4. ศาล พิพากษาจำคุก พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ คดีฟอกเงิน-บ่อนพนัน-ส่วยน้ำมันเถื่อน 10 ปี ด้าน ปปง.เตรียมนำทรัพย์สินที่ยึดไว้ขายทอดตลาด!
เมื่อวันที่ 17 ก.พ. ศาลอาญาได้นัดสอบคำให้การจำเลยคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 3 เป็นโจทก์ฟ้อง พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(ผบช.ก.) ,พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ อดีต ผบช.ก. ,พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน อดีตผู้บังคับการตำรวจน้ำ ,นายชอบ ชินนะประภา ,นางปิยพรรณ ชินนะประภา น้องเขยและน้องสาว พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ,นายเริงศักดิ์ ศักดิ์ณรงค์เดช และนางสวงค์ มุ่งเที่ยง สองสามีภรรยา เป็นจำเลยที่ 1-7 ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราปปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3,5 ,7 ,60 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และ 91
คดีนี้ โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 16 ก.พ. ที่ผ่านมา สรุปว่า จำเลยได้ร่วมกันทำผิดกฎหมายหลายกรรมต่างกัน โดยร่วมกันเรียกรับเงินจากผู้กระทำผิดการพนันออนไลน์(อาบูบาก้า) ร่วมกับผู้อื่นเปิดบ่อนการพนันโคลอนเซ่ ย่านพระราม 9 ร่วมกันเรียกรับเงินจากการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจในสังกัด บช.ก. ร่วมกันเรียกรับเงินส่วยน้ำมันเถื่อนจากผู้ลักลอบค้าน้ำมันกลางทะเลในภาคใต้ จากนั้นจำเลยได้ฟอกเงินที่ได้จากการกระทำผิด ด้วยการนำไปแปลงเป็นทรัพย์สินต่างๆ
ทั้งนี้ หลังศาลสอบคำให้การจำเลยว่าจะรับสารภาพหรือปฏิเสธ ปรากฏว่า จำเลยทั้งเจ็ดรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ไม่ขอต่อสู้คดี โดย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ แถลงต่อศาลว่า จำเลยทุกคนยอมสารภาพผิด และว่า ขณะเกิดเหตุ ตนเป็นผู้สั่งการให้จำเลยอื่นๆ ปฏิบัติตามคำสั่งทุกประการ เนื่องจากตนเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ มีความน่าเคารพ น่าเชื่อถือ จึงขอให้ศาลเมตตาพวกจำเลยคนอื่นๆ ด้วย
ด้านศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยทั้งหมดกระทำผิดจริง โดย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ จำเลยที่ 1 กระทำผิดรวม 2 กระทง จำคุกกระทงละ 10 ปี รวมจำคุก 20 ปี ส่วนจำเลยที่ 2 ,4 ,5 ,6 และ 7 จำคุกคนละ 10 ปี สำหรับจำเลยที่ 3 พล.ต.ต.บุญสืบ จำคุก 3 ปี อย่างไรก็ตาม จำเลยทั้งหมดรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ 10 ปี ส่วนจำเลยที่ 2 ,4 ,5 ,6 และ 7 เหลือจำคุกคนละ 5 ปี สำหรับ พล.ต.ต.บุญสืบ คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน
สำหรับคดีนี้ นับเป็นคดีที่ 3 แล้วที่ศาลมีคำพิพากษา รวมโทษจำคุก พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ทั้ง 3 คดี 16 ปี 9 เดือน
ส่วนความคืบหน้ากรณียึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับคดี พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์นั้น เมื่อวันที่ 16 ก.พ. พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) ได้แถลงเตรียมนำทรัพย์สินที่ยึดและอายัดได้จากเครือข่ายของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ มาขายทอดตลาด โดยจะจัดงานมหกรรมขายทอดตลาด ตัดวงจรฟอกเงิน นำเงินคืนสู่แผ่นดิน จำนวนกว่า 20,000 ชิ้น มูลค่ากว่า 50 ล้านบาท ซึ่งเบื้องต้นจะจัดงานขายทอดตลาด 2 ครั้ง ครั้งแรก วันที่ 5-8 มี.ค. ครั้งที่ 2 วันที่ 23-26 มี.ค. ทรัพย์สินที่จะขายทอดตลาด แบ่งเป็น 5 ประเภท คือ 1.ภาพวาดของศิลปินที่มีชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศ 2.ชุดถ้วยชาม เครื่องเงิน เครื่องแก้ว ที่มีคุณค่า 3.เฟอร์นิเจอร์ที่ผลิตจากไม้ที่มีมูลค่าสูง 4.ประติมากรรม วัตถุโบราณ ศิลปะโบราณ พระพุทธรูปสมัยโบราณ 5.อื่นๆ เช่น นาฬิกาข้อมือ Rolex เป็นต้น
5. ศาลฎีกา พิพากษาให้ กทม.ชดใช้ค่าเสียหายญาติผู้เสียชีวิตกรณีโป๊ะพรานนกล่มปี 38 เป็นเงิน 12.6 ล้าน!
เมื่อวันที่ 18 ก.พ. ศาลแพ่งได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีที่นางไสว ภู่สุวรรณ์ หรือวุฒิสาหะ มารดาของ น.ส.รัชนี ภู่สุวรรณ์ ญาติของผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์โป๊ะเทียบเรือท่าพรานนกล่ม ขณะรอลงเรือด่วนเจ้าพระยาเมื่อวันที่ 14 มิ.ย.2538 พร้อมพวกรวม 12 คน ร่วมกันเป็นโจท์ฟ้องบริษัท สุภัทรา จำกัด ,บริษัท เรือด่วนเจ้าพระยา จำกัด ,กรุงเทพมหานคร(กทม.) และกรมเจ้าท่า เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานละเมิด เนื่องจากเหตุเกิดจากความประมาทและการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยทั้งสี่ โดยขอให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย ค่าขาดไร้อุปการะและค่าปลงศพให้แก่โจทก์
สำหรับคดีนี้ โจทก์ได้ขอถอนฟ้องบริษัท สุภัทรา และบริษัท เรือด่วนเจ้าพระยา ในเวลาต่อมา เนื่องจากจำเลยทั้งสองได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์บางส่วนแล้ว ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งอนุญาตให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 และ 2 ออกจากสารบบความ และให้ยกฟ้องกรมเจ้าท่า จำเลยที่ 4 เนื่องจากไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง จึงเหลือเพียงกรุงเทพมหานครที่สู้คดีมาจนถึงชั้นศาลฎีกา
ทั้งนี้ ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า บริษัท สุภัทรา เป็นผู้ก่อสร้างท่าเทียบเรือพรานนกที่เกิดเหตุ ตามแบบแปลนที่ กทม. กำหนด โดยได้รับอนุญาตจากกรมเจ้าท่า และบริษัท สุภัทรา ยกสิ่งก่อสร้างให้เป็นกรรมสิทธิ์ของ กทม. สำหรับท่าเทียบเรือดังกล่าว ก่อนหมดสัญญาเช่าเมื่อวันที่ 31 พ.ค.2538 จะมีช่องเก็บค่าโดยสารและตรวจนับผู้โดยสารที่เรียกว่า ช่องแก๊ก มี 2 ช่อง ซึ่งผู้โดยสารที่จะลงเรือจะต้องผ่านช่องนี้ ส่วนผู้โดยสารที่จะขึ้นจากเรือมาที่ท่าเทียบเรือ จะเดินผ่านประตูตะแกรงเหล็กที่อยู่ระหว่างช่องแก๊กทั้งสอง โดยมีลูกจ้างของบริษัท สุภัทรา เป็นผู้ควบคุมการเลื่อนเปิดปิดประตู แต่เมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดลง จึงได้รื้อถอนประตูและช่องเก็บเงิน เพื่อทำเป็นท่าเทียบเรือสาธารณะตามมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งศาลเห็นว่า ทาง กทม.ทราบดีอยู่แล้วว่า ท่าเทียบเรือที่เกิดเหตุ รับผู้โดยสารได้เพียง 60 คน และมีผู้โดยสารมาใช้บริการเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการรื้อถอนช่องแก๊กและประตูตะแกรงเหล็กออก อาจเกิดอันตรายได้หากประชาชนลงท่าเทียบเรือเกินน้ำหนักที่จะรับได้ แต่จำเลยก็ไม่จัดให้มีมาตรการในการควบคุมดูแลความปลอดภัย เพื่อไม่ให้ผู้โดยสารไปอยู่บนท่าเทียบเรือเกินกว่า 60 คน
กระทั่งวันเกิดเหตุ 14 มิ.ย.2538 มีผู้โดยสารลงไปบนท่าเทียบเรือเกินจำนวนที่จะรับน้ำหนักได้ ประกอบกับมีเรือด่วนแล่นมาเทียบสองลำในเวลาเดียวกัน ทำให้ผู้โดยสารไปออกันที่ริมท่าเทียบเรือจำนวนมาก เป็นเหตุให้ท่าเทียบเรือเอียงและจมลง ซึ่งเป็นผลโดยตรงที่เกิดจากจำเลยที่ 3 สั่งให้จำเลยที่ 1 รื้อถอนช่องแก๊กและประตูตะแกรงเหล็กกันผู้โดยสารออกไป โดยไม่ได้มีมาตรการอื่นเพื่อทดแทน จึงเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงในการป้องกันสาธารณภัยและควบคุมความปลอดภัยสาธารณสถานตามกฎหมาย ถือว่าจำเลยที่ 3 กระทำละเมิดต่อโจทก์
ส่วนที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า มีการติดป้ายประกาศไว้ที่โป๊ะเทียบเรือแล้วว่า รับน้ำหนักได้ไม่เกิน 60 คน การที่ผู้โดยสารลงไปบนท่าเทียบเรือจำนวนมาก ถือว่าผู้โดยสารยอมเสี่ยงอันตรายที่จะเกิดขึ้นเอง จึงเป็นความประมาทของผู้ตายและผู้บาดเจ็บนั้น ศาลเห็นว่า การติดป้ายประกาศไว้เพียงอย่างเดียว ย่อมไม่อาจป้องกันและควบคุมประชาชนจำนวนมากที่ต้องการใช้บริการเรือด่วนไม่ให้ลงไปอยู่บนท่าเทียบเรือได้ จำเลยที่ 3 จึงไม่อาจอ้างการติดป้ายประกาศดังกล่าวมาเป็นข้อแก้ตัวเพื่อให้พ้นความรับผิดได้
ศาลฎีกาจึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้ กทม.ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 1 และ 2 จำนวน 1,165,500 บาท ,ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 3 จำนวน 627,549 บาท ,ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 4 และ 5 จำนวน 1,920,000 บาท ,ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 6 จำนวน 1,200,000 บาท ,ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 7 จำนวน 1,214,000 บาท ,ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 8 จำนวน 2,080,000 บาท ,ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 9 จำนวน 860,000 บาท ,ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 10 จำนวน 698,442 บาท ,ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 11 และ 12 จำนวน 2,850,750 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 12,616,241 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ฟ้องเมื่อปี 2539
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 กุมภาพันธ์ 2558