หนังสือพิมพ์แนวหน้า -- พฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม 2555 06:00:00 น.
นายวิเชียร จุ่งรุ่งเรือง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กล่าวว่า กรมควบคุมมลพิษ ร่วมกับ กระทรวงสาธารณสุข จัดทำแผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 2 ปี 2555 - 2559 เป็นเวลา 5 ปี?มีจุดประสงค์ใน 7 ด้าน คือ 1.คุณภาพอากาศ 2.น้ำ สุขาภิบาล และสุขอนามัย 3.ขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย 4.สารเคมี?5.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 6.การจัดการสิ่งแวดล้อมในภาวะฉุกเฉินฯ และ 7.การประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ
จากสถานการณ์ปัจจุบันของสภาพแวดล้อมโลก โดยพบว่ามลพิษพื้นฐานในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ ที่มีการจราจรหนาแน่น ส่วนใหญ่
จะยังคงเป็นเรื่องฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 10 ไมครอน เกินมาตรฐานรายชั่วโมงเฉลี่ยสูงอยู่เป็นครั้งคราว โดยเฉพาะถนนดินแดงในช่วงเวลา 1 ทุ่ม - 4 ทุ่ม ถนนพระราม 6 ถนนพหลโยธิน และถนนพระราม 4
นอกจากนี้ ยังพบว่า แม้จำนวนยานพาหนะจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกปี แต่สถานการณ์คุณภาพอากาศกลับมีแนวโน้มดีขึ้นโดยเฉพาะปริมาณฝุ่นขนาดเล็ก (PM10) ค่าเฉลี่ยรายปีในปี 2554 ตรวจพบมีปริมาณลดลงกว่าในปี 2553 และอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากได้มีการดำเนินมาตรการควบคุมและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศและเสียงจากยานพาหนะ โดยอ้างอิงตามมาตรฐานที่กำหนดโดยสหภาพยุโรป ทำให้รถยนต์ที่ผลิตใหม่ในขณะนี้ เป็นไปตามมาตรฐานยูโร 3 และในปี 2556 จะต้องเป็นไปตามมาตรฐานยูโร 4 ซึ่งมีปริมาณการระบายมลพิษที่ต่ำกว่ามาตรฐานยูโร 3 ในช่วงตั้งแต่ร้อยละ 20 - 57 รวมถึงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงไปตามมาตรฐานยูโร 4 ในปี 2555 มีส่วนช่วยลดการระบายมลพิษจากรถยนต์ เช่น ฝุ่นละออง ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ก๊าซไฮโดรคาร์บอน และก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ยังมีรถยนต์เก่าที่อยู่บนท้องถนนอยู่อีก 4 ล้านคัน เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการก่อมลพิษ สำหรับการแก้ปัญหาในระยะยาวเพื่อเยียวยาอากาศในพื้นที่กรุงเทพฯ กรมควบคุมมลพิษ ได้ทำปฏิบัติการแผนเร่งด่วน คือการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในกทม.อย่างน้อยปีละ 1,000 ไร่ ซึ่งหากซึ่งหากระบบขนส่งมวลชนพร้อมก็จะช่วยลดจำนวนรถยนต์บนท้องถนน และลดมลพิษได้มาก
