01 % คิดแล้วว่าอัตราความเสียหายน้อยกว่า อัตราตายจากอุบัติเหตุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคเอดส์
และเรื่องที่ร้องเรียนนั้นไม่ได้เกี่ยวกับมาตรฐานการให้การรักษาเท่านั้น ยังมีเรื่องการไม่ได้รับความสะดวก ไม่ได้รับบริการตามสิทธิ์ ถูกเรียกเก็บเงินโดยประชาชนคิดว่าตัวเองไม่ต้องจ่ายเงิน และร้องเรียนว่าไม่ได้รับค่าเสียหายภายในระยะเวลาอันสมควร ฉะนั้นโดยสรุปก็คือ การร้องเรียนเกี่ยวกับมาตรฐานการรักษาอาจจะไม่ถึง 0.01% ด้วยซ้ำไ
และจังหวัดที่มีการร้องเรียนสูงสุดคือกทม. จังหวัดเดียวมีอัตราการร้อง
เรียนสูงถึง 61.9% เชียงใหม่อันดับ 2 มีการร้องรีเยน 8.4 % สระบุรี อันดับ 3 มีการร้องเรียน 7.1% ราชบุร๊ อันดับ 4 มีการร้องเรียน 5% และระยองอันดับ 5 มีการร้องเรียน 4.5 %
ความเห็นของผู้เขียนทั้งหมดนี้ มีวัตถุประสงค์ให้ประชาชนเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในวงการแพทย์ไทยตามเหตุผล และความเป็นจริง และคาดว่าจะเกิดความหายนะในมาตรฐานทางการแพทย์ไทยอย่างแน่นอน และหายนะนี้ ก็คงจะกระทบถึงประชาชนทุกคน เพราะคนทุกคนย่อมหนีกฎธรรมดา/ธรรมชาติในการต้องเผชิญ การเกิด แก่ เจ็บ ตายไป ไม่ได้ และการเกิด แก่ เจ็บ ตายนี้ ย่อมต้องมีแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ช่วยดูแลบ้างไม่มากก็น้อย ถ้ามาตรฐานการแพทย์ไทยล่มสลายลงไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว แพทย์ถูกลงโทษอย่างเดียว ก็คง ไม่มีใครอยากประกอบวิชาชีพนี้แล้ว
แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ส่วนใหญ่ ก็เป็นมนุษย์ทั้งตัวและหัวใจ มิใช่เครื่องจักร จึงต้องการความรักและความเข้าใจเฉกเช่นมนุษย์คนอื่นๆเช่นเดียวกัน
การที่ผู้เขียนเรื่องนี้ ออกมาให้ความเห็นที่ไม่เห็นด้วยพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายนี้ ก็เป็นความเห็นที่อ้างอิงหลักฐานและมีเหตุผล เพราะมองเห็นถึงความล่มสลายของระบบการแพทย์ที่มีความห่วงใยเอื้ออาทรต่อกันจะต้องล่มสลาย มาตรฐานการแพทย์ไทยจะไม่มีความหมายและไม่สารถพัฒนาได้อีกต่อไป เพราะคนดี คนเก่งจะท้อแท้และไม่อยากให้ลูกหลานมาเป็นหมอ พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์อีกต่อไป เพราะการตัดสินที่ไม่ใช่อาศัยเหตุผลเชิงประจักษ์ตามหลักการทางการแพทย์ที่มีมาตรฐานในระดับสากล
ส่วนการที่ใครจะสงสัยว่า ผู้เขียนอยากจะหาเสียง เพื่อมาเป็นกรรมการแพทยสภานั้น ก็มีสิทธิคิดได้ แต่ผู้เขียนเป็นพลเมืองอาวุโส ไม่ต้องทำงานมากก็พอมีเงินใช้ เพราะได้รับใช้ประชาชน ช่วยชีวิตผู้ป่วยให้รอดและเติบโตมาเป็นพลเมืองดีของประเทศชาติหลายแสนคน ตลอดเวลาเกือบ 40 ปีที่ผ่านมา จึงมีเวลาว่างมาก พยายามคิดหาถ้อยคำมาอธิบายแทนพี่น้องลูกหลาน และเพื่อนร่วมวิชาชีพ โดยหวังผลตอบแทนคือ ให้ประชาชนเข้าใจว่า ความเสียหายที่จะเกิดจากพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายที่จะผลักดันเข้าสภานั้น มีมากมายมหาศาลกว่า การคุ้มครองประชาชนประมาณ 0.01%
อนึ่งสถิตินี้ ได้มาจากการบรรยายของ พ.อ.(พิเศษ)นพ.กิฎาพล วัฒนะกุล กรรมการควบคุมคุณภาพมาตรฐานการบริการสาธารณสุขของสปสช. ที่บรรยายที่จังหวัดขอนแก่น