ช่วงนี้มีข่าวร้อนเกี่ยวกับแพทย์ชนบทไล่รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ล่าสุด มีข่าวว่าวันที่ 24 จะมีการรวมตัวกันของแพทย์ชนบทกับ กลุ่มคนรักหลักประกัน (NGO สปสช.เก่า) กลุ่มผู้ป่วยเอดส์ กลุ่มผู้ป่วยไตวาย กลุ่มผู้เสียหายทางการแพทย์ และแนวร่วมใหม่คือกลุ่มสหภาพองค์การเภสัชฯ จะไปขับไล่รัฐมนตรีอีกครั้งที่สำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข และจะไปให้ สตง. ตรวจสอบทุจริตของรัฐมนตรีอีกด้วย
"ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา" ช่างเข้ากันกับพฤติกรรมของแพทย์ชนบทครั้งนี้เสียจริงๆ เพราะว่าเริ่มจากไม่พอใจค่าตอบแทนระบบ P4P ก็มาประท้วงรัฐมนตรีกับปลัดกระทรวงสาธารณสุข ต่อมาค่อยเปลี่ยนเรื่องเป็น รมต.จับทุจริตยาขององค์การเภสัชกรรมมาผสมสุดท้ายกลายเป็นไล่รัฐมนตรีสถานเดียว มันกลายเป็นอย่างนี้ได้ยังไง ผู้ตามข่าวที่ไม่ใช่คนสธ. ก็ยังงงๆกันอยู่ จะเฉลยให้ทุกท่านทราบ ณ บัดนี้ โปรดติดตาม.....
"แพทย์ชนบท" เริ่มเมื่อ 30 ปีที่แล้ว มีกลุ่มแพทย์ที่ทำงานในโรงพยาบาลชุมชนได้รวมตัวกันขึ้นมา มีที่ปรึกษาคือ ราษฎรอาวุโส และรุ่นใหญ่คือ นพ. 3 ส. นพ. 4 ว. นพ. ช. นพ. อ. นพ. ศ. นพ. 2 พ. เป็นต้น ในปัจจุบันก็จะมีรุ่นเล็กที่ชื่อ นพ.ก.ที่โดดเด่น และมีแพทย์ชนบทดีเด่นทั้งหลาย ที่คัดเลือกกันขึ้นมาทุกปี ขณะนี้มีมากมายจนจำกันไม่หมด ใครๆว่าเป็นฮีโร่ พระเอกขี่ม้าขาวผู้เสียสละ ผู้คนหวังว่าเมื่อกลุ่มนี้เข้าไปอยู่ในองค์กรใดก็จะทำให้องค์กรนั้นโปร่งใส
แต่เอ๊ะ!ช่วงหลังมานี่มีข่าวไม่ค่อยดีออกมาอยู่เรื่อย ทำไม เมื่อพวกเขาตั้ง สปสช. ขึ้นมาไม่นานนักก็มีข่าวทำเงินค่ารักษาของโรงพยาบาลทั่วประเทศ ค้างท่ออยู่ใน สปสช. ไม่ไปถึงปลายทาง ทำให้โรงพยาบาลค่อนประเทศโวยวายว่า "เจ๊งแล้วจ้า" จนเป็นปัญหาที่ค่อยๆดังออกมาสู่สังคม นอกสธ. ในขณะที่ตัวต้นเหตุ สปสช. ปฏิเสธพัลวันว่า "ไม่จริ๊ง ไม่จริง" แต่มีคนเฉลยว่า "จริงจ้า" คือ กรรมมาธิการกระทรวงสาธารณสุขวุฒิสภา ได้ตรวจสอบมีเอกสารยืนยันว่า ในช่วงปีงบประมาณ 2552 - 2554 มีเงินค้างท่ออยู่ใน สปสช. ถึง 39,900 ล้านบาทเศษ หย่อน 40,000 ล้านบาทไปนิดเดียว
ต่อมาพวกเขาไปอยู่องค์การเภสัชกรรมอยู่ราว 2 วาระ ก็พบว่าพากันซื้อยามาทิ้งให้หมดอายุเล่นๆ หลายชนิดเลยทีเดียวมูลค่าหลายร้อยล้านบาท และสร้างโรงงานผลิตวัคซีนไข้หวัดนก โรงงานผลิตยารักษาโรคเอดส์ และ "โรงงาน 7 ชั่วโคตร" อีกแห่ง ซึ่งไม่สามารถใช้งานได้จริง ทั้งที่ใช้เงินไปหลายพันล้านบาทและเสียเวลาหลายปีแล้ว ทั้งยังมีการซื้อครุภัณฑ์การแพทย์แบบจ่ายเงินไปแล้วไม่ได้ของตั้งหลายรายการ วงเงินก็ไม่น้อย และซื้อวัสดุ เช่น เลนส์แก้วตาเทียม มาทิ้งอีกจำนวนมาก และยังมีของอย่างอื่นอีกมากล้วนแล้วแต่ด้อยคุณภาพ มาให้คนไทยทั่วประเทศใช้ แต่ตัวเองและญาติไม่ใช้แน่นอน เขายืนยันกับผู้เขียนเอง
นี่หรือฮีโร่ของเรา เป็นเรื่องจริงหรือใส่ร้ายกันแน่
คนดีปานนั้นจะกลายเป็นผู้ร้ายปานนี้ได้อย่างไร เอาละ เรามาดูกัน
เริ่มที่ปี พ.ศ. 2544 กลุ่มแพทย์ชนบทรุ่นใหญ่ ได้สร้างงานสำคัญขึ้นมา คือ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ก่อตั้งปี พ.ศ. 2535 ซึ่งเป็นจุดที่เริ่มต้นสำหรับอ้างว่ามีปัญหาอะไรในระบบสาธารณสุขของประเทศก็ตั้งโจทย์ทำวิจัยและก็มี องค์กรในกำกับของรัฐ(ทีชอบอ้างว่าเป็นองค์กรอิสสระ) คือ ส. ต่างๆออกมาอ้างว่าเพื่อแก้ปัญหาประเทศ แล้วให้กลุ่มแพทย์ชนบทไปบริหาร ส.เหล่านี้ทั้งสิ้น เริ่มโดย
1. สสส. เริ่ม พ.ศ. 2544 อ้างว่าเพื่อใช้ภาษีบาปจากเหล้า บุหรี่มาดูแลสุขภาพคนไทย บริหารโดย นพ.ว และพวกได้บริหารโดยซื้อสื่อเป็นหลัก เช่น สื่อโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ วิทยุ นอกนั้นก็เป็นโครงการของกลุ่ม NGO สายแพทย์ชนบท ที่ใช้ชื่อว่า มูลนิธิเกี่ยวกับผู้บริโภคทั้งหลายมารองรับงบประมาณที่เหลือจากสื่อทั้งหมดของ สสส. ไปทำอะไรหลายๆอย่างมา 10 กว่าปี คนไทยก็ยังกินเหล้า สูบบุหรี่มากขึ้น และตายจากเมาแล้วขับมากขึ้นทุกปีๆอย่างต่อเนื่องในทุกเทศกาล แสดงถึงความล้มเหลวอย่างต่อเนื่องตลอด 10 ปี หรือไม่ งบประมาณที่ใช้ไปปีละ 3,000 กว่าล้านบาท คุ้มค่าหรือเปล่า บรรลุวัตถุประสงค์ที่ก่อตั้ง สสส. หรือไม่ ไม่เคยมีคำตอบ
2. สปสช. เรื่ม พ.ศ. 2545 ซึ่งเป็นระบบที่รัฐบาลพรรคไทยรักไทยเลือกมาเป็นนโยบายประชานิยมในสโลแกนว่า "30 บาทรักษาทุกโรค" ได้รับงบประมาณปีละกว่าแสนล้านบาท ในช่วง 10 ปีแรกบริหารโดยกลุ่มแพทย์ชนบทรุ่นใหญ่ทั้งทีมประกอบด้วย นพ. 3 ส. นพ. 4 ว. และทีมนางสาว ส.และนาง ป. NGO สายแพทย์ชนบทร่วมกันบริหาร เป็นบอร์ดและเป็นอนุกรรมการทั้ง 13 คณะ อ้างว่ามาถือเงินของประชาชนไว้จ่ายค่ารักษาแทนประชาชน
10 ปีผ่านไป ก็อย่างที่รู้ ว่าเงินที่ผ่านเข้ามาได้ค้างท่ออยู่ใน สปสช. โดย รพ.ทั่วประเทศมีปัญหาได้รับเงินค่ารักษาจาก สปสช. ไม่ครบต่อเนื่องหลายปี จนเจ๊งค่อนประเทศ ในขณะที่ผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นมหาศาลเกือบ 3 เท่าผู้รักษาไม่เพิ่ม ก่อให้เกิดความล้า จนอาจมีความผิดพลาดเกิดขึ้นบ้าง พวก NGO ของ สปสช.ก็ทำ "พรบ.คุ้มครองผู้เสียหายทางการแพทย์ฯ"ขึ้นมาเพื่อบีบบุคลากรสาธารณสุขทุกสังกัดให้จ่ายเงินเข้ากองทุนของ พรบ. นี้ให้พวก NGO เหล่านี้บริหาร กดขี่เยี่ยงทาส ซ้ำเติมให้กดดันมากขึ้นจนคนไม่อยากเป็นแพทย์ พยาบาล อีกต่อไป เพราะไม่อยากมาเป็นทาส NGO
3.และมี ส. อื่นๆอีก เช่น สรพ. สช. สกส. สกสอ. และ IHPP เป็นต้น
ช่วงนี้เองกลุ่มแพทย์ชนบทรุ่นใหญ่ได้ยกทีมเข้าไปเป็นบอร์ดองค์การเภสัชกรรม เช่น นพ. ว. เป็นประธาน และ นพ. ส. นพ. ช. และพวกได้มาร่วมกันบริหาร ทั้งที่หลายคนในกลุ่มนี้เป็นบอร์ด สปสช. อยู่ควบคู่กัน จึงมีไอเดียกระฉูดว่า สปสช.ควรซื้อยา วัสดุ ครุภัณฑ์ ให้โรงพยาบาลทั่วประเทศโดยซื้อผ่านองค์การเภสัชฯ เท่านั้น เงินทอนที่เกิดขึ้นเกินร้อยล้านบาทต่อปี กลุ่มนี้ก็ทำ
โครงการไปเพิ่มพูนความรู้แถวๆ ยุโรป สแกนดิเนเวีย จีน ตามอัธยาศัย ในนามคนของสำนักงาน สปสช. แต่มีคำถามว่ามันเป็นเงินของใคร เพราะเงินที่ซื้อเป็นค่ารักษาผู้ป่วยในบัตร 30 บาท ของทุกโรงพยาบาลทั่วประเทศ แต่เงินทอน สปสช. เอาไปเที่ยวนั้น มันถูกไหม สตง. เลยเฉลยว่าผิดแน่ เมื่อ 22 พ.ย. 2554 ลงในเว็บไซต์ สตง. หลังจากตรวจสอบย้อนหลัง 10 ปี และพบการใช้เงินผิดอีก 7 ประเด็นใหญ่ แยกเป็นหลายประเด็นย่อย รวมแล้วเกิน 40 หน้า น้อยซะเมื่อไหร่(โปรดติดตามตอนต่อไป)