แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: 1 ... 478 479 [480] 481 482 ... 651
7186
 “วิทยา” สั่งสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระยองติดตามดูแลสุขภาพนักเรียนจังหวัดระยอง 82 ราย ที่มีค่าตะกั่วในเลือดสูงเกินมาตรฐาน และให้เร่งค้นหาต้นตอปัญหาทั้งโรงเรียน บ้านแหล่งน้ำ และ อากาศ เพื่อแก้ไขป้องกันเป็นการด่วน โดยพบสูงมาก 2 ราย โดย 1 รายมีเม็ดเลือดแดงผิดปกติ ผลล่าสุดระดับลดลงแล้ว โดยให้ตรวจเลือดนักเรียนที่ตะกั่วในเลือดเกินซ้ำอีกในเดือน ต.ค.นี้
       
       จากกรณีข่าวคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สุ่มตรวจร่างกายนักเรียนใน อ.บ้านค่าย จ.ระยอง 5 โรงเรียน ตามโครงการศึกษาผลกระทบจากการสัมผัสมลพิษต่อสุขภาพประชาชนในจังหวัดระยอง ผลพบนักเรียนมีสารโลหะหนักปนเปื้อนในเลือดหลายราย มากที่สุดที่โรงเรียนวัดปทุมาวาส จำนวน 34 รายนั้น
       
       ในวันนี้ (28 ส.ค.) นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า การตรวจพบโลหะหนักในเลือดนักเรียนที่จังหวัดระยอง นับว่าเป็นเรื่องที่น่าห่วงมาก ต้องเร่งดำเนินการป้องกันและลดผลกระทบดังกล่าว เพื่อให้พื้นที่จังหวัดระยองมีความปลอดภัย น่าอยู่ ได้มอบหมายให้ นายแพทย์ เจษฎา โชคดำรงสุข ผู้ตรวจราชการที่ดูแลพื้นที่จังหวัดระยอง ติดตามแก้ไขปัญหานี้ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ และสั่งการให้สำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม โดยศูนย์พัฒนาวิชาการอาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม จังหวัดระยอง ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระยอง ลงไปตรวจสอบ ให้คำแนะนำเพื่อการป้องกัน ในโรงเรียน ทั้งครู นักเรียน และผู้ปกครองที่บ้าน โดยเฉพาะเรื่องน้ำดื่ม น้ำใช้ รวมทั้งภาชนะใส่อาหารที่อาจมีสารตะกั่ว และให้ติดตามดูแลสุขภาพของนักเรียนทั้งจังหวัดระยอง รายใดที่มีความผิดปกติรีบรักษาให้เป็นปกติ เนื่องจากฤทธิ์ของตะกั่วจะมีผลในการทำลายระบบประสาท สมอง เม็ดเลือด และกระดูก
       
       นายวิทยา กล่าวต่อว่า ได้รับรายงานจากนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดระยอง เรื่องผลการตรวจเลือดนักเรียนทั้งหมด 907 ราย ในโรงเรียน 22 แห่งที่อยู่ใน 4 อำเภอ คือ บ้านค่าย บ้านฉาง ปลวกแดง และนิคมพัฒนา เมื่อเดือนมิถุนายน 2554 พบว่า มีเด็ก 82 ราย ในโรงเรียน 15 แห่ง ที่มีค่าตะกั่วเกินค่ามาตรฐาน คือ 10 ไมโครกรัมต่อเดซิลิตร ในจำนวนนี้มีเด็กหญิง 2 รายที่มีค่าตะกั่วในเลือดสูงกว่าค่ามาตรฐานกว่า 4 เท่าตัว แต่ขณะนี้ระดับลดลงแล้ว อย่างไรก็ตาม ได้สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระยอง ร่วมมือกับกรมควบคุมมลพิษ เก็บตัวอย่างน้ำคลอง น้ำใต้ดิน น้ำผิวดิน และตรวจคุณภาพอากาศเพื่อดูการปนเปื้อนของตะกั่ว จะทราบผลในเดือนกันยายนนี้ และให้ตรวจเลือดเด็กนักเรียนที่พบค่าตะกั่วเกินซ้ำอีก ในเดือนตุลาคม 2555 นี้
       
       ด้านนายแพทย์ กฤษณ์ ปาลสุทธิ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดระยอง กล่าวว่า เด็ก 2 รายที่มีค่าตะกั่วในเลือดสูงกว่าค่ามาตรฐานมาก รายแรกสูง 48.33 ไมโครกรัมต่อเดซิลิตร ได้ติดตามตรวจอีก 3 ครั้ง ครั้งสุดท้ายเมื่อ 18 พฤษภาคม 2555 ลดลงเหลือ 17.89 ไมโครกรัมต่อเดซิลิตร โดยพบมีเม็ดเลือดแดงผิดปกติเล็กน้อย ส่วนรายที่ 2 พบค่าตะกั่ว 48.98 ไมโครกรัมต่อเดซิลิตร ล่าสุด ลดเหลือ 19.17 ไมโครกรัมต่อเดซิลิตร ไม่มีภาวะซีด การทำงานของไตปกติ ระดับไอคิวปกติ และกระดูกปกติ ซึ่งระดับตะกั่วในเลือดดังกล่าวร่างกายจะสามารถกำจัดออกได้เองทางปัสสาวะ
       
       สำหรับนักเรียนที่ตรวจพบตะกั่วเกินค่ามาตรฐานทั้งหมด สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระยองไม่ได้นิ่งนอนใจและไม่ได้มีการปกปิดข้อมูลแต่อย่างใด เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีอันตรายต่อสุขภาพ ต้องรีบแก้ไขเป็นการด่วน โดยได้ส่งทีมแพทย์และเจ้าหน้าที่ไปให้ความรู้ที่โรงเรียน และค้นหาสาเหตุของการปนเปื้อนสารตะกั่วครั้งนี้ว่ามาจากแหล่งใด ซึ่งผลการตรวจยังไม่สามารถระบุสาเหตุหรือพื้นที่ต้นเหตุได้ เพราะยังไม่มีข้อมูลชี้ชัด สาเหตุน่าจะเกิดกระจัดกระจาย โดยได้ทำการตรวจสิ่งแวดล้อมที่โรงเรียน เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ภาชนะใส่อาหารในโรงครัว น้ำดื่ม ตรวจเลือดครู ผู้ปกครอง และตรวจสิ่งแวดล้อมที่บ้าน ไม่พบค่าตะกั่วเกินมาตรฐาน อย่างไรก็ตาม ได้ให้คำแนะนำทั้งผู้บริหารโรงเรียนทุกแห่งในจังหวัดระยอง รวมทั้งผู้ปกครองเด็ก ให้หลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะที่มีความเสี่ยงอาจมีสารตะกั่วปนเปื้อนได้ เช่น เครื่องกรองน้ำที่มีรอยบัดกรี เตาปิ้งใส้กรอกที่เป็นเหล็ก หม้อหุงข้าวมือสองที่มีรอยอุดรูรั่ว เป็นต้น
       
       ทั้งนี้ ผลการตรวจนักเรียนที่มีค่าตะกั่วเกินมาตรฐาน 82 รายล่าสุด เมื่อเดือนพฤษภาคม 2555 พบยังเหลือนักเรียนที่มีค่าตะกั่วเกินมาตรฐาน 40 ราย ไม่มีนักเรียนที่มีค่าตะกั่วสูงเกินมาตรฐานระดับมาก มีเกินมาตรฐานเล็กน้อย 34 ราย และระดับปานกลาง 6 ราย ทั้งนี้ ได้แนะนำให้ดื่มน้ำมากๆ เพื่อขับตะกั่วออกจากร่างกาย และได้ให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขออกค้นหาปัจจัยเสี่ยงที่บ้านของนักเรียนกลุ่มนี้เพิ่มอีก พบว่า บางรายผู้ปกครองได้ทาสีเขาควายที่บ้าน บางรายยังนำหม้อเก่ามาปะอุดรอยรั่วใช้ต่อ ซึ่งอาจมีตะกั่วปนได้ ได้แนะนำให้เลิกใช้เพื่อความปลอดภัย

ASTVผู้จัดการออนไลน์    28 สิงหาคม 2555

7187
ครม.อนุมัติแผนยุทธศาสตร์เตรียมความพร้อม ป้องกันแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ พ.ศ.2556 - 2559
       
       นางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เสร็จสิ้น ว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบแผนยุทธศาสตร์เตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ (พ.ศ.2556-2559) ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนยุทธศาสตร์ฯ ไปสู่การปฏิบัติต่อไปโดยแผนยุทธศาสตร์เตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ (พ.ศ.2556-2559) ประกอบด้วย 5 ยุทธศาสตร์ คือ ยุทธศาสตร์พัฒนาระบบเฝ้าระวัง ป้องกัน รักษา และควบคุมโรคภายใต้แนวคิดสุขภาพหนึ่งเดียว/ยุทธศาสตร์ การจัดการระบบการเลี้ยง และสุขภาพสัตว์ และสัตว์ป่า ให้ปลอดโรค/ยุทธศาสตร์พัฒนาระบบจัดการความรู้ และส่งเสริมการวิจัยพัฒนา/ยุทธศาสตร์พัฒนาระบบบริหารจัดการเชิงบูรณาการและเตรียมความพร้อมตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน และยุทธศาสตร์การสื่อสาร และประชาสัมพันธ์ความเสี่ยงของโรคติดต่ออุบัติใหม่
       
       ซึ่งแนวทางการขับเคลื่อนและบริหารจัดการแผนยุทธศาสตร์ของหน่วยงานภาครัฐร่วมกับภาคส่วนเพื่อความเป็นเอกภาพและมีประสิทธิภาพนั้น จะให้คณะกรรมการอำนวยการเตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติเป็นกลไกระดับชาติในการขับเคลื่อน ใช้กระบวนการจัดทำแผนปฏิบัติการเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนในภาครัฐ โดยบูรณาการวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และมาตรการตามแผนยุทธศาสตร์เข้ากับภารกิจตามอำนาจ หน้าที่ และกฎระเบียบของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนกลางระดับจังหวัด และกลุ่มจังหวัดใช้กระบวนการขับเคลื่อนกฎอนามัยระหว่างประเทศ พ.ศ.2548 ยุทธศาสตร์โรคติดต่ออุบัติใหม่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและกรอบความร่วมมือในปฏิญญาสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นกลไกเสริมการพัฒนาศักยภาพของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศและพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศ
       
       ทั้งนี้ รัฐบาลโดยคณะกรรมการอำนวยการฯ และหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ส่งเสริมบทบาทและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน และภาคประชาสัมคมทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น เพื่อบูรณาการการดำเนินงานตามภารกิจของตนให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ ใช้การจัดทำแผนประคองกิจการ (Bussiness Continuity Plan : BCP) เป็นกลยุทธ์เร่งรัดการเรียนรู้และพัฒนาบทบาทของหน่วยงานภาคส่วนต่าง ๆ ในการเตรียมความพร้อมรับมือโรคติดต่ออุบัติใหม่และภัยพิบัติต่าง ๆและใช้ระบบการติดตามและประเมินผลปฏิบัติราชการ เป็นกลไก กำกับ ติดตาม และประเมินผลการทำงานตามแผนยุทธศาสตร์ในภาครัฐ ส่วนการติดตามและประเมินผลในภาคส่วนอื่นๆ สามารถทำได้โดยใช้ข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องหรือแหล่งข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้อง

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    28 สิงหาคม 2555

7188
ผ่านมากว่า 20 ปี ไทยยังคงครองแชมป็ “ตลาดหวาดเสียวที่สุดในโลก” กางๆ หุบๆ หลบรถไฟกว่า 8 เที่ยว/วัน ตลาดแห่งนี้อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ
       
       สื่อจีนรายงาน (16 ส.ค.) ผ่านไปอย่างไรก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น ตลาดแม่กลอง ในอ.แม่กลอง จ.สมุทรสงคราม ยังคงครองตำแหน่ง “ตลาดหวาดเสียวที่สุดในโลก” มาโดยตลอด ด้วยต้องหลบรถไฟวันละถึง 8 เที่ยว
       
       ภายในตลาดแม่กลองเต็มไปด้วยร้านค้ามากกว่า 300 ร้าน เลียบทางรถไฟยาวกว่า 500 เมตร พอรถไฟผ่านมาจะชะลอความเร็ว วิ่งด้วย 15 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนพ่อค้าแม่ค้ารีบเก็บร้าน และหุบร่มของตน เมื่อขบวนรถผ่านไป จึงจะกางร่ม ซึ่งระยะห่างระหว่างรถไฟกับแผงร้านค้ายังไม่ถึง 2 เมตร ในประเทศไทยจึงเรียกตลาดแห่งนี้ว่า “ตลาดร่มหุบ”
       
       ชมภาพบรรยากาศ “ตลาดร่มหุบ” ในประเทศไทยที่ผ่านหลายปี สื่อจีนยังคงสมญานามว่า “ตลาดหวาดเสียวที่สุดในโลก” นอกจากจะไม่เหมือนตลาดที่ใดในโลกแล้ว ยังสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาเยี่ยมชมด้วย

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    21 สิงหาคม 2555

7189

มติชนสุดสัปดาห์ 24-30 ส.ค. 2555

7190

มติชนสุดสัปดาห์ ฉ.1671 ... 24-30 ส.ค. 2555

7191
 อึ้ง! เด็กไทย 50% กินแต่นมผง ไม่กินนมแม่ ชี้ เสี่ยงป่วยมากกว่า 3-5 เท่า ทั้งท้องเสีย ปอดบวม ลำไส้อักเสบ ภูมิแพ้ เหตุ บ.นมผง ทำการตลาดรุกหนัก มูลนิธิศูนย์นมแม่ฯ-สสส.หนุนมติ ครม.ห้าม บ.นมผง ทำการตลาดนมทารกทุกรูปแบบ เผยนมแม่อาหารวิเศษพบสารอาหารกว่า 200 ชนิด ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน
       
       วันนี้ (26 ส.ค.) ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร พญ.ศิริพร กัญชนะ ประธานมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย เป็นประธานในการเปิดงานสัปดาห์นมแม่โลก 2555 “ช่วยเด็กไทยให้ได้กินนมแม่” จัดโดยมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย โดยการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งองค์การพันธมิตรโลกเพื่อการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ มีสมาชิกว่า 120 ประเทศทั่วโลก กำหนดให้วันที่ 1-7 สิงหาคมของทุกปี ให้เป็น “สัปดาห์ส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่โลก” เพื่อรณรงค์ให้แม่ทั่วโลกเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนแรกมากขึ้น ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ 20 แล้ว
   
       พญ.ศิราภรณ์ สวัสดิวร รองประธานมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย กล่าวในเวทีเสวนา “สิ่งดี ที่มีเฉพาะในนมแม่… แต่ใคร… ทำให้เด็กไทยไม่ได้กิน?” ว่า ปัจจุบันการโฆษณานมผงในประเทศไทยทำการตลาดรุนแรงมาก โดยอ้างว่ามีการเติมสารอาหารต่างๆ ให้เทียบเท่าสารอาหารจากนมแม่ ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะในนมแม่มีสารอาหารกว่า 200 ชนิด อาทิ เซลล์ภูมิคุ้มกัน สารปกป้องต่างๆ เช่น เซลล์เม็ดเลือดขาว สารไลโซซายม์ สาร Lactoferrin สาร secretary Ig A สาร Probiocit สาร Prebiotic และสาร Glycan สารเหล่านี้เป็นตัวอย่างสารในระบบภูมิคุ้มกัน จึงไม่มีทางที่นมผงผสมจะเติมสารอาหารครบสูตรได้ นอกจากนี้ การโฆษณานมผง ที่ระบุว่า เพิ่มสาร DHA AA ก็เป็นการโฆษณาเกินจริง ซึ่งองค์การอนามัยโลกประกาศว่าเชื่อถือไม่ได้
       
       พญ.ศิราภรณ์ กล่าวว่า เด็กที่กินนมแม่ จะไม่ป่วยบ่อย สมองมีโอกาสพัฒนาต่อเนื่อง ที่สำคัญยังป่วยน้อยกว่าเด็กที่กินนมผสม 3-5 เท่า เช่น โรคท้องเสีย ปอดบวม โรคลำไส้เล็กอักเสบ โรคภูมิแพ้ ภาวะอ้วน และการเสียชีวิต บางโรคทำให้ป่วยน้อยกว่า 20 เท่า และมีผลต่อการเสริมสร้างพัฒนาการและเชาว์ปัญญาที่ดี ที่สำคัญ ลูกมีโอกาสเจ็บป่วยจากโรคเรื้อรังน้อยกว่าพ่อ แม่ เช่น โรคเบาหวาน มะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคอ้วน รวมทั้งพ่อแม่ที่เป็นพนักงานในหน่วยงานต่างๆ ยังต้องขาดงานสูงกว่ากลุ่มพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ประมาณ 3 เท่า ซึ่งจากการสำรวจของกรมอนามัย พบว่า ประเทศไทยมีอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อยู่ที่ 29% ในปี 2552 เพิ่มจากปี 2548 อยู่ที่ 5.4% ในขณะที่การเลี้ยงลูกด้วยนมผสมอย่างเดียวมีมากกว่า 50% หรือราว 4 แสนคนต่อปี
       
       พญ.ยุพยง แห่งเชาวนิช เลขานุการมูลนิธิศูนย์นมแม่ฯ กล่าวว่า ปัญหาสำคัญที่ทำให้เด็กไม่ได้กินนมแม่คือ การทำการตลาดของนมผง โดยที่ประชุมสมัชชาองค์การอนามัยโลกได้มีมติรับรองให้มี “หลักเกณฑ์สากลว่าด้วยการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็ก” ตั้งแต่ปี 2524 เพื่อคุ้มครองให้เด็กได้รับนมแม่ตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งประเทศไทยได้นำมาปฏิบัติใช้ในปีเดียวกัน เพื่อควบคุมการตลาดของบริษัทประกอบธุรกิจอาหารทารกและเด็กเล็ก แต่ยังพบการละเมิดอย่างต่อเนื่อง เช่น การแจกตัวอย่างนมผงและชุดของขวัญให้แม่เด็กทำให้แม่ทดลองใช้นมผงมากขึ้น มีผลต่อการสร้างนมแม่ลดลงการบริจาคนมผงให้โรงพยาบาลเพื่อใช้เลี้ยงทารกแรกเกิด ทำให้เด็กเสียโอกาสได้รับหัวน้ำนม การโฆษณนมผงเทียบเท่านมแม่ทำให้แม่เข้าใจผิดว่าใช้แทนนมแม่ได้ ซึ่งนมแต่ละยี่ห้อก็มีสารอาหารแตกต่างกัน แต่นมแม่มีสารครบถ้วนกว่า
       
       นางพรธิดา พัดทอง ผู้แทนองค์การยูนิเซฟประจำประเทศไทย กล่าวว่า จากการศึกษาผลกระทบการทำการตลาดนมผงในโรงพยาบาลของประเทศสหรัฐอเมริกาจำนวน 1,239 แห่ง ใน 20 รัฐ เมื่อปี 2554 พบว่า โรงพยาบาลในรัฐที่มีกฎหมายห้ามบริษัทนมผงทำการตลาด ห้ามแจกตัวอย่างนมผง มีอัตราการเริ่มต้นเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ 81.5% มากกว่าโรงพยาบาลในรัฐที่ไม่มีกฎหมายห้าม ซึ่งมีอัตราการเริ่มต้นเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียง 67% สอดคล้องกับอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่ 6 เดือนของโรงพยาบาลที่ห้ามการแจกตัวอย่างนมผง มีถึง 52.7% ขณะที่โรงพยาบาลที่ยอมให้มีการแจกตัวอย่างนมผงมีเพียง 37% ทำให้จำเป็นต้องควบคุมการทำการตลาดอาหารสำหรับเด็กอย่างจริงจัง
       
       ผศ.ดร.ปารีณา ศรีวนิชย์ ผู้ช่วยอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวา ดีใจที่ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการจัดสัปดาห์นมแม่โลก และเน้นที่ต้นเหตุที่ทำให้เด็กไม่ได้รับนมแม่ เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาที่ถูกต้อง สาเหตุหลัก คือ 1.แม่ไม่ได้รับความช่วยเหลือที่ถูกต้องตั้งแต่เริ่มต้น เช่น แม่มีนมไม่พอจึงต้องใช้นมผงผสมแทน 2.พฤติกรรมการตลาดของบริษัทนมผงผสมที่ละเมิดต่อกฎเกณฑ์ อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่ายินดีที่ ครม.มีมติเห็นชอบ มาตรการกำกับการตลาดและการโฆษณานมสำหรับทารกและเด็กเล็ก ในสถานบริการสาธารณสุข เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2555 ที่ผ่านมา ซึ่งมติ ครม. ดังกล่าวได้คุ้มครองสถานพยาบาลทั้งรัฐ องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น กรุงเทพมหานคร จะช่วยปกป้องไม่ให้บริษัทนมผงทำการตลาดในสถานที่ดังกล่าวได้ ซึ่งบริษัทนมผงลงทุนเพียง 1 กระป๋อง แต่ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าและยาวนาน

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    26 สิงหาคม 2555

7192
 สปสช.ชูกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติช่วยคนไทยไม่ต้องล้มละลายจากการเจ็บป่วย เผย 10 ปี ประหยัดค่าใช้จ่ายยาและเวชภัณฑ์กว่า 4 พันล้านบาท ฟุ้งนานาชาติยกย่องเป็นต้นแบบ อ้างผลวิจัยนิด้าประชาชนพอใจโครงการ 30 บาทสูงสุด
       
       นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ในการเสนอผลงานของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในงาน “รัฐบาลพบประชาชน ทุนเพื่อคุณภาพชีวิต” ระหว่างวันที่ 25-26 สิงหาคมนี้ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลและรายละเอียดของโครงการ และกองทุนต่างๆ ของรัฐบาล เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการบริการ รู้วัตถุประสงค์โครงการ หลักเกณฑ์ในการใช้สิทธิ และได้ใช้ประโยชน์จากกองทุน 5 กองทุน ประกอบด้วย 1.กองทุนตั้งตัวได้ 2.กองทุนพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน 3.กองทุนหมู่บ้าน 4.กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีสำหรับผู้หญิงทั่วประเทศ และ 5.กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นหนึ่งในผลงานที่จะมีการนำเสนอในงานดังกล่าวด้วย
   
       นพ.วินัย กล่าวอีกว่า กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาตินั้น เป็นกองทุนที่จัดตั้งขึ้นภายใต้ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ซึ่งเริ่มต้นจากนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างหลักประกันสุขภาพให้คนไทยทุกคนได้เข้าถึงบริการสาธารณสุขตั้งแต่สร้างสุขภาพ ป้องกันโรค และการรักษาพยาบาล โดยผลดำเนินการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาทรักษาทุกโรคในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ได้พิสูจน์แล้วว่า คนไทยได้รับการคุ้มครองด้านการรักษาพยาบาลส่งผลให้ ประชาชนกว่า 100,000 ครัวเรือน ไม่ต้องล้มละลายจากการเจ็บป่วย เพราะมีประชาชนได้รับความครอบคลุมหลักประกันสุขภาพถึงร้อยละ 99 อย่างไรก็ตาม ในปีงบประมาณ 2555 และ 2556 ได้รับการจัดสรรงบเหมาจ่ายรายหัวจำนวน 2,755.60 บาท/คน/ปี ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2554 ถึงรายละ 209.12 บาท ครอบคลุมประชากร 48,333,000 คน คิดเป็นร้อยละ 75 ของประชากรทั้งประเทศ
       
       “ในปี 2555 รัฐบาลได้ให้ความสำคัญของการป้องกันการเจ็บป่วย ซึ่งเป็นการจัดให้บริการสุขภาพเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงที่สุด และจะให้ประชาชนร่วมจ่ายค่าธรรมเนียมบริการ 30 บาทต่อครั้งเฉพาะกรณีที่รับยา ตั้งแต่ระดับโรงพยาบาลชุมชนขึ้นไปจนถึงโรงพยาบาลศูนย์ ทั้งรัฐและเอกชนที่ร่วมโครงการ จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2555 เป็นต้นไป” เลขาธิการ สปสช.กล่าว
       
       นพ.วินัย กล่าวต่อว่า จากผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนล่าสุดของนิด้าโพลล์ โดยสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับความสำเร็จของนโยบายเร่งด่วน 1 ปีแรก รัฐบาลยิ่งลักษณ์ พบว่า ประชาชนร้อยละ 84.70 เห็นว่า นโยบายพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพ 30 บาทรักษาทุกโรคประสบความสำเร็จมากที่สุด และเพื่อสร้างหลักประกันสุขภาพให้คนไทยยังได้ดำเนินการจัดตั้งกองทุนสุขภาพตำบลครอบคลุมทุกพื้นที่ ขณะนี้มีกองทุนสุขภาพแล้วจำนวน 7,700 กว่าแห่งทั่วประเทศ โดย สปสช.สนับสนุนเงินปีละกว่า 2,200 ล้านบาท และจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) อีกประมาณ 800 กว่าล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการสร้างเสริมสุขภาพในการป้องกันโรคดูแลสุขภาพเชิงรุกตามสภาพปัญหาของแต่ละพื้นที่ และกระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่น ทำให้ระบบหลักประกันสุขภาพพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม นอกจากนี้ ในส่วนการบริหารจัดการกองทุนนั้น พบว่า 10 ปีที่ผ่านมา พบว่า สปสช.สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ได้ถึง 4,083 ล้านบาท จากการซื้อยารวมด้วยระบบ VMI ซึ่งแนวทางนี้กำลังจะขยายไปสู่กองทุนประกันสังคมและกองทุนสวัสดิการข้าราชการ เพื่อเป็นการเสริมสร้างสุขภาพและป้องกันโรคแบบมีส่วนร่วม
       
       “จากความสำเร็จดังกล่าวนำส่งผลให้ ก.คลัง คัดเลือกสปสช.ให้เป็นอันดับ 1 ด้านผลการดำเนินงานดีเด่นรางวัลทุนหมุนเวียนปี 54 ทำให้กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นหน่วยงานที่มีนโยบายเด่นของรัฐบาลในการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน” นพ.วินัย กล่าว
       
       ทั้งนี้ ภายในงานจะมีการนำเสนอข้อมูลข่าวสารความรู้ต่างๆ เช่น นโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินถึงแก่ชีวิต ไม่ถามสิทธิ ใกล้ที่ไหน ไปที่นั่น นโยบาย 30 บาทยุคใหม่ เพิ่มคุณภาพ นโยบาย SMARTH HEALTH มีหมอใกล้บ้านใกล้ใจ มียาดีใช้เพียงพอ ไม่ต้องรอรักษานาน มีการจัดการโรคเรื้อรัง รวมถึงการให้บริการตรวจสอบสิทธิการรักษาพยาบาลผ่านระบบออนไลน์แก่ประชาชนทั่วไป ตลอดจนบริการเปลี่ยนหน่วยบริการด้วย

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    26 สิงหาคม 2555

7193
 ผู้สูงอายุจะพบการสูญเสียความจำร้อยละ 20-40 ของความจำเดิม และพบความจำบกพร่องมากขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดปัญหาหากไม่ได้ป้องกัน  คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  ได้พัฒนากิจกรรมส่งเสริมความจำแบบมีส่วนร่วมในผู้สูงอายุ 9 กิจกรรม เพื่อใช้เป็นต้นแบบการจัดกิจกรรมในชมรมผู้สูงอายุที่นับวันจะเพิ่มจำนวนสมาชิกมากขึ้น ด้วยการทำให้ผู้สูงอายุมีการบริหารสมองด้วยกิจกรรมการเล่นเกมต่างๆ โดยการกระตุ้นการใช้ความคิด การที่ได้ขบคิดมีการฝึกทบทวน และฝึกระลึกถึงอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง ช่วยทำให้มีการรับรู้และสามารถที่จะปรับปรุงความจำให้ดีขึ้น หลงลืมช้าลง

       ผศ.ดร.เพลินพิศ ฐานิวัฒนานนท์  ผศ.ดร.วิภาวี  คงอินทร์  และผศ.ดร.บุศรา เอี้ยวสกุล ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพและฟื้นฟูสภาพผู้สูงอายุ ภาควิชาการพยาบาลอายุรศาสตร์  คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนากิจกรรมส่งเสริมความจำแบบมีส่วนร่วมในผู้สูงอายุ และได้รับรางวัลนำเสนอผลงานวิจัยดีเด่น  ในการประชุมวิชาการผู้สูงอายุ ครั้งที่ 1 ประจำปี 2555 เรื่อง “งานวิจัย และนวัตกรรมด้านเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ” โดยศูนย์สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรเพื่อผู้สูงอายุ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 19-20 กรกฎาคม 2555
       
       9 กิจกรรมที่สามารถพัฒนาทักษะทางด้านความจำของผู้สูงอายุ   ที่พัฒนา และนำมาใช้โดยทีมวิจัยร่วมกับนักศึกษาปริญญาโทได้แก่ การร้องเพลง เกมนักร้องพันหน้า สุภาษิตหรรษา ละครชีวิต สถานที่สำคัญไฉน กล่องปริศนา เกมซูโดกุ กลิ่นสื่อสัมพันธ์ และเล่าเรื่องจากการอ่าน

       จากการเพิ่มจำนวน และสัดส่วนของประชากรผู้สูงอายุ ทำให้โครงสร้างของสังคมไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่เพิ่มจำนวน และอายุยืนยาวขึ้น นำมาซึ่งปัญหาความเจ็บป่วยเรื้อรัง  และหนึ่งในนั้นคือ ภาวะสมองเสื่อม ซึ่งเป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากการสูญเสียหน้าที่ของสมองหลายด้านพร้อมกัน อย่างช้าๆ แต่ถาวร ส่งผลให้ผู้ป่วยสูญเสียความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน ผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไปจะเกิดภาวะสมองเสื่อมร้อยละ 1 และเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในทุกอายุที่เพิ่มขึ้น 5 ปี จนกลายเป็นมากกว่าร้อยละ 30 ในผู้สูงอายุ 85 ปีขึ้นไป
       
       การศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยง และสาเหตุของภาวะสมองเสื่อมพบว่า การสูบบุหรี่ ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และรูปแบบการใช้ชีวิตที่เคร่งเครียด ขาดการเข้าร่วมสังคม ขาดการออกกำลังกาย เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของการเกิดภาวะสมองเสื่อม โดยเฉพาะการเกิดอัลไซเมอร์ ซึ่งเป็นอาการสมองเสื่อมที่พบบ่อย และไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้

       ผศ.ดร.เพลินพิศ ฐานิวัฒนานนท์  หัวหน้าโครงการวิจัยกล่าวว่า ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพและฟื้นฟูสภาพผู้สูงอายุ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  เริ่มเปิดให้บริการสร้างเสริมสุขภาพแก่ผู้สูงอายุตั้งแต่ปี พ.ศ.2536  และใช้เป็นแหล่งฝึกภาคปฏิบัติการส่งเสริมสุขภาพสำหรับนักศึกษาพยาบาล   และยังเป็นแหล่งศึกษาดูงานของชมรมผู้สูงอายุทั้งใน และต่างประเทศ  ปัจจุบัน มีสมาชิกผู้สูงอายุมารับบริการวันละ 80-100 คน กิจกรรมการสร้างเสริมสุขภาพที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ได้แก่ บริการตรวจสุขภาพ เช่น ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง วัดความดันโลหิต และให้คำปรึกษาเกี่ยวกับสุขภาพ  จัดกิจกรรมการออกกำลังกายได้แก่ ไทเก๊ก แอโรบิก รำกระบอง รวมทั้งกิจกรรมสันทนาการ และจัดให้ความรู้ในชุมชนเกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน เปิดบริการสัปดาห์ละ 3 วัน ในช่วงเวลา 7.30-12.00 น. 
       
       หนึ่งในสี่ของผู้สูงอายุที่มารับบริการที่ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพฯ พบว่า มีอายุมากกว่า 75 ปีขึ้นไป และสองในสามของสมาชิกผู้สูงอายุต้องดูแลตนเองเพื่อควบคุมความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงมากต่อการเกิดภาวะสมองเสื่อม

       ทีมวิจัยซึ่งรับผิดชอบสอนรายวิชาการพยาบาลเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ ได้สนับสนุนให้นักศึกษาปริญญาโท สาขาการพยาบาลผู้ใหญ่ จำนวน 10 คน เป็นผู้ออกแบบเกม และกิจกรรมส่งเสริมความจำ และผ่านการมีส่วนร่วมให้ข้อคิดเห็นจากแกนนำผู้สูงอายุ และนำไปใช้สมาชิกผู้สูงอายุ จำนวน 80 คน ที่อายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งมารับบริการ ณ ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพและฟื้นฟูสภาพผู้สูงอายุ  ได้แก่ กิจกรรมส่งเสริมความจำที่พัฒนาขึ้น 9 กิจกรรม ได้แก่ กิจกรรมการร้องเพลง เกมนักร้องพันหน้า สุภาษิตหรรษา ละครชีวิต สถานที่สำคัญไฉน กล่องปริศนา เกมซูโดกุ กลิ่นสื่อสัมพันธ์ และเล่าเรื่องจากการอ่าน
       
       กิจกรรมที่พัฒนาทักษะความจำได้แก่ 
1.การคิดคำนวณโจทย์คณิตศาสตร์แบบง่าย ใช้เทคนิค และทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ในการเล่น เช่น การบวก ลบตัวเลขจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
2 .การจัดระเบียบ ของข้อมูลผ่านขบวนการกลุ่มขณะทำกิจกรรมช่วยให้คิดเป็นระบบ จะทำให้จำได้ง่ายขึ้น
3.  กิจกรรมส่งเสริมการเชื่อมโยงและการหาความสัมพันธ์ เช่น การนึกถึงสถานที่ หรือบุคคล   
4.การสร้างจินตนาการและความเกี่ยวข้องเพื่อเสริมสร้างความจำ เป็นการอธิบายเรื่องราวด้วยภาพ หรือการแสดงละครในกิจกรรมละครชีวิต การฝึกฝนทักษะการจดจำภาพพร้อมเรื่องราว เป็นการฝึกให้ผู้สูงอายุมีจิตใจที่เป็นสมาธิ มีความสุขในสิ่งที่เล่น ฝึกจิตใจละเอียดอ่อน ฝึกประสาทสัมผัสให้เชื่อมโยงระหว่างประสาทสัมผัสทั้ง 5 กับความคิด นอกจากนี้ กิจกรรมสุภาษิต เป็นเทคนิคการใช้รหัสช่วยจำ เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงเพื่อช่วยในการลำดับกระบวนการจำให้จดจำข้อมูลได้ง่ายขึ้น และสะดวก กิจกรรมส่งเสริมความจำทำให้เกิดการทำงานประสานงานกันระหว่างสมองซีกซ้าย และขวา และการใช้สมองทั้งสองซีกเป็นประจำทำให้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของความจำมากขึ้น

       จากการเก็บข้อมูลในผู้สูงอายุ 51 คน พบว่า เป็นผู้สูงอายุเพศชาย ร้อยละ 13.73 เพศหญิง ร้อยละ 86.27  มีอายุเฉลี่ย 70.9 ปี และเป็นกลุ่มอายุ 60-70 ปี ร้อยละ 54.9 รองลงมาคือ กลุ่มอายุ 71-80 ปี ร้อยละ 31.4 และกลุ่มอายุ 81 ปีขึ้นไป ร้อยละ 13.7     ระดับการศึกษาพบว่า ผู้สูงอายุ ร้อยละ 35.3 ได้ศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษา และมีการศึกษาปริญญาตรี หรือสูงกว่า ร้อยละ 29.4
       
       ผลการคัดกรองภาวะพุทธิปัญญาบกพร่อง (cognitive impairment) ในผู้สูงอายุ พบว่า ผลตรวจปกติ (คะแนนเท่ากับหรือมากกว่า 26) ร้อยละ 49.0 และกลุ่มผิดปกติ ร้อยละ 51 มีอายุเฉลี่ย 73.77 ปี และในกลุ่มที่มีคะแนนผิดปกติ จะพบว่าเป็นกลุ่มอายุ 70-80 ปี มากที่สุด ร้อยละ 42.3 รองลงมาคือ กลุ่มอายุ 60-70 ปี มี ร้อยละ 38.5
       
       ผลการประเมินความรู้เกี่ยวกับภาวะสมองเสื่อมและการป้องกัน พบว่าร้อยละ 96 ของผู้เข้าร่วมกิจกรรม มีความรู้ผ่านเกณฑ์ (ร้อยละ 60) และทั้งหมดมีความพึงพอใจในระดับดี ถึงดีมากต่อการเข้าร่วมกิจกรรม
       
       อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ดำเนินโครงการได้เกิดปัญหาอุทกภัยรุนแรง ในอำเภอหาดใหญ่ จ.สงขลา  ทำให้ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากความเสียหายต่อทรัพย์สิน และสุขภาพทั้งของสมาชิกเอง และของลูกหลาน กิจกรรมส่งเสริมความจำหยุดชะงักไปประมาณ 1 เดือน  เมื่อสามารถกลับมาออกกำลังกาย และจัดกิจกรรมได้ การติดตามภายหลังการนำกิจกรรมมาใช้ 6 เดือน พบว่า ผู้สูงอายุกลุ่มผิดปกติมีคะแนนพุทธิปัญญากลับมาเป็นปกติเพิ่มขึ้น 5 คน คิดเป็น 19%
       
       “การทำให้ผู้สูงอายุมีการบริหารสมองด้วยกิจกรรมการเล่นเกมต่างๆ โดยการกระตุ้นให้มีกิจกรรมโดยเฉพาะในเรื่องของการใช้ความคิด การที่ได้ขบคิดมีการฝึกทบทวน และฝึกระลึกถึงอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง ช่วยทำให้มีการรับรู้และสามารถที่จะปรับปรุงความจำให้ดีขึ้นกว่าเดิม และยังช่วยให้มีการหลงลืมช้าลง การเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมความจำในผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่อง จะสามารถป้องกัน หรือชะลอกลุ่มอาการภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุได้ และกิจกรรมส่งเสริมความจำที่พัฒนาขึ้นสามารถใช้เป็นต้นแบบการจัดกิจกรรมในชมรมผู้สูงอายุที่นับวันจะเพิ่มจำนวนสมาชิกผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 75 ปี ในชุมชนภาคใต้ได้ต่อไป” ผศ.ดร.เพลินพิศ ฐานิวัฒนานนท์กล่าว

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    26 สิงหาคม 2555

7194
  1. “เจ๋ง ดอกจิก” ถูกถอนประกัน ศาลชี้ เจตนาปลุกปั่นดูหมิ่น-ปองร้ายตุลาการฯ ด้าน 18 นปช.รอด!

       เมื่อวันที่ 22 ส.ค. ศาลอาญาได้นัดฟังคำสั่งว่าจะถอนประกันแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย จำนวน 19 คนหรือไม่ หลังนายเชาวนะ ไตรมาส เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ และนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ร้องขอให้ศาลเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราว เนื่องจากทำผิดเงื่อนไขการประกันตัว เช่น นายจตุพร พรหมพันธุ์ ,นายวีระกานต์ หรือวีระ มุสิกพงศ์ ,นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ,นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก ฯลฯ
       
       ทั้งนี้ ก่อนมีคำสั่งว่าจะถอนประกันแกนนำ นปช.ทั้ง 19 คนหรือไม่ ศาลได้นัดสอบถามนายยศวริศ ชูกล่อม แกนนำ นปช. และผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย(นายฐานิสร์ เทียนทอง รมช.มหาดไทย) ที่ขอยื่นพยานหลักฐานเพิ่มเติม หลังนายนิพิฏฐ์ ผู้ร้อง ได้ยื่นหลักฐานให้ศาลเป็นวีซีดีนายศวริศปราศรัยข่มขู่คุกคามตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบนเวทีคนเสื้อแดงที่หน้ารัฐสภาเมื่อวันที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยมีการบอกที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ของตุลาการฯ และครอบครัว พร้อมชักชวนให้ผู้ชุมนุมโทรศัพท์ไปหาหรือเดินทางไปเยี่ยมด้วย
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนาย นปช.ในฐานะทนายของนายยศวริศ ได้นำพยานมาเบิกความต่อศาล 3 คน เพื่อยืนยันว่านายยศวริศมีพฤติกรรมที่ดี ประกอบด้วย พ.ต.อ.ไกรเลิศ บัวแก้ว รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ควบคุมการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. ,นายฐานิสร์ เทียนทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บังคับบัญชาของนายยศวริศ และนายจรินทร์ สวนแก้ว ประธานมูลนิธิ 5 ธันวามหาราช
       
       ซึ่งนายฐานิสร์ แถลงต่อศาลโดยยืนยันว่า จากที่ได้ทำงานร่วมกับนายยศวริศ 1 ปี เห็นว่านายยศวริศเป็นคนสนุกสนามร่าเริง และไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อสังคม นอกจากนี้ยังมีความมุ่งมั่นและรับผิดชอบงานเป็นอย่างดี ขณะที่ พ.ต.อ.ไกรเลิศ แถลงต่อศาลโดยเล่าเหตุการณ์การชุมนุมวันที่ 7 มิ.ย.ของคนเสื้อแดงที่หน้ารัฐสภาว่า ช่วงเย็นมีรายงานว่ามีคนนำใบปลิวระบุรายละเอียดหมายเลขโทรศัพท์ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ข้างเวที จึงให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบและตามเก็บ แต่มีบางส่วนเก็บไม่ทันและหลุดไปถึงหลังเวทีคนเสื้อแดง และว่า ช่วงที่นายยศวริศปราศรัย ผู้ชุมนุมเป็นกลุ่มรากหญ้า จึงยังไม่สนใจรายละเอียดหมายเลขโทรศัพท์ แต่ผู้ชุมนุมเพิ่มขึ้นช่วงกลางคืน ซึ่งเป็นช่วงที่นายยศวริศขึ้นกล่าวขอโทษ ด้านนายจรินทร์ แถลงต่อศาลว่า เคยเชิญนายยศวริศมาช่วยดูแลงานเฉลิมพระเกียรติ 12 ส.ค. โดยมอบหมายให้ดูแลเรื่องตลก และว่า นายยศวริศเป็นคนมีการศึกษา มีวุฒิภาวะ ย่อมรู้อะไรควรหรือไม่ควร หากทำอะไรไม่ควร เมื่อสำนึกและออกมายอมรับ แล้วขออภัย สังคมก็ยอมรับได้
       
       ขณะที่นายยศวริศ แถลงต่อศาล โดยยืนยันว่า การปราศรัยเป็นการพูดตามสไตล์ตลกของตน แต่หลังเกิดเหตุก็ได้กล่าวขอโทษตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต่อหน้าประชาชนจำนวนมาก พร้อมบอกประชาชนว่าอย่าไปโทรศัพท์ไปก่อกวนครอบครัวของตุลาการฯ และว่า ตนเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยและมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จึงไม่มีเจตนาก่อความวุ่นวาย พร้อมขอความเมตตาจากศาล หากมีการทำผิดพลาดขออภัย
       
       ด้านนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้ร้อง แถลงต่อศาลว่า ได้ยื่นคำร้องและวีซีดีบันทึกการปราศรัยของนายยศวริศ 5 ครั้ง ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่า การปราศรัยของนายยศวริศเป็นการกระทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอนในการทำลายความน่าเชื่อถือขององค์กรอิสระและกระบวนการยุติธรรม และว่า หน้าที่ของกระทรวงมหาดไทยคือบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้ประชาชนและรักษาความสงบเรียบร้อย แต่การกระทำของนายยศวริศเป็นการก่อความไม่สงบ ซึ่งผิดเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราว
       
       ทั้งนี้ ศาลได้มีคำสั่งถอนประกันนายยศวริศเพียงคนเดียว ส่วนแกนนำ นปช.อีก 18 คน ศาลไม่ถอนประกัน สาเหตุที่นายยศวริศถูกถอนประกัน เนื่องจากศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า น้ำเสียงและสีหน้าท่าทางของนายยศวริศขณะปราศรัย ส่อให้เห็นถึงเจตนายุยง ปลุกปั่น ให้ผู้ฟังรู้สึกดูหมิ่นเกลียดชังตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ยังได้นำข้อมูลส่วนตัวของตุลาการฯ และครอบครัวมาเปิดเผย รวมทั้งได้กล่าวถ้อยคำทำนองว่า “ให้แวะเวียนไปเยี่ยม เอาดอกไม้ไปเยี่ยม โทรศัพท์ไปคุย และให้ไปจัดการ” ซึ่งการพูดดังกล่าวอาจทำให้ผู้ฟังที่กำลังอยู่ในอารมณ์ที่เกลียดชังตุลาการฯ เข้าใจได้ว่าจำเลยต้องการให้มีการก่อความวุ่นวาย หรือกระทำอันตรายต่อตุลาการฯ และครอบครัว และถือได้ว่าเป็นการกดดันคุกคามตุลาการฯ และครอบครัว รวมทั้งกดดันการทำหน้าที่ของตุลาการฯ จึงถือว่าจำเลยผิดเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราว
       
       ส่วนที่จำเลยอ้างว่า ยังไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้น และจำเลยได้ขอโทษตุลาการฯ แล้ว ศาลเห็นว่า คำขอโทษไม่สามารถเรียกคืนสิ่งที่ทำลงไปแล้วให้กลับคืนมาได้ และที่จำเลยอ้างว่า สิ่งที่พูดเป็นแค่เรื่องตลกขบขัน ศาลเห็นว่า ยิ่งแสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่มีความยับยั้งชั่งใจหรือใคร่ครวญว่าสิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำ ดังนั้นหากศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว จำเลยอาจไปก่อเหตุวุ่นวายอย่างอื่นอีก จึงมีเหตุสมควรให้เพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวจำเลย
       
       สำหรับแกนนำ นปช.อีก 18 คนที่ศาลไม่สั่งถอนประกัน เช่น นายจตุพร ,นายวีระ ,นายอริสมันต์ นั้น เนื่องจากศาลเห็นว่า แม้จำเลยจะปราศรัยด้วยถ้อยคำไม่สุภาพหยาบคาย แต่ก็ไม่มีคำพูดในลักษณะข่มขู่คุกคามการทำหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จึงพอถือได้ว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์และติชมการทำงานของตุลาการฯ แม้คำพูดของจำเลยจะรุนแรงไปบ้าง แต่ก็ยังไม่ถือว่าจำเลยได้ก่อให้เกิดอันตรายต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
       
       อย่างไรก็ตาม ศาลได้กำหนดเงื่อนไขในการปล่อยตัวชั่วคราวใหม่ให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยห้ามจำเลยกระทำการใดใดที่มีลักษณะดูหมิ่นผู้อื่นหรือยั่วยุ ปลุกปั่น ให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายในบ้านเมือง หรืออาจก่อให้เกิดอันตราย หรือกระทบต่อเกียรติยศชื่อเสียงและความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคลอื่น หรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือกระทำการใดใดเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน และห้ามจำเลยออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล
       
       ทั้งนี้ หลังทราบคำสั่งศาล นายยศวริศมีสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่แกนนำ นปช.คนอื่นๆ ได้เข้ามาปลอบใจ พร้อมให้คำมั่นว่าจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ โดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ ขอให้ทนายความยื่นขอประกันนายยศวริศทันที โดยใช้หลักทรัพย์ 2 ล้านบาท และให้อ้างชื่อนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นผู้ควบคุมความประพฤติของนายยศวริศ อย่างไรก็ตาม หลังทีมทนายปรึกษากันแล้วเห็นว่า หากยื่นขอประกันทันทีไม่น่าจะเป็นผลดี จึงขอไปดูรายละเอียดคำสั่งของศาลอีกครั้ง โดยเบื้องต้นคิดว่า หากยื่นประกันจะยื่นต่อศาลชั้นต้นก่อน โดยใช้หลักทรัพย์ 2 ล้านบาท หากศาลไม่อนุญาตให้ประกัน จึงจะยื่นขอประกันต่อศาลอุทธรณ์อีกครั้ง ส่วนจะยื่นประกันวันใด ยังไม่สามารถระบุได้
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังถูกถอนประกัน เจ้าหน้าที่จากกรมราชทัณฑ์ได้ควบคุมตัวนายยศวริศไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ แต่ภายหลังได้เปลี่ยนสถานที่ ไปคุมขังที่เรือนจำชั่วคราวหลักสี่ หรือที่มักเรียกกันว่าคุกวีไอพี แทน เนื่องจากเห็นว่าคดีก่อการร้ายที่นายยศวริศเป็นจำเลย ถือเป็นคดีการเมือง
       
       2. โปรดเกล้าฯ “นิคม” ปธ.วุฒิสภาคนใหม่ - เจ้าตัว ประกาศ ยึดหลักยุติธรรม - เป็นกลาง ด้าน “สุรชัย” คว้าชัยรอง ปธ.วุฒิฯ คนที่ 1 !

       เมื่อวันที่ 20 ส.ค. ได้มีการประชุมวุฒิสภาเพื่อเลือกรองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 แทนนายนิคม ไวยรัชพานิช ที่ลาออกเนื่องจากได้รับเลือกเป็นประธานวุฒิสภาคนใหม่ โดยผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นรองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 มีจำนวน 7 คน ซึ่งถือว่าเป็นการลงชิงชัยมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ประกอบด้วย นายดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรี ,นายสุรเดช จิรัฐติเจริญ ส.ว.ปราจีนบุรี ,นายสมัคร เชาวภานันท์ ส.ว.สรรหา ,ม.ล.ปรียาพรรณ ศรีธวัช ส.ว.สรรหา ,นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ส.ว.สรรหา ,นายบุญชัย โชควัฒนา ส.ว.สรรหา และนายกฤช อาทิตย์แก้ว ส.ว.กำแพงเพชร โดยนางพรทิพย์ โล่ห์วีระ จันทร์รัตนปรีดา รองประธานวุฒิสภา คนที่ 2 ซึ่งทำหน้าที่ประธานที่ประชุม ได้ให้ผู้ได้รับการเสนอชื่อแสดงวิสัยทัศน์คนละ 10 นาที
       
       จากนั้น ได้มีการลงคะแนนลับในรอบแรก โดยผู้ที่ได้คะแนนมากสุด คือ นายสุรชัย ได้ 35 คะแนน ,นายสุรเดช 33 คะแนน ,นายดิเรก 20 คะแนน ,นายสมัคร 18 คะแนน ,นายบุญชัยและนายกฤช 16 คะแนน ,ม.ล.ปรียาพรรณ 4 คะแนน มีผู้งดออกเสียง 2 คะแนน รวมเป็น 144 เสียง ทั้งนี้ แม้นายสุรชัยจะได้คะแนนมากสุด แต่คะแนนไม่ถึงกึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ลงคะแนนคือ 144 คน จึงต้องให้ผู้ที่มีคะแนนมากสุด 2 ลำดับแรกมาให้สมาชิกเลือกอีกรอบ ผลปรากฏว่า นายสุรชัยได้คะแนนมากสุด คือ 73 คะแนน ขณะที่นายสุรเดชได้ 69 คะแนน งดออกเสียง 1 คะแนน ส่งผลให้นายสุรชัยได้เป็นประธานวุฒิสภาคนที่ 1
       
       ส่วนความคืบหน้าตำแหน่งประธานวุฒิสภาคนใหม่ หลังนายนิคม ไวยรัชพานิช ได้รับเลือกด้วยคะแนนมากสุดเมื่อวันที่ 14 ส.ค. ล่าสุด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้นายนิคมเป็นประธานวุฒิสภาคนใหม่แล้วเมื่อวันที่ 23 ส.ค. โดยพิธีรับสนองพระบรมราชโองการมีขึ้นต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่รัฐสภาเมื่อวันที่ 24 ส.ค.
       
       ทั้งนี้ นายนิคม กล่าวหลังรับสนองพระบรมราชโองการว่า จะปฏิบัติงานโดยยึดหลักยุติธรรมและความเป็นกลาง โดยเฉพาะเรื่องของการถอดถอน พร้อมยืนยันว่า ที่ผ่านมาตนเคยทำหน้าที่นี้มาแล้ว 3 ครั้ง และไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
       
       3. “สุริยะใส” ยื่น ป.ป.ช. ฟัน “ยิ่งลักษณ์” ผิด กม.อาญา ม.157 ฐานไม่ขอตัว “ทักษิณ” จากสหรัฐฯ !

       เมื่อวันที่ 23 ส.ค. นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน พร้อมด้วยนายสำราญ รอดเพชร ได้ยื่นหนังสือต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ขอให้ตรวจสอบการทำงานของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กรณีละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ไม่ดำเนินการเรื่องขอตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งอยู่ในฐานะนักโทษหนีคดีคอร์รัปชัน ที่เดินทางเข้าสหรัฐฯ กลับมาดำเนินคดี ทั้งที่สหรัฐฯ เป็นประเทศที่ทำสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับประเทศไทย กระทั่ง พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางต่อไปประเทศอื่น จึงถือว่ารัฐบาลได้กระทำความผิดสำเร็จแล้ว ซึ่งหาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะมีการส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุด ก่อนส่งเรื่องไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อดำเนินการถอดถอนออกจากตำแหน่งต่อไป
       
       ทั้งนี้ นายสุริยะใส บอกด้วยว่า การมายื่น ป.ป.ช.ครั้งนี้ ทำในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ไม่ใช่กลุ่มการเมืองใด พร้อมชี้ว่า สิ่งที่ยืนยันได้ชัดเจนว่ารัฐบาลกระทำผิดที่ไม่ขอตัว พ.ต.ท.ทักษิณในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนจากทางสหรัฐฯ ก็คือกรณีที่นางคริสตี้ เคนนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เผยเหตุที่ไม่ส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณให้ไทยว่า เนื่องจากไม่มีคำร้องขอจากรัฐบาลไทย
       
       ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกอาการไม่อยากตอบหลังถูกผู้สื่อข่าวถามกรณีนายสุริยะใสยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช.โดยบอกเพียงว่า “ทุกอย่าง ขอให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย”
       
       ขณะที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พูดชัดว่าเหตุที่ไม่ขอตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน เพราะรัฐบาลไม่มีนโยบายตามจับ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยนายสุรพงษ์ บอกว่า อัยการสูงสุดได้ทำหนังสือด่วนลงวันที่ 21 ส.ค.มาถึงกระทรวงฯ ให้ระบุสถานที่อยู่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะมีผู้ร้องขอให้ดำเนินการนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาดำเนินคดี ตนจึงให้กระทรวงฯ ทำหนังตอบกลับไปว่า ไม่ทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ที่ไหน
       
       เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า มีผู้ที่จะฟ้องร้องว่ากระทรวงการต่างประเทศละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 นายสุรพงษ์ อ้างว่า ถ้าจะร้องก็ต้องร้องตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณออกจากประเทศไทยตั้งแต่ปี 2549 ผ่านมาหลายรัฐบาลแล้ว ถือว่าละเว้นกันหมด อย่ามาให้ตนเป็นแพะรับบาปคนเดียว พร้อมย้ำว่า รัฐบาลนี้ไม่มีนโยบายติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะมีงานอย่างอื่นทำอีกจำนวนมาก
       
       ด้านนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ พูดถึงกรณีที่อัยการสูงสุดทำเรื่องสอบถามกระทรวงการต่างประเทศถึงที่อยู่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่นายสุรพงษ์
       อ้างว่าไม่ทราบ โดยชี้ว่า เป็นการเล่นละครหลอกประชาชนครั้งใหญ่ระหว่างอัยการสูงสุดและกระทรวงการต่างประเทศ เพราะเกรงจะผิดกฎหมายอาญา มาตรา 157 จึงถือเป็นการดูถูกประชาชนครั้งใหญ่ เพราะทุกคนทราบดีว่า พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ที่ไหน และขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณกำลังจะเดินทางไปประเทศจีนและเกาหลีใต้
       
       นายชวนนท์ ยังเผยด้วยว่า ขณะนี้นายกษิต ภิรมย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้ส่งจดหมายไปยัง 8 หน่วยงานของสหรัฐฯ ประกอบด้วย 1.หัวหน้าพรรคเดโมแครต 2.หัวหน้าพรรครีพับลิกัน 3.ประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา 4.สมาชิกในคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา 5.ประธานคณะอนุกรรมาธิการการต่างประเทศว่าด้วยพื้นที่เอเชียตะวันออกและแปซิฟิก 6.สมาชิกในคณะอนุกรรมาธิการการต่างประเทศว่าด้วยพื้นที่เอเชียตะวันออกและแปซิฟิก 7.ประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร สหรัฐฯ และ 8.สมาชิกสภาคองเกรส โดยเล่าว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีคดีติดตัวในประเทศไทยอย่างไรบ้าง เช่น คดีซีทีเอ็กซ์ ,การใช้อำนาจเกินขอบเขต ,การปล่อยเงินกู้เอ็กซิมแบงก์ ,การปล่อยเงินกู้ธนาคารกรุงไทย นายชวนนท์ ยังยืนยันด้วยว่า คดีของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ใช่คดีการเมือง แต่เป็นการทุจริตในการบริหารราชการแผ่นดิน
       
       4. ปชป. ประเมินผลงาน รบ. 1 ปี “ของแพง-ทุกข์ทั้งแผ่นดิน-ยิ่งทำยิ่งแย่ ยิ่งแก้ยิ่งผิด-จองล้างฝ่ายตรงข้าม!

       เมื่อวันที่ 24 ส.ค. พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ได้เปิดแถลงครบรอบ 1 ปีรัฐบาล โดยใช้หัวข้อว่า “1 ปีรัฐบาลเพื่อไทย ทุกข์ที่คนไทยจำทน” โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค และนายกฯ เงา บอกว่า พรรคได้ประเมินผลงานของรัฐบาลใน 6 เรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาชนมากที่สุด ประกอบด้วย 1.รัฐบาลมีมาตรการในการกระชากค่าครองชีพของประชาชนลงอย่างไร ทั้งปัญหาน้ำมันแพง และสินค้าแพง 2.รัฐบาลจะทำให้ราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืนอย่างไร ทั้งข้าว มันสำปะหลัง และยางพารา 3.รัฐบาลจะสร้างความปรองดองที่แท้จริงด้วยการถอนร่างกฎหมายล้างผิด รวมทั้งล้มความคิดล้มล้างรัฐธรรมนูญอย่างไร 4.รัฐบาลจะแก้ปัญหาภาคใต้อย่างจริงจังอย่างไร เพื่อนำสันติสุขกลับคืนมา 5.รัฐบาลจะทำให้คนไทยได้รับประโยชน์จากโครงการป้องกันน้ำท่วมอย่างไร และจะมีมาตรการใช้งบน้ำท่วมอย่างโปร่งใส ไม่มีการทุจริตอย่างไร และ 6.รัฐบาลจะลดหนี้ประชาชนและหนี้ประเทศอย่างไร และเมื่อใดความสุขของประชาชนจะมาก่อนความสุขชั่วคราว แต่ทุกข์ระยะยาวจากการกู้หนี้ของรัฐบาล
       
        จากนั้นแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ได้ผลัดเปลี่ยนกันแถลงผลงาน 1 ปีของรัฐบาลที่ทำไม่ได้อย่างที่หาเสียงไว้ เช่น นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน รัฐมนตรีพาณิชย์เงาพรรคประชาธิปัตย์ ได้ชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวของรัฐบาลที่ไม่สามารถกระชากค่าครองชีพให้ลดลง และไม่มีการยกเลิกกองทุนน้ำมันตามที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้หาเสียงไว้ โดย 1 ปีของรัฐบาล นอกจากราคาพลังงานจะไม่ลดลงแล้ว กลับสูงขึ้นทุกชนิด ขณะที่คำสัญญาเรื่องเงินเดือนปริญญาตรี15,000 บาท ก็ไม่ใช่เงินเดือนแต่เป็นเงินชดเชย ส่วนเงินเดือนต้องรอปี 2557 และได้เฉพาะกลุ่มข้าราชการ ไม่สามารถดูแลภาคเอกชนได้ ส่วนค่าแรง 300 บาท ก็ทำได้แค่ 7 จังหวัด ส่วนอีก 70 จังหวัดปรับ 40% แถมการปรับแบบก้าวกระโดดก็ส่งผลให้เอสเอ็มอีหลายแสนรายต้องปิดตัว ทำให้แรงงานไม่ได้ 300 บาท แต่ต้องตกงานหรือถูกลดสวัสดิการลง ขณะที่ลูกจ้างที่ไม่ได้อยู่ในระบบอีก 20 กว่าล้านคน ก็ไม่ได้ประโยชน์จากค่าแรงขั้นต่ำ แต่ต้องแบกรับค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทำให้ประชาชนเดือดร้อนทั้งแผ่นดิน
       
        ด้านนายเกียรติ สิทธีอมร รองนายกรัฐมนตรีเงาพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า 1 ปีของรัฐบาลทำให้ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำลงสวนทางกับราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่แพงขึ้น ทั้งที่รัฐบาลใช้งบมากเป็นประวัติการณ์หลายแสนล้านบาทในการดูแลสินค้าเกษตร ขณะที่โครงการรับจำนำข้าว พบว่ามีการโกงทุกขั้นตอน ส่วนปัญหายางพาราที่รัฐบาลรับปากว่าจะทำให้ราคาอยู่ที่ 120 บาท ปรากฏว่า ราคายางดิบ ณ วันที่ 23 ส.ค.อยู่ที่ 76.50 บาทเท่านั้น แสดงว่าการดูแลสินค้าเกษตรของรัฐบาลล้มเหลว รับปากแล้วไม่ทำ รับปากแล้วทำไม่ได้ เข้าทำนองยิ่งทำยิ่งแย่ ยิ่งแก้ยิ่งผิด
       
        ขณะที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ประธานวิปฝ่ายค้าน แถลงว่า 1 ปีรัฐบาล ทำให้คนไทยอยู่ในภาวะจำทน แพงทั้งแผ่นดิน ทุกข์ทั้งแผ่นดิน ทั้งน้ำท่วม หนี้ท่วม ไฟใต้ลุกท่วม และทุกข์จากความล้มเหลวในนโยบายปรองดองของรัฐบาล สังเกตได้จากคำมั่นสัญญาของนายกฯ และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่ประกาศแก้ไขไม่แก้แค้นไม่ทำเพื่อพี่ ไม่มีการคืนทรัพย์สิน แต่ตลอด 1 ปีกลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม มีการใช้กองกำลังฝ่ายรัฐบาลดำเนินการแก้แค้น จองล้าง ข่มขู่ฝ่ายตรงข้ามสารพัดรูปแบบ ไม่เว้นภาคประชาชน ตุลาการ องค์กรอิสระ เพื่อให้ตอบสนองความต้องการทางการเมืองของรัฐบาล
       
        ด้านรัฐบาลยังไม่กำหนดว่าจะแถลงผลงานในรอบ 1 ปีเมื่อใด โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เรียกรัฐมนตรีในส่วนของพรรคเพื่อไทยประชุมเมื่อวันที่ 24 ส.ค. เพื่อให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงชี้แจงว่า ได้ทำอะไรไปบ้าง หลังประชุม นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า แต่ละกระทรวงต้องไปจัดทำผลงานเป็นรูปเล่ม เพื่อให้คณะรัฐมนตรีดูความสมบูรณ์ ก่อนเสนอต่อรัฐสภาเพื่อบรรจุวาระการประชุม คาดว่าการแถลงผลงานรัฐบาลต่อรัฐสภาจะมีขึ้นในเดือน ก.ย.นี้ ส่วนการแถลงผลงานรัฐบาลรอบสื่อมวลชน ยังไม่ได้สรุปว่าจะมีขึ้นก่อนหรือหลังแถลงต่อรัฐสภา แต่นายกฯ อนุญาตให้รัฐมนตรีทุกกระทรวงชี้แจงผลงานต่อประชาชนได้ ส่วนรูปแบบแล้วแต่รัฐมนตรีจะกำหนด โดยให้เริ่มตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ASTVผู้จัดการออนไลน์    26 สิงหาคม 2555

7195
คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้มีมติที่จะให้ประชาชนในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติร่วมจ่ายเงินครั้งละ 30บาทเมื่อไปรับการตรวจรักษาตามสิทธิในโครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติโดยจะเริ่มในวันที่ 1 กันยายนที่จะถึงนี้ แต่อย่างไรก็ตามคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติยังมีข้อยกเว้นสำหรับประชาชนที่ไม่ต้องจ่าย 30บาทอยู่ถึง 20 กลุ่มและกลุ่มที่ 21 คือกลุ่มคนที่อยู่นอกเหนือจากผู้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องจ่ายเงินแต่แสดงความประสงค์ว่า "ไม่ต้องการจ่ายเงิน"

  แต่ก็มีข่าวว่าน.ส.สุพัตรา นาคะผิว โฆษกกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพได้ออกมาแถลงข่าวที่มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค คัดค้าน(แอนตี้)การร่วมจ่าย
30บาท ในระบบสุขภาพ ส่งผลกระทบถึงคนยากจนทำให้ประชาชนที่ไม่มีเงินจ่ายต้องเสียศักดิ์ศรีในการขอยกเว้นไม่จ่ายเงินและกล่าวว่าเป็นการขัดแย้งกับนโยบายลดความเหลื่อมล้ำในระบบสุขภาพที่สำคัญก็คือกล่าวหาว่าพรรคการเมืองต้องการนำเรื่องสุขภาพมาหาเสียงจากการมาใช้ชื่อ30บาทอีกครั้งหนึ่ง และกลุ่มนี้ได้อ้างเหตุผล 54 ข้อที่ไม่อยากจ่ายเงินพร้อมทั้งจะรวบรวมรายชื่อเพื่อคัดค้านการจ่ายเงิน 30บาททั้งจากกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพภาคเหนือ ภาคอีสาน และน.ส.บุญยืนศิริธรรม ประธานสหพันธ์ผู้บริโภคก็ร่วมคัดค้านการเก็บ 30 บาทด้วยในเวลาต่อมาไม่นาน ก็มีข่าวกลุ่คนรักหลักประกันสุขภาพภาคอีสาน 20จังหวัดได้ออกแถลงการณ์คัดค้านการจ่ายเงิน 30 บาทโดยอ้างว่าเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่รัฐบาลจะต้องสนับสนุนงบประมาณเหมาจ่ายรายหัวโดยที่ประชาชนได้ร่วมจ่ายผ่านการเสียภาษีอยู่แล้วถ้าไปดูรายชื่อกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพกรุงเทพฯเข่นนายจอน อึ้งภากรณ์น.ส.สุพัตรา นาคะผิว นายนิมิตร์ เทียนอุดม น.ส.บุญยืน ศิริธรรมต่างก็เคยเป็นกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และปัจจุบันนี้ นายนิมิตร์เทียนอุดม  และน.ส.บุญยืน ศิริธรรมต่างก็ยังดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการหลักประกันสุขภาพแต่แพ้เสียงส่วนใหญ่ในคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่มีมติให้เริ่มเก็บเงินค่าบริการครั้งละ30บาทในเดือนกันยายนนี้ก็เลยออกมาใช้ชื่อกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพคัดค้านมติของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพต่อไป

 สำหรับผู้เขียนที่ได้ติดตามการบริหารบ้านเมืองและการบริหารงานของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติตลอดระยะ10ปีมานี้ ผู้เขียนขอแสดงความเห็นเกี่ยวกับการร่วมจ่าย 30บาทที่จะเริ่มใหม่ว่าคงจะทำความสับสนวุ่นวายให้กับเจ้าหน้าที่การเงินของโรงพยาบาลจนปวดหัวและเสียเวลาทำงานมากขึ้นเพราะจะต้องคอยตรวจสอบว่าจะเก็บเงินผู้มาใช้บริการได้หรือไม่เนื่องจากมีข้อยกเว้นถึง 21 ประเภท และประเภทสุดท้ายก็คือผู้ประสงค์จะไม่"ร่วมจ่าย"  ซึ่งตามความเห็นของผู้เขียนแล้ว การเก็บเงินเพียงครั้งละ 30บาทนี้คงไม่ทำให้รพ,ได้เงินเพิ่มซักเท่าไหร่ ที่เคยขาดเงิน ขาดสภาคล่อง
และไม่มีเงินจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟและไม่มีเงินซื้อยาก็คงจะไม่มีเงินเหมือนเดิม เพราะในที่สุดแล้วคงมีคนประเภทที่ 21คือไม่ประสงค์จะจ่ายเงินเป็นจำนวนมากกว่าผู้ประสงค์จะจ่ายเงินอย่างแน่นอนเริ่มจากกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพและกลุ่มสหพันธ์ผู้บริโภคตามที่ได้ออกแถลงการณ์ไว้แล้ว

  คนทั้งสองกลุ่มนี้ต่างก็อ้างว่าประชาชน"มีสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ"ที่จะได้รับการรักษาโดยไม่ต้องจ่ายเงินเพราะประชาชนเสียภาษีไปแล้ว แต่ถ้าไปดูรัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบันคือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยปีพ.ศ. 2550 มาตรา 51 เขียนไว้ว่า"บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับบริการสาธารณสุขที่เหมาะสมและได้มาตรฐานและผู้ยากไร้มีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลจากสถานบริการสาธารณสุขของรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย"ซึ่ง จะเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันเขียนไว้ว่า"ผู้ยากไร้เท่านั้นที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย"

  แต่รัฐบาลยุคปฏิวัติโดยคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพในยุคคมช.ได้ประกาศให้คน48 ล้านคน ได้รับบริการสาธารณสุขโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเลย
ถือว่ามีเอกสิทธิเหนือกว่าผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมที่ต้องถูกหักเงินเดือน 5% ทุกเดือนและเหนือกว่ากลุ่มข้าราชการที่ต้องเสียสละทำงานหนัก เงินเดือนน้อยจึงจะได้รับการรักษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเหมือนประชาชนในกลุ่มหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

  กลุ่มคนรักหลักประกันฯก็รู้อยู่แก่ใจว่าเงินรายหัวที่มอบให้แก่โรงพยาบาลนั้นมันไม่พอที่จะใช้จ่ายในการตรวจรักษาสุขภาพประชาชนเนื่องจากแกนนำของพวกเขาเกือบทุกคนต่างก็เคยเป็นและกำลังเป็นกรรมการในคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติอยู่แล้วและเป็นผู้มีส่วนในการลงมติให้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติออกกฎระเบียบในการรักษาและการจ่ายยาให้แก่ผู้ป่วยได้เป็นบางชนิดเท่านั้น มีผลทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถได้รับยาที่เหมาะสมและทันสมัยที่สุดสำหรับรักษาอาการป่วยของตน

 อาจจะมีเหตุผลโต้แย้งมากมายที่บอกว่าการใช้ยาสามัญก็สามารถรักษาอาการป่วยได้เพื่อเป็นการประหยัดเงินของประเทศชาติ แต่ความเป็นจริงใ
ปัจจุบันก็คือมียาที่เป็นต้นแบบอีกหลายชนิดที่มีการค้นคว้าวิจัยใหม่สำหรับรักษาที่มีอาการรุนแรง ยุ่งยากซับซ้อน ที่ยาเดิมๆไม่สามารถรักษาได้
และประเทศไทยยังไม่มีความสามารถหรือเทคโนโลยีที่จะผลิตเป็นยาสามัญได้(และสปสช.ไม่อนุญาตให้แพทย์นำยาเหล่านี้มาใช้ในการรักษาผู้ป่วย
(โดยไม่กำหนดไว้ในบัญชียาหลักแห่งชาติ) เช่นยารักษาโรค มะเร็ง บางชนิดยารักษาโรคหัวใจบางอย่างและฯลฯทำให้ผู้ป่วยพลาดโอกาสในการที่จะได้รับยาที่มีคุณภาพเหมาะสมกับอาการป่วยและพลาดโอกาสที่จะหายจากโรคและการที่จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หรือยาสามัญจากองค์การเภสัช ก็เป็น
ยาที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องตรวจสอบคุณภาพยาจนทำให้ยาบางชนิดไม่มีคุณภาพมาตรฐานที่น่าเชื่อถือได้(ยาบางอย่างก็มีลวดแถมไปด้วย ฯลฯ)
และรายการยาในบัญชียาหลักที่บังคับให้ใช้ในการรักษาผู้ป่วยในระบบหลักประกันสุขภาพนั้นก็ยังขาดการทบทวนให้ครบถ้วนและทันสมัย
จนทำให้ผู้ป่วยสูญเสียโอกาสในการที่จะได้รับยาที่เหมาะสมที่สุดที่จะรักษาอาการป่วยและทำให้หายจากโรค

  ผู้เขียนขอเปรียบเทียบให้ฟังว่า ประเทศไทยยังสร้างเครื่องบินเองไม่ได้แต่ประเทศไทยยอมสั่งซื้อเครื่องบินมาใช้ในการเดินทาง/ขนส่ง/ต่อสู้ข้าศึกศัตรู/ป้องกันประเทศเพราะถือเป็นความจำเป็นเพื่อความสะดวกสบาย และความปลอดภัยของประชาชนแล้วทำไมเราไม่ใช้แค่รถยนต์หรือช้าง/ม้าเหมือนเมื่อก่อนล่ะ?แต่ทำไมเราไม่เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้รับยาที่เหมาะสมทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูงๆในการรักษาชีวิตและสุขภาพของประชาชนล่ะ?ทำไมเราจึงต้องคอยอาศัยงบประมาณที่จำกัดจำเขี่ยจากงบประมาณรายหัวที่ไม่เพียงพอที่จะซื้อยาและเทคโนโลยี่ที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยของเราล่ะ? ทำไมประชาชนจึงรู้สึกว่าจะ"เสียศักดิ์ศรีที่จะได้รับการรักษาฟรีโดยมีมาตรฐานที่ดีกว่าเดิมล่ะ" ?ทำไมเราพอใจเพียงยอมรับที่รัฐบาลจัดให้นั่งเกวียนหรือรถเมล์ร้อนแทนที่จะได้นั่งเครื่องบินตามความสามารถที่ประเทศไทยควรทำได้โดยการจัดสรรเงินเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้น ในเมื่อรัฐบาลมีงบประมาณไม่เพียงพอทำไมเราไม่ให้ประชาชนที่ไม่ยากจนมีส่วนร่วมรับผิดชอบในการจ่ายเงินเข้าสู่ระบบมากขึ้นล่ะ? อย่าลืมว่าที่เปรียบเทียบเรื่องรถยนต์กับเครื่องบินนั้นเป็นเพียงความสะดวกสบายและความรวดเร็วในการเดินทางเท่านั้นแต่การตรวจรักษาและให้ยาผู้ป่วยนั้นมีความสำคัญในการช่วยรักษาสุขภาพและชีวิตพลเมืองด้วยทำไมเราจึงไม่ให้ความสำคัญกับชีวิตและสุขภาพเท่ากับการเดินทางล่ะ?

  ผู้เขียนเห็นว่า
รัฐบาลควรจะต้องสั่งให้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหันมาระดมสมองและรับฟังความคิดเห็นของบุคลากรทางการแพทย์ ที่เป็น
"ผู้ให้บริการสาธารณสุข"อย่างจริงจังตามที่บัญญัติไว้ในพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติพ.ศ. 2545 มาตรา 18(13) เพื่อที่จะได้พัฒนาคุณภาพมาตรฐานการบริการะด้านสาธารณสุขของระบบ30 บาทให้ก้าวหน้าทัดเทียมกับคุณภาพมาตรฐานการดูแลรักษาผู้ป่วยในโรงพยาบาลเอกชน(ใหญ่ๆ)
ของไทย (ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับของประเทศที่พัฒนาแล้วเพราะถูกทิ้งห่างอีกไกล)

  คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา18(13)มาหลายปี กล่าวคือ ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นจากโรงพยาบาลที่เป็น"ผู้ให้บริการสาธารณสุข"แก่ประชาชนเลยว่า งบประมาณที่จัดสรรให้แก่"สถานบริการ"นั้นมีไม่พอจนทำให้โรงพยาบาลหลายแห่งไม่มีเงินจ่ายค่าน้ำค่าไฟและไม่มีเงินซื้อยาที่เหมาะสมเพื่อมารักษาประชาชนทำให้ประชาชนเสี่ยงอันตรายและเสี่ยงต่อความเสียหายจากการบริหารจัดการในระบบ30บาทมาตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านมาโดยที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติก็ไม่เคยคิดที่จะแก้ไขงบประมาณที่เพิ่มขึ้นทุกปีก็เอาไปจัดเพิ่มบริการบางอย่างไปเรื่อยๆในขณะที่งบประมาณการรักษาผู้ป่วยส่วนใหญ่ก็ยิ่งขาดแคลน ทำอย่างไรคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจึงจะลุกขึ้นมาทำหน้าที่นี้(รับฟังความเห็นจากผู้ปฏิบัติงานและช่วยแก้ไขปัญหาการขาดงบประมาณ)เสียที หรือต้องให้ประชาชนไปฟ้องร้องว่าละเลยการปฏิบัติหน้าที่เสียก่อนจึงจะทำ?

 แต่ผู้เขียนอาจจะคาดหวังมากเกินไปที่จะให้ประชาชนมาฟ้องร้องคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเพราะประชาชนยังคาดหวังแต่จะได้รับการรักษาฟรีทั้งๆที่ไม่ทราบว่าการรักษาฟรีที่ว่านี้มีคุณภาพมาตรฐานที่เหมาะสมหรือไม่? ฉะนั้นปัญหาสำคัญในระบบหลักประกันสุขภาพในขณะนี้ไม่ใช่ปัญหาว่าจะให้ประชาชนจ่าย 30 บาทหรือไม่แต่ปัญหาที่จำเป็นจะต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนที่สุดก็คือปัญหาคุณภาพการรักษาผู้ป่วย
ที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐานที่ดีที่สุดเนื่องจากคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติออกระเบียบกำหนดมาตรการคุมเข้มในการใช้ยาเพียงบางชนิด
 และควบคุมวิธีการรักษาเพียงบางอย่างเท่านั้นซึ่งมีผลให้ผู้ป่วยถูกละเมิดสิทธิในการที่จะได้รับการรักษาและยาที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
 
พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา
ประธานสหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขแห่งประเทศไทย
25 ส.ค. 55

เอกสารอ้างอิง
1.http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9550000101383
ปลุกแอนตี้ร่วมจ่าย 30 บาท ชี้ไม่ก่อประโยชน์
แค่เครื่องมือหวังผลทางการเมือง
2.http://www.naewna.com/local/19562
กลุ่มรักประกันสุขภาพ, อีสาน, คัดค้าน, นโยบายรัฐ, เก็บค่ารักษา30บาท,
               3.http://thaipublica.org/2011/09/commission-report/
                  เปิดรายงานอนุกรรมาธิการวุฒิสภา ทำไมรพ.ขาดทุน
-บริษัทยาฟ้อง-ค้างค่าน้ำ-ค่าไฟ
4. 10 ปีประกันสุขภาพถ้วนหน้า โรงพยาบาลรัฐขาดทุนถ้วนหน้ากว่า 7,000 ล้านบาท
http://thaipublica.org/2011/09/10-years-healthcare/
5.นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ ย้ำ"งบสาธารณสุขมีปัญหา บีบสปสช.ปล่อยเงินค้างท่อ
17,000 ล้านอุ้มรพ.ขาดสภาพคล่อง
http://thaipublica.org/2011/10/health-budget-problems/
6.นพ.ดำรัส โรจนเสถียร แจงข้อเท็จจริงไตวายเรื้อรังเพิ่ม 800คน/เดือน
จี้สปสช.ทบทวนล้างไตทางช่องท้องชี้เสียชีวิตสูงกว่า 6,000 คน
http://thaipublica.org/2012/03/capd-first-policy-high-risk-of-infection/
7. กรรมาธิการสาธารณสุขแนะสปสช.ทบทวนหลักเกณฑ์ล้างไตทางช่องท้อง
ติงควรเคารพการวินิจฉัยของแพทย์
http://thaipublica.org/2012/03/capd-first-policy-high-risk-of-infection/
8. มหันตภัย 30 บาทรักษาทุกโรค
https://www.facebook.com/churdchoo.ariyasriwatana?sk=notes

7196
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขสหรัฐฯพบสัตว์เซลล์เดียวจำพวกอะมีบาในระบบจ่ายน้ำประปา โดยอะมีบาที่พบ เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกัดกินสมองของผู้ได้รับเชื้อ จนนำไปสู่การเสียชีวิตของประชาชนอย่างน้อย 2 รายในมลรัฐลุยเซียนา
       
        รายงานข่าวระบุว่า หลังการเสียชีวิตของชายวัย 28 ปี และสตรีวัย 51 ปี จากต่างพื้นที่ในมลรัฐลุยเซียนาที่ติดเชื้อจากสัตว์เซลล์เดียวจำพวกอะมีบาจากระบบน้ำประปาภายในบ้านของตัวเอง จนสมองถูกทำลายเมื่อปีที่แล้ว ทางศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติของสหรัฐฯ (ซีดีซี) รวมถึงสำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ (เอฟดีเอ)ได้ออกคำเตือนประชาชนให้เพิ่มความระมัดระวัง รวมถึงให้คำนึงถึงความสะอาดและปฏิบัติตามคำแนะนำที่เหมาะสม โดยเฉพาะหากมีการใช้น้ำประปาเพื่อการชำระล้างใดๆในบริเวณโพรงจมูก เนื่องจากผลการตรวจสอบพบว่า ส่วนดังกล่าวของร่างกาย เป็นต้นตอสำคัญของการติดเชื้อที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 รายดังกล่าว
       
        ข้อมูลของทางการสหรัฐฯระบุว่า สัตว์เซลล์เดียวที่เป็นต้นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตในมลรัฐลุยเซียนานั้น เป็นตัวอะมีบาชนิด “เอ็น. ฟาวเลรี” ซึ่งพบได้ทั่วไปในทะเลสาบน้ำจืดหรือแม่น้ำที่อบอุ่นตามธรรมชาติ แต่ยังไม่เคยมีการพบในระบบน้ำประปามาก่อน
        โดยหากอะมีบาชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายอาจทำให้เกิดการติดเชื้ออย่างรุนแรง และนับตั้งแต่ปี ค.ศ.1962 เป็นต้นมา พบว่ามีผู้รอดชีวิตเพียงแค่ 1 รายเท่านั้น หลังจากเกิดการติดเชื้อมรณะดังกล่าว
       
        ด้านโจนาธอน โยเดอร์ ผู้เชี่ยวชาญของซีดีซีออกมายอมรับว่า การพบผู้เสียชีวิต 2 รายที่ติดเชื้อจากน้ำประปาในมลรัฐลุยเซียนา ถือเป็นครั้งแรกในสหรัฐฯ แม้ก่อนหน้านี้จะเคยมีรายงานการพบการติดเชื้อในลักษณะที่คล้ายคลึงกันที่ออสเตรเลียและปากีสถานมาก่อนก็ตาม อย่างไรก็ดี โยเดอร์ ยอมรับว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า อะมีบามหาภัยชนิดดังกล่าวหลุดรอดเข้าไปในระบบท่อจ่ายน้ำประปาของมลรัฐลุยเซียนาได้อย่างไร

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    24 สิงหาคม 2555

7197
สำหรับอาหารแล้วการจะทดสอบว่าอาหารหรือน้ำดื่มที่เรารับประทานอยู่นั้นเป็นกรดหรือด่างนั้นหลักการในการทำความเข้าใจที่ว่าจะตรวจวัดได้ด้วยค่า pH ซึ่งย่อมาจาก "Power of Hydrogen" ที่จะเป็นตัวกำหนดอาหารนั้นว่าอาหารนั้นมีความเป็นกรดหรือด่าง โดยทั่วไปมีค่าตั้งแต่ 1-14
       
        ถ้าค่า pH ที่ตรวจได้มีค่าเท่ากับ 7 หมายถึงว่าเป็นกลาง
       
        ถ้าค่า pH ที่ตรวจได้มีค่าต่ำกว่า 7 หมายถึงว่าเป็นกรด (Acid) ยิ่งน้อยลงมากก็ยิ่งเป็นกรดมาก
       
        ถ้าค่า pH ที่ตรวจได้มีค่ามากกว่า 7 หมายถึงว่าเป็นด่าง (Alkaline) ยิ่งมีค่ามากกว่า 7 มากขึ้นเท่าใด ก็หมายถึงว่ามีสภาพความเป็นด่างมากขึ้นเท่านั้น
       
        แต่สำหรับอาหารอาจจะไม่ตรงไปตรงมาอย่างนั้น อย่างเช่น ผลไม้หรือน้ำผลไม้จำนวนไม่น้อยที่วัดค่าภายนอกได้เป็นกรด แต่เมื่อย่อยสลายในกระเพาะอาหารแล้วให้ผลออกมาเป็นด่าง ดังนั้นการจะตรวจสอบอาหารนั้นเป็นกรดหรือด่างก็มักนิยมที่จะนำอาหารนั้นมาเผาจนเป็นขี้เถ้าเสียก่อน แล้วนำขี้เถ้าเหล่านั้นไปละลายน้ำแล้วหาค่า pH อีกครั้ง การที่นำอาหารไปเผาไหมจนเป็นขี้เถ้านั้นก็เป็นการจำลองกระบวนหลังจากการย่อยสลายเผาผลาญอาหารในร่างกายแล้วว่าจะให้ค่าเป็นกรดหรือด่าง
       
        อาหารที่มีสภาพความเป็นด่างได้แก่ ผักทุกชนิด น้ำผักผลไม้สด เช่นมะละกอ แอปเปิ้ล สับปะรด มะเขือเทศ กล้วย มะพร้าว มะนาว ส้ม สตอรเบอรี่ ราสเบอรี่ ลูกเกด ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง และข้าวบาร์เลย์ ฯลฯ ในขณะที่อาหารที่มีความเป็นกรดได้แก่ เนื้อสัตว์ทุกชนิด ไขมัน แป้ง ชีส เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ ช็อกโกแลต น้ำตาลขัดสี อาหารสำเร็จรูป ผงชูรส ของหมักดอง น้ำส้มสายชู แป้งและเม็ดข้าวโดยเฉพาะพวกที่ขัดสีแล้ว น้ำมัน ไขมันทุกชนิด และอาหารทอดน้ำมัน และน้ำมันพืชที่ไม่ได้ผ่านกรรมวิธีบีบเย็น ฯลฯ
       
        ร่างกายมนุษย์เราพยายามที่จะทำให้ค่า pH อยู่ที่ประมาณ 7.4 อยู่ตลอดเวลา การกินอาหารที่เป็นกรดมากเกินไป จะทำให้ร่างกายดึงภาวะความเป็นด่างจากร่างกายซึ่งก็คือแคลเซียมมาใช้เพื่อรักษาระดับค่าที่ร่างกายต้องการ ผลก็คือคนที่รับประทานอาหารเป็นกรดมากฟันก็จะกร่อนบางลง เป็นโรคกระดูกพรุนมากขึ้น และหากร่างกายไม่สามารถรักษาความสมดุลในร่างกายได้ สภาพเซลล์ในร่างกายก็จะทำงานหนักมากขึ้นโดยเฉพาะการฟอกเลือด เช่น ม้าม ตับ หัวใจ และนิ่วในไต รวมถึงระบบเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงานก็จะผิดเพี้ยนไป และทำให้เป็นหลายโรคได้ตามมาได้ด้วย เช่น โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ฯลฯ
       
        มิพักต้องพูดถึงว่าความเป็นกรดสูงจนเกินสมดุลนั้น ยังจะทำให้เป็นการเสริมศักยภาพให้สภาพอนุมูลอิสระให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ด้วย นั่นหมายความว่ากรดจะทำให้ผู้บริโภคมีสุขภาพและร่างกายที่เสื่อมลงจากอนุมูลอิสระแล้ว ยังอาจหมายรวมถึงการทำให้สภาพมะเร็งเติบโตขึ้นได้ด้วย
       
        โดยเฉพาะในวันนี้พบว่าการเสียชีวิตของคนไทยจากโรคร้ายอันดับหนึ่งในวันนี้คือโรคมะเร็ง ซึ่งสะท้อนความล้มเหลวของรัฐบาลไทยทุกยุค ที่ปล่อยปละละเลยให้อาหารบ้านเราเป็นพิษเกิดขึ้นโดยทั่วไป ทั้งจากการใช้น้ำยาอาบศพในสัตว์ทะเลตามตลาดสดเพื่อให้ดูสดตลอดเวลา น้ำยาฟอร์มารีนอบก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่เพื่อให้มีอายุการใช้งาน มากขึ้น การใช้สารเร่งเนื้อแดงในหมูเพื่อให้เนื้อหมูดูสดและแดงตลอดเวลา การพ่นยาฆ่าแมลงและสารพิษในพืชและผัก การใช้น้ำมันซ้ำในอาหารทอดตามร้านอาหารต่างๆ ฯลฯ ด้วยเหตุผลเหล่านี้คนไทยจึงมีสภาพป่วยเป็นโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
       
        การให้ข้อมูลกับผู้บริโภคคนไทยในวันนี้ จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ และควรจะเป็นสิทธิ์ขั้นพื้นฐานในการที่จะได้รู้ข้อมูลให้เลือกได้ว่าประชาชนควรจะบริโภคอย่างไร ด้วยข้อมูลที่ครบถ้วน
       
        ด้วยเหตุผลนี้ผมจึงได้ตัดสินใจนำน้ำดื่มและน้ำอัดลม ที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อตรงข้ามบ้านพระอาทิตย์มา 21 ยี่ห้อ เพื่อวัดคุณภาพน้ำด้วย 2 ค่า เมื่อวันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ดังนี้
       
        1. ค่า pH ว่าน้ำแต่ละยี่ห้อมีความเป็นกรด-ด่างมากน้อยเพียงใด ค่า pH ต่ำกว่า 7 เป็นกรด และยิ่งเป็นกรดมากเมื่อมีค่า pH ต่ำ เป็นด่างเมื่อค่า pH สูงกว่า 7 และยิ่งเป็นด่างมากมื่อค่า ph สูงขึ้น
       
        2. วัดค่า Oxidation Reduction Potential หรือที่เรียกในตัวย่อว่า "ORP" เพื่อวัดว่าน้ำดื่มเหล่านั้นมีค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าสุทธิแล้วน้ำเหล่านั้นมีค่าประจุบวกหรือลบอย่างไร และมากแค่ไหน มีหน่วยวัดเป็นมิลลิโวลต์ โดยถ้ามีประจุบวกมากเท่าไหร่ก็เท่ากับว่าเป็นน้ำที่ส่งเสริมการทำงานของการทำปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Oxidation) มากขึ้น ซึ่งย่อมส่งผลทำให้การทำงานของอนุมูลอิสระเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้เพราะจะทำให้เกิดการช่วงชิงอิเล็กตรอนจากเซลล์ต่างๆภายในร่างกาย ในขณะที่น้ำที่มีประจุบวกน้อยกว่าก็จะทำให้ส่งเสริมอนุมูลอิสระที่น้อยกว่า ยกเว้นว่าหากมีค่าประจุไฟฟ้าสุทธิติดลบก็จะกลายเป็นน้ำที่เข้าข่ายในการทำปฏิกิริยา "ต้านอนุมูลอิสระ" หรือที่เรียกว่า Anti Oxidant ได้
       
        แม้จะมีข้อมูลอีกหลายอย่างที่ต้องทำการสำรวจและทดลอง แต่เอาเฉพาะ 2 หัวข้อนี้ ก็น่าจะเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคไม่น้อย
       
        ผมจึงใช้เครื่องวัดค่า ORP และค่า pH และวัดอุณหภูมิในตัวเดียวกันยี่ห้อ HANA รุ่น HI 98121 เป็นตัววัดค่าดังกล่าว โดยการถ่ายรูปเป็นหลักฐานเอาไว้ในทุกการทดลองในการตรวจวัดผลิตภัณฑ์ ได้ผลที่น่าสนใจให้เป็นข้อมูลส่วนหนึ่งสำหรับผู้บริโภคได้ดังนี้
       
        เริ่มต้นจากน้ำดื่มในภาชนะบรรจุปิดสนิท ได้หยิบมาทั้งหมด 10 ยี่ห้อ อันได้แก่ เนสท์เล่, สิงห์, ช้าง, คูลลี่ เฟรช, เค.แอล, และรวมถึงน้ำดื่มประเภทน้ำแร่ ได้แก่ มิเนเร่, ออร่า, มอง เฟลอร์, และเพอร์ร่า ผลการสำรวจพบว่าหากเรียงจากน้ำที่มีความเป็นด่างสูงสุด ไปหาน้ำที่มีสภาวะความเป็นด่างสูงสุดไปหากกรดมากที่สุดดังนี้
       
        1.น้ำดื่ม ตรามิเนเร่ เป็นน้ำแร่ ที่มี ค่า pH อยู่ที่ 8.17 ค่า ORP อยู่ที่ +165 มิลลิโวลต์
       
        2.น้ำดื่ม ตราเนสท์เล่ ค่า pH อยู่ที่ 7.90 ค่า ORP อยู่ที่ +137 มิลลิโวลต์
       
        3.น้ำดื่ม ตราสิงห์ ค่า pH อยู่ที่ 7.90 ค่า ORP อยู่ที่ +141 มิลลิโวลต์
       
        4.น้ำดื่ม ตราเพอร์ร่า เป็นน้ำแร่ ค่า pH อยู่ที่ 7.81 ค่า ORP อยู่ที่ +183 มิลลิโวลต์
       
        5.น้ำดื่ม ตราช้าง ค่า pH อยู่ที่ 7.54 ค่า ORP อยู่ที่ +158 มิลลิโวลต์
       
        6. น้ำดื่ม ตราออร่า เป็นน้ำแร่ ค่า pH อยู่ที่ 7.10 ค่า ORP อยู่ที่ +191 มิลลิโวลต์
       
        7.น้ำดื่ม ตรามองเฟลอร์ เป็นน้ำแร่ ค่า pH อยู่ที่ 7.09 ค่า ORP อยู่ที่ +195 มิลลิโวลต์
       
        8. น้ำดื่ม ตราคริสตัล ค่า pH อยู่ที่ 6.96 ค่า ORP อยู่ที่ +175 มิลลิโวลต์
       
        9.น้ำดื่ม ตราคูลลี่ เฟรช ค่า pH อยู่ที่ 6.71 ค่า ORP อยู่ที่ +207 มิลลิโวลต์
       
        10.น้ำดื่ม ตราเค.แอล. ค่า pH อยู่ที่ 6.17 ค่า ORP อยู่ที่ +243 มิลลิโวลต์
       
        จากการสำรวจพบว่าน้ำดื่มบรรจุในภาชนะปิดสนิทที่มีค่าความเป็นด่างสูงสุด 3 อันดับแรกคือ 1.น้ำดื่มตรามิเนเร่ 2. และ 3. เท่ากันคือ น้ำดื่มตราเนสท์เล่ . น้ำดื่มตราสิงห์ ในขณะที่น้ำดื่มที่มีค่า ORP ต่ำที่สุด 3 อันดับแรกคือ 1.น้ำดื่มตราเนสท์เล่ 2.น้ำดื่มตราสิงห์ และ 3 น้ำดื่มตราช้าง
       
        ทั้งนี้ เมื่อทดสอบกับน้ำประปาที่บ้านพระอาทิตย์พบว่ามีค่า pH 7.18 และค่า ORP อยู่ที่ +192 มิลลิโวลต์ ซึ่งมีความเป็นด่างมากกว่าน้ำดื่มบรรจุในภาชนะปิดบางยี่ห้อ และมีค่าประจุบวกน้อยกว่าน้ำดื่มบรรจุในภาชนะปิดบางยี่ห้อด้วย
       
        ด้วยเครื่องตรวจวัดเดียวกันนี้จึงได้ไปทดสอบกับน้ำอัดลมอีก 11 ชนิดได้แก่ เป๊บซี่ แมกซ์, เป๊บซี่, โคคา โคล่า, โคคาโคล่า ซีโร่, โคคาโคล่า ไลท์, สไปรท์, แฟนต้าน้ำส้ม, แฟนต้า สตรอเบอร์รี่, อาเจบิ๊ก ส้ม, และ อาเจ บิ๊ก โคล่า ได้ผลการทดสอบพบว่าหากเรียงจากน้ำที่มีความเป็นด่างสูงสุด ไปหาน้ำที่มีสภาวะความเป็นด่างสูงสุดไปหากกรดมากที่สุดดังนี้
       
        1.น้ำอัดลม สไปรท์ ค่า pH อยู่ที่ 3.05 ค่า ORP อยู่ที่ +331 มิลลิโวลต์
       
        2.น้ำอัดลม แฟนต้า สตรอเบอร์รี่ ค่า pH อยู่ที่ 2.79 ค่า ORP อยู่ที่ +352 มิลลิโวลต์
       
        3.น้ำอัดลม อาเจ บิ๊ก สตรอเบอร์รี่ค่า pH อยู่ที่ 2.78 ค่า ORP อยู่ที่ +351 มิลลิโวลต์
       
        4.น้ำอัดลม แฟนต้า ส้ม ค่า pH อยู่ที่ 2.75 ค่า ORPอยู่ที่ +353 มิลลิโวลต์
       
        5.น้ำอัดลม อาเจบิ๊ก ส้ม ค่า pH อยู่ที่ 2.61 ค่า ORP อยู่ที่ +351 มิลลิโวลต์
       
        6.น้ำอัดลม โคคาโคล่า ซีโร่ ค่า pH อยู่ที่ 2.56 ค่า ORP อยู่ที่ +340 มิลลิโวลต์
       
        7.น้ำอัดลม โคคาโคล่า ไลท์ ค่า pH อยู่ที่ 2.55 ค่า ORP อยู่ที่ +333 มิลลิโวลต์
       
        8.น้ำอัดลม เป๊บซี่ แมกซ์ ค่า pH อยู่ที่ 2.46 ค่า ORP อยู่ที่ +333 มิลลิโวลต์
       
        9. น้ำอัดลม อาเจบิ๊ก โคล่า ค่า pH อยู่ที่ 2.23 ค่า ORP อยู่ที่ +379 มิลลิโวลต์
       
        10. น้ำอัดลม โคคาโคล่า ค่า pH อยู่ที่ 2.13 ค่า ORP อยู่ที่ +342 มิลลิโวลต์
       
        11.น้ำอัดลม เป๊บซี่ ค่า pH อยู่ที่ 2.13 ค่า ORP อยู่ที่ +347 มิลลิโวลต์
       
        จึงสรุปได้ว่าน้ำอัดลมทั้งหมดเท่าที่สำรวจมานี้ มีสภาพความเป็นกรดสูงมาก และ มีเป็นประจุไฟฟ้าบวกสุทธิอยู่ในระดับสูงกว่าน้ำดื่มมากถึง 2-3 เท่าตัว อีกทั้งมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Oxidation) หรือ ไปทำให้อนุมูลอิสระเติบโตมากกว่าหมวดน้ำดื่มทั่วไปอย่างมาก
       
        ความจริงแล้วผู้บริโภคควรจะมีสิทธิ์ที่จะรู้ข้อมูลเหล่านี้ในการเปรียบเทียบเพื่อประกอบการตัดสินใจ และจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งหากกระทรวงสาธารณสุขจะเป็นเจ้าภาพทำเรื่องคุณภาพอาหารและน้ำดื่มให้ประชาชนได้มีข้อมูลเพิ่มมากขึ้น ทั้งเป็นการช่วยทำให้ประชาชนมีการป้องกันตัวเองด้วยสุขภาพที่ดี และช่วยทำให้ผู้ประกอบการได้พัฒนาคุณภาพของตัวเองให้ดีเพื่อสุขภาพของคนไทยด้วย
       
        อย่างน้อยก็เพื่อทำให้อัตราการเจ็บป่วยในโรคร้ายได้ลดลง ด้วยพฤติกรรมการบริโภคที่เปี่ยมด้วยข้อมูลที่จะช่วยในการเลือกบริโภค ช่วยป้องกันจากอาหารที่ไม่เหมาะสมเพื่อให้สุขภาพแข็งแรงได้

ณ บ้านพระอาทิตย์
โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
ASTVผู้จัดการรายวัน    24 สิงหาคม 2555

7198
สธ.จับตาเฝ้าระวังโรคติดต่ออุบัติใหม่ ประสานภาครัฐและเอกชน เตรียมรับมืออย่างใกล้ชิด ภายใต้แนวคิด One Health
       
       วันนี้ (24 ส.ค.) นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงสถานการณ์ของโรคในปัจจุบัน พบว่า ขณะนี้หลายประเทศกำลังเผชิญกับการระบาดของโรคที่แตกต่างกัน อาทิ โรคไข้หวัดนกสายพันธุ์ (H7N3) ในสัตว์ปีก ประเทศเม็กซิโก, โรคไข้หวัดนกในคน ประเทศอินโดนีเซีย, โรคไข้หวัดสุกรชนิด A (H3N2) และเชื้อไวรัสเวสต์ไนล์ ประเทศสหรัฐอเมริกา, โรคตาแดงสายพันธุ์ใหม่ ในประเทศเวียดนาม และโรคมือ เท้า ปาก ในประเทศกัมพูชา เป็นต้น ซึ่งพบว่าโรคติดต่อระหว่างสัตว์สู่คนเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข จึงได้เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด และต่อเนื่อง โดยการบูรณาการร่วมมือกันทำงานด้านสาธารณสุข ปศุสัตว์ และสัตว์ป่า ของ 3 หน่วยงานหลัก ได้แก่ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังมีองค์กรภาคเอกชนและองค์กรระหว่างประเทศที่เข้ามาร่วมดำเนินการในครั้งนี้ด้วย
       
       นพ.สุวรรณชัย กล่าวอีกว่า สำหรับการเฝ้าระวังโรค ประเทศไทยได้มีการเตรียมความพร้อมมาตรการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง มีการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบเฝ้าระวัง ป้องกัน รักษาและควบคุมโรค ภายใต้แนวคิดสุขภาพหนึ่งเดียว หรือ One Health ภายใต้แผนยุทธศาสตร์เตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ พ.ศ.2556-2559 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขอความเห็นชอบจาก ครม.และต้องผลักดันให้มีกลไกการขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง สำหรับเรื่อง One Health นี้ จะมีการจัดเวทีประชุมเครือข่าย แลกเปลี่ยนเรียนรู้วิธีปฏิบัติ หรือการศึกษาวิจัย ด้านการสร้างความเข้มแข็ง การพัฒนาระบบเฝ้าระวังและเครือข่ายทางห้องปฏิบัติการ การวินิจฉัยดูแลรักษาพยาบาล การป้องกันควบคุมโรค และการสอบสวนโรคแบบบูรณาการ อันจะส่งผลให้ประเทศไทยสามารถป้องกันและลดการแพร่ระบาดของโรคติดต่ออุบัติใหม่ ระหว่าง คน สัตว์ สัตว์ป่าและสิ่งแวดล้อม และจะช่วยลดความสูญเสียต่อชีวิตและสุขภาพของประชาชน รวมถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม
       
       นพ.สุวรรณชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ตามความหมายของ One Health คือ ความมุ่งมั่นร่วมมือระหว่างหลายสาขาวิชาและหน่วยงาน ที่ทำงานร่วมกันตั้งแต่ระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ และถึงระดับโลก โดยมีเป้าหมายมุ่งไปสู่การมีสุขภาพที่ดีของคน สัตว์เลี้ยง สัตว์ป่า พืช และสิ่งแวดล้อมของมนุษย์ร่วมกัน ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยได้มีการอบรมพี่เลี้ยงทีมระบาดวิทยา One Health ระดับอำเภอและจังหวัดไปแล้ว โดยการคัดเลือกผู้ที่มีประสบการณ์การทำงานในสาขาที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพคนและสัตว์ สามารถทำหน้าที่พี่เลี้ยงให้กับหน่วยงานในพื้นที่ได้ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศไทย สามารถตอบโต้กับสถานการณ์การระบาดและสามารถสอบสวนโรคได้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพสูงสุด

ASTVผู้จัดการออนไลน์    24 สิงหาคม 2555

7199
สธ.จัดงานมหกรรมศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ 2012 ครั้งใหญ่ แสดงศักยภาพและความพร้อมในการเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพ รองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนภายในปี พ.ศ. 2558 คาดภายใน 5 ปี จะนำรายได้เข้าประเทศได้ถึง 800,000 ล้านบาท

วานนี้ (24 สิงหาคม) นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.ย์อภิชัย มงคล รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ นพ.สมชัย ภิญโญพรพาณิชย์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ร่วมกันแถลงข่าวการจัดงาน “มหกรรมศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ 2012 หรือไทยแลนด์ เมดิคัลฮับ เอ็กซ์โป 2012 (Thailand Medical Expo 2012)”
       
       นายวิทยากล่าวว่า รัฐบาลโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้บรรจุนโยบายพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ หรือเมดิคัลฮับ (Medical Hub) เพื่อนำรายได้เข้าประเทศ โดยเน้นการพัฒนาและส่งเสริมการจัดบริการสุขภาพแบบนานาชาติ (Medical Hub and Wellness) โดยมีแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติในปี พ.ศ. 2555-2559 เพื่อเป็นการยกระดับบริการสุขภาพของประเทศไทยให้ก้าวเข้าสู่คุณภาพระดับนานาชาติ ใน 4 ด้าน ได้แก่
1. การรักษาพยาบาล เช่น ทันตกรรม การรักษาโรคเฉพาะทาง การพำนักระยะยาว
2. การส่งเสริมสุขภาพ เช่น สปา นวดเพื่อสุขภาพ
3. บริการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ส่งเสริมให้จัดตั้งโรงพยาบาลแพทย์แผนไทยหรือการแพทย์ทางเลือกทุกภูมิภาคให้โรงพยาบาลทั้งรัฐและเอกชนเปิดคลินิกแพทย์แผนไทยในโรงพยาบาล และ
4. ผลิตภัณฑ์สุขภาพและสมุนไพรไทยให้ได้มาตรฐานจีเอ็มพี (GMP) คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศไทยในอีก 5 ปีข้างหน้า ประมาณ 800,000 ล้านบาท ซึ่งในปี 2555 นี้ มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเพื่อรับการรักษาในประเทศไทยจำนวน 2.5 ล้านคน นำรายได้เข้าประเทศแล้วถึง 121,658 ล้านบาท
       
       การจัดงานไทยแลนด์ เมดิคัลฮับ เอ็กซ์โป 2012 ครั้งนี้จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 สิงหาคม - 2 กันยายน พ.ศ. 2555 ที่เมืองทองธานี เพื่อแสดงความพร้อมรองรับการก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่จะมีผลในปี พ.ศ. 2558 และการเปิดเสรีทางการค้า ภายใต้แนวคิดประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการดูแลสุขภาพในระดับโลก (Thailand as World Class Health Care Destination) เป็นการส่งเสริมพัฒนาศักยภาพของสถานประกอบการธุรกิจบริการสุขภาพในประเทศไทยให้มีคุณภาพและมาตรฐานในระดับสูงขึ้น
       
       ภายในงานมีกิจกรรม นิทรรศการ และผลงานของบริการสุขภาพใน 4 ด้านหลัก เช่น นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ พระราชกรณียกิจด้านสาธารณสุขของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ นิทรรศการครบรอบ 93 ปี กระทรวงสาธารณสุข การอบรมสัมมนาวิชาการและฝึกอบรมเชิงปฏิบัติให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และประชาชนทั่วไปที่สนใจ บริการตรวจรักษาพยาบาลฟรีจากโรงพยาบาล และคลินิกชั้นนำต่างๆ การแสดงสินค้าและบริการด้านสุขภาพที่ได้มาตรฐานสากล การเสวนาทางวิชาการในเวทีกลาง และพบกับเหล่าซือที่มีชื่อเสียงจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่จะมาถ่ายทอดความรู้และสาธิตศาสตร์การแพทย์แผนจีน การเจรจาทางธุรกิจกับผู้แทนของหน่วยงานหลักในต่างประเทศ เป็นต้น
       
       สำหรับผู้สนใจเข้าร่วมงานหรือออกบูท สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ข้อมูลไทยแลนด์ เมดิคัลฮับ เอ็กซ์โป 2012 กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข โทรศัพท์ 0-2590-1997 ต่อ 701-704 และ 0-2726-4500 รวมทั้งสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.medicalhub2012.com

ASTVผู้จัดการออนไลน์    24 สิงหาคม 2555

7200
สาวไม่อยากแก่เฮ! สมุนไพร “คนทีสอ” ช่วยให้อ่อนกว่าวัยได้ พบช่วยคุมฮอร์โมนหญิง และปรับวงรอบตกไข่ให้เป็นปกติ ขณะที่ตำรับยาแพทย์แผนไทยระบุ ใช้ทำยาอาบแก้อาการปวดเมื่อย ผ่อนคลายความตึงเครียด
       
       ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร ผู้แทนคณะกรรมการบริหาร มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวถึงสมุนไพรคนทีสอ หรือต้นผีเสื้อ ซึ่งเชื่อว่าช่วยให้ผู้หญิงอ่อนกว่าวัยได้ว่า มูลนิธิฯ ได้ทำการศึกษาสมุนไพรคนทีสอเพื่อนำมาเขียนเป็นหนังสือเกี่ยวกับการทำยานวด ซึ่งแต่เดิมได้รู้ข้อมูลจากแพทย์ว่าเป็นยาของผู้หญิง โดยถือเป็นยารสร้อน ช่วยกระจายเลือดลม ลดการปวดเมื่อย ปวดศีรษะ เป็นยาแก้เส้น แก้เอ็น สามารถนำมาทำเป็นน้ำมันนวดตัว และยาแก้ปวดได้ แต่เมื่อได้ทำการค้นคว้าข้อมูลจากในต่างประเทศเพิ่มเติม ทำให้พบข้อมูลที่น่าสนใจว่า เม็ดของคนทีสอมีฤทธิ์ในการควบคุมการหลั่งฮอร์โมนของต่อมใต้สมอง ที่ควบคุมการทำงานของฮอร์โมนเพศหญิง จึงนำมาใช้รักษาความผิดปกติในสตรี

“ปัจจุบันในต่างประเทศมีการจำหน่ายคนทีสอในรูปแบบของแคปซูล และกล่าวอ้างสรรพคุณในการรักษาภาวะเป็นหมันในผู้หญิง (antifertility) เนื่องจากคนทีสอจะไปช่วยปรับวงรอบการตกไข่ให้เป็นปกติ และที่สำคัญช่วยในการบำรุง ทำให้สตรีอ่อนเยาว์กว่าวัย” ดร.สุภาภรณ์กล่าว
       
       ดร.สุภาภรณ์กล่าวอีกว่า สำหรับการแพทย์แผนไทย คนทีสอเป็นหนึ่งในสมุนไพรในตำรับยาอาบและยาอบ โดยสามารถนำใบคนทีสอร่วมกับใบเสนียด ใบเปล้าใหญ่ ใบหนาด เหงือกปลาหมอ ขมิ้นอ้อย ไพล ใบมะกรูด เปลือกมังคุด และใบว่านสาวหลง ในปริมาณที่เท่าๆ กันมาต้มจนเดือด ผสมกับน้ำสะอาด 10 ขัน ก็สามารถนำมาใช้อาบได้ มีสรรพคุณช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว ลดอาการปวดเมื่อย และรูขุมขนบริเวณผิวหนังเปิด ทำให้หลอดเลือดไหลเวียนดี หายใจสะดวก กลิ่นหอมของสมุนไพรช่วยให้สดชื่น ผ่อนคลายความตึงเครียด
       
       ทั้งนี้ มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรจะนำต้นคนทีสอจำนวน 300 ต้นมาแจกให้แก่ผู้สนใจ พร้อมสาธิตวิธีการนำไปใช้ประโยชน์ ภายในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 5-9 ก.ย.นี้ ที่อาคาร 7-8 อิมแพค เมืองทองธานี

ASTVผู้จัดการออนไลน์    24 สิงหาคม 2555

หน้า: 1 ... 478 479 [480] 481 482 ... 651