กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

หน้า: [1] 2 3 ... 10
1
สสจ.ปราจีนบุรี ระดมความช่วยเหลือ ตั้งบัญชีกองทุนช่วยเหลือ “ลูกหมอ” กำพร้าพ่อแม่ อาศัยอยู่กับย่า ไม่มีเงินเรียนต่อ ค้างค่าเช่าบ้าน ซ้ำป่วยโรคลมชัก เผยมีเงินช่วยเหลือแล้วกว่า 1.5 แสนบาท แจงการใช้งบให้เป็นค่าเล่าเรียน ค่าใช้จ่ายส่วนตัวสัปดาห์ละ 1,600 บาท ค่าเช่าบ้านเดือนละ 1 พันบาท จนเรียนจบ ป.ตรี เผยเด็กอยากเรียนต่อบัญชี

นพ.โชคชัย สาครพานิช นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (นพ.สสจ.) ปราจีนบุรี กล่าวถึงกรณีออกหนังสือจดหมายเวียนถึง นพ.สสจ. และผู้อำนวยการโรงพยาบาลเขตสุขภาพที่ 6 เพื่อขอความอนุเคราะห์ช่วยเหลือครอบครัว นพ.กฤษฎา วงศ์ดีเลิศ อดีตแพทย์ รพ.กบินทร์บุรี ซึ่งเสียชีวิตจากการติดเชื้อในกระแสเลือด เหลือเพียงมารดาวัย 80 ปี และ น.ส.อารดา วงศ์ดีเลิศ ซึ่งป่วยเป็นโรคลมชัก ซึ่งไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะไม่มีเงิน ว่า การให้ความช่วยเหลือครอบครัวของ นพ.กฤษฎา เนื่องจากทราบถึงความยากลำบากของครอบครัวดังกล่าว ผ่าน นพ.โชคชัย มานะดี ผอ.รพ.กบินทร์บุรี และ นพ.พงศธร สร้อยคีรี ผอ.รพ.ประจันตคาม ซึ่ง นพ.พงศธร ถือเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับ นพ.กฤษฎา คือ แพทยศาสตรบัณฑิต รุ่น 42 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยพบว่า น.ส.อารดา นั้น ต้องสูญเสียทั้งคุณพ่อและแม่ อยู่กับคุณย่ามาตั้งแต่ยังเล็ก ซึ่งก็มีรายได้ที่ไม่เพียงพอ ทำให้ไม่สามารถเรียนต่อ ม.4 ได้

“น้องอารดาสูญเสียคุณแม่ไปตั้งแต่เมื่ออายุได้ 5 เดือน เมื่อคราวเดินทางไปต่างจังหวัด ซึ่งทุกคนบนรถเสียชีวิตทั้งหมด ยกเว้นน้องคนเดียวที่รอดชีวิต แต่ก็ต้องมาสูญเสียคุณพ่อ คือ นพ.กฤษฎา ไปอีกจากการติดเชื้อในกระแสเลือดเมื่อตอนน้องอายุได้ 2 ขวบ จึงเติบโตมากับคุณย่า จนขณะนี้มีอายุ 18 ปีแล้ว ซ้ำยังมีอาการป่วยด้วยโรคลมชัก และไม่ได้เรียนต่อชั้น ม.4 เพราะประสบปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย โดยคุณย่ามีรายได้ไม่มาก จากการทำขนมต้มมาขายหน้าโรงเรียน และเบี้ยยังชีพอีกเดือนละ 800 บาทเท่านั้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายนั้น มีค่าเช่าบ้านประมาณพันบาท ซึ่งได้ค้างค่าเช่ามาประมาณ 2 เดือนแล้ว เบื้องต้น นพ.โชคชัย และ นพ.พงศธร ได้มีการให้ความช่วยเหลือเรื่องของยังชีพไปบ้างแล้ว แต่จากเรื่องราวดังกล่าวจึงตัดสินใจนำเรื่องของน้องเข้าที่ประชุมจังหวัด เพื่อดำเนินการช่วยเหลือ โดยตั้งบัญชี กองทุนสวัสดิการ เพื่อ น.ส.อารดา วงศ์ดีเลิศ ขึ้น และส่งหนังสือขอความอนุเคราะห์ออกไปยังเครือข่ายด้านสาธารณสุข เพื่อให้ความช่วยเหลือ เบื้องต้นมีเงินในกองทุนแล้วประมาณ 155,000 บาท” นพ.โชคชัย กล่าว

นพ.โชคชัย กล่าวว่า สำหรับการนำเงินในบัญชีมาช่วยเหลือ น.ส.อารดา นั้น จะอยู่ในรูปแบบของคณะกรรมการกองทุน ซึ่งมี นพ.โชคชัย และ นพ.พงศธร เป็นหนึ่งในกรรมการด้วย ซึ่งคณะกรรมการมีมติให้จ่ายเงินสัปดาห์ละ 1,600 บาท สำหรับค่าใช้จ่ายส่วนตัวต่าง ๆ ของ น.ส.อารดา และคุณย่า ตกเดือนละประมาณ 6,400 บาท ค่าเช่าบ้านเดือนละ 1,000 บาท ซึ่งค่าเล่าเรียนก็จะใช้เงินจากกองทุนนี้ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นกองทุนระยะยาวไปจน น.ส.อารดา เรียนจบปริญญาตรี ซึ่งที่ทราบคือ น.ส.อารดา อยากเรียนด้านบัญชี ส่วนการรักษาโรคลมชักของ น.ส.อารดา นั้น อยู่ในความดูแลของ รพ.กบินทร์บุรี โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพราะอยู่ในสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง)

“หลังจากมีการกระจายขอความช่วยเหลือ และมีการส่งต่อกันในสังคมออนไลน์ก็คาดว่าเงินในกองทุนเพื่อช่วยเหลือน้องอารดาน่าจะเพิ่มขึ้น สามารถดูแลน้องไปจนเรียนจบและประกอบอาชีพมีรายได้เป็นของตนเองได้ ส่วนการนำเงินในบัญชีมาช่วยเหลือนั้น ถ้ามีความเปลี่ยนแปลงกรรมการก็จะพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง สำหรับผู้มีจิตศรัทธาสามารถให้ความช่วยเหลือผ่านทางบัญชีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาประจันตคาม ชื่อบัญชีกองทุนสวัสดิการ เพื่อ น.ส.อารดา วงศืดีเลิศ เลขที่บัญชี 020067477915” นพ.โชคชัย กล่าวและว่า ส่วนความช่วยเหลือในฐานะเป้นข้าราชการนั้น เนื่องจาก นพ.กฤษฎา ได้ลาออกจาก รพ.กบินทร์บุรี ไปอยู่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง จึงไม่ได้มีสิทธิของข้าราชการ

18 ก.พ. 2559  MGR Online
.........................................................

“น้องไอซ์” สู้ชูสองนิ้ว เข้าสแกนสมองก่อนรักษา “ลมชัก” สถาบันประสาทฯ รักษาฟรี

“น้องไอซ์” ยิ้มสู้ชูสองนิ้ว เข้าสแกนสมองสถาบันประสาทฯ รับการรักษา “โรคลมชัก” ด้าน ผอ. เผยรักษาฟรีผ่านกองทุนเพื่อผู้ป่วยโรคลมชัก เบื้องต้นให้ยารักษาก่อน ด้านคุณย่าน้องไอซ์ขอบคุณช่วยหลานสาวได้รักษากับแพทย์เชี่ยวชาญ

ความคืบหน้าการช่วยเหลือ น.ส.อารดา วงศ์ดีเลิศ หรือ น้องไอซ์ อายุ 18 ปี ลูกสาวของ นพ.กฤษฎา วงศ์ดีเลิศ อดีตแพทย์โรงพยาบาลกบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ซึ่งภายหลังลาออกไปอยู่ รพ. เอกชน ได้เสียชีวิตจากภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ทำให้น้องไอซ์ต้องอาศัยอยู่กับคุณย่ามาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ และประสบกับความยากลำบาก เนื่องจากรายได้จากการขายขนมของคุณย่าไม่เพียงพอที่จะจ่ายค่าเช่าบ้านและค่าเล่าเรียน จนไม่สามารถเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ได้ ขณะที่น้องไอซ์เองมีปัญหาป่วยด้วยโรคลมชัก และทำการรักษาอยู่ที่ รพ.กบินทร์บุรี ซึ่งขณะนี้มีการตั้งกองทุนช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่ายส่วนตัวและค่าเล่าเรียนแล้ว

ล่าสุด วันนี้ (24 ก.พ.) นพ.โชคชัย มานะดี ผอ.รพ.กบินทร์บุรี พร้อมทีมแพทย์ ได้ทำการส่งตัว น.ส.อารดา มารับการรักษาโรคลมชักต่อที่สถาบันประสาทวิทยา โดย น.ส.อารดา พร้อมด้วยคุณย่าวัย 80 ปี ได้เดินทางมาถึงสถาบันประสาทวิทยา เมื่อช่วงเวลา 11.20 น. ซึ่ง น.ส.อารดา ยังคงมีท่าทีตื่นเต้นอยู่บ้างกับการเดินทางมารับการรักษาในครั้งนี้ แต่สีหน้าท่าทางยังคงแจ่มใส พร้อมชูสองนิ้วก่อนเข้าห้องฉุกเฉิน เพื่อทำการซักประวัติและประเมินอาการเบื้องต้น ซึ่งระหว่างที่เดินนั้นก็ประคองคุณย่าของตนเองตลอดเวลา

นพ.อุดม ภู่วโรดม ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กล่าวว่า โรคลมชักเป็นกลุ่มโรคที่เกี่ยวกับทางระบบประสาท ซึ่งแนวทางการรักษาคนไข้นั้น จะเริ่มจากการซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียด ว่าเข้าได้กับโรคลมชักหรือไม่ จากนั้นจะมีการตรวจวินิจฉัยยืนยันเพิ่มเติม โดยทำการตรวจด้วยเครื่องเอ็มอาร์ไอ เพื่อดูว่าเนื้อสมองมีความผิดปกติ หรือคลื่นสมองผิดปกติที่เข้าได้กับโรคลมชักหรือไม่ ซึ่งแต่ละรายใช้เวลาในการวินิจฉัยไม่เท่ากัน บางรายสามารถวินิจฉัยได้เลย แต่บางรายยังไม่สามารถวินิจฉัยได้ ก็อาจต้องให้นอนโรงพยาบาลเพื่อตรวจดูคลื่นสมองระยะยาว 24 ชั่วโมง แล้วนำมาแปลผลว่าเกี่ยวข้องกับโรคลมชักหรือไม่ ซึ่งกรณีของ น.ส.อารดา คาดว่า จะดำเนินการตรวจตามข้นตอนทั้งหมดภายในวันนี้

นพ.อุดม กล่าวว่า ทั้งนี้ หากวินิจฉัยได้ว่าเกี่ยวข้องกับโรคลมชัก ก็จะเริ่มทำการรักษาเบื้องต้นด้วยการให้ยารักษาก่อน โดยพิจารณาจากยาที่คนไข้รับประทานอยู่ปัจจุบันว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ มีการใช้ยารักษาเกินสองตัวแล้วยังไม่สามารถควบคุมอาการชักได้หรือไม่ เพื่อปรับชนิดและขนาดของยาให้มีความเหมาะสมกับคนไข้มากขึ้น ซึ่งหากคนไข้สามารถควบคุมอาการชักได้ดี ใช้เวลาไม่นานก็สามารถกลับบ้านได้ แต่หากไม่สามารถควบคุมอาการได้นั้น จะมีการติดตามตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองประมาณ 1 - 2 เดือน จากนั้นจะมีการประชุมสหวิชาชีพประเมินผลวิเคราะห์เพื่อทำการผ่าตัด ซึ่งการผ่าตัดนั้นส่วนใหญ่ใช้เวลานอนในโรงพยาบาลประมาณ 1 สัปดาห์ ก็สามารถกลับบ้านได้หากไม่มีอาการแทรกซ้อน โดยจะมีการให้ยากันชักอย่างต่อเนื่องอย่างต่ำประมาณ 2 ปี ขึ้นอยู่กับผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งจากสถิติของสถาบันประสาทฯ พบว่า ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดกว่า 70% ไม่เกิดอาการชักอีก ส่วน 50% มีอาการชักลดลง ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับต่างประเทศ

“ความรุนแรงของโรคลมชักมีหลายระดับ ทั้งการชักเพียงครั้งเดียวในชีวิต การชักทุกวัน หรือแม้แต่ชักวันละหลายรอบ จึงต้องทำการประเมินอาการของคนไข้ก่อน ซึ่งการซักประวัติ ตรวจร่างกาย ตรวจคลื่นสมอง สามารถบอกชนิดของโรคลมชัก และวิธีการรักษาได้ แต่ต้องอาศัยเวลาในการวินิจฉัย สำหรับอัตราการเกิดโรคลมชักของประเทศไทยข้อมูลยังไม่ชัดเจน แต่ทั่วโลกพบแนวโน้มเพิ่มขึ้นความชุกอยู่ที่ 25 ต่อพันประชากร แต่โรคลมชักวัยที่พบมากขึ้นช่วงอายุก่อน 20 ปี และในวัยสูงอายุ” ผอ.สถาบันประสาทฯ กล่าวและว่า การรับตัว น.ส.อารดา มารักษา เพราะอยากช่วยคนไข้ ซึ่งแต่ละปีสถาบันฯ ก็มีการช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้เป็นจำนวนมากอยู่แล้ว

นพ.อุดม กล่าวภายหลัง น.ส.อารดา เข้ารับการตรวจวินิจฉัยโรคลมชักว่า การตรวจวินิจฉัยนั้น ตัวคนไข้ต้องมีความพร้อม และต้องตรวจอย่างละเอียด ซึ่งตัวของ น.ส.อารดา ถือว่ามีความพร้อมพอสมควร มีความตื่นเต้นบ้าง และมีความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน ทำให้ผลตรวจอย่างละเอียดยังไม่สามารถบอกอย่างชัดเจนได้ แต่ถ้าเจอสาเหตุแล้วก็นอนโรงพยาบาลไม่เกิน 1 สัปดาห์ ถ้าไม่เจอสาเหตุอาจต้องนอนนานกว่านั้น เพื่อตรวจคลื่นสมองในระยะยาว

พญ.กาญจนา อั๋นวงศ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาและโรคลมชัก กล่าวว่า หลังทราบผลจะพิจารณาว่ายากันชักที่คนไข้รับประทานอยู่นั้นตรงชนิดกับโรค และเหมาะสมหรือไม่ โดยอาจปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมเพื่อลดการชักให้มากที่สุด ส่วนจะต้องรับประทานนานแค่ไหนขึ้นอยู่กับผลการตรวจวินิจฉัย ซึ่งจะมีการนำผลมาหารือกับทีมสหวิชาชีพ แต่เบื้องต้นทีมแพทย์ไม่ได้มีความกังวล การรักษาโรคลมชักนั้น มีค่าใช้จ่ายสูง เพราะต้องใช้ยาที่มีราคาแพง ใช้เครื่องมือประเมินตรวจวิเคราะห์เพิ่มเติม รวมถึงการผ่าตัด ซึ่งที่ผ่านมา สถาบันฯ มีการจัดตั้งกองทุนเพื่อผู้ป่วยโรคลมชัก มูลนิธิสนับสนุนสถาบันประสาทวิทยา กรณีผู้ป่วยยากไร้ ไม่มีสิทธิการรักษาใด หรือแม้มีสิทธิการรักษา แต่ไม่ได้ครอบคลุมการรักษาบางอย่าง เพื่อให้เข้าถึงการรักษาและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถร่วมบริจาคได้ผ่านบัญชี มูลนิธิสนับสนุนสถาบันประสาทวิทยา ธนาคารกรุงไทย เลขที่ 020-1-33312-0 ธนาคารกรุงเทพ 090-7-12612-2 กรุณาระบุเพื่อผู้ป่วยโรคลมชัก และส่งหลักฐานการโอนหรือแจ้งกองทุนเพื่อทราบ โทร. 0-2354-6118 หรือ 0-2306-9899 ต่อ 2439, 2214 หรืออีเมล pnifoundation55@gmail.com

นางบุนนาค จับศรทิพย์ คุณย่าของน้องไอซ์ กล่าวว่า ขอขอบคุณสื่อที่ให้ความสนใจทำข่าว จนทำให้น้องได้รับการรักษาจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านลมชัก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากวันนี้เดินทางมาไกลมีความเหน็ดเหนื่อย และต้องทำการตรวจเพิ่มเติม จึงยังไม่สะดวกให้ข้อมูล แต่หากมีความพร้อมจะให้สัมภาษณ์อีกครั้งหนึ่ง

รายงานข่าวแจ้งว่า ปัจจุบันน้องไอซ์ยังมีภาวะชักที่ไม่สามารถควบคุมได้

24 ก.พ. 2559  MGR Online
...................................................

โซเชียลสะเทือนใจลูกหมอกำพร้า เขียนเรียงความสะท้อนชะตาชีวิต เสียพ่อแม่ตั้งแต่เล็ก อยู่กับย่า ปากกัดตีนถีบจบแค่ ม.3 ด้าน สสจ.ปราจีนฯ ตั้งกองทุนหาเงินส่งเรียนต่อ

วานนี้ (18 ก.พ. 59) เฟซบุ๊ก Ittaporn Kanacharoen ของ พล.อ.ต.นพ.อิทธพร คณะเจริญ รองเลขาธิการแพทยสภา ได้โพสต์ภาพจดหมายทางราชการฉบับหนึ่งของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปราจีนบุรี เรื่อง ขอความอนุเคราะห์ช่วยเหลือครอบครัว นพ.กฤษฎา วงศ์ดีเลิศ ลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2559 พร้อมกับโพสต์ข้อความเล่าถึงชะตากรรมของครอบครัวของ นพ.กฤษฎา วงศ์ดีเลิศ อดีตแพทย์ รพ.กบินทร์บุรี แพทย์จากจุฬารุ่นที่ 42 ซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตเนื่องจากติดเชื้อในกระแสเลือด ทิ้งแม่วัยเกือบ 80 และลูกสาวซึ่งมีอาการลมชักไว้หนึ่งคน แต่กลับไม่ได้เรียนหนังสือเพราะไม่มีเงิน

พล.อ.ต.นพ.อิทธพร บอกว่า อ่านจดหมายเวียนฉบับนี้ด้วยความรู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์เกิดขึ้นกับครอบครัวของ นพ.กฤษดา อดีตแพทย์ รพ.กบินทร์บุรี ซึ่งเรียนจบแพทย์จากจุฬาลงกรณ์รุ่นที่ 42 ซึ่งหลังอ่านหนังสือเวียนฉบับดังกล่าวแล้ว ต้องกลับไปค้นเรียงความของลูกสาวคนเดียวของ นพ.กฤษดา ที่เหลืออยู่ (เป็นโรคลมชัก และไม่ได้เรียนหนังสือแล้วตอนนี้เพราะไม่มีเงิน) ซึ่งชนะการประกวดเรียงความในวันแม่ปี 2555 (4 ปีก่อน) มาอ่าน จากเพจ คุณครูน๊อต ก่อนนำมาเผยแพร่และขอความช่วยเหลือให้แก่ ด.ญ.อารดา ในเฟซบุ๊ก

เรียงความสะท้อนชะตาชีวิต “ลูกหมอกำพร้า” พ่อช่วยคนจนตัวตาย วอนสังคมช่วยเหลือ
19 กุมภาพันธ์ 2559

โซเชียลสะเทือนใจลูกหมอกำพร้า เขียนเรียงความสะท้อนชะตาชีวิต เสียพ่อแม่ตั้งแต่เล็ก อยู่กับย่า ปากกัดตีนถีบจบแค่ ม.3 ด้าน สสจ.ปราจีนฯ ตั้งกองทุนหาเงินส่งเรียนต่อ

วานนี้ (18 ก.พ. 59) เฟซบุ๊ก Ittaporn Kanacharoen ของ พล.อ.ต.นพ.อิทธพร คณะเจริญ รองเลขาธิการแพทยสภา ได้โพสต์ภาพจดหมายทางราชการฉบับหนึ่งของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปราจีนบุรี เรื่อง ขอความอนุเคราะห์ช่วยเหลือครอบครัว นพ.กฤษฎา วงศ์ดีเลิศ ลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2559 พร้อมกับโพสต์ข้อความเล่าถึงชะตากรรมของครอบครัวของ นพ.กฤษฎา วงศ์ดีเลิศ อดีตแพทย์ รพ.กบินทร์บุรี แพทย์จากจุฬารุ่นที่ 42 ซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตเนื่องจากติดเชื้อในกระแสเลือด ทิ้งแม่วัยเกือบ 80 และลูกสาวซึ่งมีอาการลมชักไว้หนึ่งคน แต่กลับไม่ได้เรียนหนังสือเพราะไม่มีเงิน

พล.อ.ต.นพ.อิทธพร บอกว่า อ่านจดหมายเวียนฉบับนี้ด้วยความรู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์เกิดขึ้นกับครอบครัวของ นพ.กฤษดา อดีตแพทย์ รพ.กบินทร์บุรี ซึ่งเรียนจบแพทย์จากจุฬาลงกรณ์รุ่นที่ 42 ซึ่งหลังอ่านหนังสือเวียนฉบับดังกล่าวแล้ว ต้องกลับไปค้นเรียงความของลูกสาวคนเดียวของ นพ.กฤษดา ที่เหลืออยู่ (เป็นโรคลมชัก และไม่ได้เรียนหนังสือแล้วตอนนี้เพราะไม่มีเงิน) ซึ่งชนะการประกวดเรียงความในวันแม่ปี 2555 (4 ปีก่อน) มาอ่าน จากเพจ คุณครูน๊อต ก่อนนำมาเผยแพร่และขอความช่วยเหลือให้แก่ ด.ญ.อารดา ในเฟซบุ๊ก

เรียงความสะท้อนชะตาชีวิต “ลูกหมอกำพร้า” พ่อช่วยคนจนตัวตาย วอนสังคมช่วยเหลือ

ผมได้ตรวจสอบเอกสารนี้กับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปราจีนบุรีที่ โทรศัพท์ 0-3721-1626 ต่อ 108 แล้วครับ จะนำเรื่องนี้ปรึกษากรรมการแพทยสภาต่อไป ขอส่งให้ผู้บังคับบัญชา เพื่อนๆ พี่น้องในกระทรวงสาธารณสุข และสถาบันที่จบมา พิจารณาช่วยลูกหมอกำพร้าท่านนี้ด้วยตามสมควรด้วยนะครับ และอาจต้องมีมาตรการต่อไปในอนาคตสำหรับกรณีเหตุการณ์เช่นนี้..ขอบคุณครับ

ทั้งนี้ พล.อ.ต.นพ.อิทธพรได้นำเรียงความเรื่อง ชีวิตของลูกกำพร้า ซึ่งเขียนโดย ด.ญ.อารดา วงศ์ดีเลิศ นักเรียนชั้น ม.1/1 โรงเรียนเทศบาล 2 (วัดใหม่ท่าพาณิชย์) ต.กบินทร์ อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ลูกสาวคนเดียวของ นพ.กฤษฎา ซึ่งได้รับรางวัลชนะเลิศประกวดเรียงความของโรงเรียนเมื่อปี 2555 มาเผยแพร่ โดยมีเนื้อหาสะท้อนชะตากรรมของครอบครัวเธอที่ต้องผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมาหลายครั้งหลายหน ด.ญ.อารดา เล่าเรื่องราวว่า เธอเป็นลูกกำพร้า เสียแม่ไปจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเธออายุได้เพียง 5 เดือน ต่อมาเมื่ออายุ 2 ปี ก็ต้องมาสูญเสียพ่อคือ นพ.กฤษดา ไปอีกคนหลังจากพ่อของเธอรักษาคนไข้จนต้องติดเชื้อในกระแสเลือด ทำให้เธอต้องใช้ชีวิตอยู่กับย่าตามลำพัง แต่เธอก็ไม่ย่อท้อต่อชีวิต และพยายามดิ้นรนปากกัดตีนถีบเรื่อยมา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เรื่องเรียงความของ ด.ญ.อารดา ถูกเผยแพร่ต่อในโซเซียลมีเดีย จนมีผู้มาแสดงความคิดเห็นไปในทางชื่นชม และเห็นอกเห็นใจอย่างกว้างขวาง ซึ่งล่าสุดจากการตรวจสอบพบว่า ปัจจุบัน ด.ญ.อารดา โตขึ้นเป็น น.ส.อารดา แล้ว เรียนจบชั้น ม.3 และไม่ได้เรียนต่อเนื่องจากฐานะยากจน ต้องออกมารับจ้างทั่วไป และขายขนมกับย่าวัยใกล้ 80 อยู่ที่หน้าโรงเรียนในจ.ปราจีนบุรี

19 กุมภาพันธ์ 2559
https://www.nationtv.tv/news/378490355

2
สุดสลด พบร่าง น้องไอซ์ ลูกหมอที่เคยเป็นข่าวดัง เสียชีวิตในแม่น้ำ หลังมีคนพบ จอดรถจักรยานยนต์ อยู่บนสะพาน เผยประวัติชีวิตสุดเศร้า

เมื่อเวลา 9.00 น. วันที่ 28 พ.ค.2567 เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยสัจจะพุทธธรรมกบินทร์บุรี รับแจ้งจากชาวบ้านว่า เห็นเด็กหญิงรายหนึ่งอยู่ที่ราวสะพานเทศบาลดำริ เขตเทศบาลตำบลกบินทร์ แล้วหายไปพบเพียงรถ จยย.ฮอนด้า สีน้ำเงิน ทะเบียนปราจีนบุรี จอดอยู่บนสะพาน ส่วนทางเดินบนสะพานพบรองเท้าแตะ 1 คู่

หลังจากรับแจ้ง เดินทางไปยังที่เกิดเหตุ ตรวจสอบหลักฐานในรถ จยย. พบบัตรประชาชน น.ส.อารดา (สงวนนามสกุล) อายุ 23 ปี หรือ น้องไอซ์ และบัตรประจำตัวผู้ป่วย สถาบันประสาทวิทยา พร้อมรองเท้าแตะ 1 คู่ ตรวจโดยรอบแล้วยังไม่พบเจ้าตัวแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยจึงให้ชุดตรวจค้นทางน้ำช่วยกันงมหาร่างผู้สูญหาย

สอบถาม นายวินัย (สงวนนามสกุล) อายุ 50 ปี กล่าวว่า เห็นเด็กผู้หญิงกำลังนั่งถือโทรศัพท์อยู่บนราวสะพาน จากนั้นไม่นานก็หายไป พบเพียงรถ จยย.กับรองเท้าเท่านั้น

หลังจากชุดประดาน้ำของมูลนิธิสัจจะพุทธธรรมกบินทร์บุรี ลงค้นหาร่างผู้สูญหาย นานประมาณ 40 นาที พบร่างของน้องไอซ์เสียชีวิตอยู่ในน้ำ ห่างจากสะพานประมาณ 50 เมตร จึงนำร่างขึ้นมารอเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบสาเหตุการเสียชีวิตอีกครั้ง

สำหรับ น้องไอซ์ เป็นลูกของ นพ.กฤษฎา วงศ์ดีเลิศ อดีตแพทย์ รพ.กบินทร์บุรี แพทย์จากจุฬาฯ รุ่นที่ 42 ซึ่งเสียชีวิตเนื่องจากติดเชื้อในกระแสเลือด เพราะรักษาคนไข้ ส่วนภรรยาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต เหลือเพียง น.ส.อารดา ที่รอดชีวิต และอาศัยอยู่กับคุณย่า คือ นางบุญนาค (สงวนนามสกุล) อายุ 88 ปี

ส่วนน้องไอซ์ยังเด็กๆ เป็นโรคลมชักตลอดเวลา ทำให้ยายที่มีฐานะยากจนเลี้ยงดูและหาเก็บของเก่า จนมีผู้สื่อข่าวทราบได้นำเสนอข่าวนี้ ทำให้กลุ่มแพทย์ที่เป็นเพื่อนกับพ่อน้องไอซ์และประชาชนทั่วไปทราบเรื่องได้บริจาคเงินช่วยเหลือ และพาน้องไอซ์ไปรักษาโรคลมชักจนหาย แต่น้องยังคงเป็นโรคซึมเศร้าตลอดมา

ข่าวสด
28พค2567
3
“โกโก้” อุดมด้วยโพลีฟีนอล (Polyphenol) สารอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ลดการอักเสบ ช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ลดความดันโลหิต ลดคอเลสเตอรอล และลดระดับน้ำตาลในเลือด และมีสารต่อต้านโรคหืด ช่วยให้ปอดขยายออก ทำให้หายใจผ่อนคลาย และลดการอักเสบ

การศึกษาส่วนประกอบของโกโก้ พบว่า ฟลาโวนอยด์ (Flavonoid)ในโกโก้ ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย ต่อสู้กับการอักเสบ ยับยั้งการเติบโตของเซลล์ ช่วยป้องกันการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง และมีการศึกษาวิจัยพบว่า โกโก้มีสารที่ช่วยในเรื่องการทำงานของสมองอีกด้วย

แต่ก่อนจะไปดูว่าดื่มอย่างไรให้ถูกวิธีและช่วยบำรุงสมองได้ ตอนนี้คุณสามารถแยกความแตกต่างระหว่าง “โกโก้” กับ “ช็อกโกแลต” ได้หรือไม่ ?

เลือกให้ถูก เพราะ “โกโก้” ไม่ใช่ “ช็อกโกแลต”
เป็นที่ทราบกันดีว่า “โกโก้” และ “ช็อกโกแลต” มีประโยชน์กับร่างกาย แต่ก็ยังมีข้อสงสัยว่า “โกโก้” และ “ช็อกโกแลต” แตกต่างกันหรือไม่ ?

ทั้ง “โกโก้” และ “ช็อกโกแลต” นั้น ต่างก็เป็นผลผลิตจากต้นโกโก้ หรือต้นคาเคา (Theobroma Cacao) โดยการนำเมล็ดโกโก้มาผ่านกระบวนการหมัก ตากแห้ง คั่ว ปอกเปลือก บด และแปรรูปเป็นของเหลว (Cocoa Liquor)

จากนั้นนำโกโก้เหลวไปผ่านกระบวนการรีดเอาไขมันโกโก้ (Cocoa butter) ออกจากเนื้อโกโก้ (Cocoa cake) แล้วเอาเนื้อโกโก้ที่เหลือไปบดละเอียด เป็นผงโกโก้ธรรมชาติที่มีไขมันอยู่เพียง 10-24 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น โกโก้จึงถือเป็นเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพ เนื่องจากไม่มีไขมันผสมอยู่เลย หรือมีไขมันผสมอยู่น้อยมาก

สำหรับช็อกโกแลต เป็นการนำโกโก้เหลวไปขึ้นรูปหรือเทใส่แม่พิมพ์โดยไม่แยกไขมัน จึงยังคงมีไขมันโกโก้ในปริมาณมาก กลายเป็น “ดาร์กช็อกโกแลต 100 เปอร์เซ็นต์” มีรสขม ส่วนใหญ่จึงมีการเติมนมและน้ำตาลได้เป็นช็อกโกแลตนม เพื่อให้ได้รสชาติหอมหวานและรับประทานง่ายขึ้น

ดื่มโกโก้ร้อนทุกเช้า ช่วยให้ความจำดีแม้สูงวัย
“ในโกโก้ มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์กว่า 700 ชนิด และมีสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ที่ทำให้เซลล์สมองทำงานดีขึ้น”

ศ. นพ.นิพนธ์ พวงวรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรกรรมระบบประสาทและสมอง คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ซึ่งเป็นผู้แนะนำให้ดื่มโกโก้ร้อนเพื่อบำรุงสมอง ระบุงานวิจัยของมหาวิทยาลัยเรดิง (University of Reading) ในประเทศอังกฤษที่ว่า การดื่มโกโก้วันละ 2 ช้อนโต๊ะ หรือ 1,000 มิลลิกรัม วันละครั้งทุกวัน จะช่วยบำรุงสมอง
จากการที่ นพ.นิพนธ์ ได้ทดลองด้วยตนเองเป็นเวลา 2 เดือน พบว่า สมองของตนทำงานดีขึ้น สดชื่นขึ้น เพราะในโกโก้มีสารฟลาโวนอยด์ ที่ทำให้เซลล์สมองทำงานได้ดีขึ้น ช่วยให้สมองหลั่งที่มีประโยชน์ ทั้งสารเอนดอร์ฟิน (Endorphin) สารโดพามีน (Dopamine) ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข รวมทั้งสารเซโรโทนิน (Serotonin) ที่ช่วยป้องกันอาการซึมเศร้า โดยสมองต้องใช้สารทั้งสามในการทำงาน หากขาดสารดังกล่าว ก็จะทำให้สมองเฉื่อยและทำงานช้าลง

มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ได้ผลสนับสนุนงานวิจัยข้างต้น ระบุว่า โพลีฟีนอล (Polyphenol) ที่อยู่ในโกโก้ สามารถลดความเสี่ยงต่อโรคเกี่ยวกับความเสื่อมของระบบประสาท เช่น อัลไซเมอร์ และพาร์กินสัน โดยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด

นอกจากนี้ ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ยังมีผลต่อการผลิตไนตริกออกไซด์ (Nitric Oxide: NO) ซึ่งช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อของหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น โดยจากการศึกษาผู้สูงอายุ 34 คน ให้ดื่มโกโก้ที่มีฟลาวานอยด์สูง พบว่า มีการไหลเวียนของเลือดไปยังสมองเพิ่มขึ้น 8 เปอร์เซ็นต์ หลังจากดื่มไป 1 สัปดาห์ และเพิ่มขึ้นเป็น 10 เปอร์เซ็นต์หลังจากดื่มไปแล้ว 2 สัปดาห์

อย่างไรก็ตาม นพ.นิพนธ์ ได้ย้ำว่า แม้โกโก้จะมีประโยชน์แต่ไม่สามารถรักษาโรคอัลไซเมอร์ได้ เพียงแต่ชะลอให้เกิดโรคช้าลงเท่านั้น

ทางด้าน ผศ. ดร.สุดาทิพย์ แซ่ตั้น อาจารย์คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ยืนยันว่า โกโก้มีสารอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะโพลีฟีนอล (Polyphenol) ที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง ลดความเครียด แต่โกโก้มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลัก หากต้องการได้รับประโยชน์จากโกโก้โดยตรง ควรชงดื่มกับน้ำเปล่า เพราะหากใส่นมจะทำให้ได้ประโยชน์จากโกโก้ลดลง เนื่องจากนมจะไปจับกับสารสำคัญของโกโก้ที่ร่างกายไม่สามารถดูดซึมได้

เคล็ดลับการดื่มโกโก้ให้ได้ประโยชน์สูงสุด
ใช้ผงโกโก้ 2 ช้อนโต๊ะ โรยหน้าขนมหรือชงเป็นเครื่องดื่ม โดยผสมกับน้ำร้อน ดื่มทุกวัน ๆ ละ 1 ครั้ง
ควรเลือกใช้ผงโกโก้ที่เป็นโกโก้แท้ 100 เปอร์เซ็นต์ และไม่ควรใส่ส่วนผสมอื่น ๆ เช่น นมหรือน้ำตาล
ในช่วงเริ่มแรก หากยังไม่คุ้นเคยกับรสขมของโกโก้ 100 เปอร์เซ็นต์ อาจใช้วิธีชงดื่มกับนมพร่องมันเนยก่อน แล้วค่อย ๆ ปรับเป็นผสมกับน้ำร้อนในภายหลัง
ข้อควรระวังในการดื่มโกโก้

การดื่มโกโก้แบบเพิ่มนมและน้ำตาล จะทำให้ระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดสูงขึ้น ส่งผลให้เป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคหลอดเลือดหัวใจได้
โกโก้มีสารธีโอโบรมีน (Theobromine) สูง มีฤทธิ์คล้ายคาเฟอีนอ่อน ๆ หากดื่มเข้าไปในปริมาณมากอาจทำให้ใจสั่นและนอนไม่หลับได้
ดร.นิพนธ์ ได้ทิ้งท้ายเพิ่มเติมว่า นอกจากการดื่มโกโก้ทุกวันเพื่อบำรุงสมองแล้ว การออกกำลังกาย การรักษาโรคประจำตัว การกินอาหารให้ครบหมู่ถูกสัดส่วน ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม และที่สำคัญที่สุดก็คือ อย่านอนดึก

“ความจำของคนเราผูกพันกับการนอน เมื่อไรก็ตามที่เรานอนไม่ดีหรืออดนอน เมื่อนั้น ความจำเราจะหายไป”

เพราะการใช้ชีวิตอย่างสมดุล มีค่ากว่ายาใด ๆ ด้วยความห่วงใยจาก Hack for Health



Beartai.com
4
จากรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 1/2567 แถลงโดย นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) วันที่ 27 พ.ค.67 ซึ่งหนึ่งในสถานการณ์ทางสังคมที่น่าสนใจจากรายงานดังกล่าว คือหัวข้อเกี่ยวกับ "Mental health ปัญหาสำคัญที่ต้องเฝ้าระวัง" โดยส่วนหนึ่งระบุถึงปัญหาสุขภาพจิตของ "วัยทำงาน" ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความรับผิดชอบสูง และมีหลายปัญหารุมเร้า

โดยพบว่า สาเหตุของปัญหาสุขภาพจิตในวัยทำงานมีด้วยกันหลายปัจจัย ทั้งความเครียดจากการทำงาน การติดสุรา การใช้สารเสพติด และ ปัญหาจากการดำรงชีพ โดยปัจจัยสำคัญอาจทำให้ต้องเผชิญปัญหาสุขภาพจิต คือ การทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ในชีวิตไปกับการทำงาน รายละเอียดได้แก่

- การใช้เวลาถึง 1 ใน 3 ของแต่ละวันไปกับการทำงาน [ที่มา : กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ,2566]

- กรุงเทพฯ จัดอยู่ในอันดับที่ 5 จาก 100 เมืองของประเทศทั่วโลก ที่มีผู้คนทำงานหนักเกินไป และมีพนักงานประจำกว่า 15.10% ทำงานล่วงเวลามากกว่า 48 ชั่วโมง/สัปดาห์ [ที่มา : บริษัทKisi, 2565]
- คนกรุงเทพฯ 7 ใน 10 มีอาการหมดไฟในการทำงาน [ที่มา : วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล, 2562]

ทำงานหนัก ส่งผล เครียด ซึมเศร้า ภาวะหมดไฟ
ทั้งนี้ ในรายงานดังกล่าวได้ระบุถึงผลกระทบจากการทำงานหนัก ว่า ส่งผลให้เกิดความเครียด ซึมเศร้า และหมดไฟในการทำงานได้ง่าย

โดยในปี 2566 วัยแรงงานขอรับบริการเรื่องความเครียด วิตกกังวล ไม่มีความสุขในการทำงาน จำนวนมากถึง 5,989 สาย จาก 8,009 สาย ซึ่งหากภาวะเหล่านี้ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องต่อเนื่อง จะทำให้ปัญหาสุขภาพร่างกายรุนแรงมากขึ้นตาม

Bangkokbiznews
27 พพ 2567
5
ไทยกำลังเข้าสู่สังคมคนโสดมากขึ้น สภาพัฒน์เผยคนไทยวัยเจริญพันธุ์ (15-49 ปี) เป็นโสดเพิ่มแตะ 40.5% แนะพัฒนาแพลตฟอร์มส่งเสริมให้คนโสดมีคู่ หนุน Work-life Balance

วันที่ 27 พฤษภาคม 2567 นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ระหว่างการเร่งผลักดันนโยบายส่งเสริมการมีลูก โดยมีเป้าหมายไปที่คนมีคู่ เพื่อแก้ปัญหาเด็กเกิดน้อย

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (SES) ปี 2566 กลับพบว่าคนไทยในช่วงวัยเจริญพันธุ์ (อายุ 15-49 ปี) มีคนโสดอยู่ 40.5% สูงกว่าภาพรวมประเทศเกือบเท่าตัว 23.9% และเพิ่มขึ้นจากปี’60 ที่ 35.7

สอดคล้องกับสัดส่วนของคนไทยที่มีสถานะแต่งงานแล้วที่ลดลงต่อเนื่อง จากระดับ 57.9% ในปี 2560 เหลือ 52.6% ในปี 2566 ท่ามกลางอัตราการหย่าร้างที่สูงขึ้น โดยคนโสดในความหมายของรายงานหมายถึงผู้ที่ยังไม่เคยสมรส

นายดนุชากล่าวว่า คนโสดส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่เขตเมือง โดยกรุงเทพฯ มีสัดส่วนคนโสดในพื้นที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ ถึง 50.4% เมื่อจำแนกตามการศึกษา พบว่าผู้หญิงที่โสดส่วนใหญ่คือผู้ที่มีการศึกษาระดับอุดมศึกษาขึ้นไป คิดเป็น 42% รองลงมาคือผู้ที่มีการศึกษาระดับมัธยมปลาย คิดเป็น 31.2% ส่วนผู้ชายที่โสดส่วนใหญ่คือ ผู้ที่มีการศึกษาระดับมัธยมปลาย คิดเป็น 29.4% รองลงมาคือผู้ที่มีการศึกษาระดับมัธยมต้น คิดเป็น 28.7%

สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นคนโสด แบ่งได้เป็น 4 ด้านคือ
1.ค่านิยมทางสังคมของการเป็นโสดยุคใหม่ อาทิ

SINK (Single Income, No Kids) หรือคนโสดที่มีรายได้และไม่มีลูก เน้นใช้จ่ายเพื่อตนเอง จากข้อมูล SES ในปี’66 พบว่า สัดส่วนคนโสด SINK สูงขึ้นตามระดับรายได้

PANK (Professional Aunt, No Kids) หรือกลุ่มผู้หญิงโสดอายุ 30 ปีขึ้นไป ที่มีรายได้ หรืออาชีพการงานดี และไม่มีลูก ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลหลาน หรือเด็กในครอบครัวรอบตัว โดยคนโสด PANK มีจำนวน 2.8 ล้านคน ส่วนใหญ่มีรายได้ดีและจบการศึกษาสูง

Waithood หรือกลุ่มคนโสดที่เลือกจะรอคอยความรัก เนื่องจากความไม่พร้อม หรือไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ส่วนหนึ่งสะท้อนได้จากคนโสด 40% ที่มีรายได้ต่ำสุด โดยมีสัดส่วนอยู่ที่ 37.7% ส่วนใหญ่เป็นเพศชายมากถึง 62.6% มีระดับการศึกษาที่ไม่สูงนัก ทำให้ความสามารถในการหารายได้จำกัด

2.ปัญหาความต้องการ หรือความคาดหวังที่ไม่สอดคล้องกัน เป็นผลจากความคาดหวังทางสังคม และทัศนคติต่อการมองหาคู่ของคนที่เปลี่ยนแปลงไป โดยในปี 2564 บริษัทมีทแอนด์ลันช์ สาขาประเทศไทย พบว่าผู้หญิงกว่า 76% จะไม่เดทกับผู้ชายที่มีรายได้น้อยกว่า และ 83% ไม่คบกับผู้ชายที่มีส่วนสูงน้อยกว่า ขณะเดียวกัน ผู้ชาย 59% จะไม่คบกับผู้หญิงตัวสูงกว่า และอีกกว่า 60% ไม่เดทกับผู้หญิงที่เคยหย่าร้าง

3.โอกาสในการพบปะผู้คน โดยในปี 2566 คนโสดมีชั่วโมงการทำงานสูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศ อีกทั้งกรุงเทพฯ ยังจัดอยู่ในอันดับที่ 5 ของเมืองที่แรงงานทำงานหนักที่สุดในโลก ทำให้คนโสดไม่มีโอกาสในการมองหาคู่

4.นโยบายส่งเสริมการมีคู่ของภาครัฐยังไม่ต่อเนื่อง และครอบคลุมความต้องการของคนโสด โดยนโยบายส่งเสริมการมีคู่ของไทยในช่วงที่ผ่านมายังมีไม่มากนัก โดยเน้นไปที่กลุ่มคนโสดที่มีความพร้อม ขณะที่ในต่างประเทศมีแนวทางการส่งเสริมการมีคู่ที่ครอบคลุมไปถึงการบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย และการสร้างโอกาสในการมีคู่

ทั้งนี้ สภาพัฒน์มีแนวทางสนับสนุนให้คนมีคู่ ดังนี้

การสนับสนุนเครื่องมือการ Matching คนโสด โดยภาครัฐอาจร่วมมือกับผู้ให้บริการ หรือพัฒนาแพลตฟอร์ม เพื่อส่งเสริมให้คนโสดสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น

การส่งเสริมการมี Work-life Balance ทั้งในภาครัฐและเอกชน ทำให้คนโสดมีคุณภาพชีวิตที่ขึ้น และเพิ่มโอกาสให้คนโสดมีเวลาทำกิจกรรมที่ชอบ และพบเจอคนที่น่าสนใจมากขึ้น
การยกระดับทักษะที่จำเป็นในการทำงาน เพิ่มโอกาสความก้าวหน้าในอาชีพการงาน และรายได้ ซึ่งคนโสดยังมีโอกาสพบรักจากสถานศึกษาได้อีกด้วย
การส่งเสริมกิจกรรม และการมีส่วนร่วมทางสังคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คนโสดมีโอกาสพบปะ และสร้างความสัมพันธ์ใหม่ ๆ ได้
สำหรับแนวทางการแก้ปัญหานโยบายส่งเสริมการมีคู่ของภาครัฐไม่ต่อเนื่อง และไม่ครอบคลุมความต้องการ สภาพัฒน์ชี้ว่าอาจถอดบทเรียนจากต่างประเทศที่มีแนวทางการส่งเสริมการมีคู่ที่ครอบคลุมไปถึงการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายและสร้างโอกาสในการมีคู่ได้ ตัวอย่างเช่น

สิงคโปร์ ในปี 2561 มีการจัดทำโครงการลดคนโสด โดยจ่ายเงินให้คู่รักออกเดทอย่างน้อย 2,500 บาท เพื่อให้ประชาชนนำไปใช้ในกิจกรรมออกเดต หรือบริการหาคู่
จีน ในปี 2566 รัฐบาลท้องถิ่นของมณฑลเจียงซีให้การสนับสนุนแอปพลิเคชั่นหาคู่ โดยใช้ฐานข้อมูลของคนโสดที่อาศัยอยู่ในเมืองมาพัฒนาจัดทำแพลตฟอร์มบริการหาคู่ที่เรียกว่า Palm Guixi
ญี่ปุ่น ในปี 2567 จัดทำแอปพลิเคชั่นหาคู่สำหรับคนโสดที่อายุมากกว่า 18 ปี และอยู่ในโตเกียว โดยใช้ระบบ AI เพื่อช่วยวิเคราะห์หาคนที่มีความชอบใกล้เคียงกัน รวมทั้งยังมีระบบการยืนยันตัวตนเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้งาน


ประชาชาติ
27พค2567
6
ความทรงจำที่บกพร่องไม่สมบูรณ์แบบ และการหวนรำลึกนึกถึงเรื่องเก่าโดยผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ให้กำเนิดสมองอัจฉริยะ ซึ่งมีความยืดหยุ่นปรับตัวต่อการเรียนรู้ได้สูง

ข้อความข้างต้นกล่าวโดย ชรัญ รัญกานาถ นักประสาทวิทยาศาสตร์ที่เพิ่งออกหนังสือเล่มใหม่ “ทำไมเราถึงจดจำ ?” (Why We Remember? ตีพิมพ์โดย Faber & Faber สหราชอาณาจักร) ซึ่งเขาระบุในหนังสือเล่มนี้ว่า “ความทรงจำนั้นเป็นมากยิ่งกว่าคลังข้อมูลที่เก็บรวบรวมอดีต อันที่จริงแล้วมันคือแท่งแก้วปริซึมหักเหแสง ซึ่งเราใช้มองตนเอง ผู้อื่น และโลกทั้งใบ”

รัญกานาถซึ่งเป็นศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาอยู่ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเดวิสของสหรัฐฯ ได้สนทนากับเดวิด ร็อบสัน นักเขียนเรื่องวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ถึงงานศึกษาวิจัยที่เขาทำมานาน 30 ปี เพื่อสำรวจกระบวนการทางสมองที่เกิดขึ้นเบื้องหลังความสามารถในการหวนรำลึก การจดจำ และการลืมของมนุษย์

รัญกานาถเสนอสมมติฐานที่ว่า สิ่งที่เราเชื่อกันทั่วไปเกี่ยวกับความทรงจำนั้นไม่ถูกต้อง และมักมีความผิดพลาดเกิดขึ้นในกระบวนการดึงข้อมูลเก่า ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นประโยชน์มากที่สุด เพราะทำให้เกิดความยืดหยุ่นทางสติปัญญาที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อความอยู่รอดของเรา

ต่อไปนี้คือบทสนทนาถาม-ตอบ ระหว่างร็อบสันกับรัญกานาถ เกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจใหม่ล่าสุดของแวดวงวิทยาศาสตร์ที่มีต่อสมอง รวมทั้งหนทางที่เราอาจนำความรู้นี้ไปประยุกต์ เพื่อใช้งานสติปัญญาที่ “ไม่สมบูรณ์แบบอย่างสมบูรณ์” ได้ดีขึ้นกว่าเดิม

หนังสือของคุณเต็มไปด้วยข้อความที่ฟังดูขัดกับสามัญสำนึกของคนทั่วไปอยู่มาก เริ่มจากแนวคิดเรื่อง “การเรียนรู้ที่ขับเคลื่อนด้วยความผิดพลาด” ทำไมเราถึงเรียนรู้ได้ดีที่สุด หากเรายอมให้ตัวเองทำผิดพลาดเสียก่อน

ความทรงจำนั้นก่อตัวขึ้นจากความเปลี่ยนแปลงในระดับความแข็งแกร่งของการเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาท ในชั่วขณะหนึ่งการเชื่อมต่อบางเส้นทางอาจจะไม่อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด แต่มีการเชื่อมต่ออื่น ๆ ที่แข็งแกร่งกว่าและมีประสิทธิภาพดีกว่า
หลักการเรียนรู้ที่ขับเคลื่อนด้วยความผิดพลาดนั้น สามารถอธิบายง่าย ๆ ได้ว่า เมื่อคุณพยายามดึงความทรงจำเก่าออกมาใช้ การย้อนนึกถึงเรื่องเหล่านี้จะมีความไม่สมบูรณ์แบบอยู่ด้วยเล็กน้อยเสมอ ดังนั้นเมื่อสมองพยายามจะดึงความทรงจำเหล่านี้ออกมา และคุณนำมันไปเปรียบเทียบกับข้อมูลที่มีการบันทึกในความเป็นจริง การเชื่อมต่อของเซลล์ประสาทในเส้นทางที่ผิดจะอ่อนแอลง และไปเสริมความแข็งแกร่งของเส้นทางที่ถูกต้องให้ดียิ่งขึ้น

ดังนั้นหลักในการประยุกต์ใช้ความรู้นี้กับชีวิตประจำวันก็คือ เราควรจะท้าทายตนเองให้ดึงเอาข้อมูลเก่าเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังพยายามเรียนรู้ออกมา ซึ่งเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการเรียนรู้ได้เพิ่มมากขึ้น เพราะกระบวนการนี้เปิดเผยจุดอ่อนที่ซ่อนอยู่ และเปิดโอกาสให้สมองได้พัฒนาความทรงจำในรูปแบบที่ดีที่สุดขึ้นมา นี่คือเหตุผลที่การเรียนรู้ด้วยเทคนิคการลงมือทำจริง เช่นการขับรถเพื่อเรียนรู้ถนนหนทางในละแวกบ้านแทนการจดจำจากกูเกิลแมปส์ หรือการซ้อมเล่นละครบนเวทีจริงแทนที่จะอ่านบทซ้ำไปซ้ำมา จึงเป็นเทคนิคการเรียนรู้ที่ได้ผลดียิ่ง

หลายคนรู้สึกสับสนกับช่องว่างบางส่วนที่ขาดหายไปในความทรงจำของเรา แต่คุณกลับบอกว่าอาการหลงลืมเลอะเลือนเช่นนี้เป็นประโยชน์เสมอได้อย่างไรกัน

ผมจะเปรียบเทียบให้ฟังนะ ลองจินตนาการว่าผมไปที่บ้านของคุณและถามว่า ทำไมคุณถึงไม่เป็นพวกบ้าสะสมข้าวของล่ะ ทำไมคุณถึงไม่เก็บทุกอย่างเอาไว้ ? อันที่จริงหากเราไม่ลืมอะไรไปเลย สมองก็จะต้องเก็บความทรงจำเอาไว้ทุกเรื่อง ซึ่งเมื่อถึงเวลาค้นหาสิ่งที่ต้องการ คุณจะไม่มีวันหาเจอ

สมมติว่าวันนี้ผมพักอยู่ที่โรงแรม มันจึงเป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผลเลยที่จะจดจำหมายเลขห้องนี้ต่อไป เมื่อผมกลับบ้านไปแล้วในช่วงสองสัปดาห์ให้หลัง เช่นเดียวกันกับการเดินผ่านคนมากหน้าหลายตาบนท้องถนน เราจำเป็นจะต้องจดจำใบหน้าของพวกเขาทุกคนหรือไม่ ?

ทำไมเราหลงลืมมากขึ้นเมื่อแก่ตัวลง

ปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่จำเป็นจะต้องมาจากการไม่อาจสร้างความทรงจำใหม่ ๆ แต่เป็นเพราะเราไม่สามารถจดจ่อมุ่งความสนใจไปยังข้อมูลที่จำเป็นจะต้องจดจำได้ ซึ่งก็คือมีสมาธิสั้นลงนั่นเอง บรรดาเรื่องไร้สาระมากมายเข้ามาแทนที่สิ่งสำคัญซึ่งควรจะจดจำจริง ๆ ไปหมด ดังนั้นเมื่อเราย้อนนึกถึงเรื่องในความทรงจำ จึงไม่พบข้อมูลที่ค้นหาเลย

เราสามารถใช้กลยุทธ์อะไรหลีกเลี่ยงปัญหานี้ เพื่อปรับปรุงความทรงจำให้ดีขึ้น

มีหลักการพื้นฐานอยู่สามข้อ ข้อแรกคือการสร้างความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เพราะข้อมูลความทรงจำของเรานั้นแข่งขันกันเองอยู่เสมอ หากคุณทำให้ข้อมูลใดโดดเด่นขึ้นมาได้นั่นก็ยิ่งดี ความทรงจำที่แจ่มชัดมักจะเชื่อมโยงกับภาพ เสียง และความรู้สึกที่ไม่เหมือนใคร นั่นคือสิ่งที่จะติดอยู่ในหัวของเราไปตลอด ดังนั้นการมุ่งให้ความสนใจกับรายละเอียดทางประสาทสัมผัส แทนที่จะจดจำเอาไว้เฉย ๆ จะช่วยให้เราจำได้ดีขึ้น

กลยุทธ์ข้อที่สองก็คือ พยายามส่งเสริมการจัดระเบียบความทรงจำให้มีโครงสร้างที่ใหญ่โตมากขึ้นและมีความหมายมากยิ่งขึ้น ในหนังสือเล่มใหม่ผมได้กล่าวถึงวิธี “วังความทรงจำ” (memory palace) ซึ่งใช้เทคนิคการเชื่อมโยงข้อมูลที่คุณต้องการเรียนรู้เข้ากับข้อมูลที่มีอยู่แล้ว

กลยุทธ์ข้อที่สามคือการสร้างสัญญาณ (cue) ซึ่งสามารถจะเรียกให้ความทรงจำผุดขึ้นมาในหัวของเราทันทีได้ เพราะการค้นหาข้อมูลเก่าในสมองโดยตรงนั้นทั้งเปลืองแรงและมีข้อผิดพลาดแฝงอยู่เต็มไปหมด แต่การให้สัญญาณเช่นเพลงที่ทำให้เราย้อนรำลึกถึงอดีตในบางช่วงวัย จะช่วยให้สมองเรียกคืนความทรงจำได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีสัญญาณในชีวิตประจำวันอีกมากมายที่เรานำมาใช้ได้ เช่นเมื่อต้องการจำวันเวลาที่ต้องนำขยะออกมาทิ้ง เราอาจจินตนาการล่วงหน้าว่าได้เดินไปที่ประตูและมองไปที่ถังขยะ ก่อนจะนึกภาพว่าได้เดินออกไปเทขยะในที่สุด ซึ่งเมื่อถึงเวลาทิ้งขยะในชีวิตจริง ร่างกายของเราจะทำตามสัญญาณที่สร้างไว้โดยอัตโนมัติเมื่อมาถึงหน้าประตู

นอกจากการสูญเสียความทรงจำแล้ว เรายังพบว่ามีรายละเอียดที่ผิดพลาดในการย้อนรำลึกถึงเรื่องเก่า ๆ ซึ่งไม่สอดคล้องกับเหตุการณ์จริงอยู่อีกด้วย ทำไมเรื่องเช่นนี้จึงเกิดขึ้นได้

คนเรามี “แบบแผน” (schemas) ทางความคิดอยู่หลายชุด ซึ่งช่วยสร้างเรื่องราวสำเร็จรูปให้เราจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ โดยไม่สิ้นเปลืองพลังงานและทรัพยากรของสมองไปมากนัก

ลองนึกภาพว่าคุณเพิ่งไปธนาคารมา และในหัวของคุณก็เต็มไปด้วยข้อมูลความรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมาย ทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและไม่ได้เกิดขึ้นในธนาคารดังกล่าว แบบแผนทางความคิดจะช่วยให้คุณจำกัดขอบเขตของสิ่งที่ต้องจดจำในตอนนั้นได้ โดยมันจะทำหน้าที่เป็นเนื้อเยื่อเชื่อมประสานข้อมูลที่ไม่ปะติดปะต่อกัน ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถจดจำเฉพาะสิ่งใหม่ลงไปและนำมันไปใช้งานได้ แต่บางครั้งแบบแผนทางความคิดก็เติมข้อมูลส่วนที่ขาดหายด้วยข้อมูลที่ผิดพลาดมากจนเกินไป

เหตุผลอีกข้อหนึ่งก็คือ ความทรงจำนั้นเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งนี่ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเราต้องปรับปรุงข้อมูลความทรงจำให้ทันสมัยอยู่เสมอ หากคุณพบญาติคนหนึ่งที่ไม่ได้เจอกันมานานหลายปี ใบหน้าของเขาหรือเธอย่อมเปลี่ยนไปจากตอนที่พบกันครั้งหลังสุด ดังนั้นคุณจึงต้องสร้างความทรงจำใหม่ที่ถูกต้องแม่นยำกว่าเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของญาติผู้นั้นขึ้นมา แต่บางครั้งจินตนาการของตัวเราเองก็อาจแทรกซึมเข้ามาปะปนอยู่ในความทรงจำ จนเกิดการจำผิดพลาดได้

ความทรงจำถือเป็นกระบวนการร่วมได้อย่างไร

เมื่อเราแบ่งปันความทรงจำของตัวเองกับผู้อื่น มันสามารถนำไปสู่การปรับปรุงความทรงจำให้ถูกต้องและทันสมัยได้ เมื่อผมกล่าวอธิบายเหตุการณ์หนึ่งในคุณฟัง การสร้างเรื่องราวขึ้นมาบอกเล่าสามารถเปลี่ยนแปลงความทรงจำที่ผมเคยมีต่อเหตุการณ์นั้น นอกจากนี้ ปฏิกิริยาของคุณที่เป็นผู้ฟังยังมีผลต่อความทรงจำของผมซึ่งจะเปลี่ยนไปหลังจากนั้นด้วย เช่นมันอาจกลายเป็นเรื่องที่ตลกขบขันมากขึ้น หรือคุณอาจให้ข้อมูลเพิ่มเติมที่จะแทรกซึมลงในความทรงจำของผม จนกลายเป็นการจำข้อมูลผิดพลาดได้ ซึ่งก็คือผมเกิดความสับสนระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นจริง กับสิ่งที่ผู้ฟังบอกผมระหว่างที่เล่าเรื่องอยู่นั่นเอง ผมขอบอกเลยว่า ความทรงจำของเราหลายเรื่องไม่ใช่ของเราทั้งหมดอีกต่อไป แต่กลายเป็นความทรงจำร่วม (collective memories) ระหว่างคนหลายฝ่าย

งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของคุณ ส่งผลต่อความสัมพันธ์ที่คุณมีกับความทรงจำของตนเองอย่างไร

การเขียนหนังสือเล่มนี้เปิดโอกาสให้ผมได้มีแรงจูงใจที่จะถนอมรักษาความทรงจำของตนเองเอาไว้ ตอนนี้ผมพยายามออกกำลังกายเป็นประจำ ระมัดระวังเรื่องอาหารการกิน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะยังคงมีสุขภาพสมองและสติปัญญาที่สมบูรณ์ในวัยชรา

เดวิด ร็อบสัน - นักเขียนเรื่องวิทยาศาสตร์
BBC News ไทย
22 พค 2567
7


เมื่อวันจันทร์ ริชิ ซูนักได้ออกคำขอโทษอย่าง “สุดใจและชัดเจน” ต่อเหยื่อของภัยพิบัติด้านการรักษาครั้งใหญ่ที่สุดในNHSในขณะที่เขาสาบานว่าพวกเขาจะได้รับ “ ค่าชดเชย ที่ครอบคลุม ”

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า มันเป็น “วันแห่งความอับอายสำหรับ รัฐ อังกฤษ ” หลังจากการสอบสวนเรื่อง Infected Blood Inquiry ระบุ“ รายการความล้มเหลวทั้งเชิงระบบ โดยรวม และส่วนบุคคล”ซึ่งเท่ากับ “ภัยพิบัติ” ที่ไม่ใช่อุบัติเหตุ

“ในทุกระดับผู้คนและสถาบันที่เราไว้วางใจล้มเหลวในลักษณะที่น่าสยดสยองและทำลายล้างที่สุด” นายสุนัก กล่าวในแถลงการณ์ต่อสภาสามัญชนภายหลังข้อค้นพบของรายงานถูกเผยแพร่

“ความเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำอีก ที่ต้องอดทนมานานหลายทศวรรษ นี่เป็นคำขอโทษจากรัฐต่อทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องอื้อฉาวนี้

“มันไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนี้ มันไม่ควรจะเป็นเช่นนี้ และในนามของรัฐบาลนี้และทุกรัฐบาลที่ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1970 ฉันเสียใจจริงๆ”

เขาสัญญาว่าจะจ่าย “ค่าชดเชยที่ครอบคลุม” ให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบและติดเชื้อจากเรื่องอื้อฉาวนี้

“ไม่ว่าจะมีค่าใช้จ่ายเท่าใดในการส่งมอบโครงการนี้ เราจะจ่ายให้” เขากล่าวเสริม โดยกล่าวว่ารายละเอียดต่างๆ จะถูกเปิดเผยในวันอังคาร

บรรดารัฐมนตรีได้จัดสรรเงินประมาณ 10,000 ล้านปอนด์สำหรับแพ็คเกจค่าตอบแทน

ในนามของสิ่งนี้และทุกรัฐบาลที่ย้อนกลับไปถึงทศวรรษ 1970 ฉันเสียใจจริงๆ

ริชิ สุนาค

หัวหน้าหน่วยงานสาธารณสุขในอังกฤษยังได้กล่าวขอโทษเมื่อวันจันทร์ว่า ผู้คน "ให้ความไว้วางใจในการดูแลที่พวกเขาได้รับจาก NHS ตลอดหลายปีที่ผ่านมา และพวกเขาก็ผิดหวังอย่างมาก"

อแมนดา พริทชาร์ด หัวหน้าระบบ NHS ประเทศอังกฤษ เสนอ "คำขอโทษอย่างสุดซึ้งและจริงใจต่อบทบาทของ NHS ต่อความทุกข์ทรมานและการสูญเสียผู้ติดเชื้อและผู้ได้รับผลกระทบทั้งหมด"

รายงานความยาว 2,527 หน้าพบว่าเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการติดเชื้อในเลือด “สามารถหลีกเลี่ยงได้เป็นส่วนใหญ่” และมีการปกปิด “อย่างแพร่หลาย” เพื่อซ่อนความจริง

การสอบสวนพบว่ามีความพยายามอย่างจงใจเพื่อปกปิดภัยพิบัติ รวมถึงหลักฐานที่ เจ้าหน้าที่ ไวท์ฮอลล์ ทำลายเอกสาร

การสอบสวนระยะเวลา 7 ปีสรุปว่าผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ไม่สามารถยอมรับได้

ผู้คนมากกว่า 30,000 คนติดเชื้อไวรัสมรณะในขณะที่พวกเขาได้รับการดูแลจาก NHS ระหว่างทศวรรษ 1970 ถึง 1990 ในภัยพิบัติที่เซอร์ ไบรอัน แลงสตาฟ ประธานสอบสวนอธิบายว่าเป็น “หายนะ”

เซอร์ ไบรอัน กล่าวว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นน่ากลัวมาก” ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 3,000 ราย และผู้รอดชีวิตต่อสู้กันมานานหลายทศวรรษเพื่อค้นหาความจริง

เขากล่าวว่า “ระดับของความทุกข์ทรมานนั้นยากที่จะเข้าใจ” และความเสียหายที่เกิดกับประชาชนนั้นประกอบขึ้นด้วยปฏิกิริยาของรัฐบาลชุดต่อๆ ไป, NHS และวงการแพทย์

การสอบสวนดังกล่าวระบุว่า บรรดารัฐมนตรีล้มเหลวในการดำเนินการเพื่อรักษาหน้าและค่าใช้จ่าย โดยรัฐบาลชุดปัจจุบันถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่สามารถดำเนินการทันทีตามข้อเสนอแนะเกี่ยวกับค่าชดเชยที่ได้เสนอไว้เมื่อปีที่แล้ว

อดีตผู้พิพากษาศาลสูงรายนี้บอกกับสถานีโทรทัศน์ว่า “สิ่งที่ฉันพบคือภัยพิบัติไม่ใช่อุบัติเหตุ

“ผู้คนให้ความไว้วางใจต่อแพทย์และรัฐบาลเพื่อให้พวกเขาปลอดภัย และความไว้วางใจนั้นก็ถูกทรยศ

“จากนั้น รัฐบาลก็เสริมความเจ็บปวดนั้นด้วยการบอกพวกเขาว่าไม่ได้ทำอะไรผิด ว่าพวกเขาได้รับการรักษาอย่างดีที่สุด และทันทีที่มีการตรวจ พวกเขาก็ถูกแนะนำ และข้อความทั้งสองนั้นไม่เป็นความจริง

“นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมสิ่งที่ฉันแนะนำคือต้องจ่ายค่าชดเชยตอนนี้ และฉันได้ให้คำแนะนำอื่นๆ มากมายเพื่อช่วยทำให้อนาคตของ NHS ดีขึ้นและการรักษาปลอดภัยยิ่งขึ้น”

นายสุนักกล่าวว่า “อาจมีความเคลื่อนไหวต่อไปจากรายงานที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างร้ายแรง” และเสริมว่ารัฐมนตรีจะศึกษาข้อเสนอแนะของการสอบสวน “โดยละเอียด” ก่อนที่จะกลับไปยังสภาสามัญพร้อมคำตอบอย่างเต็มที่

เซอร์ เคียร์ สตาร์เมอร์ ผู้นำ พรรคแรงงานกล่าวว่าความล้มเหลวมีผล “กับทุกฝ่าย รวมถึงตัวผมเองด้วย มีเพียงคำเดียว: ขอโทษ”

เขายินดีที่นายกรัฐมนตรียืนยันการสนับสนุนทางการเงินแก่เหยื่อ โดยกล่าวว่าพรรคแรงงานจะ “ทำงานร่วมกับเขาเพื่อให้เรื่องนั้นเสร็จอย่างรวดเร็ว”

หลังจากการสู้รบเพื่อความยุติธรรมมานานหลายทศวรรษนักรณรงค์ต่างยินดีกับคำแนะนำของการสอบสวนแต่คร่ำครวญถึงข้อเท็จจริงที่ล่าช้า ส่งผลให้ผู้ที่รับผิดชอบจำนวนมากไม่ต้องรับผิด

ทนายระบุว่าการดำเนินคดีการฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาในองค์กรนั้นไม่น่าเป็นไปได้ “อย่างยิ่ง”

ไคลฟ์ สมิธ ประธานสมาคมฮีโมฟีเลียและทนายความคดีอาญากล่าวว่า “แง่มุมหนึ่งที่น่าเศร้าที่ทำให้เกิดความล่าช้าก็คือความจริงที่ว่า มีแพทย์หลายคนที่ควรถูกดำเนินคดีในข้อหาฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง แพทย์ที่ตรวจคนไข้เพื่อหาเชื้อเอชไอวีโดยไม่ได้รับความยินยอม โดยไม่บอกพวกเขาเกี่ยวกับการติดเชื้อ

“คนเหล่านั้นควรอยู่ในท่าเรือฐานฆ่าคนตายโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

“น่าเศร้า เนื่องจากความล่าช้า นั่นเป็นหนึ่งในผลที่ตามมาที่ผู้คนจำนวนมากจะไม่เห็นความยุติธรรมเป็นผลลัพธ์”

การสอบถามสาธารณะไม่ได้รับอนุญาตให้ให้คำแนะนำใดๆ เกี่ยวกับการดำเนินคดี แต่ประเทศอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องอื้อฉาวนี้ได้เห็นรัฐมนตรีถูกนำตัวขึ้นศาลแล้ว

ในสหราชอาณาจักร การฟ้องร้องคดีฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาในองค์กรมีแนวโน้มน้อยที่จะเกิดขึ้น ตามที่เบน แฮร์ริสัน หัวหน้าฝ่ายกฎหมายมหาชนของมิลเนอร์ส ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้เข้าร่วมหลักในการสอบสวนระบุ

เขาบอกกับสำนักข่าว PA ว่า “ประการแรกและสำคัญที่สุด การฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาในองค์กรอยู่ภายใต้กฎหมายปี 2550 ซึ่งไม่ได้ใช้ย้อนหลังถึงช่วงเวลาที่ Crown Immunity ดำรงอยู่สำหรับความผิดดังกล่าว ช่วงเวลาที่มีคนจำนวนมากติดเชื้ออย่างน่าสลดใจและสาหัส

“ผมคิดว่าโอกาสที่จะมีการสอบสวนคดีฆาตกรรมขององค์กรทุกรูปแบบนั้นยังห่างไกลมาก”

ผู้คนต่างไว้วางใจแพทย์และรัฐบาลในการดูแลพวกเขาให้ปลอดภัย และความไว้วางใจนั้นก็ถูกทรยศ

เซอร์ ไบรอัน แลงสตาฟ ประธานแผนกสอบสวนโรคติดเชื้อ

พริทชาร์ด หัวหน้า NHS England กล่าวในแถลงการณ์ว่า "โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฉันอยากจะกล่าวขอโทษ ไม่ใช่แค่สำหรับการกระทำที่นำไปสู่ความเจ็บป่วยที่เปลี่ยนแปลงชีวิตและจำกัดชีวิตเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความล้มเหลวในการสื่อสาร ตรวจสอบ และลดความเสี่ยงอย่างชัดเจน ผู้ป่วยจากการถ่ายเลือดและการรักษา การขาดการเปิดกว้าง และความเต็มใจที่จะรับฟัง ซึ่งทำให้ผู้ป่วยและครอบครัวไม่ได้รับคำตอบและการสนับสนุนที่พวกเขาต้องการ และสำหรับความอัปยศที่หลายคนประสบในการให้บริการด้านสุขภาพเมื่อพวกเขาต้องการการสนับสนุนมากที่สุด

“ฉันยังต้องการที่จะรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่พนักงานของเราบางคนจะต้องประสบเมื่อเห็นได้ชัดว่าผลิตภัณฑ์เลือดที่หลายคนใช้โดยสุจริตอาจเป็นอันตรายต่อคนที่พวกเขาดูแล”

“ฉันรู้ว่าคำขอโทษที่ฉันสามารถเสนอได้ในตอนนี้ไม่ได้เริ่มยุติธรรมกับระดับโศกนาฏกรรมส่วนบุคคลที่ระบุไว้ในรายงานฉบับนี้ แต่เรามุ่งมั่นที่จะแสดงให้เห็นสิ่งนี้ในการกระทำของเราเมื่อเราตอบสนองต่อข้อเสนอแนะ”

เธอกล่าวว่า NHS จะทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและการดูแลสังคม เพื่อจัดตั้งบริการสนับสนุนด้านจิตใจสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องอื้อฉาวนี้

มีขึ้นในขณะที่แพทย์ชั้นนำจากสมาคมการแพทย์อังกฤษ (BMA) กล่าวว่าการตีพิมพ์รายงานดังกล่าวถือเป็น "วันแห่งความอับอาย" สำหรับบริการด้านสุขภาพ

ศาสตราจารย์ ฟิลิป แบนฟิลด์ ประธานสภากรุงเทพมหานคร กล่าวว่า "วันนี้เป็นวันที่ยินดีต้อนรับความโปร่งใสที่เกินกำหนดอย่างมากและความจำเป็นที่จะไม่ปิดบังความจริงจากคนไข้ แต่ก็เป็นวันที่น่าละอายสำหรับ NHS เช่นกัน เพราะไม่ได้ทำ สิ่งที่ควร - เพื่อช่วยไม่ทำร้ายผู้คน

“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้ป่วยหลายพันรายล้มเหลว และครอบครัวต้องเผชิญความทุกข์ทรมานอย่างคาดไม่ถึง และด้วยเหตุนี้ ทุกคนที่เกี่ยวข้องจึงต้องออกมาขอโทษ

“พูดง่ายๆ ก็คือ สิ่งนี้ไม่ควรเกิดขึ้น แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ผู้ที่เกี่ยวข้องก็ควรตอบโต้อย่างตรงไปตรงมาอย่างชัดเจน

“นี่เป็นรายงานที่ยาว ละเอียด และสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งขณะนี้เราจะต้องพิจารณาอย่างละเอียด และสะท้อนถึงผลกระทบต่อวิชาชีพแพทย์และความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์และผู้ป่วย

“ท้ายที่สุดแล้ว ทุกฝ่ายจะต้องคำนึงถึงคำแนะนำเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรน่าเศร้าเกิดขึ้นอีกในบริการด้านสุขภาพของเราอีก ในจุดที่เรายังเผชิญกับแนวทางปฏิบัติที่ไม่ดีและการรักษาความลับเหมือนเดิม เมื่อมีการหยิบยกข้อกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของผู้ป่วย” เซอร์ไบรอัน กล่าวว่าภัยพิบัติทางเลือดที่ปนเปื้อนยังคง “ยังคงเกิดขึ้น” เพราะผู้ป่วยที่ติดเชื้อ “อันตรายถึงชีวิต” ยังคงเสียชีวิตทุกสัปดาห์


21 พฤษภาคม 2567
https://uk.news.yahoo.com/day-shame-rishi-sunak-nhs-191242105.html?guccounter=1
8
เชียงราย - จนท.บุกจับคลินิกเถื่อนกลางเมืองเชียงราย..ผงะเจอสาววัย 30 ไม่ได้เป็นทั้งหมอทั้งพยาบาล-ไม่มีใบอนุญาตประกอบสถานพยาบาล ลงมือปักเข็มฉีดน้ำเกลือ-วิตามินเข้าเส้นเลือดลูกค้าคาตา

เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุข จ.เชียงราย ได้ดำเนินคดีต่อ น.ส.เอ (นามสมมติ) หญิงสาวชาว จ.เชียงราย อายุ 30 ปี ในข้อหา "ประกอบกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 มาตรา 16, โฆษณาสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 มาตรา 38, ประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยไม่ได้เป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 มาตรา 26"

หลังจากเย็นวันที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมา พล.ต.ต.มานพ เสนากุล ผบก.ภ.จว.เชียงราย พ.ต.อ.สันติ กองสมัคร รอง ผบก.ภ.จว.เชียงราย พ.ต.อ.โสภณ ม่วงเฟื่อง ผกก.สภ.เมืองเชียงราย ได้รับแจ้งมีการเปิดคลินิกโดยผู้ที่ไม่ใช่แพทย์ที่หมู่ 13 ต.รอบเวียง อ.เมืองเชียงราย จึงสั่งการให้ พ.ต.ท.พรต เศรษฐกร รอง ผกก.สส.สภ.เมืองเชียงราย นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมกับกลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคและเภสัชสาธารณสุข กลุ่มงานกฎหมาย สำนักงานสาธารณสุข จ.เชียงราย ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาลฯ เข้าไปตรวจสอบ

ผลการตรวจสอบพบเป็นอาคารพาณิชย์และชั้นบนเปิดเป็นคลินิก โดยมี น.ส.เอทำตัวเป็นหมอให้บริการผู้ป่วยอยู่คนเดียว เมื่อสอบถามก็ไม่มีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมหรือไม่ได้เป็นหมอจริง รวมทั้งไม่มีใบอนุญาตการเปิดกิจการสถานพยาบาล และขณะที่เจ้าหน้าที่ไปถึงพบมีผู้ป่วยเข้าไปใช้บริการรับวิตามินซีและน้ำเกลือซึ่งเป็นยาแผนปัจจุบันประเภทยาอันตรายผ่านการใช้เข็มฉีดเข้าทางเส้นเลือดด้วย นอกจากนี้พบอุปกรณ์ทางการแพทย์ ตู้เย็นเก็บอุปกรณ์ ยา เช่น ยาแก้ปวด ยาฆ่าเชื้อ ฯลฯ

จากการสอบถามเบื้องต้น น.ส.เอให้การว่าประกอบกิจการเพียงคนเดียว ตามปกติจะรับรักษาและดูแลใบหน้า และลูกค้าก็โอนเงินค่าใช้บริการเข้าบัญชีของตัวเองด้วย เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อผิดกฎหมายให้ทราบพร้อมแจ้งสิทธิและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

25 พ.ค. 2567  ผู้จัดการออนไลน์
9
กลุ่มแพทย์-จิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ร้องสภาทนายความ ยื่นมือช่วยผู้เจ็บป่วย จากการฉีดวัคซีนโควิด-19 ชี้เพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ

วันนี้ (24 พ.ค.) ที่ห้องประชุมชั้น 3 สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความฯและทนายความอาสาที่มีประสบการณ์ในการดำเนินคดีทางการแพทย์ ร่วมรับฟังข้อร้องเรียนของคณะแพทย์ นำโดย นพ. อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง (แพทย์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์) พร้อมด้วยกลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ จำนวน 12 คน ซึ่งมีความประสงค์ให้สภาทนายความ ดำเนินคดีเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ เกี่ยวกับการอนุญาตผลิตภัณฑ์ยาในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยนำเข้าวัคซีนป้องกันโควิด-19 จนเป็นเหตุให้ผู้ที่ฉีดวัคซีน ต้องเสียชีวิต พิการ และเจ็บป่วยจำนวนมาก เพราะวัคซีนที่นำเข้ามาจากต่างประเทศนั้น น่าจะเป็นสาเหตุให้คนที่ได้รับวัคซีนเสียชีวิต พิการ เจ็บป่วยจำนวนมาก เนื่องจากบริษัทผลิตวัคซีนดังกล่าว มีนัยสำคัญเพื่อทางการค้ามากกว่าการรักษาชีวิตของประชาชน

ขณะนี้มีผู้เสียหายจำนวนมากต้องการให้ดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสภาทนายความพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ ดังนั้น ประชาชนที่รับความเสียหายจากการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด- 19 สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือทางกฎหมายจากสภาทนายความได้โดยการแจ้งหรือให้มาพบทนายความอาสาที่มีประสบการณ์ดำเนินคดีทางการแพทย์ ณ ที่ทำการสภาทนายความ เลขที่ 249 ถนนพหลโยธิน แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร หรือ หมายเลขโทรศัพท์ 02-522-7124 -28 ต่อ 135 หรือ อีเมล president@lawyerscouncil.or.th

25 พ.ค. 2567  ทีมข่าวอาชญากรรม
https://mgronline.com/crime/detail/9670000044933
10
ญาติเปิดศึกแย่งศพกันกลางโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช ถึงขั้นถอยรถชนกัน และชกต่อยกันตัว

กล้องหลังรถกู้ภัยบันทึกเหตุการณ์ ที่โรงพยาบาลมหาราช นครศรีธรรมราช ขณะรถกระบะ สีขาว จอดรับศพผู้ป่วยที่เสียชีวิตด้วยโรคประจำตัว มีญาติๆ ยืนรออยู่รอบรถ จู่ๆ ก็มีรถกระบะ สีดำ ขับเข้ามาจอด ก่อนที่ชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่จะลงจากรถ และพูดอะไรบางอย่างกับกลุ่มญาติๆ ที่รอรับศพอยู่ จากนั้นชายคนดังกล่าวกลับขึ้นรถแล้วขับออกไป ก่อนจะถอยหลังมาชนรถกระบะ สีขาว อย่างแรง เสียงดังสนั่น ส่วนชายคนขับเปิดประตูรถวิ่งหนีไปตั้งหลัก ท่ามกลางความไม่พอใจของญาติผู้เสียชีวิต ที่ตามไปเอาเรื่อง

เหตุการณ์นี้มีชาวบ้านถ่ายคลิปเอาไว้ด้วย เป็นเหตุการณ์หลังจากรถกระบะ สีดำ ถอยมาชนรถกระบะ สีขาว ทำให้ญาติผู้เสียชีวิตบนท้ายกระบะกระโดดลงมา ส่วนคนขับรถกระบะ สีดำ พยายามเข้ามาทำร้ายอีกฝั่ง แต่มีคนจับตัวเอาไว้
มีรายงานว่าทั้งสองฝั่งต่างมีความเกี่ยวข้องกับผู้เสียชีวิต คือ เป็นลูกเมียคนที่ 1 กับเมียคนที่ 2 ขณะที่ญาติฝ่ายเมียคนแรกรับศพไว้บนท้ายกระบะ เพื่อนำกลับไปตั้งศพบำเพ็ญกุศล ลูกเมียคนที่สองก็ขับรถกระบะ สีดำ มาขวาง ไม่ให้รับศพ ขณะนี้ตำรวจได้คุมตัวทั้งสองฝ่ายไปเจรจากันที่ สภ.เมืองนครศรีธรรมราช

Amarin TV News
24พค2567
หน้า: [1] 2 3 ... 10