แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - story

หน้า: 1 ... 450 451 [452] 453 454 ... 535
6766
กรมอนามัยจัดทีมลงพื้นที่ ให้ความรู้ประชาชนหลังน้ำลด พร้อมแนะ 5 ทางรอดปลอดโรค               
                   
       วันนี้ (23 พ.ย.) ดร.นพ. สมยศ  ดีรัศมี อธิบดีกรมอนามัย  กล่าวถึงการจัดทีมลงพื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานคร เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนในการดูแลสุขภาพตนเองในพื้นที่น้ำท่วมขัง และน้ำลด ว่า ขณะนี้หลายพื้นที่ในกรุงเทพมหานคร สถานการณ์เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ แต่หลายพื้นที่ยังมีน้ำท่วมขัง  จึงได้จัดทีมนักวิชาการลงพื้นที่กระจายความรู้ให้แก่ประชาชนในการดูแลสุขภาพให้ปลอดภัยจากโรค ทั้งนี้ยังได้นำสิ่งของที่จำเป็น เช่น เจลล้างมือ หน้ากากอนามัย คู่มือประชาชนฉบับพกพาและคู่มือ รื้อ ล้าง หลังน้ำลด ซึ่งเน้นข้อปฏิบัติตนให้ปลอดภัยในช่วงน้ำท่วมและหลังน้ำลด พร้อมแนะนำ 5 ทางรอดปลอดโรค             
     
       “เมื่อสถานการณ์น้ำท่วมเริ่มคลี่คลายลง สิ่งสำคัญที่ประชาชนจะต้องคำนึงถึง คือ การทำความสะอาดบ้านเรือน และการดูแลสภาพแวดล้อมในบริเวณบ้านและชุมชน เพราะน้ำท่วมจะพัดพาสิ่งสกปรกมากจากทุกสารทิศส่งผลให้เกิดการหมักหมม เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการระบาดของโรคได้ ฉะนั้น จึงต้องมีการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและที่พักอาศัยให้ปลอดภัยจากเชื้อโรคและสัตว์มีพิษ โดยศึกษาได้จากคู่มือของกรมอนามัย ซึ่งมีข้อปฏิบัติดังนี้

1.ตรวจดูระบบไฟฟ้า ต้องไม่ตัวเปียกและพร้อมใช้งาน

2.สำรวจตรวบสอบความเสียหายของตัวบ้านและบริเวณบ้านเรือน

3.เตรียมการก่อนล้างโดยจัดเตรียมอุปกรณ์  สำหรับเก็บกวาดทำความสะอาด คัดแยกเศษวัสดุและขยะประเภทต่างๆ

4.ทำความสะอาดควรทำทันทีหลังน้ำลดจะช่วยให้ขจัดคราบสกปรกได้ง่ายโดยใช้ผงซักฟอก

5.ดูแลปรับปรุงห้องครัว  ภาชนะอุปกรณ์ต่างๆเพื่องป้องกันเชื้อราปนเปื้อนในอาหาร

6.ดูแลปรับปรุงห้องส้วม ชำระล้างให้ทั่วพื้นผิวโดยใช้น้ำผสมผงซักฟอกหรือน้ำยาทำความสะอาดขัด ในกรณีส้วมเต็มให้ใช้น้ำหมักชีวภาพเทราดลงในคอห่านหรือโถส้วม เพื่อย่อยสลายสารอินทรีย์และสิ่งปฏิกูลทำให้กลิ่นและแก๊สที่เกิดจากการหมักในบ่อเกรอะลดลง"อธิบดรกรมอนามัย กล่าว
                 
       
       ทั้งนี้ 5 ทางรอดปลอดโรคที่อธิบดีกรมอนามัยแนะนำมีดังนี้

1.อย่าทิ้งขยะ อุจจาระ  เศษอาหารลงในน้ำ ให้ใส่ถุงดำ มัดปากถุงให้แน่น

2.อย่าเล่นน้ำเน่าขัง   หากสัมผัสน้ำเน่าเสียต้องล้างด้วยสบู่และน้ำสะอาด

3.กินอาหารปรุงสุกใหม่ ดื่มน้ำสะอาด

4.หลังน้ำลด  ล้างบ้านเรือน ห้องสุขา ภาชนะอุปกรณ์ต่างๆ

5.ช่วยกันล้างตลาด ประปาชุมชนและสถานที่สาธารณะตามหลักสุขาภิบาล เพื่อป้องกันโรค

พร้อมแนะนำผู้ที่ต้องทำความสะอาดควรสวมหน้ากากอนามัย ผ้าปิดปาก เพื่อลดการสูดดมกลิ่นขยะที่หมักหมม หรือสารเคมีที่อาจส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ สวมถุงมือ เพื่อลดความเสี่ยงของการปนเปื้อนเชื้อโรคและล้างมือด้วยสบู่ทุกครั้งเพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค

ASTVผู้จัดการออนไลน์    23 พฤศจิกายน 2554

6767
 สธ.ยกแผนปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม  4 ระยะ คาดใช้ 2,100 ล้านบาท
       
       วานนี้ (23 พ.ย.)   นพ.โสภณ เมฆธน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าว ถึงแผนปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ว่า กระทรวงได้จัดทำแผนดังกล่าวไว้ทั้งหมด 4 ระยะ โดย

ระยะแรกได้รับงบประมาณจาก ศปภ.แล้ว 109 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณเร่งด่วน ทั้งการจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ รวมทั้งอาสาสมัครสาธารณสุขพร้อมเวชภัณฑ์ ยา ฟื้นฟูร่างกาย จิตใจให้ผู้ประสบภัย ให้กลับคืนสู่สภาวะปกติ 

ระยะที่ 2 เป็นระยะส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันและควบคุมโรคในพื้นที่น้ำท่วม และศูนย์พักพิง  มีทั้งการสนับสนุนวัสดุ อุปกรณ์ และเวชภัณฑ์ในการควบคุมป้องกัน รวมทั้งการจัดทำสื่อให้ความรู้ในการดูแลสุขภาพในภาวะน้ำท่วม

ระยะที่ 3 พื้นที่น้ำลดแล้ว การบริการรักษาพยาบาล จัดหน่วยบริการทางการแพทย์และให้ความรู้แก่ประชาชน การฟื้นฟูสุขภาพจิต และ

ระยะที่ 4 เป็นระยะซ่อมบำรุงตามสถานพยาบาลที่ได้รับผลกระทบต่างๆ ซึ่งทั้งหมดอยู่ระหว่างดำเนินการในรายละเอียด คาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้
         
       นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัด สธ.กล่าวถึงการพิจารณางบประมาณทุกระยะ ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการรายละเอียด แต่เบื้องต้นมีการประมาณการณ์ว่างบประมาณรวมทุกระยะอยู่ที่ราว 2,100 ล้านบาท
             
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสอบถามไปยังสำนักปลัดกระทรวง เบื้องต้นทราบว่า แผนในการฟื้นฟูแต่ละระยะนั้น ได้รับงบประมาณดำเนินการจริงเพียงระยะแรก ขณะที่ระยะที่ 2 ตั้งงบไว้ที่ประมาณ 786,767,200 บาท ซึ่ง ครม.มีการพิจารณาเห็นชอบ แต่ยังไม่อนุมัติว่าได้รับงบจริงเท่าใด ส่วนระยะที่ 3 ตั้งงบประมาณไว้ที่ 915,944,130 บาท  ส่วนระยะที่ 4 อยู่ระหว่างการพิจารณายังไม่ได้ตัวเลขชัดเจน

ASTVผู้จัดการออนไลน์    23 พฤศจิกายน 2554

6768
กรมควบคุมโรค พบยุงรำคาญมากสุด พาหะนำเชื้อไข้สมองอักเสบ แต่ยืนยันไม่พบการระบาด มีวัคซีนป้องกันอยู่แล้ว ขณะที่ช่วงน้ำท่วมห่วงยุงลาย ก่อไข้เลือดออก พบผู้ป่วยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันรวม 6 หมื่น

       นพ.วิชัย สติมัย ผอ.สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า สำหรับยุงที่พบในประเทศไทยนั้นมี 4 ชนิด ประกอบด้วย

1.ยุงรำคาญ ซึ่งพบมากกว่าร้อยละ 80 เนื่องจากยุงชนิดนี้จะบินไกลถึง 1-2 กิโลเมตร ซึ่งสามารถจำแนกยุงรำคาญที่มักพบในไทยได้ 3 ชนิด คือ
1.ยุงรำคาญ (Culex gelidus) มักพบตามท่อน้ำ ชอบบินข้างหู กัดเจ็บ แต่ไม่นำโรค แม้ในบางประเทศเคยมีรายงานการติดเชื้อไข้สมองอักเสบจากการโดนยุงชนิดดังกล่าวกัด แต่ในประเทศไทยยังไม่มีรายงานว่ามีผู้ป่วยเป็นไข้สมองอักเสบจากการโดนยุงชนิดนี้กัด
2.ยุงรำคาญ (Culex quiquefasciatus) เป็นพาหะนำโรคเท้าช้าง แต่พบว่ามีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมากไม่ถึงร้อยละ 1 และ
3.ยุงรำคาญ (Culex Tritaeniorhynchus) ซึ่งพบว่ายุงชนิดนี้เป็นพาหะนำเชื้อไข้สมองอักเสบ เจอี แต่เนื่องจากประเทศไทยมีมาตรการในการให้วัคซีนป้องกันไข้สมองอักเสบชนิดนี้อยู่แล้ว จึงไม่พบการระบาดของโรคนี้ โดยยุงชนิดนี้มักพบตามฟาร์มเลี้ยงสัตว์ เช่น หมู ม้า เป็นต้น
     
2.ยุงลาย พบประมาณ 10% ซึ่งลูกน้ำยุงลายสามารถเติบโตได้ในแหล่งน้ำนิ่ง และเป็นพาหะของโรคไข้เลือดออก แต่ธรรมชาติของยุงลายจะบินไม่ไกล ประมาณ 100-200 ม.ดังนั้น จึงไม่ควรมีแหล่งน้ำขังอยู่ภายในบ้าน หากเลี่ยงไม่ได้ควรที่จะหาทางลดการสัมผัสกับยุงโดยการจุดยากันยุง นอนกางมุ้ง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในปัจจุบันยังเกิดปัญหาน้ำท่วมในหลายพื้นที่ ทำให้ประชาชนที่ประสบอุทกภัยต้องไปพักที่ศูนย์พักพิงจำนวนมาก ทำให้อาจจะเกิดการแพร่ระบาดของโรคนี้ได้ ทางกรมควบคุมโรค โดยสำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง จึงมีการเฝ้าระวังตามศูนย์พักพิงต่างๆ ซึ่งขณะนี้พบจำนวนผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกมากขึ้น แต่ยังอยู่ในจำนวนที่น้อย ซึ่งยังไม่ถือเป็นนัยสำคัญทางสถิติ อย่างไรก็ตาม ทางสำนักโรคติดต่อนำโดยแมลงยังต้องจำเป็นแนะนำวิธีการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายตามศูนย์พักพิงต่างๆ อย่างต่อเนื่อง

สำหรับยุงชนิดที่ 3 และ 4 คือ ยุงเสือ และยุงก้นป่อง โดยทั้งสองชนิดรวมกันมีรายงานการพบไม่10 % ซึ่งในส่วนของยุงเสือ จะพบตามผักตบชวา ซึ่งเป็นพาหะทำให้เกิดโรคเท้าช้าง ขณะที่ยุงก้นป่อง มีรายงานว่าพบตามแหล่งน้ำทิ้งบ้าง แต่ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดการระบากของโรคมาลาเรีย เพราะการระบาดของโรคนี้จะเกิดขึ้นต่อเมื่อยุงก้นป่องไปกัดคนที่เป็นมาลาเรียแล้วไปกัดคนอื่นต่อเท่านั้น
       
       "สำหรับตัวเลขผู้ป่วยไข้เลือดออกตั้งแต่ต้นปี 2554 ถึงปัจจุบันพบ 64,000 ราย เสียชีวิต 56 ราย ขณะที่ปี 2553 พบผู้ป่วย 100,000 ราย เสียชีวิต 100 ราย ซึ่งไม่แตกต่างหรือน่ากังวลนัก” นพ.วิชัย กล่าว ว่าราย เสียชีวิตแล้ว 56 ราย

ASTVผู้จัดการออนไลน์    26 พฤศจิกายน 2554

6769
เลขาธิการ สปสช. เผยร่วมมือ สธ. ระดมงบ 2 พันล้าน เร่งแผนฟื้นฟูประชาชน หน่วยบริการทุกระดับ และชุมชนท้องถิ่น หลังน้ำลดให้กลับมามีประสิทธิภาพภายในปี 55...

เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2554 ที่ รพ.พระนครศรีอยุธยา นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ลงพื้นที่ รพ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อเยี่ยมและรับทราบสถานการณ์ปัญหาและอุปสรรคของโรงพยาบาล ตลอดจนแผนการฟื้นฟูโรงพยาบาลหลังน้ำลด เพื่อให้บริการผู้ป่วยในระบบหลักประกันสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทาง รพ.พระนครศรีอยุธยา คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการเบื้องต้นได้ในวันที่ 28 พ.ย.54 และจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบได้ในวันที่ 1 ธ.ค.54

เลขาธิการ สปสช. กล่าวถึงแผนการฟื้นฟูหลังอุทกภัยภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติว่า ขณะนี้หน่วยบริการสาธารณสุขที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมหลายแห่ง ระดับน้ำเริ่มลดลง และกลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว ในส่วนของหน่วยบริการสาธารณสุขนั้น ขณะนี้มีประชาชนที่ต้องดูแลช่วยเหลือทางด้านร่างกายและจิตใจเป็นเรื่องเร่งด่วน ขณะที่หน่วยบริการที่อยู่ในพื้นที่ประสบภัยนั้น ต้องให้บริการทางด้านการรักษาดูแลอย่างใกล้ชิด จึงได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งหามาตรการและแนวทางช่วยเหลือเร่งด่วน ซึ่งบทบาทของ สปสช. ในการฟื้นฟูนั้นจะเป็นบทบาทเสริมร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข โดยเน้นในการจัดการระบบ เช่น การเงินการคลัง และการทำงานร่วมกับท้องถิ่นและภาคประชาชน รวมถึงการจัดหาบริการให้กับประชาชน ให้สามารถเข้าถึงบริการได้อย่างเท่าเทียม ซึ่งแผนฟื้นฟูนี้เน้นกลุ่มเป้าหมายสำคัญ 3 กลุ่ม คือ ผู้ป่วย หน่วยบริการสาธารณสุข/ผู้ให้บริการสาธารณสุข และชุมชนท้องถิ่น เพื่อฟื้นฟูให้ผู้ป่วยได้เข้าถึงบริการในการรักษาพยาบาลได้ปกติเร็วขึ้น โดยตั้งเป้าไว้ปี 55 คาดว่าจะใช้งบประมาณ 2,000 ล้านบาท

นพ.วินัย กล่าวถึงรายละเอียดของแผนฟื้นฟูว่า สำหรับกลุ่มที่ 1 ประชาชนจะต้องได้รับการดูแลสุขภาพในทุกมิติอย่างดี เน้นการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค จัดบริการเชิงรุกป้องกันโรค โดยโรงพยาบาลสาธารณสุขประจำตำบล (รพ.สต) องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) คลินิกชุมชนอบอุ่นในกรุงเทพมหานคร ขยายความร่วมมือกับ รพ.เอกชน ที่มีความพร้อมในการให้บริการแก่ผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยที่สามารถรอการผ่าตัดไว้ หรือการผ่าตัดที่ไม่เร่งด่วน จำนวน 1,200 ราย ขยายเวลาการให้บริการผู้ป่วยกับรพ.เอกชน ที่ไม่อยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่เข้าร่วมโครงการออกไปอีก 2 เดือน โดยมีเป้าหมายผู้ป่วยใน 2,000 ราย ผู้ป่วยนอก 1,000 ราย การบริการรักษากลุ่มเฉพาะ ได้แก่ ติดตามผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น ไตวายเรื้อรัง เอดส์ ให้ได้รับยาอย่างต่อเนื่อง โดยเฝ้าระวังผู้ป่วยไตจำนวน 16,754 ราย ผู้ป่วยเอดส์ 41,673 ราย และจัดส่งน้ำยาล้างไตทางช่องท้องให้ผู้ป่วยถึงบ้านผ่านหน่วยบริการในพื้นที่ อปท. เครือข่ายผู้ป่วยโรคไต จำนวน 8,861 ราย เตรียมเวชภัณฑ์จำเป็น ให้เพียงพอ ได้แก่ ยากำพร้า ยา CL (การบังคับใช้สิทธิตามสิทธิบัตร) การฟื้นฟูสภาพคนพิการ โดยการจัดซ่อมและหาอุปกรณ์ทดแทนให้กับคนพิการที่อุปกรณ์ชำรุดจากอุทกภัย เช่น ขาเทียม

สำหรับกลุ่มที่ 2 หน่วยบริการทุกระดับสามารถกลับมาให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ จัดงบประมาณ ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข เพื่อการซ่อมแซมโครงสร้าง ครุภัณฑ์ แก่หน่วยบริการที่ประสบปัญหาอุทกภัย เร่งรัดการโอนงบประมาณเหมาจ่ายรายหัวให้หน่วยบริการ ให้ได้ร้อยละ 50

กลุ่มที่ 3 ชุมชน ท้องถิ่น และภาคประชาชน มีส่วนร่วมในการวางแผน ดูแล ป้องกันสุขภาพของคนในชุมชน ทั้งในระยะฟื้นฟูและในอนาคต สนับสนุนให้กองทุนตำบลในเขตที่ประสบปัญหาอุทกภัย พิจารณาสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนตำบลในการจัดสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การกำจัดขยะ ล้างบ่อน้ำ จัดประชุมระดมสมอง ร่วมกันระหว่าง อปท. ชุมชน รพ.สต หน่วยงานอื่นในพื้นที่ เพื่อจัดทำแผนฟื้นฟูสุขภาพของประชาชนในพื้นที่หลังน้ำลด และแผนพัฒนาระบบหากเกิดเหตุฉุกเฉินในอนาคต.

ไทยรัฐออนไลน์ 26 พย 2554

6770
 แม้เราไม่อาจหาความซื่อสัตย์ได้กับคนที่ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่กับสถาบันครอบครัว ความซื่อสัตย์เป็นสิ่งสำคัญมาก และครอบครัวจะมั่นคงหรือไม่มั่นคงก็ขึ้นอยู่กับความซื่อสัตย์ที่คู่สมรสมีให้แก่กันด้วย วันนี้เราจึงมีบทความดี ๆ จากสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เกี่ยวกับความซื่อสัตย์ของคู่สามีภรรยามาฝากกันค่ะ

       การแต่งงานเป็นการที่คุณทั้งสองมีพันธสัญญาต่อกันว่าจะซื่อสัตย์ต่อกันจนตลอดชีวิต ทุกคนแต่งงานก็คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะต้องซื่อสัตย์กับตน ความซื่อสัตย์เป็นสิ่งสำคัญมาก หากไม่มีความซื่อสัตย์เป็นพื้นฐานแล้ว ชีวิตคู่ก็ยากที่จะมั่นคงอยู่ได้
       
       ความซื่อสัตย์หมายถึงการที่คุณต้องไม่ให้บุคคลอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตคู่ของคุณ ไม่มีบุคคลที่สาม ไม่ปันใจให้ใครอื่น รวมทั้งไม่มีเพศสัมพันธ์กับใครอื่น
       
       นอกจากความซื่อสัตย์ต่อคนรัก คุณควรต้องมีความซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของคุณด้วย การอธิบายความรู้สึกของคุณอย่างตรงไปตรงมาแก่คนรักมีความสำคัญมาก อย่าปิดบังความรู้สึกที่แท้จริงของคุณ และพึงระลึกอยู่เสมอว่าการมีทิฐิถือดีไม่ได้ช่วยให้ชีวิตคู่ของคุณดีขึ้น
       
       ความไว้วางใจหมายถึงความเชื่อมั่นว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะอุทิศตนให้แก่คุณ อยู่เคียงข้างคุณและคุณรู้สึกว่าเป็นเสมือนคน ๆ เดียวกับเขา
       
       หากมีบางช่วงเวลาที่คุณรู้สึกไม่ไว้วางใจคนรักของคุณ คุณอาจต้องทำใจให้สงบและบอกกับตัวคุณเองว่า “บางสิ่งบางอย่างไม่จำเป็นต้องมีคำตอบ” เพราะคุณเองอาจต้องพยายามในการทำใจและบอกกับตนเองว่า “บางทีสิ่งที่เราคิดอาจไม่เป็นจริง” และหากเมื่อใดที่คุณรู้สึกว่ากำลังหึง คุณควรทำใจให้สงบ ควบคุมความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่านและบอกกับตนเองว่าบุคคลนั้นไม่ได้มีความหมายอะไร
       
       คู่สมรสส่วนใหญ่เมื่อมีความรักและมีความผูกพันมากขึ้น ก็มักจะมีความรู้สึกหวาดระแวง หึงหวงและมีความรู้สึกของความเป็นเจ้าของ และกลัวว่าคนรักจะตีตัวออกห่าง กลัวว่าจะเห็นคนอื่นดีกว่า ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องแปลกอะไร
       
       คุณทั้งสองต้องมีความซื่อสัตย์ต่อคู่ชีวิต นอกจากนั้นฝ่ายภรรยาควรทำบ้านให้มีความสุข ทำตัวให้สงบ ดูแลตนเองให้ดูดี ทำตัวให้สดชื่นและน่าอยู่ใกล้ ธรรมชาติของผู้ชายชอบความสวยงามของผู้หญิงค่ะ สำหรับฝ่ายสามีคุณควรรู้และเข้าใจว่าผู้หญิงส่วนใหญ่เข้าสู่ชีวิตแต่งงานพร้อมกับความตั้งใจที่จะ “อยู่ด้วยกันจนวันตาย” หากคุณไม่ทำให้คู่ชีวิตคุณรู้สึกแย่จริงๆ เธอคงไม่ทำอะไรที่ผิดต่อคุณแน่นอน
       
       ความผิดพลาดสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ แต่คุณเชื่อไหมว่า ถ้าคุณมีปัญหาเรื่องความไม่ซื่อสัตย์ คนรักของคุณจะขาดความไว้วางใจในตัวคุณไปเกือบตลอดชีวิต เธออาจอยู่กับคุณต่อด้วยความรู้สึกที่ยังรักคุณหรือเพื่อลูก แต่ความรักความศรัทธาที่เคยมีจะน้อยลงจนน่าใจหาย
       
       สิ่งที่ผู้ชายควรจะระวังคือ การที่คุณสุภาพกับผู้หญิงทุกคนจนไม่มีขอบเขต อาจทำให้เกิดการเข้าใจผิดหรืออาจเลยเถิดจนเกิดความสัมพันธ์อื่นขึ้น ดังนั้น คุณควรมีขอบเขตที่ชัดเจนสำหรับความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นด้วย ในปัจจุบัน มีผู้หญิงมากมายที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม บางรายใจแตกมานาน บางรายอาจมีปัญหาอยู่ในใจลึกๆ โหยหาความรักและอาจพยายามที่จะเกาะเกี่ยวใครสักคนเพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวใจ แม้การกระทำนั้นจะเป็นการทำร้ายบุคคลอื่นก็ตาม อย่าให้ผู้หญิงประเภทนั้นมาทำร้ายครอบครัวที่มีค่าของคุณ

ASTVผู้จัดการออนไลน์    24 พฤศจิกายน 2554

6771
 เป็นปัญหาที่เชื่อว่าหลาย ๆ บ้านคงเกิดอาการหนักใจไม่น้อย เมื่อต้องอยู่กับพ่อแม่สูงอายุเจ้าอารมณ์ หรืออารมณ์ร้ายจนเรื่องบางเรื่องอาจบานปลายกลายเป็นสงครามน้ำลายสาดใส่กันระหว่างพ่อแม่ และลูกหลานได้ ซึ่งหากเกิดขึ้นบ่อย ๆ เป็นไปได้ที่จะแหวกช่องว่างทางความสัมพันธ์ให้กว้างออกไปอีก และยากที่จะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
       
       เกี่ยวกับความเจ้าอารมณ์ หรืออารมณ์ร้ายของพ่อแม่สูงอายุ พญ.สิรินทร ฉันศิริกาญจน หัวหน้าหน่วยเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และนายกสมาคมผู้ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อมแห่งประเทศไทย บอกว่า เกิดขึ้นได้จาก 2 สาเหตุหลัก คือ พ่อแม่ที่ประสบเหตุไม่พึงพอใจ ถูกทอดทิ้ง หรือถูกกระทำอย่างไม่เหมาะสมทางด้านการเงิน และการใช้คำพูด และอีกสาเหตุหนึ่งคือ การป่วยหรือภาวะผิดปกติ เช่น โรคซึมเศร้า สมองเสื่อม ความเจ็บปวด และการสื่อสารขัดข้อ
       
       "ส่วนมากแล้ว สาเหตุที่ผู้สูงอายุอารมณ์ร้าย เพราะลูกหลานทำให้ท่านรู้สึกว่าไม่มีความหมายทั้งที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ซึ่งหลักการนี้ใช้วิเคราะห์สถานการณ์ในสิ่งที่มีชีวิตทุกชนิด ถ้ามองดูง่าย ๆ สัตว์เลี้ยงของเราหรือเด็ก ๆ ถ้าเติบโตขึ้นมาในสิ่งแวดล้อมที่ดีไม่ถูกรังแกและรู้สึกว่าเขามีคุณค่าก็จะทำให้เขาเป็นคนอารมณ์ดี แต่ถ้าถูกเพิกเฉย หรือไม่สนใจก็จะกลายเป็นอีกแบบหนึ่ง" พญ.สิรินทรขยายความ
       
       นอกจากนี้ ผู้สูงอายุมีโลก และมีสิ่งแวดล้อมของท่าน แต่สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้กำลังเลื่อนลอยหายไปทุกที เห็นได้จากเพื่อนฝูงก็ลดน้อยลง ยิ่งไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกดี ๆ ที่ลูกหลานมีให้ด้วยแล้ว ก็อาจแสดงอารมณ์รุนแรงออกมาได้
       
       "อย่าลืมว่าถ้าคนมีสุขภาพดี อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่คุ้นเคยและเป็นมิตร มีความมั่นใจในสถานภาพของตน ชีวิตจะมีความหมายเพราะตื่นมาทุกวันก็พบกับความสดใส และรู้สึกถึงการรับรู้ว่ามีตัวตนอยู่ในบ้านก็เป็นไปได้ยากที่ท่านจะอารมณ์เสีย แต่ในทางกลับกัน ถ้าท่านไม่เคยรับรู้ถึงการยอมรับฟัง ถูกทิ้งให้อยู่ในสิ่งแวดล้อมเดิม ๆ กับความคิดและเหตุผลเดิม ๆ ทำให้ยากที่จะเข้าใจอะไรโดยง่าย และในที่สุดก็จะถูกกล่าวหาว่าดื้อ ไม่เข้าใจ พูดไม่รู้เรื่อง ยิ่งลูกหลานรุกเร้าและแสดงท่าที่ว่ามีข้อมูลมากกว่า รู้ดีกว่า และถึงจุดที่จะต้องตัดสินใจ เหล่าลูกหลานก็พยายามจะบอกพวกท่านให้ทำตามความคิดที่ดีสุดในความเห็นของพวกตัวเอง เป็นไปได้อย่างมากว่าท่านจะเกิดการต่อต้านด้วยวาจา และอาจแสดงการขัดขืนในรูปแบบอื่น ๆ ตามมาได้" พญ. สิรินทรเผย
       
       ดังนั้น การอยู่ร่วมกับพ่อแม่สูงวัยอารมณ์ร้าย เราต้องเข้าใจ และไม่ไหลไปตามอารมณ์ของท่าน โดย พญ.สิรินทร ได้ให้แนวทางในการช่วยลดปัญหาอารมณ์ร้ายอย่างเป็นรูปธรรม ดังต่อไปนี้
       
       - ควรพูดคุยกับท่านให้มากขึ้น เล่าสถานการณ์ต่าง ๆ ให้ฟัง ขอความคิดเห็นจากท่านในเรื่องต่าง ๆ ถ้าความเห็น "ไม่เข้าท่า" หรือ "พูดแต่เรื่องเดิมๆ" ก็ไม่ต้องไปวิจารณ์ แต่ควรแสดงท่าทีเข้าใจในความคิด ไม่ควรพูดโพล่งไปว่า “เป็นไปไม่ได้” โดยอาจจะเลี่ยงไปเป็น "ความคิดดูดีนะคะแต่อาจจะเป็นไปได้ยากแต่ไม่เป็นไรเราลองดูก่อนก็ได้ว่าจะทำอะไรได้บ้าง" จากนั้นค่อย ๆ บอกปัญหาทีละอย่าง ไม่ต้องไล่เรียงด้วยมาดนักวิชาการ เพราะการบอกปัญหา 1....2....3...ให้ท่านฟังในทีเดียว มันยากสำหรับทุกคน ไม่ใช่เฉพาะผู้สูงอายุที่จะเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ ที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนได้รวดเดียว
       
       - เอาใจใส่ชีวิตประจำวันของท่านให้มากขึ้น เช่น ถามไถ่ท่านว่า ทานข้าวหรือยัง กับข้าวอร่อยไหม น้ำหนักตัวเหมือนเดิมหรือเปล่า นึกอยากกินอะไรหรืออยากไปเยี่ยมใครบ้างหรือเปล่า ระบบการขับถ่ายเป็นอย่างไร (เรื่องระบบการขับถ่ายนี้เป็นเรื่องที่ผู้สูงอายุส่วนใหญ่สนใจจริง ๆ ถ้าถามเรื่องนี้ล่ะก็ คุณจะมีข้อสนทนาไปอีกหลายประโยคเลยทีเดียว)

       - หากิจกรรมต่าง ๆให้ท่านทำ ซึ่งคนแต่ละคนมีความสนใจไม่เหมือนกัน ลูกหลานต้องดูในภาพรวมว่าท่านมีความสุขกับอะไรแล้วทำให้เกิดกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านั้นขึ้น เช่น พ่อทำกับข้าวเก่งแต่เลิกราไปนานแล้ว อาจช่วยกันหารายการอาหารและวิธีทำทางอินเตอร์เน็ทแล้วตกลงกันว่าจะทานกันวันไหนบ้าง ไม่ต้องทำทุกวันก็ได้ โดยกิจกรรมแต่ละอย่างนั้นอย่าให้หนักจนเกินไป พยายามช่วยในสิ่งที่อาจจะเกินกำลังของท่าน แต่ต้องไม่ให้ท่านรู้สึกด้อยค่าเพราะการช่วยเหลือของเราด้วย
       
       อย่างไรก็ดี วิธีที่จะช่วยลดปัญหาเจ้าอารมณ์ และอารมณ์ร้ายของท่านในระยะยาวนั้น พญ.สิรินทรบอกว่า ต้องสร้างความมั่นใจให้ท่านเชื่อว่า ลูกหลานยังเห็นเขาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ไม่ใช่เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้านหรือส่วนเกินอย่างที่หลาย ๆ คนทำ เช่น เห็นผู้สูงอายุยังเดินเหินได้ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ จึงทำเป็นไม่สนใจ หรือไม่หาโอกาสเข้าไปพูดคุยกับท่านบ้าง เป็นไปได้ที่พ่อแม่ผู้สูงอายุอาจแสดงอารมณ์น้อยใจ และบางรายอาจแสดงอารมณ์รุนแรงออกมาได้
       
       สำหรับบางบ้านที่พ่อแม่สูงวัยมีอาการป่วย เช่น มีภาวะซึมเศร้า หรือมีภาวะสมองเสื่อม ซึ่งบางครั้งอาจมีปัญหาทางด้านอารมณ์อยู่บ้าง คุณหมอท่านนี้บอกว่า ลูกหลานต้องระลึกไว้เสมอ ๆ ว่า ท่านป่วย ท่านต้องการความช่วยเหลือ และความเข้าใจ การไปตำหนิ หรือหงุดหงิดใส่ท่าน เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง
       
       "ในประสบการณ์ของหมอเองพบว่า ลูกหลานปรับตัวยากมาก ๆ เมื่อเผชิญกับผู้สูงอายุที่ป่วยในทางจิตใจ และความสามารถสมองที่เข้าใจสิ่งต่าง ๆไม่เป็นปกติ อย่าว่าแต่คนป่วยเลย เราท่านทั้งหลายน่าจะเคยพบเจอคนที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรานี่แหละในที่ทำงานของเราทำตัวแปลก ๆ และยากที่จะเข้าใจมีทั้งก้าวร้าวเอาแต่ใจ ไม่ลดละโอกาสที่จะด่าว่าคนอื่น ๆ ส่วนใหญ่เราก็พยายามจะเข้าใจคนพวกนี้และทำงานร่วมกันกับเขา แล้วคนสูงอายุที่บ้านล่ะ ทำไมท่านไม่ได้โอกาสอย่างนี้บ้าง ทำไมลูกหลานถึงไปต่อปากต่อคำหรือทำให้ท่านเสียใจด้วย"
       
       ดังนั้น ถ้ากำลังมีปัญหาเหล่านี้อยู่ พญ.สิรินทร แนะนำว่า อันดับแรกควรมีสติ อย่าด่วน หยุดคำพูดเผ็ดร้อนและท่าทางทั้งหลายที่แสดงออกมาด้วยการต่อปากต่อคำ ถ้าลำบากมากที่จะหยุดตัวเอง อาจจะต้องเตรียมใครสักคนเพื่อคอยเตือนสติ
       
       "ไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากจะทะเลาะกับลูกหลานหรอก เขาต้องมีความกดดันอื่น ๆ อยู่ในใจและส่วนใหญ่ลูกหลานนั่นแหละคือต้นเหตุที่สำคัญ ก่อนจะว่าว่าท่านอารมณ์เสีย หรือขี้หงุดหงิด ควรหันกลับมามองดูตัวเองก่อนว่าเรามีส่วนทำอะไรให้ท่านเป็นอย่างนั้นหรือไม่ อย่ามองด้านเดียวให้มองทั้งตัวเราและมองผู้อื่นด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนให้มาก" พญ.สิรินทรสรุปทิ้งท้าย

ASTVผู้จัดการออนไลน์    23 พฤศจิกายน 2554

6772
นักวิทยาศาสตร์จัดอันดับว่าดวงจันทร์หรือดาวเคราะห์ดวงไหนที่น่าจะมีสิ่งมีชีวิตต่างดาวอาศัยอยู่ได้ ซึ่งในจำนวนนั้นมีดวงจันทร์ไททันของดาวเสาร์และดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ “กลีส 581จี” ที่อยู่ห่างออกไป 20.5 ปีแสงในทิศทางกลุ่มดาวคันชั่ง
       
       ทีมศึกษานานาชาติได้ร่วมกันสร้างระบบเพื่อประเมินโอกาสที่ดาวเคราะห์ดวงอื่นจะเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตต่างดาวได้ โดยบีบีซีนิวส์รายงานว่าพวกเขาได้จัดทำระบบขึ้นมา 2 ระบบ และได้ตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานวงในวารสารแอสโตรไบโอโลจี (Astrobiology) โดยมี 2 ดัชนีชี้วัดที่แตกต่างกัน คือ ดัชนีความคล้ายคลึงโลก (Earth Similarity Index) หรือ อีเอสไอ (ESI) และ ดัชนีดาวเคราะห์ที่อาศัยอยู่ได้ (Planetary Habitability Index) หรือ พีเอชไอ (PHI)
       
       “คำถามแรกคือเราจะพบสภาพคล้ายคลึงกับโลกบนดาวอื่นหรือไม่ เพราะเรารู้อย่างประจักษ์แจ้งว่าสภาพเหล่านี้เอื้อต่อการดำรงชีวิตได้ คำถามที่สองคือ สภาพที่มีอยู่บนดาวเคราะห์อื่นนั้นบ่งชี้ถึงโอกาสที่จะมีรูปแบบอื่นของสิ่งมีชีวิตหรือไม่ ไม่ว่าเราจะรู้จักหรือไม่ก็ตาม” ดร.เดิร์ก สคูลซ์-มาคุช (Dr.Dirk Schulze-Makuch) ผู้ร่วมวิจัยจากมหาวิทยาลัยวอชิงตันสเตท (Washington State University) สหรัฐฯ ผู้ร่วมศึกษากาารจัดอันดับดาวเคราะห์ที่อาศัยอยู่ได้นี้กล่าว
       
       สำหรับดัชนีอีเอสไอนั้นจะจัดอันดับดาวเคราะห์และดวงจันทร์ว่าเหมือนโลกอย่างไรบ้าง โดยคำนึงถึงปัจจัยอย่างเช่น ขนาด ความหนาแน่นและระยะห่างจากดาวฤกษ์ดวงแม่ ส่วนดัชนีพีเอชไอจะพิจารณากลุ่มปัจจัยที่แตกต่างออกไป เช่น ดาวเคราะห์ดวงนั้นมีพื้นผิวเป็นหินแข็งหรือน้ำแข็ง มีบรรยากาศหรือสนามแม่เหล็กหรือไม่ รวมถึงปัจจัยทางเคมี อาทิองค์ประกอบเคมีใดที่ปรากฏ และสารละลายของเหลวใดที่อาจจะเอื้อต่อปฏิกิริยาเคมีของสิ่งมีชีวิต เป็นต้น
       
       ค่าสูงสุดสำหรับดัชนีความเหมือนโลกนั้นมีค่าเท่ากับ 1.00 สำหรับโลกของเรา โดยคะแนนสูงสุดเป็นของดาวเคราะห์กลีส 581จี (Gliese 581g) ซึ่งอยู่นอกระบบสุริยะ (แต่นักดาราศาสตร์ยังกังขาต่อการมีอยู่ของดาวเคราะห์ดวงนี้) ที่ได้คะแนน 0.89 และดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะอีกดวงที่โคจรรอบดาวฤกษ์ดวงเดียวกันคือดาวเคราะห์ กลีส 581ดี (Gliese 581d) ซึ่งได้ค่าอีเอสไอ 0.74 ทั้งนี้ นักดาราศาสตร์ได้ศึกษาระบบดาวฤกษ์ กลีส 581 (Gliese 581) มาเป็นอย่างดี และประเมินว่าดาวเคราะห์แคระแดง (red dwarf star) นี้มีดาวเคระาห์บริวาร 4-5 ดวง
       
       ดาวเคราะห์เอชดี 69830ดี (HD 69830 d) ดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะที่มีขนาดพอๆ ดาวเนปจูนซึ่งโคจรรอบดาวฤกษ์ที่เห็นอยู่ในกลุ่มดาวท้ายเรือ (Puppis) ก็เป็นดาวเคราะห์อีกดวงที่มีได้คะแนนสูง คือ 0.60 โดยเชื่อว่าดาวเคราะห์ดวงนี้อยู่ใน “โซนโกลดิลอคส์” (Goldilocks Zone) หรือบริเวณที่สิ่งมีชีวิตน่าจะอาศัยได้ โดยบริเวณรอบๆ ดาวฤกษ์แม่นั้นมีอุณหภูมิที่ไม่ร้อนหรือหนาวเกินไปสำหรับสิ่งมีชีวิต ส่วนดาวเคราะห์ในระบบสุริยะที่ได้คะแนนสูงได้แก่ดาวอังคารที่ได้คะแนน 0.70 และดาวพุธ 0.60
       
       แต่ดัชนีดาวเคราะห์ที่อาศัยอยู่ได้ให้ผลที่แตกต่างออกไป โดยอันดับสูดเป็นของดวงจันทร์ไททัน (Titan) ของดาวเสาร์ ซึ่งได้คะแนนของดัชนีนี้ 0.64 ตามมาด้วยดาวอังคารที่ได้คะแนน 0.59 และดวงจันทร์ยูโรปา (Europa) ของดาวพฤหัสบดี ที่ได้คะแนน 0.47 ซึ่งคาดว่ามีมหาสมุทรใต้ดินที่ได้ความร้อนจากการบิดงอไทดัล (tidal flexing) ส่วนคะแนนสุงสุดสำหรับดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะยังเป็นของดาวเคราะห์ในระบบกลีส 581 อีกครั้ง โดยดาวเคราะห์กลีส 581จี ซึ่งได้ 0.49 คะแนน และดาวเคราะห์กลีส 581ดี ซึ่งได้คะแนน 0.43
       
       ไม่กี่ปีมานี้การค้นหาดาวเคราะห์ที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตนอกระบบสุริยะได้ใส่เกียร์เร่งขึ้นมา เฉพาะกล้องโทรทรรศน์อวกาศเคปเลอร์ (Kepler) ขององค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) ซึ่งถูกส่งขึ้นไปเมื่อปี 2009 ก็พบดาวที่น่าจะเป็นดาวเคราะห์แล้วมากกว่า 1,000 ดวงมาจนถึงตอนนี้ และกล้องโทรทรรศน์ในอนาคตอาจมีความสามารถมากที่จะตรวจพบ “ตัวบ่งชี้ชีวภาพ” (biomarkers) จากแสงที่เปล่งออกมาจากดาวเคราะห์ที่อยู่ไกลโพ้น อย่างเช่น ร่องรอยการมีคลอโรฟิลด์ซึ่งเป็นสารสีที่สำคัญในพืช เป็นต้น
       
       ***********     
ดัชนีความคล้ายคลึงโลก
       โลก - 1.00
       กลีส 581จี - 0.89
       กลีส 581ดี - 0.74
       กลีส 581ซี - 0.70
       ดาวอังคาร - 0.70
       ดาวพุธ - 0.60
       ดาวเคราะห์เอชดี 69830ดี - 0.60
       ดาวเคราะห์ 55 ซีเอ็นซี ซี - 0.56
       ดวงจันทร์ - 0.56
       กลีส 581อี - 0.53
     
ดัชนีดาวเคราะห์ที่อาศัยอยู่ได้ 
       ดวงจันทร์ไททัน - 0.64
       ดาวอังคาร - 0.59
       ดวงจันทร์ยูโรปา - 0.49
       กลีส 581จี - 0.45
       กลีส 581ดี - 0.43
       กลีส 581ซี - 0.41
       ดาวพฤหัสบดี - 0.37
       ดาวเสาร์ - 0.37
       ดาวศุกร์ - 0.7
       ดวงจันทร์เอนเซลาดัส (Enceladus-ดวงจันทร์ของดาวเสาร์) - 0.35

ASTVผู้จัดการออนไลน์    24 พฤศจิกายน 2554    

6773
 เอเอฟพี - โรงพยาบาลแห่งหนึ่งของออสเตรเลียเผยเมื่อวันพฤหัสบดี (24) ว่ากำลังดำเนินการสืบสวนเหตุสลด กรณีผ่าตัดทำแท้งหนึ่งเด็กแฝดในครรภ์หญิงวัย 32 ปีผิดตัว จนนำมาซึ่งโศกนาฏกรรมเลวร้ายด้วยผู้เป็นแม่ต้องมาเสียลูกไปทั้งสองคน
       
       หนังสือพิมพ์เฮรัลด์ ซัน ของออสเตรเลีย รายงานคณะแพทย์บอกกับว่าที่คุณแม่รายนี้ว่าหนึ่งในทารกชายที่อยู่ภายในครรภ์ของเธอมีภาวะโรคหัวใจพิการ และแม้ถือกำเนิดออกมาก็จำเป็นต้องใช้เวลาผ่าตัดอีกนานหลายปี
       
       ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจด้วยความรู้สึกที่เจ็บปวดรวดร้าว ต้องยอมให้ทำแท้งลูกคนที่ป่วยเมื่อวันอังคาร (22) ทว่าเหตุการณ์เลวร้ายที่ไม่คาดคิดก็กระหน่ำซ้ำเติมเธอ หลังกระบวนการผ่าตัดทำแท้งเกิดความผิดพลาดขึ้น โดยไปเอาแฝดคนที่สุขภาพดีออกไป
       
       จากนั้นเธอก็เข้ารับการผ่าตัดคลอดบุตรแผดอีกคนที่เหลือ ณ โรงพยาบาลรอยัล วีเมนในนครเมลเบิร์นซึ่งทารกในครรภ์ที่สุขภาพไม่ดีก็คลอดออกมาเสียชีวิตเช่นกัน
       
       ถ้อยแถลงของโรงพยาบาลระบุว่า “โรงพยาบาลรอยัล วีเมน ยืนยันว่าเหตุการณ์ทางการแพทย์อันน่าเศร้านี้เกิดขึ้นเมื่อวันอังคาร นี่คือโศกนาฏกรรมครั้งเลวร้าย และโรงพยาบาลขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ่งต่อคนไข้และครอบครัวของเธอ”
       
       “เรากำลังดำเนินการสืบสวนอย่างเต็มที่และพร้อมช่วยเหลือทุกอย่างแก่ครอบครัวและเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง” โรงพยาบาลระบุ พร้อมบอกต่อว่าเจ้าหน้าที่สืบสวนอิสระจากโรงพยาบาลแคนเบอร์ราจะเข้าช่วยปฏิบัติการสืบสวนหาสาเหตุของเรื่องราวอันน่าเศร้านี้
       
       เพื่อนคนหนึ่งของผู้หญิงรายดังกล่าวบอกกับผู้สื่อข่าวว่า ครอบครัวนี้กำลังพยายามทำใจอย่างหนักเพื่อรับกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ได้ “เธอไปโรงพยาบาลพร้อมกับลูกในครรภ์ 2 คน แต่ตอนนี้เธอไม่เหลือใครเลย แค่เลือกสละชีวิตของลูกที่ป่วยก็เจ็บปวดพออยู่แล้ว มันคือบาดแผลทางใจของเธอ โรงพยาบาลบอกว่ากระบวนการเป็นไปอย่างถูกต้อง แต่เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร”
       
       ทางครอบครัวของคนไข้ออกแถลงการณ์ขอความเป็นส่วนตัวหลังกลายเป็นคดีที่สื่อมวลชนให้ความสนใจ ขณะที่ เทด เบลลู นายกรัฐมนตรีรัฐวิกตอเรียกล่าวว่านับเป็นเรื่องเศร้าของทุกคนที่เกี่ยวข้องและขอให้สอบสวนอย่างเต็มที่

ASTVผู้จัดการออนไลน์    25 พฤศจิกายน 2554

6774
“นพ.ชูชัย” แจงข่าวโดนเด้งจากเลขาธิการ กสม.เป็นที่ปรึกษา ซี 11 ชี้ ยังไม่เห็นคำสั่ง แต่หากโดนย้ายก็ไม่เสียความรู้สึก เพราะมาโดยไม่ได้เสนอตัว เชื่อ เหตุจากรายงานชุมนุม นปช.รั่ว และการเมืองภายนอกแทรกแซง เผย ขรก.ใน กสม.เตรียมถวายฎีกาค้านการเมืองล้วงลูก ทำการบริหารภายใน กสม.เละ
       
       นพ.ชูชัย ศุภวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ชี้แจงกรณีที่สื่อบางฉบับลงข่าวว่า ตนถูกโยกย้ายไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา ระดับ 11 ว่า ขณะนี้ตนยังไม่ได้เห็นคำสั่งอย่างเป็นทางการ และยังไม่ทราบเหตุผลที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม การย้ายไปอยู่ในตำแหน่งที่ปรึกษาฯ ไม่ได้เสียความรู้สึกใดๆ เพราะการมาอยู่ในตำแหน่งเลขาธิการ กสม.ครั้งที่สองนี้ ตนไม่ได้เป็นผู้สมัคร หรือเสนอตัว แต่เป็นเพราะ กสม.พิจารณาคัดเลือกผู้สมัครแล้วแต่ไม่สามารถหาคนที่เหมาะสมได้ จึงขอให้ตนไปแสดงวิสัยทัศน์ เพื่อจะได้ลงมติแต่งตั้งเป็นเลขาธิการ กสม.ซึ่งตนก็ปฏิเสธเพราะไม่ประสงค์จะดำรงตำแหน่งนี้ตั้งแต่ต้น ต่อมา นพ.บรรลุ ศิริพานิช อดีตรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข มาขอร้องแกมบังคับให้ตนรับตำแหน่ง ซึ่งเพราะความดีของท่านตนจึงยินยอม และต่อมา กสม.มีมติให้ตนมาดำรงตำแหน่ง ตนก็ได้บอกกับ ศ.อมรา พงศาพิชญ์ ประธาน กสม.ตลอดว่าขอความเป็นอิสระ อย่าให้กรรมการมาแทรกแซงและพร้อมจะลาออกจากตำแหน่งตลอดเวลา
       
       นายแพทย์ ชูชัย ระบุว่า การดำเนินงานที่ผ่านมาเกือบ 2 ปี ได้พยายามเสนอให้องค์กรมีแผนยุทธศาสตร์ แผนปฏิบัติการ มีระบบการดำเนินงานที่ชัดเจน แต่ก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก ตนคิดว่าเรื่องร่างรายงานการชุมนุม นปช.ที่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อมวลชนเป็นสาเหตุหนึ่งที่สำคัญ อีกทั้งมีการแทรกแซงการสรรหาข้าราชการประจำ เมื่อตนไม่ตอบสนองจึงเกิดความไม่พอใจ แต่เข้าใจว่าประเด็นหลัก คือ การเมืองจากภายนอกเข้ามาแทรกแซงองค์กรตามรัฐธรรมนูญ พยายามดิสเครดิตตนมาโดยตลอด เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือ การจัดทำร่างรายงานการชุมนุม นปช.นั้น ทั้งๆ ที่ตนได้ประกาศต่อสาธารณะแล้วว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับร่างรายงานฉบับนี้อีก แต่จนบัดนี้ร่างรายงานยังไม่แล้วเสร็จ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องรายงานว่ายังไม่สามารถหาหลักฐานใหม่หักล้างหลักฐานเดิมได้ นอกจากนี้ ตนยังได้ไปยื่นแจ้งความดำเนินคดีหนังสือพิมพ์ที่ลงข่าวบิดเบือนความจริง และหมิ่นประมาทในกรณีการชุมนุม นปช.ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
       
       นพ.ชูชัย กล่าวต่อไปว่า มีข้าราชการและผู้คนให้กำลังใจมากมาย บอกให้ต่อสู้เพื่อเป็นบรรทัดฐานทางสังคมต่อไป ซึ่งตนจะขอพิจารณาดูว่าเหตุผลที่อ้างในการย้าย หรือกระบวนการย้ายเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลหรือไม่ ทั้งนี้ ตนรู้สึกเสียดายเวลาที่ตัดสินใจรับตำแหน่งนี้ โดยตนเข้าใจว่าประธาน กสม.สนับสนุนการทำงานเพื่อร่วมพัฒนาฟื้นฟูองค์กรให้กลับมาเข้มแข็ง เคารพสิทธิของผู้คนทั้งในและนอกองค์กร มีความกล้าทางจริยธรรม ซึ่งประธาน กสม.ได้แต่กล่าวขอโทษตน ซึ่งตนบอกไปว่าไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องขอโทษ เพราะเข้าใจความรู้สึกของประธาน กสม.แต่ก็ได้ติงว่าขอเวลาให้ตนได้พิจารณาเรื่องการลาออกแต่ก็ไม่ให้ ทั้งนี้ ตนพร้อมจะลาออกตามที่สัญญาไว้ ซึ่งไม่น่ามาทำกันอย่างนี้
       
       แหล่งข่าวใน กสม.แจ้งว่า ข้าราชการใน กสม.จำนวนหนึ่งกำลังดำเนินการต่อกระแสข่าวการย้ายนายแพทย์ ชูชัย ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา ระดับ 11 ตั้งแต่การเข้าชื่อถวายฎีกา เพื่อชี้ให้เห็นว่าการเมืองภายนอกเข้ามาแทรกแซงเรื่องภายในองค์กรตามรัฐธรรมนูญ อีกทั้งกำลังรวบรวมพยานหลักฐานเรื่องการแทรกแซงการทำงานของกรรมการ การละเมิดสิทธิข้าราชการของกรรมการ รวมถึงกรรมการ บางคนเอาบุตรของตนมาเป็นเลขานุการหน้าห้องกินเงินเดือน แต่กลับไปเรียนหนังสือ รวมทั้งการคุกคามทางเพศของกรรมการบางคนที่เกิดขึ้นในองค์กร เพื่อยื่นถอดถอนต่อวุฒิสภาต่อไป

ASTVผู้จัดการออนไลน์    25 พฤศจิกายน 2554

6775
น้ำลด ราผุด” และ แนวทางกำจัด เชื้อราภายในบ้านและวัสดุเครื่องเรือนหลังน้ำท่วม

ภายหลังน้ำลดแล้ว บางครั้งเราสามารถเจอ เชื้อราในบ้าน และอุปกรณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้อง ได้ เช่น เฟอร์นิเจอร์ วอลเปเปอร์ ฝ้า ผนัง หนังสือ เครื่องเรือน เครื่องหนัง เครื่องใช้ไฟฟ้า ห้องน้ำ เพดานท่อน้ำที่มีการรั่วซึม และอุปกรณ์อื่นๆที่มีการเปียกชื้น
วัสดุที่เปียกที่ถูกน้ำท่วมมักจะมีความชื้นสูงและมีอากาศไม่ถ่ายเท ซึ่งสภาพแวดล้อมดังกล่าวเหมาะต่อการเจริญเติบโตของเชื้อราบางชนิดได้  ซึ่งบางคนอาจมีความไวต่อการเชื้อราดังกล่าว เมื่อหายใจเอาสปอร์ของเชื้อราเข้าไป อาจจะทำให้เกิดผลเสียต่อระบบทางเดินหายใจได้ โดยเชื้อราอาจก่อให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ต่างๆได้ เช่น เกิดอาการคัดจมูก หอบหืด ไอ หายใจไม่ออก

บางคนได้รับสปอร์ของเชื้อราเข้าไปนานๆและปริมาณมาก ก็อาจทำให้เนื้อเยื่อปอดผิดปกติได้ โดยเฉพาะเด็กเล็ก ผู้สูงอายุและผู้ป่วยอาจมีความเสี่ยงต่อโรคดังกล่าวมากที่สุด

เชื้อราเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทจุลินทรีย์ จัดเป็นเซลล์ยูคาริโอต อยู่ในอาณาจักรรา  เชื้อรามีระบบสืบพันธุ์ที่เรียกว่าสปอร์ทั้งอาศัยเพศและไม่อาศัยเพศ  ซึ่งมีทั้งชนิดที่ก่อให้เกิดโรค และชนิดที่ไม่ก่อให้เกิดโรค    เชื้อราที่พบในบ้านหลังน้ำท่วมส่วนใหญ่มักจะพบบนวัสดุที่เปียกชื้นและมีปัจจัยสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโต    เช่นเฟอร์นิเจอร์ที่ถูกน้ำท่วมมีองค์ประกอบของไม้และน้ำตาลเชิงไม่ซับซ้อนอาจเป็นอาหารอย่างดีของเชื้อรา ซึ่งนำไปสู่การเสื่อมสภาพและสร้างความเสียหายต่อ เฟอร์นิเจอร์ ยิ่งไปกว่าน้ำถ้าเป็นราที่ก่อให้เกิดโรคนำไปสู่ผลเสียต่อสุขภาพร่างกายได้

บ้านและเครื่องเรือนที่ถูกน้ำท่วมอาจสามารถมองเห็นโคโลนีของเชื้อราบนพื้นผิวของวัสดุได้ด้วยตาเปล่า    โคโลนีของเชื้อรามักมีมีรอยจุด สีต่างๆ เช่นสีดำ (เป็นสีที่พบมากที่สุด) สีน้ำตาล สีเขียว สีแดง สีเหลือง สีขาว เป็นดวงและมีกลิ่นอับ ๆ นั่นคือสัญญาณบอกให้รู้ว่าเชื้อราได้เข้าโจมตีบ้านและวัสดุที่เปียกเข้าให้แล้ว

สีโคโลนีของเชื้อราดังกล่าวคือกลุ่มสปอร์ขนาดเล็กจำนวนมาก ขึ้นอยู่กับสกุลและสายพันธุ์เชื้อรา   มีการรายงานการปนเปื้อนของเชื้อราบางสกุลหรือ จีนัสมักพบกับ วัสดุ เช่น หนังสือ เฟอร์นิเจอร์ที่เปียกชื้น เช่นจีนัส Aspergillus  จีนัส Cladosporium จีนัส Chaetomium จีนัส Trichoderma จีนัส Stachybotrys และเชื้อราในสกุล Epicoccum เชื้อราดังกล่าวมักถูกพบอยู่บ่อยครั้ง

ขั้นตอนง่ายๆทำลายเชื้อรา 6 ขั้นตอน  ดัดแปลงจากคู่มือ “A Brief Guide to Mold, Moisture and Your Home”
 
1. สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันร่างกาย

โดยเฉพาะคนที่มีความไวต่อสปอร์เชื้อรา ควรสวมหน้ากากป้องกัน หรือ  เครื่องช่วยหายใจที่รับการจัดอันดับ     (N - 95 หรือสูงกว่า) หน้ากากป้องกันบางชนิดอาจมีวาล์วเพื่อให้ง่ายต่อการหายใจ   ควรสวมถุงมือ รองเท้าบู๊ทยาง และสวมใส่แว่นป้องกันตา เพื่อป้องกันการสัมผัสทางผิวหนังโดยตรง ในระหว่างการทำความสะอาด

2. แยกพื้นที่ทำงานและระบายอากาศ

โคโลนีของเชื้อราในระหว่างการทำความสะอาดสามารถปล่อยสปอร์จำนวนมากไปในอากาศได้ ควรเปิดประตู หน้าต่าง ม่าน ให้อากาศถ่ายเทในห้อง ให้มีแดดส่องถึง และไม่ควรใช้ระบบระบายอากาศภายในบ้าน หรือเปิดแอร์ และพัดลมในระหว่างการทำความสะอาดป้องกันการฟุ้งกระจายของเชื้อรา

3. เปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ต่างๆที่พบเชื้อรา

โดยเฉพาะเฟอร์นิเจอร์ที่ทำมาจากวัสดุที่มีลักษณะเป็นรูพรุนซึ่งไม่สามารถชำระล้างและทำให้แห้งได้     รวมทั้งที่ปูพรม เบาะผ้าและที่นอน ฟูก วอลเปเปอร์  ฝ้าผนัง  แผ่นยิปซั่ม ผลิตภัณฑ์ไม้แผ่นฝ้า ไม้เนื้ออ่อน ผลิตภัณฑ์กระดาษ หนังสือและเครื่องเรือนที่เป็นวัสดุที่มีลักษณะเป็นรูพรุน    เพื่อลดการแพร่กระจายของสปอร์ราและทำลายแหล่งเพาะเชื้อรา  อุปกรณ์ต่างๆ ควรทิ้งใส่ในถุงพลาสติกและมัดอย่างดี กันแพร่กระจายของเชื้อราสู่อากาศ       ทั้งนี้โดยให้พิจารณาว่าสิ่งของใดก็ตามและอุปกรณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้องที่ไม่สามารถกำจัดเชื้อราได้หมดหลังจากทำความสะอาดฆ่าเชื้อและไม่สามารถทำให้แห้งได้  ไม่ควรเก็บไว้  อย่าเสียดาย  ให้ทิ้งไปให้หมด

4. ทำความสะอาดและการทำลายเชื้อรา

ทำความสะอาดโดยการขัดล้างให้เร็วที่สุด  ภายใน  24  ถึง 48 ชั่วโมงหลังน้ำท่วมลดลง  พวกวัสดุที่ไม่มีลักษณะเป็นรูพรุนรวมทั้ง อุปกรณ์ต่างๆบางประเภทที่สามารถทำความสะอาดได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ไม่ต้องทิ้ง เช่นพลาสติก คอนกรีต กระจก กระเบื้องเซรามิค โลหะ และไม้เนื้อแข็ง (เชื้อราไม่สามารถเจาะไม้เนื้อแข็งได้)  อย่าลืมเปิดประตูและหน้าต่างเพื่อระบายอากาศตามวิธีที่กล่าวมาแล้วข้อ 2          และสวมถุงมือยางทุกครั้ง   ถ้ามีพื้นที่ด้านนอก ให้ขยับอุปกรณ์ต่างๆออกมาพึ่งอากาศที่โปร่งโล่ง กลางแจ้ง หรือที่มีแดดส่องถึง ประมาณ สอง ถึงสามวัน ก็ยิ่งดี

ส่วนการทำลายเชื้อรา เริ่มแรกควรล้างด้วยน้ำและสบู่หรือผงซักฟอกเพื่อขจัดสิ่งสกปรกออกก่อน  แล้วตามด้วยการขัดล้างด้วยน้ำยาโซเดียมไฮโปคลอไรด์ 0.5 เปอร์เซนต์ (NaOCl) หรือ ใช้ผลิตภัณฑ์น้ำยาซักผ้าขาว ที่มีส่วนผสมของ โซเดียมไฮโปคลอไรด์ ที่มีชื่อทางการค้าว่า “ไฮเตอร์” นำน้ำยาซักผ้าขาวชนิดนี้ ผสมกับน้ำ โดยมีอัตราส่วน 3-5 ต่อ 1 เพื่อฆ่าเชื้อราได้ (น้ำยาซักผ้าขาว ชนิดนี้มีส่วนผสมของสารละลาย คลอรอกซ์ โดยทั่วไปจะเรียกว่าคลอรีนน้ำ มีสมบัติในการฟอกจางสี กัดกร่อนอย่างรุนแรง และทำลายจุลินทรีย์ได้ดี นิยมนำไปใช้ในอุตสาหกรรมเพื่อทำความ สะอาด ดังนั้นเวลาใช้ต้องเจือจางก่อน) หรือ หาซื้อผลิตชื่อทางการค้าอื่นๆที่มีสารโซเดียมไฮโปคลอไรด์ผสมอยู่  เราสามารถดูข้างฉลากว่ามีสารเคมีที่สามารถฆ่าเชื้อราได้  สามารถหาซี้อได้ตามท้องตลาด และ ซุปเปอร์มาเกตทั่วไป

@ ถ้าเป็นการการขัดผนังปูนหรือพื้นผิวที่หยาบควรขัดด้วยแปรงชนิดแข็ง ถ้าไม่สามารถหาซื้อได้ให้ อาจผสมน้ำยาใช้เองโดยใช้ผงฟอกขาวที่มีใช้อยู่ตามบ้านและตามท้องตลาดผสมกับน้ำ โดยมีอัตราส่วน 1 ต่อ 1 เช่นใช้ ปริมาณ 1 ถ้วยตวงของผงฟอกขาว ผสมกับน้ำ 1 แกลลอน (ประมาณ 3. 8 ลิตร)

@หากพบเชื้อราขึ้นเป็นจุด ๆดวงๆ บน วอลเปเปอร์ และ ผนัง อาจใช้ เช็ดแอลกอฮอล์ล้างแผล 70 เปอร์เซนต์ ผสม กับ กรดซาลิไซลิก โดยมีอัตราส่วน 5 ต่อ 1 หรือหากพบว่ามีเชื้อราเป็นจำนวนมาก เกินกว่าจะกำจัดไหว ก็ควรเปลี่ยนวอลเปเปอร์และ ผนังเสียใหม่ดีกว่า

@หากพบเชื้อราขึ้นบน หนังสือ และ เครื่องเรือนประเภทไม้ อย่าใช้ผ้าชุบน้ำ เช็ด เพราะ น้ำ ทำให้เกิดการสะสมความชื้นอีก และทำให้เกิดเชื้อรามากขึ้น      ในการทำความสะอาดผลิตเครื่องเรือนประเภทไม้ อาจใช้ผ้าชุป แอลกอฮอล์ 70 ปอร์เซนต์ หรือ ฟอร์มาลีนเจือจางเช็ด และแล้วปล่อยให้แห้งเอง หากมีเชื้อราขึ้นมากเกินการกำจัด ก็ควรเปลี่ยนไม้ดีกว่าและทิ้งไปเลย ถึงแม้ว่าได้ทาแลกเกอร์เคลือบผิวก็ตาม

@หากพบเชื้อราขึ้นบนเครื่องเรือนและอุปกรณ์ประเภทเครื่องหนังให้ใช้น้ำส้มสายชู เช็ดถู หลาย ๆ ครั้ง เนื่องจากน้ำส้มสายชูมีสภาพเป็นกรดสามารถทำลายเชื้อราได้ หลังจากแห้งแล้วเราสามารถเช็ดทำความสะอาดโดยวิธีอื่นๆเพิ่ม เช่น ใช้น้ำยาทำความสะอาดอีกครั้ง บางกรณีอาจใช้ครีมเช็ดรองเท้ามาเช็ดถูปิดท้าย

@หากพบเชื้อราขึ้นบนเครื่องเรือนและอุปกรณ์ประเภทที่ทำจาก ผ้า เช่น เสื้อผ้า ปอกหมอน ม่านและเครื่องนอนต่างๆ ให้ต้มน้ำร้อนเดือดฆ่าเชื้อรา ทั้งนี้สามารถใช้วิธีอื่นๆร่วมด้วยเช่น ใช้น้ำยาซักผ้าขาว ที่มีส่วนผสมของ โซเดียมไฮโปคลอไรด์แช่ไว้ก่อน   หากมีเชื้อราขึ้นมากเกินกำจัด ก็ควรเปลี่ยนและทิ้งไปเลย

@นอกจากนี้หากพบเชื้อราฝังตัวอย่างแน่นหนาตามเครื่องเรือนประเภทไม้ ผนัง วอลเปเปอร์ ที่ไม่สามารถกำจัดออกได้ โดยการขัดล้าง ทำความสะอาด    โดยเฉพาะการฝังซ่อนตัวภายในชั้นวัสดุแทรกภายใน ซึ่งไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ แนะนำให้เปลี่ยนใหม่   ไม่ควรทาสีกลบทับเพราะไม่สามารถทำลายสปอร์ที่เหลือได้และอาจเป็นแหล่งสะสมของเชื้อราขึ้นได้ภายหลัง

 ข้อควรระวัง ควรศึกษาคู่มือการใช้ยาฆ่าเชื้อราที่ผสมในผลิตสำเร็จรูปบางยี่ห้อโดยให้ปฏิบัติตามป้ายและคำเตือนในการใช้อย่างระมัดระวัง

5. การทำให้แห้ง

หลังจากทำความสะอาดและฆ่าเชื้อราในบ้านแล้ว ให้ใช้พัดลมเป่าในบ้านและอุปกรณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้อง   ยิ่งไปกว่านั้นควรเปิดหน้าต่าง เปิดประตู เพื่อดึงสปอร์ราที่อยู่ในอากาศในบ้านออกไปนอกตัวบ้านหรืออาคารให้มากที่สุด   โดยใช้เวลา พึ่งลมประมาณ 1 ชั่วโมง หรือ มั่นใจว่า บ้าน และอุปกรณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้องแห้งสนิทแล้ว หากบ้านไหนมีเครื่องลดความชื้นก็อาจใช้ร่วมด้วย บางกรณีอาจเลือกการทำให้แห้งของอุปกรณ์ต่างๆที่มีขนาดเล็กสามารถใช้เครื่องเปล่าผมไฟฟ้าซึ่งเป็นความร้อนแห้ง ช่วยทำให้แห้งไวขึ้น 

6. ตรวจสอบให้แน่ใจอีกครั้ง

ภายหลังจากความสะอาดแล้วผ่านไป 2 ถึง 3 วัน แล้ว ให้ มองหาสังเกตการเจริญเติบโตของเชื้อรา ซึ่งเชื้อราอาจถูกพบและเจริญเติบโตซ้ำได้ ถ้าวัสดุ เครื่องเรือน ดังกล่าวยังไม่แห้งดีพอ ซึ่งมีความชื้นอยู่  ถ้ายังพบเชื้อราอีกให้ทำความสะอาดซ้ำโดยวิธีที่กล่าวด้านบน ข้อ 1-ข้อ 5    โดยเฉพาะบ้านที่ใช้เครื่องปรับอากาศ อาจมีความบกพร่องของเครื่องปรับอากาศ ในการดึงความชื้นออกจากอากาศภายในห้องได้ไม่ดีเท่าที่ควรอาจเป็นสาเหตุหนึ่งในการกลับมาของเชื้อราดังกล่าว ควรเรียกช่างแอร์ทำการแก้ไขโดยด่วน  กรณีการตรวจสอบปัจจัยต่างๆโดยละเอียด ถ้ายังพบเชื้อราอีกอาจจะต้องตรวจสอบระบบการระบายอากาศ  ระบบแอร์ทั้งหมด ระดับความชื้นภายในอาคารด้วย ระดับอุณหภูมิ และสิ่งแวดล้อมทื่เกี่ยวข้อง รวมทั้งอาจต้องมีการนำเครื่องมือเฉพาะทางมาตรวจสอบเชื้อรา

หมายเหตุ  การเก็บตัวอย่างเชื้อรามาตรวจสอบด้วยละเอียดเพื่อกรณีระบุว่าเชื้อราดังกล่าวเป็นตัวทำให้เกิดภูมิแพ้ เช่น เชื้อรา แอสเปอร์จิลลัส ฟูมิกาตัส (Aspergillus fumigatus) เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคระบบทางเดินหายใจ สามารถส่งบริการทั้งต่างประเทศและภายในประเทศ ซึ่งในประเทศไทยการระบุชนิดของเชื้อราและการตรวจเชื้อราทางห้องปฏิบัติการ โดยดูรูปลักษณะสัณฐานวิทยาและใช้เทคนิคเชิงโมเลกุลมาช่วยจำแนก สามารถติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านราวิทยาโดยตรง เช่น การบริการการจำแนกเชื้อรา ในมหาวิทยาลัยรัฐบางแห่ง สถาบันวิจัยของภาครัฐบางแห่ง หน่วยงานในกำกับของกระทรวงของภาครัฐบางแห่ง


เอกสารและข้อมูลอ้างอิง

@ ห้องปฏิบัติการราวิทยา หน่วยวิจัยการเทคโนโลยีทรัพยากรชีวภาพ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) http://www.biotec.or.th/mycology/
@อ้างอิงบางส่วนจาก คู่มือ “A Brief Guide to Mold, Moisture and Your Home” ของhttp://www.epa.gov/mold/moldguide.html
@อ้างอิงบางส่วนจาก www.epa.gov/mold/pdfs/moldguide.pdf
@อ้างอิงบางส่วนจาก “Mold Removal Guidelines For Your Flooded Home” ของ Louisiana State University Agricultural Center
@อ้างอิงบางส่วนจาก http://www.vcharkarn.com/my/154/blog
@อ้างอิงบางส่วนจาก http://inspectapedia.com/sickhouse/mold.htm
@อ้างอิงบางส่วนจาก www.vcharkarn.com/vcafe/134208
@อ้างอิงบางส่วนจาก www.vcharkarn.com/vcafe/66372
@อ้างอิงบางส่วนจาก www.vcharkarn.com/vblog/114955/1/30

24 พย 2554





6776
ชายไทยกว่า 50% ยอมรับน้องชายไม่ยอมแข็งตัว เหตุเพราะไม่รักษาสุขภาพ ส่งผลให้รสรักไม่สมบูรณ์ แพทย์ชี้ชาวเอเชียยอมรับความแข็งของอวัยวะเพศเต็มที่ คือ ปราถนาสุขของเวลาร่วมรัก ขณะผู้มีปัญหาทางเพศ เริ่มไม่พึงพอใจกับสภาพที่เป็น
       
       วันนี้ (24 พ.ย.) บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด แถลงข่าวผลสำรวจล่าสุดเรื่องความสุขสมแห่งสัมผัสรักในอุดมคติของชาวเอเชีย พบว่า ชายไทย 78% และหญิงไทย 82% เห็นว่าระดับความแข็งตัวของอวัยวะเพศชาย และความสามารถในการรักษาระดับความแข็งตัวของอวัยวะเพศชาย คือ ปัจจัยสำคัญสูงสุดสำหรับการนำไปสู่ความสุขสมทางเพศในอุดมคติ เช่นเดียวกับความคิดเห็นโดยรวมของชายและหญิงในเอเชีย ซึ่งชาย  70% ชาย และหญิง 80%  ขณะที่ชายไทย 50% ยอมรับว่า ตนเองมีระดับการแข็งตัวของอวัยวะเพศชายต่ำกว่าเกรด 4 ขณะที่ชายไทยส่วนมากอยู่แค่เกรด 3
       
       รศ.นพ.จอร์จ ลี ศัลยแพทย์ที่ปรึกษาด้านระบบทางเดินปัสสาวะของ รพ.เกลนอีเกิลส์ และมหาวิทยาลัยโมนาช กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย กล่าวว่า ผลการสำรวจความสุขสมแห่งสัมผัสรักในอุดมคติของชายและหญิงในภูมิภาคเอเชีย มีความสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับการทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานของการนำไปสู่ความสุขสมทางเพศ ซึ่งชาวเอเชียปรารถนา พบว่า การแข็งตัวขององคชาต หรือ EHS (Erection Hardness Score) เกรด คือ หัวใจสำคัญในการทำให้แนวคิดในอุดมคติดังกล่าวเป็นจริง ปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศในระดับไม่เต็มที่สามารถแก้ไขได้ ดังนั้น ชายที่ประสบภาวะการแข็งตัวไม่เต็มที่ หรือหญิงที่มีคู่รักที่ประสบภาวะดังกล่าวควรปรึกษาแพทย์ เพื่อหาแนวทางแก้ไขเพิ่มเติม
       
       “ความแข็งตัวของอวัยวะเพศชายยังเป็นตัวบ่งชี้ถึงสุขภาพ ผู้ชายที่มีอวัยวะเพศแข็งตัวไม่เต็มที่ มักมีโรคประจำตัว หรือการเจ็บป่วยเรื้อรัง อาทิ โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคตับ โรคหลอดเลือดในสมอง และมักจะใช้วันลาป่วยมากกว่าผู้ชายที่มีอวัยวะเพศแข็งระดับเต็มที่ ฉะนั้น อาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศจึงไม่เพียงเป็นปัญหากระทบต่อชีวิตคู่เท่านั้นแต่อาจเป็นตัวชี้วัดให้เห็นถึงปัญหาสุขภาพที่ควรให้ความใส่ใจดูแล” รศ.นพ.จอร์จ กล่าว
       
       ผศ.นพ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพทางเพศและสูตินรีแพทย์ของไทย กล่าวว่า ผลการสำรวจพบว่า 60% ของชายไทยที่มีอวัยวะเพศระดับแข็งตัวเต็มที่ จะรู้สึกมั่นใจและภูมิใจในตนเองในระดับสูงหรือสูงมาก และมีเพียง 10% ของชายไทยทีีมีอวัยวะเพศระดับแข็งตัวไม่เต็มที่ มีความรู้สึกลักษณะดังกล่าว ผู้ชายที่มีอวัยวะเพศระดับแข็งตัวไม่เต็มที่มีความไม่สบายใจในการเริ่มต้นสนทนากับหมอเกี่ยวกับปัญหาภาวะการแข็งตัวขององคชาตมากกว่าผู้ชายที่มีอวัยวะเพศระดับแข็งตัวเต็มที่
       
       “จากผลการสำรวจดังกล่าว แพทย์รวมทั้งฝ่ายหญิง หรือคู่รักควรเป็นคนเริ่มบทสนทนาถึงปัญหาภาวะอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เพื่อช่วยให้สามี หรือคู่รักเข้าใจปัญหาดังกล่าวว่ามีทางแก้ไขและไม่ใช่เรื่องยาก ซึ่งการเพิ่มระดับความแข็งตัวของอวัยวะเพศจะช่วยเพิ่มรสรักได้มากขึ้น รวมทั้งช่วยเสริมสร้างความมั่นใจ และความภาคภูมิใจในตนเองให้กับฝ่ายชายได้อีกด้วย นอกจากนี้ การฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศจะนำไปสู่ความสุขสมทางเพศที่ปรารถนาได้ แต่ผู้ชายส่วนใหญ่มักเขินอายที่จะปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับอาการนี้ ดังนั้นผู้หญิงจึงมีบทบาทสำคัญที่จะชักจูงให้สามีไปปรึกษาแพทย์ เพราะหากปล่อยไว้นานอาจจะส่งผลเสียต่อสายสัมพันธ์ระหว่างกันและกันได้” ผศ.นพ.พันธ์ศักดิ์ กล่าว
       
       นอกจากนี้ ในปี 2551 ได้มีการสำรวจอุบัติการณ์ของอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศในประเทศไทย โดยทำการสำรวจชายไทยอายุ 40-70 ปี จำนวน 2,269 คน พบว่า ชายไทยมีอุบัติการณ์การเกิดอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศสูงถึง 42.18% เพิ่มขึ้นจากการสำรวจครั้งแรกในปี 2543 ซึ่งมีจำนวน 37.5% ในขณะที่ทั่วโลก สำรวจเมื่อปี 2538 มีอุบัติการณ์ของอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศของชายอายุ 40-80 ปี อยู่ระหว่าง 18-28% หรือประมาณ 152 ล้านคน และคาดว่าภายในปี 2568 จะมีผู้ชายที่มีอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศประมาณ 322 ล้านคน
       
       อนึ่งระดับการแข็งตัวของอวัยวะเพศชาย สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 เกรด ดังนี้ เกรด 1 (EHS 1) คือ การที่อวัยวะเพศตื่นตัว ขยายขนาดพองขึ้นแต่ไม่แข็ง เกรด 2 (EHS 2) คือ การที่อวัยวะเพศแข็งตัว แต่ไม่เพียงพอที่จะสอดใส่เพื่อมีเพศสัมพันธ์เกรด 3 (EHS 3) คือ การที่อวัยวะเพศแข้งตัวไม่เต็มที่ แต่เพียงพอที่จะสอดใส่ได้  เกรด 4 (EHS 4) คือ การที่อวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่ ทำให้สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้อย่างมีความสุขทั้งสองฝ่าย

ASTVผู้จัดการออนไลน์    24 พฤศจิกายน 2554

6777
 สธ.ตั้งศูนย์เยียวยาใจผู้ประสบภัยประจำตำบลหลังน้ำลด หลังพบพิษน้ำท่วม ทำซึมเศร้า กว่า 8,000 ราย เสี่ยงฆ่าตัวตาย 1,521 ราย
       
       นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมด้วย นพ.ทวี ตั้งเสรี รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต ตรวจเยี่ยมผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่วัดบ้านท่ากลาง ต.เจ้าท่า อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งขณะนี้ระดับน้ำลดลงทั้งหมด อยู่ระหว่างการฟื้นฟูให้กลับมาสู่ภาวะปกติ โดยได้เยี่ยมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่และมอบยาชุดน้ำท่วม จำนวน 1,000 ชุดให้แก่ผู้ประสบภัย เพื่อใช้ดูแลการเจ็บป่วยเบื้องต้นภายในครัวเรือน
       
       รมช.สธ.กล่าวต่อว่า สถานการณ์น้ำท่วมขณะนี้ พื้นที่ส่วนใหญ่กว่า 70% ระดับน้ำลดลง ยังเหลืออีก 17จังหวัดรวมทั้ง กทม.ที่ยังคงมีน้ำท่วม แต่แนวโน้มน้ำลดลงเรื่อยๆ โดยหลังน้ำลด สธ.ได้เตรียมแผนฟื้นฟูไว้ทั้งหมดแล้ว และเริ่มทยอยไปหลายพื้นที่ เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยประชาชน ป้องกันไม่ให้มีโรคระบาด และป้องกันปัญหาการฆ่าตัวตายหลังเกิดปัญหาน้ำท่วม
       
       โดยดำเนินการทุกตำบลเป็นมาตรฐานเดียวกันใน 5 เรื่อง ได้แก่ 1.การบริการรักษาพยาบาล 2.การเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรค 3.การบริการฟื้นฟูสุขภาพจิต 4.การจัดการด้านสุขาภิบาลให้สะอาด ปราศจากขยะ สิ่งปฏิกูล น้ำเน่าเสีย และ 5.การคุ้มครองผู้บริโภค ควบคุมความปลอดภัยอาหารและน้ำดื่ม น้ำแข็ง
       
       สำหรับการดูแลสุขภาพจิตผู้ประสบภัยจะต้องเร่งสลายความเครียดที่เกิดขึ้น ป้องกันไม่ให้สะสมจนป่วยเป็นโรคทางจิต ที่รุนแรงน่าห่วงที่สุดคือการฆ่าตัวตาย ตามแผนการฟื้นฟูสุขด้านจิตใจ
       
       กระทรวงฯ จะจัดตั้งศูนย์เยียวยาประจำตำบลขึ้น โดยให้เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.)และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) มาดำเนินการช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจ โดยทำร่วมไปกับปัญหาสุขภาพทางกาย โดยได้ตั้งงบประมาณดำเนินการไว้ทั้งหมด 72 ล้านกว่าบาท ขณะนี้ได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว 34 ล้านกว่าบาท อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาการเยียวยาอีกประมาณ 38 ล้านบาท
       
       นายต่อพงษ์กล่าวต่อว่า ผลการตรวจประเมินสุขภาพจิตหลังน้ำท่วมใน 64 จังหวัด พบผู้ประสบภัยมีความเครียดสูง 6,956 ราย มีอาการซึมเศร้า เบื่อหน่ายกว่า 8,000 ราย เสี่ยงฆ่าตัวตาย 1,521 ราย และต้องติดตามดูแลเป็นพิเศษ 2,457 ราย จนถึงขณะนี้มีผู้ประสบภัยที่ต้องรักษาด้วยยาคลายเครียดจำนวน 7,282 ราย โดยกระทรวงสาธารณสุขจะติดตามประเมินผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตอย่างต่อเนื่องทุก 3 เดือน 6 เดือน จนกว่าจะปกติ
       
       นพ.ทวี ตั้งเสรี รองอธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าวว่า โดยทั่วไปปัญหาสุขภาพจิต เช่น นอนไม่หลับ ซึมเศร้า วิตกกังวล หรือการฆ่าตัวตาย เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่ผู้ประสบภัยจะมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดปัญหาเนื่องจากตกอยู่ในภาวะเครียดและวิตกกังวลต่ออนาคตข้างหน้า อาการหรือความผิดปกติที่เป็นสัญญาณเตือนว่าผู้ประสบภัยกำลังประสบปัญหาสุขภาพจิต จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือเบื้องต้น ได้แก่ 1.อาการนอนไม่หลับ 2.อาการเครียดและวิตกกังวลบ่อยๆ 3.บ่นท้อแท้ แยกตัว 4.หงุดหงิดง่าย 5.มีการใช้สารเสพติดหรือใช้เพิ่มขึ้นจากที่เคยใช้ในช่วงปกติ หากพบว่ามีผู้ประสบภัยมีอาการที่กล่าวมา ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขหรืออสม.ที่อยู่ในหมู่บ้าน เพื่อให้ได้รับการช่วยเหลือที่เหมาะสมต่อไป

ASTVผู้จัดการออนไลน์    24 พฤศจิกายน 2554

6778
คณะทันต​แพทย์ ม.อ. ร่วมมือ​เทศบาลนครหาด​ใหญ่ จัดอบรม​ผู้ประกอบ​การ​ให้​ความรู้ปรับปรุงสระว่ายน้ำ ลดอา​การฟันกร่อนจาก​การว่ายน้ำ หลังสำรวจพบ ค่า pH ​ในน้ำต่ำกว่ามาตรฐาน ​ทำ​ให้น้ำ​ในสระมีค่า​ความ​เป็นกรดสูง ส่งผล​ผู้​ใช้บริ​การมี​ความ​เสี่ยงต่อภาวะฟันกร่อน

ศาสตราจารย์​เกียรติคุณ ทพญ.พจนรรถ ​เบญจกุล ภาควิชาทันตกรรมประดิษฐ์ คณะทันต​แพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) ​เปิด​เผยว่า คณะทันต​แพทยศาสตร์ ม.อ. ร่วมกับ​เทศบาลนครหาด​ใหญ่ ​ทำ​การสำรวจผลกระทบจาก​การสึกกร่อนของฟันจาก​การว่ายน้ำ​ในสระน้ำ ​โดย​การศึกษาระยะ​แรก​ได้สุ่ม​เ​ก็บตัวอย่างน้ำ​ในสระว่ายน้ำ​ในอำ​เภอหาด​ใหญ่​โดย​ไม่​แจ้ง​ผู้ประกอบ​การล่วงหน้า พบว่า ร้อยละ 80 ของสระว่ายน้ำมีค่า pH ต่ำกว่า 5.5 ​หรือมีค่า​ความ​เป็นกรดสูง ​ซึ่งค่า pH ดังกล่าวมีผล​ทำ​ให้ฟันกร่อน​ได้ภาย​ใน​เวลา 2 ชั่ว​โมง

อย่าง​ไร​ก็ตาม ทีมวิจัย​ได้​ทำสำรวจอีกครั้ง ​โดยครั้งนี้​ได้​แจ้ง​เตือน​ให้กับ​ผู้ประกอบ​การ​ได้รับทราบล่วงหน้า ​ซึ่งผลทดสอบกลับพบว่า ​ผู้ประกอบ​การมี​การ​เติมสาร​เคมี​ในสระว่ายน้ำ​เพิ่ม ​เนื่องจากมี​ความ​เข้า​ใจว่า ​การสำรวจครั้งนี้ ​เป็น​การวัดคุณภาพน้ำ ส่งผล​ให้น้ำ​ในสระว่ายน้ำส่วน​ใหญ่มีค่า​ความ​เป็นกรด​เพิ่มขึ้นอีก

“ค่า​ความ​เป็นกรด​เป็นด่างที่มี​ความปลอดภัย​ได้มาตรฐาน​การ​ใช้บริ​การ จะต้องมีค่า pH อยู่ที่ 7-8 คือมีค่า​ความ​เป็นกลาง ​หรือค่อน​ไปทาง​ความ​เป็นด่าง​เล็กน้อย ​ซึ่ง​ผู้​ใช้บริ​การสามารถตรวจสอบคุณภาพน้ำ​ได้ด้วยตัว​เอง หาก​เกิดอา​การ​แสบตา ตา​แดง​หรือระคาย​เคืองตา สันนิษฐาน​ใน​เบื้องต้น​ได้ว่า น้ำมีค่า​ความ​เป็นกรดสูง​เกิน​ไป ​แต่หากพบว่าขณะว่ายน้ำ​แล้วผิวลื่น สันนิษฐาน​ได้ว่าน้ำมีค่า​ความ​เป็นด่างสูง​เกิน​ไป” ศาสตราจารย์​เกียรติคุณ ทพญ.พจนรรถ กล่าว

สำหรับภาวะฟันกร่อน​ใน​ผู้​ใช้บริ​การสระว่ายน้ำ ส่วน​ใหญ่มัก​เกิด​การกร่อนบริ​เวณฟันหน้า ​เนื่องจาก​เป็นบริ​เวณที่สัมผัสกับน้ำมากที่สุด ​ซึ่ง​ผู้ที่มีภาวะฟันกร่อนจะมีอา​การ​เสียวฟัน​และฟันมีสี​เหลือง​เข้ม จากชั้น​เคลือบฟันถูกกัดกร่อน​ให้บางลงจน​เห็น​เนื้อฟัน อย่าง​ไร​ก็ตาม ​การป้องกันภาวะฟันกร่อนสามารถ​ทำ​ได้​โดย​การอมน้ำยาฟลูออ​ไรด์ ​แต่กรณีที่มีปัญหารุน​แรง สามารถพบ​แพทย์​ทำ​การรักษาด้วยวิธี​เคลือบฟัน​หรือครอบฟัน​ได้

ศาสตราจารย์​เกียรติคุณ ทพญ.พจนรรถ กล่าวว่า จาก​การสำรวจดังกล่าว คณะทันต​แพทยศาสตร์ ม.อ.​จึงร่วมกับนคร​เทศบาลหาด​ใหญ่ จัดอบรม​ให้ข้อมูล​แก่​ผู้ประกอบ​การ​ใน​การดู​แลปรับปรุงสระว่ายน้ำ​ได้​ให้มาตรฐาน ​เพื่อลดสา​เหตุ​การ​เกิดฟันกร่อน​ใน​ผู้​ใช้บริ​การ ​ซึ่งพบว่า ​ผู้ประกอบ​การพร้อม​ให้​ความร่วมมือ​เป็นอย่างดี ​เพื่อสร้าง​ความมั่น​ใจกับ​ผู้​ใช้บริ​การ​ได้​เชื่อมั่น​ถึงมาตรฐาน​ความปลอดภัยจาก​การ​ให้บริ​การที่ดีขึ้น

ThaiPR.net -- พุธที่ 23 พฤศจิกายน 2554

6779
สกอ.ชง 2 บัญชีสนองเงินเดือนขั้นต่ำ 15,000 บาท-ขั้นสูงรั้วอุดม “วรวัจน์” รอดู ก.พ.ก่อนชี้ขาด...

นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยความคืบหน้าการจัดทำร่างบัญชีเงินเดือนขั้นต่ำขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ว่า ทางสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ได้จัดทำร่างบัญชีดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว และได้นำเสนอต่อคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาแล้ว โดยได้จัดทำข้อเสนอมาเป็น 2 บัญชี ดังนั้น ตนจึงขอให้รอดูบัญชีเงินเดือนข้าราชการพลเรือน ของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนก่อน จึงจะมาพิจารณาว่าจะเห็นชอบให้ใช้บัญชีที่ 1 หรือบัญชีที่ 2

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวอีกว่า สำหรับร่างบัญชีที่ 1 มีดังนี้
ข้าราชการทั่วไป
ตำแหน่งปฏิบัติงาน ขั้นต่ำ 6,550 บาท ขั้นสูง 19,100 บาท
ชำนาญงาน ขั้นต่ำ 10,920 บาท ขั้นสูง 35,220 บาท
ชำนาญงานพิเศษ ขั้นต่ำ 16,680 บาท ขั้นสูง 49,830 บาท

วิชาชีพเฉพาะหรือเชี่ยวชาญเฉพาะ
ระดับปฏิบัติการ ขั้นต่ำ 11,680 บาท ขั้นสูง 28,230 บาท
ชำนาญการ ขั้นต่ำชั่วคราว 13,160 บาท ขั้นต่ำ 17,460 บาท ขั้นสูง 39,630 บาท
ชำนาญการพิเศษ ขั้นต่ำชั่วคราว 19,860 บาท ขั้นต่ำ 24,150 บาท ขั้นสูง 53,080 บาท
เชี่ยวชาญ ขั้นต่ำชั่วคราว 24,400 บาท ขั้นต่ำ 31,400 บาท ขั้นสูง 63,230 บาท
เชี่ยวชาญพิเศษ ขั้นต่ำชั่วคราว 29,980 บาท ขั้นต่ำ 43,810 บาท ขั้นสูง 69,240 บาท

ผู้บริหาร
ระดับ ผอ.กอง ขั้นต่ำชั่วคราว 19,860 บาท ขั้นต่ำ 26,700 บาท ขั้นสูง 55,500 บาท
ผอ.สำนักงาน ขั้นต่ำชั่วคราว 24,400 บาท ขั้นต่ำ 32,970 บาท ขั้นสูง 65,430 บาท

วิชาการ
ตำแหน่งอาจารย์ ขั้นต่ำ 11,680 บาท ขั้นสูง 39,630 บาท ผศ. ขั้นสูง 55,500 บาท รศ.ขั้นสูง 65,430 บาท ศ. ขั้นสูง 70,570 บาท สูงสุด 75,380 บาท

สำหรับร่างบัญชีที่ 2 มีดังนี้
ข้าราชการทั่วไป
ตำแหน่งปฏิบัติงาน ขั้นต่ำ 8,220 บาท ขั้นสูง 19,100 บาท
ชำนาญงาน ขั้นต่ำ 11,650 บาท ขั้นสูง 35,220 บาท
ชำนาญงานพิเศษ ขั้นต่ำ 16,990 บาท ขั้นสูง 49,830 บาท

วิชาชีพเฉพาะหรือเชี่ยวชาญเฉพาะ
ระดับปฏิบัติการ ขั้นต่ำ 15,000 บาท ขั้นสูง 32,000 บาท
ชำนาญการ ขั้นต่ำชั่วคราว 13,160 บาท ขั้นต่ำ 19,870 บาท ขั้นสูง 39,630 บาท
ชำนาญการพิเศษ ขั้นต่ำชั่วคราว 19,860 บาท ขั้นต่ำ 26,160 บาท ขั้นสูง 53,080 บาท
เชี่ยวชาญ ขั้นต่ำชั่วคราว 24,400 บาท ขั้นต่ำ 31,400 บาท ขั้นสูง 63,700 บาท
เชี่ยวชาญพิเศษ ขั้นต่ำชั่วคราว 29,980 บาท ขั้นต่ำ 43,810 บาท ขั้นสูง 70,900 บาท

ผู้บริหาร
ระดับ ผอ.กอง ขั้นต่ำชั่วคราว 19,860 บาท ขั้นต่ำ 26,700 บาท ขั้นสูง 56,910 บาท
ผอ.สำนักงาน ขั้นต่ำชั่วคราว 24,400 บาท ขั้นต่ำ 32,970 บาท ขั้นสูง 66,890 บาท

วิชาการ
ตำแหน่งอาจารย์ ขั้นต่ำ 15,000 บาท ขั้นสูง 39,630 บาท ผศ. ขั้นสูง 56,910 บาท รศ.ขั้นสูง 66,890 บาท ศ. ขั้นสูง 73,580 บาท สูงสุด 80,940 บาท.

ไทยรัฐออนไลน์ 24 พย 2554

6780
ข้าราชการ ลูกจ้าง เจ้าหน้าที่ รพ.พระนั่งเกล้า รวมตัวขับไล่ "นพ.ธวัชชัย วงศ์คงสวัสดิ์" ผอ.รพ.พระนั่งเกล้า ให้พ้นสภาพ เหตุละเลยการให้ความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ที่ประสบภัยน้ำท่วม...

เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 54 นพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ รองประธานสหพันธ์ผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์และสาธารณสุขแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากการที่ นพ.ธวัชชัย วงศ์คงสวัสดิ์ ผู้อำนวยการ รพ.พระนั่งเกล้า ได้ละเลยต่อการทำหน้าที่ผู้บริหารในฐานะผู้บังคับบัญชา ในภาวะที่เกิดวิกฤติอุทกภัยพื้นที่หลายจังหวัด โดยเฉพาะในเขต จ.นนทบุรี ซึ่งข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงานส่วนใหญ่ของโรงพยาบาลอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีน้ำท่วมเข้าขั้นวิกฤติ เช่น น้ำเข้าบ้านประมาณ 1-1.5 เมตร ถูกน้ำปิดกั้นทางเข้า-ออกของบ้าน ทำให้ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ ทั้งนี้ ข้าราชการและลูกจ้าง แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ที่ประสบภัยพร้อมครอบครัวได้เข้ามาอาศัยพักพิงในโรงพยาบาล ซึ่งเป็นนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข ที่ประกาศว่าจะให้การดูแลเจ้าหน้าที่อย่างเต็มที่ แต่ปรากฏว่า กว่า 1 เดือน ที่มีการเข้ามาอาศัยพักพิงใน รพ.พระนั่งเกล้า ข้าราชการและลูกจ้างต้องเรี่ยไรเงินกันเองเพื่อซื้อเต็นท์ มุ้ง หรือแม้แต่อาหารและน้ำดื่มมาประทังชีวิตในยามประสบภัย โดยไม่ได้รับการเหลียวแลจาก ผอ.รพ. เลยแม้แต่น้อย

"จากสภาพการณ์ดังกล่าว ซึ่งข้าราชการและลูกจ้างที่ประสบภัยส่วนใหญ่มีรายได้น้อย ประสบความเดือดร้อนมาก จึงได้มีการร้องเรียนผ่านสื่อมวลชน ทำให้เมื่อวันที่ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา ผอ.รพ.พระนั่งเกล้า ได้เรียกประชุมและนำข้าวสารบริจาคจากสภากาชาดไทยมามอบให้ พร้อมประกาศว่าจะสนับสนุนงบประมาณเพื่อช่วยเหลือ ซึ่งบรรดาข้าราชการและลูกจ้างเห็นว่าการกระทำดังกล่าว เป็นการทำเพื่อแก้ตัว หรือต้องการพ้นจากความผิดเท่านั้น แต่ไม่ได้มีความจริงใจในการแก้ปัญหา ดังนั้น ในวันที่ 25 พ.ย.นี้ เวลา 13.00 น. ข้าราชการ ลูกจ้าง เจ้าหน้าที่ รพ.พระนั่งเกล้า จำนวนกว่า 200 คน จึงได้เข้าชื่อและจะรวมตัวกันเพื่อประท้วงขับไล่นพ.ธวัชชัย เนื่องจากไม่มีความชอบธรรมในการดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลอีกต่อไป ทั้งนี้ ขอเรียกร้องให้ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขตั้งแต่รัฐมนตรี ได้เข้ามาจัดการปัญหานี้ เพราะคนส่วนใหญ่ใน รพ.พระนั่งเกล้า ไม่ต้องการ ผอ.คนนี้ ให้ดำรงตำแหน่งอีกต่อไป" นพ.ฐาปนวงศ์ กล่าว.

ไทยรัฐออนไลน์ 24 พย 2554

หน้า: 1 ... 450 451 [452] 453 454 ... 535