ผู้เขียน หัวข้อ: "น้องน้ำ"บุคคลแห่งปี 2554  (อ่าน 1267 ครั้ง)

seeat

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 470
    • ดูรายละเอียด
"น้องน้ำ"บุคคลแห่งปี 2554
« เมื่อ: 05 มกราคม 2012, 20:50:17 »
ทุกสิ้นปี"มติชนออนไลน์"จะมีการประชุมจัดลำดับ"บุุคคลแห่งปี"
ปีนี้ก็เช่นเคย
ด้วยความเคารพในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข  เราจึงใช้วิธีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง
เริ่มต้นจากการเสนอตัวบุคคลแห่งปีก่อน

"ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร"
 
เป็นชื่อแรกๆที่มีการนำเสนอ  ซึ่งเหตุผลก็ชัดเจน
ตั้งแต่เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย
นายกรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุด
เป็นนักการเมืองที่ใช้เวลาบนเวทีการเมืองสั้นที่สุดเพียง49วันก็สามารถขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดได้
และอื่นๆอีกมากมาย
   
"ทักษิณ ชินวัตร"
จากน้องสาวมาถึงพี่ชาย
เหตุผลก็คือ  ชัยชนะของพรรคเพื่อไทยอย่างถล่มทลายครั้งนี้มาจากบารมีและความนิยมในตัว"ทักษิณ"
ทั้งที่อยู่ต่างประเทศ. และห่างจากเมืองไทยไปนานกว่า5. ปี
บารมีวิถีโค้งแบบนี้ ต้อง"บุคคลแห่งปี"
 
คิวต่อมา   
"สตีฟ จ็อบส์"
คราวนี้เป็นชาวต่างชาติ
ไม่ต้องอธิบายถึงความยิ่งใหญ่ของบุรุษผู้คิดเปลี่ยนโลกทุกนาทีของลมหายใจ

ไล่รายชื่อมาเรื่อยๆจนมีคนโพล่งชื่อหนึ่งขึ้นมา 

"สรยุทธ์ สุทัศนะจินดา"
พิธีกรเล่าข่าวชื่อดังของช่อง 3
วันนี้"สรยุทธ์"ไม่ใช่พิธีกรธรรมดา เขาได้กลายเป็น"ความหวัง"ของผู้เดือดร้อน  โดยเฉพาะจากเหตุการณ์น้ำท่วมในช่วง2 ปีที่ผ่านมา
"ครอบครัวข่าว3" กลายเป็นภาคเอกชนรายใหญ่ที่มีบทบาทโดดเด่นอย่างยิ่งในการช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม
จนนักการเมืองเริ่มเขม่น
"สรยุทธ์"ไม่ได้แค่ทำหน้าเป็นพรีเซ็นเตอร์ แต่เขายังลงแรงเข้าไปช่วยผู้ประสบภัยอย่างจริงจัง
ความโดดเด่นของ"สรยุทธ์"ในช่วงน้ำท่วมใหญ่ที่ผ่านมาเป็นที่ยอมรับอย่างมาก
จนมีคนแซวว่าทำงานหนักยิ่งกว่านายกรัฐมนตรีทั่้ง  2 คนอีก
การเสนอชื่อเริ่มงวดขึ้นเรื่อยๆ. จนใกล้ปิดหีบ

"น้ำท่วมใหญ่ปีนี้"
อยู่ดีๆก็มีคนโพล่งขึ้นมา
"น้ำท่วมไม่ใช่คน  แต่เป็นเหตุการณ์"คนหนึ่งแย้ง
"งั่้น...น้องน้ำ"เขาเปลี่ยนวิธีการนำเสนอใหม่
พอเอ่ยชื่อ"น้องน้ำ"ขึ้นมา   ทุกคนต่างยกมือหนุนอย่างพร้อมเพรียงกัน.
เพราะปี 2554. ที่ผ่านมา ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่าเธอคนนี้

"น้องน้ำ"
......................
การกำเนิดขึ้นของ"น้องน้ำ"ในปี 2554 เริ่มจากอิทธิพลจากพายุโซนร้อน"นกเต็น"ปลายเดือนกรกฎาคมที่ก่อให้เกิดน้ำท่วมในเขตภาคเหนือ. ทั้งจังหวัดเชียงใหม่. แพร่ ฯลฯ
ตามมาด้วยพายุโซนร้อน "นาลแก"ในช่วงต้นตุลาคม
คราวนี้มวลน้ำขนาดใหญ่ทะลักเข้าใส่จังหวัดภาคเหนือ  กลาง  ตะวันออกเฉียงเหนือ  และตะวันออก
แต่ที่หนักที่สุดคือที่จังหวัดนครสวรรค์  ซึ่งรับน้ำจากทุกสารทิศที่ปากน้ำโพ
ตามมาด้วยอยุธยา สิงห์บุรี  อ่างทอง ปทุมธานี  นนทบุรี นครปฐม
และกรุงเทพมหานคร
ความรุนแรงของ"มวลน้ำ"ครั้งนี้หนักหนาสาหัสกว่าครั้งไหน
ว่ากันว่ารุนแรงที่สุดในรอบ 70 ปี
ผลจากปรากฏการณ์"น้องน้ำ"ในช่วง 3 เดือน ได้ทำให้สังคมไทยได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมากมาย
 
ประการแรก  ได้เรียนรู้ว่าสังคมไทยยังเต็มไปด้วยความเกลียดชังระหว่าง"สี"ระหว่าง"พรรค"
ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ กับกรุงเทพมหานครที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ ปรากฏให้เห็นชัดเจนในช่วงเวลาดังกล่าว
มีการชิงไหวชิงพริบกันตลอดเวลา ทั้งที่น่าจะเป็นห้วงเวลาที่ทุกฝ่ายต้องจับมือกันเพื่อแก้ไขปัญหา
นอกจากนั้นทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่างถูกมองด้วยแว่นตาคนละสีอย่างชัดเจน
ไม่ได้ขึ้นอยู่ว่าเรื่องอะไร  แต่ขึ้นอยู่ว่าใครทำ

ประการที่สอง  ทั้งรัฐบาลและกทม.ขาดประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาวิกฤต
"น้องน้ำ"ทำให้ทุกคนได้รู้ว่ารัฐบาลชุดนี้  เป็น"มือใหม่"อย่างแท้จริง
การดึงบุคลากรแถว 3 ทางการเมืองมารับตำแหน่งบริหาร  เมื่อเผชิญวิกฤติจึงทำอะไรไม่เป็นและเป็นฝ่ายตั้งรับตลอด
"น้องน้ำ"พิสูจน์ให้เห็นว่า"ยิ่งลักษณ์"ไม่ใช่"โคลนนิ่ง"ของ"ทักษิณ"
แต่เธอเป็น"มือใหม่"ที่ขยันเท่านั้นเอง
ส่วนทางกทม. "สุขุมพันธุ์  บริพัตร"ที่เคยเป็นนักการเมืองน้ำดีที่ไม่ค่อยเล่นการเมือง
แต่การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมครังนี้ "สุขุมพันธุ์"สวมวิญญานนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์อย่างเต็มตัว
มีเขี้ยวมีคมและเล่นการเมืองตลอด
ในขณะที่การแก้ปัญหาที่ป้องกันน้ำท่วมกทม.อย่างเต็มที่โดยไม่สนใจความเดือดร้อนของคนนนทบุรีและปทุมธานี. ทำให้"สุขุมพันธุ์"โดนโจมตีอย่างหนัก
 
ประการที่สาม "น้องน้ำ"ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของประเทศ
นิคมอุตสาหกรรมในเขตจังหวัดภาคกลาง  เช่น  นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ บางปะอิน นวนครฯลฯ  โดน"น้องน้ำ"ถล่มจนเสียหายยับเยิน
คาดว่าความเสียหายครั้งนี้ไม่ต่ำกว่าหลักแสนล้านบาทอย่างแน่นอน
 
ประการที่สี่  "น้องน้ำ"ทำให้ทุกคนได้รู้ซึ้งถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ
แม้จะพยายามกั้นขวางทุกรูปแบบ  แต่สุดท้าย"น้องน้ำ"ก็ทะลุทะลวงเข้ามาได้ ไม่ว่าจะเป็นนิคมอุตสาหกรรม  หรือบ้านเรือน
หลายบ้านได้รู้ฤทธิ์เดชของ"น้องน้ำ"
กั้นอิฐบล็อค  กระสอบทรายหน้าบ้าน แต่"น้องน้ำ"ก็ทะลุเข้ามากลางบ้านได้
"น้องน้ำ"ทำให้ทุกบ้านได้รู้ว่ายังมี"รูรั่ว"ที่ไหนในบ้านบ้าง
ทั้งที่เราไม่ไม่อยากรู้
บทเรียนจาก"น้องน้ำ"ทำให้รู้ว่าวิธีการรับมือกับธรรมชาติ  คือ ต้องเคารพและยอมรับในความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ
ปล่อยมันให้ผ่านไป  อย่าไปกักมันไว้
 
ประการที่ห้า  "น้องน้ำ"ทำให้เห็น"น้ำใจ"คนไทย   
ทุกคนพร้อมเอื้อมมือลงมาช่วย  ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย
หรือลงแรงเป็น"จิตอาสา"
คำว่า"จิตอาสา"ที่เคยพูดกันมานานแปรเป็น"รูปธรรม"ให้เห็นอย่างชัดเจน
คนหนุ่มสาวจำนวนมากสละแรงบรรจุถุงทราย ถุงยังชีพ จนถึงการระดมทุนซื้อของไปบรจาคในพื้นที่น้ำท่วม
เป็น"ความงดงาม"ที่เกิดขึ้นจาก"อุทกภัย"ครั้งนี้
 
ประการที่หก. "น้องน้ำ"ทำให้เห็นชัดเจนว่าคนไทยมากด้วย"อารมณ์ขัน"จริงๆ
ทั้งที่เดือดร้อนแสนสาหัส  แต่คนไทยก็ยังมีอารมณ์ขัน
ไม่ว่าจะเป็นการสร้างกิจกรรมสนุกสนานในชุมชน
 
หรือการสร้างตัวละคร"น้องน้ำ"และ"พี่กรุง"ขึ้นในโลกออนไลน์
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรัก  หรือความเป็นเด็กเรียนเก่ง.ผ่านหลายมหาวิทยาลัยของ"น้องน้ำ"
รวมทั้งเรื่องเล่า"นายกฯคนใหม่"
อารมณ์ขันเหล่านี้กลายเป็น"น้ำเย็น"ที่ช่วยราดรด"ความร้อนรุ่ม"ที่เกิดจากความทุกข์จาก"น้องน้ำ"ได้อย่างดียิ่ง
ด้วยผลงานต่างๆของ"น้องน้ำ"ทำให้เธอได้รับเสียงประชามติอย่างเป็นเอกฉันท์
ให้เป็น"บุคคลแห่งปี. 2554"ของ"มติชนออนไลน์"
   ..............
"เรียกน้องน้ำว่าเธอ รู้ได้อย่างไรว่าน้องน้ำเป็นผู้หญิง"
"เพราะน้องน้ำใช้ลิปสติค"
"ไหน  หลักฐาน"
"ดูตามตู้โทรศัพท์หรือรั้วบ้านสิ  ลิปสติคสีน้ำตาลแบบนี้ ต้องผู้หญิงแน่นอน"
 

มติชนออนไลน์ 4 มกราคม พ.ศ. 2555