ผู้เขียน หัวข้อ: ไททานิค กับ เจ้าหญิงอาเมน-รา  (อ่าน 3440 ครั้ง)

Meem

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2576
    • ดูรายละเอียด
ไททานิค กับ เจ้าหญิงอาเมน-รา
« เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2010, 00:33:15 »
เจาะลึกตำนานแห่งความซาบซึ้ง โศกนาฎกรรมที่เศร้าสะเทือนใจ...  ของ เรือไททานิค เรือที่ถูกสร้างด้วยความเชื่อว่าจะไม่มีวันจมลงได้  ติดตามด้วยตัวคุณเองว่าทำไม เรือไททานิค จึงอัปปาง ในการล่องเรือเที่ยวแรกจาก เซาแธมป์ตั้นสู่นิวยอร์ค เมื่อวันที่ 15 เมษายน 1912  ค้นหาหัวใจสำคัญของที่มาทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น  ณ อู่ต่อเรือในเบลฟาสต์...  ด้วยขนาดสูงเท่าตึก 11 ชั้น และมีฝากั้นน้ำ   ถึง 15 ชั้นในตัวเรือ ...  เรือลำนี้ได้ภาพว่า เป็นเรือของระบบสังคมแยกชนชั้น ตั้งแต่รวยที่สุดถึงจนที่สุด  ค้นหาความจริงกันว่า “กัปตันสมิธ”  คือวีรบุรุษผู้นำของเรือ ซึ่งทำทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตผู้โดยสาร ดังที่ภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด และหนังสือหลายเล่มกล่าวชื่นชม หรือเขาคือผู้เป็นต้นเหตุด้วยความเลินเล่อ จงใจเพิกเฉยเกี่ยวกับข่าวคราวของ “ภูเขาน้ำแข็ง” ?

ตามตำนานความหายนะของเรือไททานิค เป็นเรื่องของ มัมมี่โชคร้าย ที่ถูกลำเลียงโดยนำลงบนเรือลำที่ว่ากันว่าไม่มีทางที่จะล่มหรือจม ได้เลย แต่แล้ว กลับล่มลงจนก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่

เรื่องราวที่นำมาเล่า เป็นเรื่องของความโชคร้ายของผู้ที่ได้ครองมัมมี่ตัวนี้ ย้อนอดีตไปเมื่อหลายพันปีก่อนคริสตกาล หลังจาก "เจ้าหญิง อาเมน-รา" สิ้นพระชนม์ มีการบรรจุพระศพของพระองค์ในโลงศพไม้ที่ตกแต่งอย่างสวยงาม และฝังในสุสาน Luxor

ในเวลาต่อมาราวๆปี พ.ศ.2433 ชายหนุ่มชาวอังกฤษ 4 คน ได้เดินทางไปสำรวจที่ Luxor และได้รับการชักชวนให้ซื้อหีบมัมมี่หีบหนึ่ง ไม่ต้องบอก ทุกท่านก็คงจะเดาออกนะคะ ว่าเป็น หีบมัมมี่ของใคร หุหุ เมื่อทั้ง 4 เห็น แล้วก็เกิดความละโมบ อยากได้ จนต้องมีการจับฉลากกันค่ะ ชายคนที่จับฉลากชนะก็ได้ไปพร้อมกับจ่ายเงินไปนับพันๆปอนด์

หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง ก้มีคนเห็นชายคนนั้นแหละค่ะ เดินตรงไปยังทะเลทราย แล้วก็หายไปไม่กลับมาอีกเลย วันต่อมา ชาย 1 ใน 3 คนทีเหลือก็ถูกคนรับใช้ชาวอียิปตืยิงบาดเจ็บสาหัส ต้องตัดแขนทิ้ง ต่อมาชายคนที่ 3 ทราบข่าวร้ายระหว่างเดินทางกลับบ้านว่าธนาคารที่เค้าฝากเงินไว้เกิดล้มละลาย ในขณะที่ ชายคนที่4 คนสุดท้ายแล้วค่ะ ได้เกิดเจ็บป่วยเป้นโรคร้ายแรงจนตกงาน และกลายเป็นคนขายไม้ขีดไฟตามท้องถนน

อย่างไรก้ตาม โลงศพก็ได้เดินทางมาถึงอังกฤษโดยนักธุรกิจชาวลอนดอน แต่ก็ไม่พ้นเคราะห์ร้ายอยู่ดีค่ะ เจอมาตลอดทาง แถมครอบครัวยังบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ทางถนน และไฟไหม้อีกด้วย เขาเลยบริจาค โลงมัมมี่ให้แก่ พิพิธภัณฑ์อังกฤษ ขณะลำเลียงโลงก้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นอีกค่ะ ((สงสารคนที่ไม่รู้นะคะ)) ก็รถบรรทุกที่บรรทุกมัมมี่สิคะ ดันถอยหลังไปทับคนงาน และคนที่เดินไปเดินมาแถวนั้น นอกจากนี้นะคะ คนงาน2คนที่ยกโลงขึ้นบันได ตกลงมาขาหักคนนึง อีกคน 2 วันต่อมาก็เสียชีวิตไปโดยไม่ทราบสาเหตุ

ทีนี้พอวางโลงมัมมี่เจ้าหญิงอาเมน-ราไว้ในห้องสไตล์อียิปต์แล้ว ก็มีปัญหาตามมาอีกค่ะ เฮ้อออออ ก็จะอะไรซะอีกล่ะคะ ยามที่เฝ้าน่ะค่ะ จะได้ยินเสียง ทุบตีอย่างบ้าคลั่ง และเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาจากโลงศพ แถมยังได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมออกมาจากห้องนั้น ยามคนหนึ่งก็ตายในหน้าที่อีก ทำให้ทุกๆคนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้อีกเลยค่ะ

ยังมีอีกนะคะ ไม่จบเพียงเท่านี้นะคะ ยังมีอีกค่ะ คือ มีผู้ชมคนหนึ่งลบหลู่เจ้าหญิงโดยการใช้ผ้าปัดฝุ่นใบหน้าบนโลงศพ ลูกของเขาก็ตายด้วยโรคหัดในไม่ช้าเลยค่ะ พอเกิดเหตุการณ์ไม่ค่อยดี เยอะมาก เจ้าหน้าที่เลยย้ายลงมาที่ห้องใต้ดินค่ะ เผื่อจะได้ไม่มีใครเป็นอะไรอีก แต่พวกเค้ากลับคิดผิดน่ะสิคะ เพราะภายใน 1 อาทิตย์ต่อมา ผู้ช่วยคนหนึ่งก็บาดเจ็บสาหัส ผู้ควบคุมการเคลื่อนย้ายก้ตายอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา เมื่อหนังสือพิมพ์ทราบเรื่องช่างภาพคนหนึ่งได้ถ่ายรูปโลงศพ แต่พอล้างฟิล์มออกมากลับกลายเป้นใบหน้าที่น่ากลัวน่าสยดสยอง ช่างภาพเลยกลับบ้าน ล็อคห้อง และยิงตัวตาย ว๊ายยยยย ต้องล่ะเหนื่อย เล่าถึงตรงนี้ สยองจังค่ะ เหอๆๆ มาๆๆเรามาเล่าต่อกันดีกว่าค่ะ

ในที่สุด หลังจากนั้นไม่นาน พิพิธภัณฑ์ก็ได้ขายมัมมี่ให้นักสะสม ซึ่งเจ้าของก็ได้รับภัยพิบัติเช่นกันค่ะ เขาจึงเนรเทศไปอยู่บนห้องเพดาน แต่ในที่สุดก็มี นักโบราณคดีชาวอเมริกันก็ได้ตัดสินใจจ่ายเงินเพื่อซื้อมัมมี่และเตรียมขน ย้ายไปนิวยอร์ค ในเดือนเมษายน พ.ศ.2454 ดดยได้ลำเลียงทรัพย์สมบัติขึ้นบนเรือสีขาวลำใหม่ ซึ่งเป็นสายการเดินเรือลำแรกที่เดินทางไปนิวยอร์ค นั่นก็คือ "เรือไททานิค" นั่นเองค่ะ และแล้ว "เจ้าหญิงอาเมน-รา" พร้อมด้วยผู้โดยสารนับพันๆคน ได้ดำดิ่งลงสู่ความตาย ณ ทะเลแอตแลนติกนั่นเอง
................................................
ได้เป็นที่ยอมรับของแฟนภาพยนตร์เมืองไทย และทั่วโลกกันแล้วว่า ภาพยนตร์ดังที่กำลังติดอันดับอยู่ในขณะนี้เรื่องหนึ่ง คือ เรื่อง "ไททานิค" ซึ่งสามารถกวาดรางวัล Golden Globes หรือ ลูกโลกทองคำ ที่ฮอลลี่วูด เมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๔๑ มาได้ถึง ๔ รางวัล คือ รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (ประเภทดรามา) รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม (เจมส์ คาเมรอน) รางวัลเพลงประกอบภาพยนตร์ (My Heart Will Go On) และรางวัลดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องราวย้อนอดีตเกี่ยวกับการอับปางของเรือโดยสาร ขนาดใหญ่ "ไททานิค" ของบริษัทเดินเรือทะเลอเมริกันภายใต้ธงชาติอังกฤษชื่อ The White Star Line เนื่องจากประสบอุบัติเหตุชนภูเขาน้ำแข็งที่ประมาณ ๙๕ ไมล์ทะเล จาก The Grand Bank,New Foundland,Canada เมื่อใกล้เที่ยงคืนวันที่ ๑๔ เมษายน ค.ศ.๑๙๑๒ (พ.ศ.๒๔๕๕) ผลิต และจัดจำหน่ายโดยโรงถ่ายภาพยนตร์ Paramount Pictures and Twentieth Century Fox ใช้เงินลงทุนมากถึง ๒๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา หรือประมาณ ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ใช้เวลาการสร้างนานถึง ๙ เดือน และสามารถทำรายได้จัดเป็นอันดับที่ ๑๓ ในจำนวน ๕๐ อันดับแรกของภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงในสหรัฐอเมริกา คือ ๒๔๓ ล้านเหรียญสหรัฐฯ

เรือโดยสาร "ไททานิค" จัดเป็นเรือโดยสารที่หรูหราประเภทเรือสำราญขนาดใหญ่ที่สุดในโลกในขณะนั้น ออกแบบ สร้างประกอบโดยอู่ต่อเรือของบริษัท Harland and Wolff ประเทศ North Ireland ปล่อยลงน้ำเมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ค.ศ.๑๙๑๑ มีระวางขับน้ำ ๔๖,๓๒๘ ตัน มีเครื่องจักรไอน้ำที่มีกำลังแรงถึง ๔๖.๐๐๐ แรงม้า สามารถทำความเร็วสูงสุดในการเดินทางได้ถึง ๒๔ น็อต โดยมีค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างสูงถึง ๗.๕ ล้านเหรียญสหรัฐฯ การ เดินทางเที่ยวนี้เป็นการเดินทางเที่ยวปฐมฤกษ์ข้ามมหาสมุทแอตแลนติกจากเมือง เซาท์แธมตัน ประเทศอังกฤษไปยังนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยเริ่มถอนสมอออกเดินทางเมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ค.ศ.๑๙๑๒ เวลา ๑๓.๓๐ น. มีผู้โดยสารและพนักงานประจำเรือทั้งสิ้นประมาณ ๒,๒๑๗ คน

ความใหญ่โตมโหฬารมีรูปลักษณะแข็งแกร่งทนทานมหาศาลนี้ ทำให้บริษัทเจ้าของเรือมีความภาคภูมิใจมากถึงกับขนานนามเรือลำนี้ว่า "Unsinkable Ship หรือ เรือที่ไม่มีวันจม" และชื่อของเรือ "ไททานิค" นั้นก็ได้นำมาจากคำว่า "Titan" ซึ่งเป็นชื่อของอสูรเทพที่ทรงพลัง บุตรของเทพเจ้า Uranus และ Gaia ตามเทพนิยายกรีกโบราณ

ในระหว่างการเดินทางนับตั้งแต่วันที่ ๑๒ เมษายนฯ เป็นต้นมา เรือ "ไททานิค" ได้รับสัญญาณวิทยุเตือนภัยให้ระวังเรื่องภูเขาและกลุ่มก้อนน้ำแข็งที่ปรากฏ ลอยอยู่เกลื่อนกลาด ทั่วไปในเส้นทางการเดินทางจากเรือลำอื่นๆ มาโดยตลอด เมื่อคืนวันที่ ๑๔ เมษายนฯ เวลา ๒๒.๓๐ น.พนักงานวิทยุประจำเรือ "คาลิฟอร์เนียน" ซึ่งกำลังติดอยู่ในกลุ่มก้อนน้ำแข็งห่างจากเรือ "ไททานิค" ประมาณ ๑๙ ไมล์ทางเหนือ ได้ส่งสัญญาณเตือนภัยให้แก่เรืออื่นๆ ซึ่งกำลังเดินทางอยู่ในเส้นทางที่ใกล้เคียงให้ระมัดระวังภัยพิบัติที่อาจจะ เกิดจากการชนภูเขาน้ำแข็งภายในบริเวณนี้ได้ ขณะที่ กำลังเรียกขานเรือ "ไททานิค" เพื่อแจ้งให้ระมัดระวังเหตุภัยพิบัตินี้เช่นกัน ก็ได้รับสัญญาณตอบกลับมาในลักษณะที่ไม่ค่อยสุภาพว่า "...ให้หยุดเตือนเสียที เพราะสัญญาณเข้าไปรบกวนการทำงาน(ของเขา)กับ Cape Race..." พนักงานวิทยุประจำเรือ "คาลิฟอร์เนียน" จึงเลิกทำการติดต่อ และปิดเครื่องวิทยุเมื่อเวลา ๒๓.๓๐ น.
เมื่อเวลาประมาณ ๒๓.๔๐ น. ด้วยความเร็ว ๒๒ น็อตครึ่ง เรือ "ไททานิค" ได้พุ่งเข้าชนภูเขาน้ำแข็งซึ่งมีความสูงพ้นระดับน้ำ ๕๕-๖๐ ฟิต ที่ Longitude 50o 14' W Lattitude 41o 27' N ทำให้ตัวเรือแตกน้ำทะเลไหลท่วมท้นเข้ามาในตัวเรือมีระดับสูงกว่ากระดูกงู ๑๔ ฟิต ภายใน ๑๐ นาที แล้วไหลทะลักเข้าไปสู่ห้องต่างๆ อย่างรวดเร็วเป็นเหตุให้เรือเริ่มอับปาง พนักงานวิทยุประจำเรือฯ ได้ส่งสัญญาณวิทยุแจ้งเหตุร้ายขอความช่วยเหลือไปยังเรือและสถานีฝั่งในอาณา บริเวณ เรือหลายลำที่ได้รับสัญญาณวิทยุขอความช่วยเหลือจากเรือ "ไททานิค" จึงเปลี่ยนเส้นทางมุ่งหน้าไปยังสถานที่เกิดเหตุโดยเร็ว
วันที่ ๑๕ เมษายน ค.ศ.๑๙๑๒ เวลา ๐๐.๐๕ น. กัปตันเรือ "ไททานิค" ได้สั่งสละเรือใหญ่ เรือลำนี้ถึงแม้ว่า จะได้เตรียมเรือชูชีพไว้จำนวนมากแต่ก็สามารถจุได้เพียง ๑,๑๗๘ คนในจำนวนผู้โดยสารและพนักงานประจำเรือทั้งหมด ๒,๒๑๗ คน เท่านั้น และถึงแม้ว่า จะมีเรือหลายลำเข้าไปช่วยเหลือได้ในระยะเวลาอันสั้น การอับปางของเรือ "ไททานิค" ครั้งนี้ก็ยังเป็นเหตุโศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง ๑,๕๑๓ คน ในจำนวนนี้มีมหาเศรษฐีอเมริกันรวมอยู่ด้วยถึง ๓ คน คือ John Jacob Astor, Benjamin Gugenheim และ Isidor Straus

คำสาปมัมมี่และการอัปปางของเรือไททานิค

มีตำนานที่เล่าต่อๆกันมาอาจจะไม่น่าเชื่อสำหรับใครบางคนแต่มันเป็นเรื่องจริง!!!

ดังที่ทราบกันว่าเรือไททานิคนั้นอัปปางโดยการชนก้อนน้ำแข็งและจมหายไป ในมหาสมุทรพร้อมชีวิตผู้คนอีกมากมาย โดยตำนานไม่ได้กล่าวถึงมัมมี่ของเจ้าหญิงอาเมน-รา(Amen-Ra)ที่ใต้ท้องเรือ ว่าเกี่ยวข้องกับสาเหตุการจมแต่อย่างใด

เจ้าหญิงอาเมน-รา

แต่ทว่าหนัวสือพิมพ์บางฉบับกล่าวถึงเรื่องการอัปปางของไททานิคว่าเกิดจากคำ สาปมัมมี่ที่อยู่รูป ของสินค้าในเรือแห่งนี้ พ่อค้าที่ขาดจิตสำนึก ได้ลอบนำมัมมี่เข้าสู่อเมริกา เพื่อต้องการขายมัมมี่แก่พิพิธภัณฑ์ในนิวยอร์ก ตามที่ได้ตกลงราคาเป็นมูลค่าที่สูงถึง 500000ดอลลาร์ เขายังได้ตกลงแบ่งเงินจำนวนนั้นให้แก่หัวขโมยที่ลักลอบโจรกรรมสุสานแห่งนี้ โดยที่การลักลอบโจรกรรมครั้งนี้เทพอนูบิสทรงพิโรธเป็นอย่างยิ่งจากการที่ มเหสีของฟาโรห์ถูกลักลอบขโมยไปและขายให้พิพิธภัณฑ์ในนิวยอร์กสเหมือนเป็นการ หมิ่น พระเกียรติฟาโรห์อย่างมหันต์ ดังนั้นเพื่อจัดการทำลายล้างพวกที่ไม่เคารพ เทพอนูบิสจึงจมเรือไททานิคเพื่อให้มัมมี่จมลงสู่ทะเลพร้อมกับเรือแระผู้ โดยสารโชคร้ายทุกคน นั่นคืออำนาจคำสาปแห่งเทพเจ้า ยังมีตำนานที่เล่าขานกันเพิ่มเติมว่า มัมมี่ได้ถูกนำขึ้นไปไว้อย่างปลอดภัยบทเรือชูชีพที่ช่วยชีวิตผู้โดยสาร ในขณะที่เรือไททานิคกำลังจมสู่ท้องทะเล จากนั้นได้มีการขนส่งต่อไปยังนิวยอร์ก แต่กลับเกิดเหตุประหลาดมากมาย จนทำให้เจ้าหน้าที่รับผิดชอบตักสินใจส่งกลับคืนสู่อียิปต์ด้วยเรือ เอ็กซ์เปรส ออฟ ไอร์แลนด์(Express of Ireland)และสุดท้ายเรือลำนี้ก็ได้จมลงสู่มหาสมุทรพร้อมกับชีวิตของลูกเรือ ทุกคน การอัปปางครั้งนี้มัมมี่ไม่ได้จมอยู่กับเรือหากแต่สามารถกู้ขึนมาได้โดยเรือ ชูชีพหลังจากนั้นมีความพยายาม ที่จะส่วมัมมี่กลับสู่อียิปต์อีกครั้งด้วยเรือลูซิทาเนีย ซึ่งก็อัปปางลงอีกจากฝีมือตอร์ปิโดในสงครามโลก แต่ครั้งนี้ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะมัมมี่ที่ดำดิ่งสู่ก้นสมุทรไปพร้อมกับสัมภาระต่างๆของเรือลูซฺทาเนีย ด้วยเหตุนี้จึงมีการพิพากษ์กันว่า เคราะห์กรรมของไททานิคนั้นเนื่องมาจากคำสาปของมัมมี่จนเป็นตำนานที่เล่าขาน ที่โจษขานกันไม่รู้จบ

เจ้าหญิงอาเมน-รามีพระชนม์ชีพในช่วงประมาน 1500 ปีก่อน ค.ศ.เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ พระศพได้รับการบรรจุลงในโกศหรือโลงพระศพไม้ ที่ประดับตกแต่งอย่างงดงามตระการตา จากนั้นมีการนำไปบรรจุในสุสานหลวงที่ลักซอร์ริมฝั่งแม่น้ำไนล์ จวบจนในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ1890กลุ่มหมาเศรษฐี 4 คน ได้มาเยี่ยมชมอุโมงค์บรรจุพระศพที่ลักซอร์ มีการยื่นเสนอข้อตกลงซื้อขายโลงบรรจพระศพมัมมี่ของเจ้าหญิงอาเมน-ราที่ ประดับตกแต่ง อย่างอลังการนี้

เศรษฐีหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มผู้ร่ำรวยถูกรางวัลล็อตเตอรี่ได้จ่ายเงินซื้อโลง พระศพมัมมี่เนราคาหลายพันปอนด์และ ได้นำกลับมาเก็บไว้ที่โรงแรมที่เขาพักอยู่2ชั่วโมงต่อมาเขาได้เดินทางออกไป ในทะเลทราย และไม่ได้หวนกลับมาอีกเลย ในวันรุ่งขึ้นหนึ่งในสามเศรษฐีที่เหลืออยู่ก็ถูกคนรับใช้ชาวอียิปต์ยิง โดยอ้างว่าเป็นอุบัติเหตุ บาดแผลที่ถูกยิงตรงแขนข้างหนึ่งของเขาเกิดเป็นแผลร้ายแรงจนต้องตัวแขนทิ้ง เศรษฐีหนุ่มคนที่สามถูกธนาคารยึดเงินฝากของเขาไว้ทั้งหมดเมื่อเดินทางกลับ สู่บ้าน เศรษฐีคนสุดท้ายก็ต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคร้ายและหมดเนื้อหมดตัว จนต้องออกมาขายไม้ขีดไฟตามท้องถนน

อย่างไรก็ดี โลงพระศพได้ย้ายมาสู่ประเทศอังกฤษตามคำสั่งซื้อของนักธุรกิจแห่งกรุงลอนดอน โดยที่ระหว่างการขนส่งก็เกิดเหตุประหลาดที่เป็นอุปสรรคตลอดเส้นทางหลังจากท ี่มัมมี่อยู๋อยู่มาอยู่สมาชิกในบ้านของนักธุรกิจนี้ 3 คนประสบอุบัติเหตุบนท้องถนนและบ้านก็ถูกไฟไหม้ นักธุรกิจผู้นั้นตัดสินใจบริจาคฌลงอาถรรพ์แก่พิพิธพันฑ์อังกฤษ แต่ขณะที่ย้ายลงจากรถบรรทุกในบริเวณสนามของพิพิธภัณฑ์รถก็พลิกคว่ำ แล้วพุ่งเข้าชนผู้คนบริเวณ ละแวกนั้น พอสิ้นความขุ่นวาย และเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์2คนกำลังกำลังขนหีบพระศพขึ้นบันไดนั้น คนหนึ่งเกิดพลาดตกลงมาขาหัก ส่วนอีกคนไม่เป็นอะไรแต่อีก2วันต่อมาเขากลับเสียชีวิตอย่างไม่ทราบสาเหตุ ครั้นเมื่อพระศพมัมมี่เจ้าหญิงประทับในห้องแสดงอารยธรรมอียิผต์ หายนภัยที่แท้จริงก็เริ่มต้นขึ้น

ยามรัษาความปลอดภัยพิพิธภัณฑ์ได้ยินเสียงกระทุ้งโลงอย่างรุนแรง และมีเสียงกุกกักปึงปังยามค่ำคืนโดยไร้สาเหตุ ยามคนหนึ่งได้ตายระหว่างรักษาการณ์ เป็นเหตุให้ยามคนอื่นๆอยากลาออก แม้กระทั่งพนักงานทำความสะอาดพลอยไม่อยากเข้าใกล้โลงพระศพ

ผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์มือบอนคนหนึ่งนำผ้าขี้ริ้ววางปิดภาพใบหน้าที่วาดบนโลง อย่างลบหลู่ หลังจากนั้นลูกของผู้เข้าชมอุตริผู้นั้นตายด้วยโรคหัด ท้ายที่สุดเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ได้เคลื่อนย้ายพระศพมัมมี่ไปเก็บไว้ที่ห้อง ใต้ดิน ด้วยความคิดที่ไม่ต้องการให้ทำร้ายใครได้อีกต่อไปแต่ในอาทิตย์เดียวกันนั้น เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่มีส่วนช่วยเคลื่อนย้ายโลงพระศพก็็ล้มป่วยลงด้วยอาการ ขั้นตรีทูต รวมทั้งผู้ดูแลการเคลื่อนย้ายก็เสียชีวิตคาโต๊ะทำงาน ก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่านักข่าวหนังสือพิมพ์ที่เคยถ่ายรูปโลงมัมมี่เอาไว้ แล้วนำไปล้าง ภาพนั้นมีใบหน้ามัมมี่ที่น่ากลัวปรากฏอยู่บนฝาโลงพระศพ ช่างภาพผู้เคราะห์ร้ายเข้าไปในห้องนอน และยิงตัวตาย ไม่นานจากนั้นทางพิพิธภัณฑ์ได้ขายมัมมี่ให้แก่นักสะสมเอกชน และหลังจากที่เคราะห์ร้ายความตายเกิดขึ้นต่อในครอบครัวทำให้นักสะสมผู้นั้น นำโลง พระศพไปเก็บไว้ยังห้องใต้หลังคา

ต่อมา มาดาม เฮเลนนา บลาวาตสกี ผู้เชี่ยวชาญโด่งดังด้านเรื่องเร้นลับได้มาเยือนอาคารที่เก็บมัมมี่อาถรรพ์ ขณะที่เข้าสู่อาคารเฮเลนาเป็นลมจับไข้ตัวสั่นเหมือนโดนผีเข้า จากนั้นจึงค้นหาที่มาของอำนาจชั่วร้ายที่มีพลังรุนแรงอย่างน่ากลัว ในที่สุดเฮเลนาก็มาหยุดอยู่ที่ห้องใต้หลังคาและได้พบกับโลงมัมมี่เจ้าของ บ้านขอร้องเธอ ช่วยให้ช่วยขับไล่อำนาจปิศาจมัมมี่ออกไป

"ปิศาจนั้นย่อมเป็นปิศาจชั่วนิจนิรันดร์ ไม่มีผู้ใดสามารถจัดการได้ ฉันขอให้คุณรีบกำจัดปิศาจร้ายนี้โดยด่วน" ทว่าไม่มีพิพิธภัณฑ์ในอังกฤษแห่งไหนยอมรับมัมมี่เลย เนื่องจากข่าวที่แพร่ว่า มีคนตายถึง20คนแถมยังประสบเหตุเคราะห์ร้ายและหายนะจากการเก็บรักษาหรือ เกี่ยวข้องกับโลงพระศพมัมมี่นี้ตลอม10ปีที่ผ่านมา จนเป็นที่โจษขานกันถึงอำนาจชั่วร้ายนี้

ในที่สุดก็มีนักโบราณคดีอเมริกันผู้ไม่เชื่อถือในเรื่องอาถรรพ์ของมัมมี่ ยินดีจ่ายเงินจำนวนมหาศาล เพื่อเคลื่อนย้ายมัมมี่มาที่นครนิวยอร์ก สั่งให้ขนส่งสมบัติชิ้นใหม่นี้มาให้ในเดือนเมษายนปีค.ศ.1912 โดยเรือโดยสารของบริษัทไวท์สตาร์ ลำใหม่ที่หรูหรา นำเจ้าหญิงอาเมน-รามาสู่นครนิวยอร์ก

ในราตรีของคืนที่14 เมษายนปีนั้นเอง ความหายนะอันน่าสะพรึงอย่างไม่เคยมีมาก่อนก็ปรากฏขึ้น เจ้าหญิงแห่งอาเมน-ราพาผู้โดยสารอีก1500คนสู่ความตาย ในก้นบึ้งมหาสมุทรแอตแลนติกเรือโดยสารลำนี้มีชื่อว่า เรือไททานิค ที่พวกเรารู้จักกันอย่างดีนั่นเอง

atcloud.com