ผู้เขียน หัวข้อ: จำคุก 4 ปีครึ่ง “เปมิกา” ฉ้อโกง “หมอเผ่า” 9 ล้าน!  (อ่าน 1364 ครั้ง)

seeat

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 470
    • ดูรายละเอียด
ศาลพิพากษาจำคุก “เปมิกา” ฉ้อโกง “หมอเผ่า” มูลค่ากว่า 9 ล้าน เป็นเวลา 54 เดือน ส่วนพวกอีก 3 ศาลชี้ประกอบอาชีพการงานมั่นคง ไม่เคยต้องโทษอาญามาก่อน พฤติการณ์เป็นเพียงผู้สนับสนุนโทษจำคุก จึงให้รอลงอาญาไว้กระทงละ 2 ปี
       
       วันนี้ (26 ต.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 902 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาในคดีดำที่ อ.4543/2550 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 และ รศ.เพลินจิต ทมทิตชงค์ มารดา ของ นพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ ผู้เสียหายที่ 1 เจ้าของสถาบันกวดวิชาแอพพลายด์ ฟิสิกส์ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นางสาวเปมิกา หรือ ศิวพร หรือ สิริรัษสิริ หรือ อุ๋ย วีรชัชรักษิต หรือ เหลืองเรณูกุล อายุ 28 ปี, นางสาวฤทัย หรือ แนน รุ่งสิริเมธากุล อายุ 26 ปี, นายณัฐพล หรือ ภาสยภูริณฐ์ หรือ ตั้ม พรมประไพ อายุ 31 ปี, นายวทัญญู หรือ ปุ้ย ตันธีระพงศ์ อายุ 30 ปี ซึ่งเป็นเพื่อนนักศึกษา น.ส.เปมิกา ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐาน ร่วมกันฉ้อโกงโดยอาศัยความอ่อนแอแห่งจิตของผู้ถูกหลอกลวง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 342, 83, 81 โดยฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 20 ส.ค.50 ระบุความผิดสรุปว่า
       
       เมื่อเดือน ต.ค.49 - ก.พ.50 นพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งมีความอ่อนแอแห่งจิต มีความผิดปกติทางด้านภาวะจิตใจ เป็นโรคจิตอารมณ์แปรปรวน มีความหลงผิดแยกไม่ได้ว่าข้อมูลใดเป็นจริงข้อมูลใดเป็นเท็จ ขาดความยับยั้งชั่งใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีผู้อื่นชักจูง ได้หลงเชื่อตามคำหลอกลวง และการสร้างสถานการณ์ของจำเลยทั้งสี่ โดยเข้าใจว่า ตนเองสามารถนั่งสมาธิจนสำเร็จญาณขั้นสูง สามารถระลึกชาติ ถอดจิตได้ มีอำนาจจิตที่บุคคลธรรมดาไม่สามารถจะทำได้ และยังเชื่อว่า จำเลยที่ 1 มีความสามารถนั่งสมาธิจนสามารถเข้าสู่ฌาน และสามารถระลึกชาติได้เช่นกัน โดยพวกจำเลยได้ร่วมกันสร้างสถานการณ์หลอกลวงผู้เสียหายให้เข้าใจว่า จำเลยที่ 1 และผู้เสียหายที่ 1 เคยเป็นสามีภรรยากันมาก่อน 99 ภพชาติที่ผ่านมามี หนี้กรรมต้องชดใช้ในชาตินี้ จึงขอให้ผู้เสียหายซื้อรถยนต์โตโยต้าคัมรี่ สีดำ มูลค่า 1,569,000 บาท ให้จำเลยที่ 1 และมอบเงินจำนวน 980,000 บาท เพื่อซื้อแผ่นป้ายทะเบียน สห-9999 รวมทั้งซื้อนาฬิกาโรเล็กซ์ และทรัพย์สินอื่นรวม 10 รายการ มูลค่า 9,658,000 บาท เหตุเกิดที่แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน, แขวงพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร, ตำบลงามวงศ์วาน อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี, ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม เกี่ยวพันกัน โดยจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ
       
       ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่ทั้งสองฝ่ายนำสืบแล้วเห็นว่า โจทก์มีโจทก์ร่วม, ผู้เสียหายที่ 1, นางอลิสา ทมทิตชงค์ ภรรยา นพ.ประกิตเผ่า ผู้เสียหายที่ 2 มาเบิกความถึงการเปลี่ยนแปลงของ นพ.ประกิตเผ่า ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตหมกมุ่นนั่งสมาธิและถอนจิตไปยังสถานที่ ต่างๆ ได้ จนคิดว่า ตนเป็นผู้มีอำนาจวิเศษบรรลุโสดาบัน เคยเป็นขุนศึกของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และมีอาการหวาดระแวง ว่า จะมีผู้อื่นมาทำร้ายจนมารดา และพี่ชาย เกรงว่า จะเกิดอันตราย จึงต้องวางแผนนำ นพ.ประกิตเผ่า ผู้เสียหายที่ 1 เข้ารักษาที่ รพ.ศรีธัญญา อันเกิดจากการที่จำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันสร้างสถานการณ์จนได้ทรัพย์สินไปมูลค่า 9 ล้านบาทเศษ ซึ่งทรัพย์สินดังกล่าวเป็นรายได้ส่วนกลางของครอบครัวที่ได้มาจากสถาบันกวด วิชา นอกจากนี้ โจทก์ยังมีแพยท์จากสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ ผู้ให้การรักษา เบิกความสอดคล้องกับพยานข้างต้น ว่า ได้เริ่มรักษา นพ.ประกิตเผ่า ผู้เสียหายที่ 1 ตั้งแต่เดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2550 โดยมีคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญตรวจพบว่าเป็นโรคอารมณ์ 2 ขั้ว คิดว่า ตัวเองเป็นผู้วิเศษ ถ้าได้รับการกระตุ้นจากภายนอกแล้วเกิดอาการคลุ้มคลั่งก็จะกลายเป็นโรคจิต ซึ่งศาลเห็นว่า พยานโจทก์ซึ่งเป็นญาติใกล้ชิดจะสังเกตอาการผิดปกติได้ดี และอาการดังกล่าวมีผลกระทบต่อชื่อเสียงและหน้าที่การงาน หากผู้เสียหายที่ 1 ไม่มีอาการดังกล่าว ก็ไม่น่าจะมาเบิกความทำให้เสื่อมเสีย ส่วนพยานที่เป็นแพทย์ก็ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับคู่ความ และไม่มีเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน เชื่อว่า เบิกความไปตามขั้นตอนการรักษา จึงไม่น่าเชื่อว่าพยานโจทก์จะเบิกความเพื่อปรักปรำจำเลย
       
       ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่า หลังจากจำเลยทั้ง 4 ได้รู้จัก และทราบว่า ผู้เสียหายที่ 1 มีความเชื่อในพุทธศาสนา จึงร่วมกันสร้างเรื่องให้ผู้เสียหายที่ 1 เชื่อว่า เป็นผู้วิเศษ เป็นขุนศึกพระนเรศวร อดีตชาติเคยเป็นสามีภรรยา 99 ภพ ผู้เสียหายที่ 1 เคยเผาบ้านของจำเลยที่ 1 มีภาระที่จะต้องชดใช้ทรัพย์สินคืนเพื่อให้บรรลุโสดาบัน และผู้เสียหายที่ 1 กำลังถูกปองร้ายจึงต้องจ้างผู้มารักษาความปลอดภัย ส่วนที่จำเลยที่ 1 อ้างว่า ไม่เคยสร้างสถานการณ์เพื่อหลอกลวงเอาทรัพย์สิน ที่ผู้เสียหายที่ 1 มอบให้นั้นมอบให้ด้วยความเสน่หาในลักษณะชู้สาวที่พัฒนามาจากความรักนั้น หากเป็นเรื่องจริงจำเลยที่ 1 น่าจะมีพยานหลักฐานมายืนยัน เห็นว่า เป็นการเบิกความลอยๆ ซึ่งจำเลยทั้ง 4 เป็นผู้ที่มีการศึกษาสูงน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเรื่องราว หรือเหตุการณ์ต่างๆ นั้นไม่มีอยู่จริง จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานหลอกลวงด้วยข้อความอันเป็นเท็จเพื่อเอาทรัพย์สินผู้อื่น
       
       ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยที่ 1 ได้ทรัพย์สินไปมากน้อยเพียงใด เห็นว่า จากการหลอกลวงของจำเลยที่ 1 ทำให้ได้ทรัพย์สินของผู้เสียหายที่ 1 รวม 7 รายการ คือ ให้ผู้เสียหายที่ 1 เบิกเงินในบัญชีธนาคาร ซึ่งเป็นเงินที่มาจากรายได้ของครอบครัว จำนวน 1,560,000 บาท ซื้อรถยนต์คัมรี่ และจำนวน 980,000 บาท ซื้อป้ายทะเบียนเลขสวย 2.นาฬิกาข้อมือยี่ห้อโรเล็กซ์ มูลค่า 245,000 บาท 3. แหวนเพชร มูลค่า 145,000 บาท 4.อาวุธปืน 2 กระบอก ที่ซื้อให้จำเลยที่ 1 ป้องกันตัวโดยมอบให้จำเลยที่ 3 และ 4 ไว้ รวมเป็นเงิน 130,000 บาท 5.ค่าเช่าคอนโดมิเนียมโนเบิลไลฟ์ที่เช่าให้จำเลยที่ 1 พักอาศัย เนื่องจากถูกหลอกว่าเมื่อชาติที่แล้วผู้เสียหายที่ 1 ได้เผาบ้านจำเลยที่ 1 ไป มูลค่า 150,000 บาท 6.เงินมัดจำซื้อบ้านโครงการ มูลค่า 250,000 บาท และ 7.เงิน จำนวน 4,568,000 บาท ที่นำไปซื้อแคชเชียร์เช็ค จำนวน 33 ฉบับ โดยจำเลยที่ 1 นำไปเข้าบัญชีตัวเองและชำระหนี้ให้มารดา
       
       ส่วนทรัพย์สินอีก 3 รายการ ประกอบด้วย สร้อยคอและพระเลี่ยมทอง, ค่าย้ายคณะของจำเลยที่ 1 จากคณะอักษรศาสตร์ ไปคณะจิตวิทยา และค่าเช่าคอนโดผู้รักษาความปลอดภัย นั้น โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอ ดังนั้น จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานฉ้อโกงและพยายามฉ้อโกง ม.341 ประกอบ ม.30 แต่ไม่ผิดฐานฉ้อโกงโดยอาศัยความอ่อนแอเพราะผู้เสียหายที่ 1 ไม่ได้มีอาการผิดปกติมาตั้งแต่ต้น แต่เป็นการหลอกลวงโดยการสร้างสถานการณ์
       
       ส่วนจำเลยที่ 2-4 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำผิดหรือไม่เห็นว่าจากพยานหลักฐานที่นำสืบไม่ได้แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2-4 ได้รับทรัพย์สินจากจำเลยที่ 1 ซึ่งได้รับจากผู้เสียหายที่ 1 แต่อย่างใด พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2-4 เป็นการร่วมการอาศัยความเชื่อสร้างสถานการณ์ทำให้ผู้เสียหายที่ 1 หลงเชื่อ จึงเป็นการช่วยเหลือให้ความสะดวก ไม่ใช่การแบ่งหน้าที่กันทำเสมือนเป็นตัวการร่วม จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานฉ้อโกงและพยายามฉ้อโกง ตาม ม.341 ประกอบ ม.30, 80, 86 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมให้เรียงกระทงลงโทษ พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ฐานฉ้อโกง 7 กระทงๆละ 6 เดือน ฐานพยายามฉ้อโกง 3 กระทงๆละ 4 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 54 เดือน ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2-4 ฐานสนับสนุนให้ฉ้อโกง 7 กระทงๆ ละ 4 เดือน ปรับกระทงละ 3,000 บาท ฐานสนับสนุนให้ผู้อื่นพยายามฉ้อโกง 3 กระทงๆ ละ 2 เดือน 20 วัน ปรับกระทงละ 2,000 บาท รวมจำคุกจำเลยที่ 2-4 เป็นเวลาคนละ 34 เดือน 60 วัน ปรับคนละ 27,000 บาท แต่จำเลยที่ 2-4 ประกอบอาชีพการงานมั่นคงและไม่เคยต้องโทษอาญามาก่อน พฤติการณ์เป็นเพียงผู้สนับสนุนโทษจำคุก จึงให้รอลงอาญาไว้กระทงละ 2 ปี และให้จำเลยที่ 1-4 ร่วมกันคืนทรัพย์สินจำนวน 8,035,387 บาท คืนให้กับโจทก์ร่วมและผู้เสียหาย
       
       ภายหลังญาติน.ส.เปมิกา ได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดินย่านพญาไท ราคาประเมิน 2,655,000 บาท เพื่อขอประกันน.ส.เปมิกา ต่อมาศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ประกันตัวระหว่างอุทธรณ์ โดยตีราคาหลักทรัพย์ประกันตัว 1 ล้านบาท

ผู้จัดการ 26 ตุลาคม 2553