ผู้เขียน หัวข้อ: เมื่อเคมีต้องกัน ความสัมพันธ์จึงบังเกิด  (อ่าน 993 ครั้ง)

seeat

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 470
    • ดูรายละเอียด
 ได้ยินวลี ‘เคมีตรงกัน’ มานาน เกิดคำถามคิดไม่ตก ‘เคมี’ ที่ว่าหมายถึงอะไร แล้วมันไปแอบแฝงอยู่ส่วนไหนของความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาว สืบไปค้นมาพบความจริงต้องบอกต่อ เมื่อสิ่งเชื่อมโยงความต้องการสองฝ่ายเข้าด้วยกันไม่ใช่เพียงแค่อุปมาอุปไมย แต่เป็นสสารจับต้องได้จริงบนโลกนี้

        ‘เคมีแห่งการเชื้อเชิญ’
       มีในตัวมนุษย์ทุกคน ถูกสร้างเป็นรหัสจำเพาะเพื่อให้เกิดความกระหายใคร่ใกล้ชิด บอกชื่อไปหลายท่านคงถึงกับร้องอ๋อ เพราะเจ้าสิ่งนี้เรียกว่า ‘Pheromones’ นัยหนึ่งของมันคือกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์บุคคล โดยฟีโรโมนส์จะโชยออกมาอ่อนๆ จากใต้วงแขน แม้บางครั้งมากเกินไปถึงกับเหม็นจนร้องยี้ แต่กับบางสังคมมันคือกลิ่นสุดแสนเย้ายวนชวนลุ่มหลง
       
       การโชยกลิ่นบางๆ สามารถกระตุ้นความรู้สึกเพศตรงข้ามให้เหลียวมามอง อยากโผเข้ามาอยู่ในวงกอดชนิดไม่อาจต้านทานความกระสันได้ และด้วยสรรพคุณสุดแสนวิเศษนี้เอง ฟีโรโมนส์จึงถูกนำไปปรุงแต่งในส่วนผสมของน้ำหอมชั้นนำมากมาย และราคาขายก็ไม่ใช่ถูกๆ เสียด้วย แถมบางยี่ห้อยังไม่ได้สกัดมาจากฟีโรโมนส์ของแท้ ดังนั้นหากสนใจเลือกซื้อมาใช้ควรตรวจสอบข้อมูลอย่างถี่ถ้วน
       
       ‘เคมีแห่งการตกหลุมรัก’
       เชื่อว่าคุณหนุ่มๆ ส่วนใหญ่เมื่อพบเจอหญิงสาวที่ตนปรารถนา จะออกอาการหัวใจเต้นแรง มือไม้สั่น มีเหงื่อออก หน้าแดงจากอาการเขิน รวมถึงท้องไส้ปั่นป่วน...
       
       เหล่านี้ล้วนมาจากปฏิกิริยาของสารชื่อ ‘Monoamines’ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อจังหวะการเต้นของหัวใจที่มากขึ้น ซึ่งพิจารณาแล้วก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าอาการข้างต้นเป็นเรื่องดีกับบุคลิกภาพคุณผู้ชายหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ มันช่วยสื่อให้คุณรู้สึกตัวว่า ‘ผู้หญิงตรงหน้า’ คือเป้าหมายสำคัญต้องพิชิตใจให้ได้ โดยสารโมโนเอมีนส์ตัวนี้สามารถพบในอาหารจำพวกช็อกโกแลตและสตรอว์เบอร์รี่ จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมสาวๆ ชอบหยิบยื่นของหวานให้แฟนทาน อาจเป็นอุบายเพื่อให้หัวใจเต้นแรงทุกครั้งเมื่ออยู่กับเธอก็เป็นได้

        ‘เคมีสร้างความต้องการทางเพศ’
       เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ ‘Testosterone’ พระเอกในกายชาย สามารถปลุกม้าศึกให้คึกคัก พร้อมขับเคลื่อนพลังหนุ่มสู่เป้าหมายในสนามรบ
       
       เทสโทสเตอโรนมีในทุกช่วงอายุเริ่มตั้งแต่เด็ก เป็นตัวแปรสำคัญให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย อาทิ ขนดกขึ้น เสียงห้าว และมีกล้ามเนื้อ โดยจะเด่นชัดในช่วงวัยรุ่นถึงอายุ 40 ปี และค่อยๆ ลดลง ส่วนจะตกวูบเพียงไรนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยของพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การบริโภคอาหารไม่ครบหมวดหมู่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ไม่ออกกำลังกาย คอเลสเตอรอลสูง หรือมีความเครียดสะสมมากเกินไป เป็นต้น ซึ่งวิธีสังเกตง่ายๆ ว่าฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนของเรายังมีพอใช้อยู่ก็คือ อวัยวะเพศแข็งตัวขณะตื่นตอนเช้า
       
       ‘เคมีห่วงโซ่ความผูกพัน’
       เมื่อมีแรงเย้ายวนให้ถวิลหาจากฟีโรโมนส์ แรงผลักกระทั่งตกหลุมรักผ่านโมโนเอมีนส์ และแรงขับอารมณ์ทางเพศของเทสโทสเตอโรน เคมีทั้ง 3 คงไร้ความหมายหากปราศจากการเชื่อมโยงสายใย อันเป็นเส้นทางแห่งความผูกพัน นั่นคือ ‘Oxytocin’ หรือ ‘เคมีแห่งความผูกพัน’ ช่วยสร้างพันธะระหว่างชายหนุ่มหญิงสาวให้แนบแน่นมากขึ้น
       
       เคมีดังกล่าวมีบทบาทชัดเจนขณะมีเพศสัมพันธ์ และจะหลั่งมากเป็นพิเศษช่วงใกล้ถึงจุดสุดยอด โดยนักวิทยาศาสตร์พยายามค้นหาความลับของออกซิโตซินว่าทำไมจึงช่วยสร้างความสัมพันธ์ให้แนบแน่นขึ้นได้ แต่มีข้อมูลบ่งชี้ว่าคู่รักยิ่งมีเพศสัมพันธ์ถี่มากเพียงไร ทั้งสองจะยิ่งสนิทแนบแน่นมากขึ้นเป็นเงาตามตัว

        จากคุณสมบัติของเคมีทั้ง 4 ตัว สามารถอธิบายได้ถึงที่มาที่ไปของพฤติกรรมระหว่างชายหญิงตั้งแต่เริ่มต้นไปจนจบบนเตียง กระนั้นยังมีเคมีอีกตัวหนึ่ง แม้ไม่สามารถจับต้องได้ แต่หากคู่ใดมีสิ่งนี้อยู่ในปริมาณล้นเหลือจะนำพาชีวิตรักไปไกลเกินกว่าจบแค่การร่วมเพศ นั่นคือ ‘เคมีแห่งความรัก’ แม้ไม่อาจตรวจพบ และพิสูจน์ได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็นที่ยอมรับกันมานานว่ามีอยู่จริง และช่วยผลักดันให้มนุษยชาติดำรงเผ่าพันธุ์ได้ตราบเท่าทุกวันนี้

เรื่อง : Omechi
 Marsmag    24 ธันวาคม 2557