แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - seeat

หน้า: 1 [2] 3 4 ... 28
16
เอเจนซีส์/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - - เรื่องที่น่าสนใจประจำสัปดาห์และมีไทยถูกลากเกี่ยวไปด้วยคงหนีไม่พ้น เรื่องร้อนรายงานสรุปจากคณะกรรมาธิการความมั่นคงและข่าวกรองสหรัฐฯที่สะเทือนไปทั่วโลก และแน่นอนที่สุดถึงแม้ในรายงานร่วม 528 หน้า จากทั้งหมด 6,000 หน้า จะไม่มีการเปิดเผยชื่อสถานที่ “Dark Site” หรือคุกลับ CIA ในต่างแดน แต่สื่อทั่วโลก เช่น วอชิงตันโพสต์ ต่างรายงานถึงไทยในฐานะมีสิ่งที่เรียกว่า “Site Green” ที่ล่าสุดรัฐบาลไทยออกมาปฎิเสธอย่างเป็นทางการ ซึ่งบลูมเบิร์กบิสิเนสวีกรายงานว่า การเปิดเผยถึง “คุกลับ CIA” สร้างความสั่นสะเทือนให้กับการเมืองในประเทศต่าวๆ ที่อ้างถึง ไทยเป็นที่แรก และจึงสมควรที่เราในฐานะเจ้าของประเทศ และอาจเป็นเจ้าของสถานที่ “Site Green”นั้นควรรับทราบว่า ในรายงานหนากว่า 500 หน้านั้นมีอะไรซ่อนอยู่บ้าง และถือเป็นคำถามที่น่าสนใจที่ ศักดิ์สิทธิ์ ไสยสมบัติ จาก Asia Correspondent สื่อออนไลน์ ได้ตั้งคำถามว่า ประเทศไทยรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับคุกลับนี้
      
       บลูมเบิร์กบิสซิเนสวีกตีพิพม์วันที่ 11 ธันวาคม รายงานผลกระทบในวงกว้างในแวดวงการเมืองต่างประเทศหลังจากรายงานตีแผ่โครงการสอบปากคำลับของ CIA ที่เกิดขึ้นในสมัยอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ จอร์จ ดับเบิลยู บูช ให้รับทราบกันทั่วโลก ซึ่งบลูมเบิร์กได้พาดพิงไทยเป็นประเทศแรกว่า ไทยในฐานะเป็น “พันธมิตรอย่างเป็นทางการของสหรัฐฯ” ซึ่งในขณะนั้นอยู่ภายใต้การนำของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตรที่บลูมเบิร์กให้คำนิยามว่า เป็นนายกฯที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ใส่ใจกับ “นิติรัฐ” หรือ Rule of Law” น้อยมาก และเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีในสมัยทำสงครามกับยาเสพติด หรือ “War on drugs” ซึ่งไปละม้ายคล้ายกับคำประกาศของบูชผู้ลูกหลัง 11 กันยา ที่ประกาศทำสงครามต่อต้านก่อการร้าย “War on terror” ซึ่งผู้นำทั้งสองประเทศต่างถูกประนามในนโยายของตน บลูมเบิร์กชี้ว่า ผลจากนโยบาย “War on drugs” เป็นผลทำให้มีคนถึง 2,500 รายต้องเสียชีวิต ซึ่งตัวทักษิณเองได้เคยยอมกับสื่อ แดร์ ชปีเกิล นิตยสารข่าวเยอรมันในขณะยังดำรงตำแหน่งว่า เป็นความผิดของนโยบายจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และอีกครั้งเมื่อมาถึง “War on terror” ของอดีตประธานาธิบดีบูชในขณะนั้น มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของไทยร่วมกับ CIA สหรัฐฯ ได้นำตัวผู้ต้องสงสัยแกนนำระดับสูงตามนโยบาย “War on terror” รวมไปถึง อาบู ซูไบดา (Abu Zubydah) แกนนำคนสำคัญของกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์มายังเซฟฮาส์ คุกลับในไทย
      
       และแต่ถึงแม้จะมีรายงานออกมาว่า ในเบื้องต้นทักษิณไม่ทราบเรื่อง “คุกลับ รหัส Site Green” จนกระทั่งสถานที่แห่งนี้ได้เริ่มสร้างและเปิดใช้ไปแล้ว แต่บลูมเบิร์กชี้ว่า ในภายหลัง ผู้นำไทยในขณะนั้นได้รับทราบการมีอยูถึงคุกลับ CIA ซึ่งเป็นสถานที่กักขังซูไบดาผู้ต้องสงสัยอัลกออิดะห์รายแรกของหน่วยงานความมั่นคงสหรัฐฯ ที่ถูกใช้วิธีสอบปากคำแบบพิเศษที่เรียกว่า “enhanced interrogation techniques” ซึ่งนับจนถึงวินาทีนี้ CIA ยังยืนยันว่า สามารถช่วยให้สหรัฐฯได้ข้อมูล และปกป้องชีวิตพลเมืองอเมริกัน จากการเปิดปากของนายใหญ่สำนักงาน จอห์น เบรนแนน ซึ่งซูไบดาถูกกระบวนการทรมานด้วยวิธีต่างๆในไทย เหมือนดังเป็นข่าวครึกโครม ไม่ว่าจะเป็นการทำให้เสมือนจมน้ำ หรือขังในกล่องขนาดเท่าร่างกาย
      
       บลูมเบิร์กบิสซิเนสวีกยังกล่าวต่อไปถึงทักษิณว่า หลังจากที่เขาถูกโค่นจากอำนาจในปี 2006 และน้องสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สามารถชนะการเลือกตั้งและกลับขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้อีกครั้งก่อนที่จะโดนยึดอำนาจไปเช่นกันในปีนี้ ไทยที่ยังอยู่ภายใต้กฏอัยการศึก และมีผู้นำรักษาการมาจากผู้นำกองทัพที่ทำรัฐประหาร สื่อไทยที่ยังหวั่นเกรงในการนำเสนอข่าววิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลชั่วคราว แต่ดูเหมือนว่าสื่อไทยนำเสนอข่าวรายงานวุฒิสภาสหรัฐฯอย่างกว้างขวาง

        โดยบลูมเบิร์กชี้ว่า จากแหล่งข้อมูลจากสื่อไทยหลายสำนัก ดูเหมือนว่ารัฐบาลทหารไทยพยายามจะให้ข่าวเปิดเผยคุกลับพุ่งเป้าไปที่ทักษิณคนเดียวเท่านั้น และในขณะเดียวกันต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชนไทยให้ลืมเลือนการละเมิดสิทธิเสรีภาพที่รัฐบาลทหารกระทำอยู่
      
       บลูมเบิร์กชี้ว่า ถึงทางรัฐบาลไทยจะพยายามปัดข้อหาให้พ้นตัว แต่ทว่าในทัศนะของบลูมเบิร์กนั้น นายพลทั้งหลายที่กุมอำนาจปกครองของไทยอยู่ในขณะนี้ขอให้พึงระวังในการชี้นิ้ว เพราะเป็นที่แน่ชัดว่ากองทัพไทยเป็นสนิทเนื้อเดียวกับสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ และผู้ที่กุมอำนาจในฐานะฝ่ายบริหารในขณะนี้ ล้วนแล้วแต่ดำรงตำแหน่งระดับสูงในกองทัพไทยในขณะนั้น ซึ่งคำเตือนของบลูมเบิร์กตรงกับความเห็นของ ศักดิ์สิทธิ์ ไสยสมบัติ จาก Asia Correspondent สื่อออนไลน์ ที่มีสำนักงานตั้งอยู่ในอังกฤษ ได้ตั้งคำถามผ่านงานเขียนหัวข้อ “What does Thailand really know about the CIA’s ‘black site’ prisons?” ในวันศุกร์(12)ว่า ประเทศไทยรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับคุกลับนี้ หรือที่เจาะจงลงไปคือ มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยคนไหนบ้างที่ทราบ หรือเกี่ยวข้องในเรื่องนี้
      
       โดยศักดิ์สิทธิ์ นักข่าวอิสระและบล็อกเกอร์ร่วมกับสยามวอยส์ ได้เปิดประเด็นด้วยแถลงการณ์ปฎิเสธของรัฐบาลไทยอย่างเป็นทางการถึงความเกี่ยวข้อง การรับรู้ และการไม่มีอยู่ของ“Site Green” แต่กระนั้นศักดิ์สิทธิ์ชี้ว่า จากข้อมูลที่ถูกเผยแพร่ผ่านหน้าระดาษกว่าห้าร้อยหน้า มีบางสิ่งบ่งบอกว่า “ไทยอาจรู้มากกว่าสิ่งที่ได้ยอมรับออกไป”
     
       จากสื่อเดอะเนชัน หนังสือพิมพ์ไทยภาคภาษาอังกฤษตีพิพม์เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม รัฐบาลไทยได้ปฎิเสธการมีอยู่ของคุกลับ CIA ว่า “ไม่เคยมีคุกลับตั้งอยู่ที่นี่ และไม่มีรายงานการทรมานในไทย รวมไปถึงไม่มีหน่วยงานใดของไทยที่จะใช้วิธีนี้” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ กล่าว และเสริมว่า “ ไม่เคยมีเหตุการณ์เกิดขึ้นในการนำตัวนักโทษประเภทนี้ ทางเราไม่เคยร่วมปฎิบัติการผิดกฎหมายกับสหรัฐฯ”
      
       ทั้งนี้ สุวพันธุ์ อดีตหัวหน้าสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติให้สัมภาษณ์ว่า เขาไม่เคยเห็นข้อความใดที่เอ่ยถึงไทยในรายงานคณะกรรมาธิการวุฒิสภาสหรัฐฯ “เหตุการณ์ที่ถูกเอ่ยถึงในรายงานฉบับนั้นมันเกิดขึ้นนานหลายปีแล้ว แต่อย่างไรก็ตามผมรับประกันกับพวกคุณได้เลยว่า ไม่มีคุกลับทรมานนักโทษในไทย” สุวพันธุ์กล่าว
      
       นอกจากนี้ในรายงานของเดอะเนชัน รัฐมนตรีมหาดไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ได้ยืนยันคำกล่าวของสุวพันธุ์ถึงการไม่มีคุกลับตั้งอยู่ในไทย “กองทัพไทยไม่เคยทราบถึงการตั้งอยู่ของคุกลับในไทยในขณะที่ผมดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำในกองทัพ ซึ่งในขณะนั้นผมมยืนยันได้ว่า ไม่มีคุกลับในไทยอย่างแน่นอน” และสอดคล้องกับผู้บัญชาการทหารสูงสุด พลเอก วรพงษ์ สง่าเนตร ให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า เขาไม่มีข้อมูลถึงคุกลับในไทยที่ใช้กักขังและทรมานผู้ต้องสงสัยก่อการร้าย
      
       และทำให้ศักดิ์สิทธิ์ชี้ถึง ข้อผิดพลาดจากแถลงการณ์ของอดีตหัวหน้าสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ ที่อ้างว่า “ไม่มีการอ้างอิงถึงไทยในรายงานวุฒิสภาสหรัฐฯ ซึ่งนักข่าวอิสระไทยอธิบายผ่าน Asia Correspondent ว่า แท้จริงแล้ว มีการระบุถึงไทยในรายงานชิ้นนี้ ซึ่งเริ่มตั้งแต่หน้า 301 ในส่วนการจับกุม ฮัมบาลี ผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายเจไอ ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์ ชาวอินโดนีเซีย และเป็นผู้ต้องสงสัยวางแผนก่อเหตุโจมตีเกาะบาหลีในปี 2002 ถูกจับกุมได้ที่ จ.อยุทธยา โดยจากการชี้ตัวของสายแหล่งข่าว CIA และหน่วยงานไทย ที่ถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้ จะมีการเปิดเผยว่า การจับกุมครั้งนั้น “เกิดขึ้นเพราะโชคช่วยกว่า 70%” ก็ตาม
      
       นอกจากนี้ศักดิ์สิทธิ์ยังชี้ว่า ในช่วงต้นยุค 2000 ในสมัยรัฐบาลทักษิณ มีข่าวลือถึงคุกลับในไทย ซึ่งหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ สื่อสหรัฐฯ เป็นเจ้าแรกที่รายงานเรื่องนี้ในวันที่ 2 ธันวาคม 2005 ว่า “ก่อนกลางปี 2002 CIA มีข้อตกลงลับตั้งคุกลับกับ 2 ชาติ ที่หนึ่งในนั้นคือ “ไทย” และอีกชาติอยู่ในยุโรปตะวันออก แหล่งข่าวความมั่นคงที่ยังอยู่ในตำแหน่งและเกษียณแล้วให้ข้อมูล และเปิดเผยต่อว่า เม็ดเงินร่วม 100 ล้านดอลลาร์ถูกใช้เป็นเงินก้อนแรกสนับสนุนคุกลับในอัฟกานิสถาน และภายหลัง CIA สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยกลุ่มติดอาวุธตัวสำคัญได้รายแรกในวันที่ 28 มีนาคม 2002 กองกำลังปากีสถานนำตัว อาบู ซูไบดา ผู้บัญชาการฝ่ายปฎิบัติการของอัลกออิดะห์ ไปกักขัง หลังจากนั้น ซูไบดาถูก CIA นำตัวไปขังต่อยังคุกลับแห่งใหม่ใน "ไทย" ซึ่งรวมไปถึงห้องสอบปากคำแบบพิเศษ อ้างจากแหล่งข่าวทั้งประจำการและเกษียณอายุ และนอกจากนี้ในอีก 6 เดือนต่อจากนั้น รอมซี บิน อัล-ชิบฮ์ (Ramzi bin al-Shibh)ที่เชื่อกันว่า เป็นผู้วางแผนการโจมตีสหรัฐฯในวินาศกรรม 11 กันยา ถูกนำตัวบินเข้าไทย และส่งไปยังคุกลับแห่งนี้เช่นกัน”
      
       และศักดิ์สิทธิ์ยังชี้เพิ่มเติมว่า แม้ในรายงานจะกล่าวถึงไทยน้อยมาก แต่ทว่ามีข้อความระบุถึง “คุกลับรหัส Site Green” ที่มีความเชื่อในวงกว้างว่า เป็นการเอ่ยถึง “คุกลับในไทย” ซึ่งมีข่าวหลายกระแสวิเคราะห์ว่า สถานที่ตั้งคุกลับแห่งนี้น่าจะเป็นระหว่าง จ.อุดรธานี และภายในฐานทัพเรือสัตหีบ หรือแม้กระทั่งท่าอากาศยานดอนเมือง
      
       นอกจากนี้ศักดิ์สิทธิ์ยังแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงว่า จากหน้า 30 ของรายงานวุฒิสภาสหรัฐฯ ได้เอ่ยถึงการนำตัวซูไบดาไปยังคุกลับแห่งนี้ในวันที่ 18 มิถุนายน 2002 และขังเดี่ยวเขาเป็นเวลา 47 วันก่อนเริ่มสอบปากคำแบบทรมานพิเศษในวันที่ 4 สิงหาคม 2002 เพื่อหวังจะล้วงความลับสำคัญของอัลกออิดะห์
      
       และถึงแม้รายงานฉบับวุฒิสภาสหรัฐฯที่เต็มไปด้วยการปกปิดข้อมูลสำคัญมากมาย แต่ในตัวรายงานยังระบุว่า “อย่างน้อยมีเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งล่วงรู้ถึงการถูกกักขังของซูไบดาในคุกลับที่ไทย” ซึ่งขัดแย้งกับการออกแถลงการณ์ปฎิเสธในสัปดาห์ที่ผ่านมาของผู้มีอำนาจในไทยอย่างสิ้นเชิง และศักดิ์สิทธิ์ได้อ้างอิงถึงข้อความในรายงานหน้า 24 บอกเล่าถึงการปิด “คุกลับรหัส Site Green” ภายใต้หัวข้อ “Tensions with Host Country Leadership and Media Attention Foreshadow Future Challenges” ที่เกี่ยวกับอาบู ซูไบดา ว่า “ในเดือนเมษายน 2002 เจ้าหน้าที่ CIA ประจำประเทศ X พยายามจัดทำลิสต์รายชื่อเจ้าหน้าที่ประเทศท้องถิ่นที่จำเป็นต้องรู้การถูกกักขังของอาบู ซูไบดา ในเมืองที่ระบุ ประเทศ X ทั้งนี้รายชื่อนี้รวมไปถึงเจ้าหน้าที่อย่างน้อย 8 คน อ้างอิงถึง “ Various” Personnel และรวมไปถึงเจ้าหน้าที่ของ Y ที่ไม่ต้องสงสัยว่าจะมีอีกมาก”

        และในรายงานหน้า 24 นี้ยังระบุเพิ่มเติมว่า “ก่อนวันที่ X เมษายน 2002 สื่อได้เริ่มระแคะระคายว่า อาบู ซูไบดาถูกขังอยู่ในประเทศ X เป็นผลทำให้ CIA ต้องยับยั้งการนำเสนอข่าวของสื่อโดยอ้างถึงเหตุผลทางความมั่นคง และรวมไปถึงเจ้าหน้าที่ CIA ประจำประเทศ X แสดงความกังวลว่า หากสื่อเปิดเผยเรื่องนี้จะไม่เป็นผลดีต่อการเจรจาของหน่วยงาน และความสัมพันธ์ระดับทวิภาคี และคาดว่าจะทำให้ความหวังที่จะขอให้ The X ของประเทศ X ยังคงอนุญาตให้ซูไบดายังอยู่ต่อไปได้นั้นอาจริบหรี่ลง หรือโอกาสที่จะให้ ชายผู้นี้ อนุญาตให้ผู้ต้องสงสัยคนอื่นที่คล้ายกับซูไบดาเข้ามาในประเทศได้ในอนาคต” และในเดือนพฤศจิกายน 2002 หลังจาก CIA ทราบว่า สื่อสหรัฐฯส่วนใหญ่ล้วนรับรู้แล้วว่าซูไบดาถูกขังในประเทศ X เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ CIA รวมไปถึงอดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดิก เชนี ได้ออกโรงขอไม่ให้สื่อสหรัฐฯตีพิมพ์ข่าวนี้ แต่ถึงแม้สื่อสหรัฐฯจะยอมทำตามคำขอ ไม่เปิดเผยชื่อประเทศที่ซูไบดาถูกกักขัง แต่ในที่สุดสหรัฐฯตัดสินใจปิดคุกลับรหัส Site Green”
      
       ทั้งหมดนี้ทำให้ศักดิ์สิทธิ์ตั้งคำถามว่า “เจ้าหน้าที่ซึ่งรู้เห็นการมีอยู่ของอาบู ซูไบดา นั้นเป็นใครบ้าง” ซึ่งนักข่าวอิสระผู้นี้ชี้ว่าต้องมีอย่างน้อย 8 คน (และเป็นไปได้ว่าอาจจะมากกว่านี้)ที่รับรู้ และในช่วงท้าย ศักดิ์สิทธิ์สรุปคล้ายกับบลูมเบิร์กบิสซิเนสวีกที่ว่า การออกมาปฎิเสธของฝ่ายรัฐบาลไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่ต้องการรักษาหน้าเท่านั้น แต่รวมไปถึงเรื่องร้ายทางด้านกฎหมายทั้งในและต่างประเทศรวมถึงด้านการทูต แต่เป็นเพราะเมื่อมองย้อนกลับไปคนเหล่านั้นต่างมีอำนาจในฝ่ายความมั่นคงทั้งนั้น

ASTVผู้จัดการออนไลน์    13 ธันวาคม 2557

17
กรมวิทย์ตรวจพบ “ยาปลุกเซ็กซ์” ตัวใหม่ “อัลเดนาฟิล” ผสมผลิตภัณฑ์สมุนไพร ยาแผนโบราณ อ้างสรรพคุณเพิ่มความอึดเจ้าโลก เตือนอันตรายถึงตาย ทำให้แข็งนาน ใช้แรงเยอะจนเหนื่อยเสี่ยงหัวใจวาย หลอดเลือดขยาย ความดันต่ำ อย. คาดสังเคราะห์ขึ้นใหม่ ไม่มีการขึ้นทะเบียนในไทย

        วันนี้ (19 พ.ย.) นพ.อภิชัย มงคล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์สมุนไพร หรือยาแผนโบราณที่มีการโฆษณาสรรพคุณเสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศนั้น อาจมีการหลอกลวงผู้บริโภคโดยการปลอมปนยาแผนปัจจุบันที่มีฤทธิ์เสริมสมรรถภาพทางเพศ เนื่องจากมีความนิยมมาก ซึ่งจากการตรวจสอบมักพบยา 3 ชนิดปลอมปน ซึ่งเป็นควบคุมพิเศษต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์เท่านั้นคือ ซิลเดนาฟิล (Sildenafil) หรือชื่อทางการค้าคือ ไวอะกร้า ทาดาลาฟิล (Tadalafil) และ วาร์เดนาฟิล (Vardenafil) หรือมักจะผสมยา 2 ตัวร่วมกัน รวมถึงมีการใช้สารที่มีโครงสร้างใกล้เคียงกับยาเสริมสมรรถภาพทางเพศทั้ง 3 ชนิด มาใช้แทนเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ โดยปี 2554 กรมฯตรวจพบสารอะมิโนทาดาลาฟิล (Aminotadalafil) ซึ่งมีโครงสร้างคล้ายคลึงกับยาทาดาลาฟิล และล่าสุด ในปี 2557 ตรวจพบสารใหม่ซึ่งไม่เคยตรวจพบในยาแผนโบราณที่จำหน่ายในประเทศ คือ อัลเดนาฟิล (Aildenafil) ซึ่งมีโครงสร้างคล้ายคลึงกับยาซิลเดนาฟิล
       
       นพ.อภิชัย กล่าวว่า สารดังกล่าวเหล่านี้ไม่มีข้อมูลความปลอดภัย จึงไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นยา ทำให้มีความเสี่ยงมาก เพราะไม่เพียงมีฤทธิ์ในการขยายหลอดเลือดแดงที่อวัยวะเพศชาย ยังมีฤทธิ์ขยายหลอดเลือดบริเวณอื่นของร่างกายด้วย ส่งผลให้เกิดอาการปวดศีรษะ ตาลาย หน้าแดง อาหารไม่ย่อย หายใจลำบาก อาจสูญเสียการได้ยิน หรือเกิดความผิดปกติของระบบประสาทตา หรืออาจทำให้มีความดันโลหิตต่ำรุนแรงจนถึงแก่ชีวิตได้ หากใช้ร่วมกับยาอื่นที่เสริมฤทธิ์ในการขยายหลอดเลือด และยังอาจเกิดความเป็นพิษอื่นๆ จากสารนี้ได้ เนื่องจากไม่มีข้อมูลความเป็นพิษของสารเหล่านี้
       
       “กลุ่มผู้ป่วยโรคหัวใจ เบาหวาน หลอดเลือดสมอง ความดันโลหิตสูง และผู้สูงอายุ มีความเสี่ยงมากในการกินสมุนไพรที่อ้างช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศ เพราะไม่ทราบว่ามีการใส่กลุ่มยาปลุกเซ็กซ์ จึงไม่ทันระวัง เมื่อกินแล้วอวัยวะเพศชายแข็งตัวนานขึ้น มีการออกแรงมากกว่า ทำให้เหนื่อยมากว่าเดิม บางครั้งทำให้มีผลข้างเคียงรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตจากหัวใจวายได้ ซึ่งกลุ่มยาปลุกเซ็กซ์เป็นยาที่มีความเฉพาะ ดังนั้น ผู้ที่จะรับประทานต้องได้รับการอนุญาตจากแพทย์ก่อน” อธิบดีกรมวิทย์ กล่าว
       
       ด้าน ภก.ประพนธ์ อางตระกูล รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า ยาอัลเดนาฟิลน่าจะเป็นยาสังเคราะห์ใหม่จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับซิลเดนาฟิล อาจจะออกฤทธิ์แตกต่างกันบ้าง แต่โดยหลักแล้วจะออกฤทธิ์คล้ายคลึงกัน ทั้งนี้ ยาดังกล่าวไม่ได้ขึ้นทะเบียนว่ามีการผลิต หรือนำเข้ามาในประเทศไทย หากผลิตยาแผนโบราณที่มีส่วนผสมของยานี้จะถือเป็นยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับ มีการผลิต และขายโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 5 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งต่อจากนี้จะมีการประสานไปยังกรมวิทย์เพื่อขอข้อมูลและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ASTVผู้จัดการออนไลน์    19 พฤศจิกายน 2557

18
 ชาวบ้านในอินโดนีเซีย หลั่งไหลขึ้นไปยังภูเขาลูกหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ตอนกลางของเกาะชวา ด้วยความเชื่อว่าหากร่วมประเวณีกับชายหรือหญิงอื่นบนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์จะช่วยเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของคนๆนั้น
       
        พิธีกรรมแปลกประหลาดที่เกี่ยวข้องกับการมีเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าบนภูเขาในอินโดนีเซีย ถูกเปิดโปงผ่านรายการสารคดีทางสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งเมื่อคืนวันอังคาร(18พ.ย.) แม้ว่าการคบชู้ถือเป็นสิ่งต้องห้่ามในศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นชนกลุ่มใหญของอินโดนีเซีย
       
        มีชาวบ้านหลายพันคนเดินทางไปยัง "กุนุง เคมุคุส" หรือที่เรียกขานกันว่า "Sex Mountain" ในจังหวัดชวากลาง เพื่อร่วมรักกับคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน โดยในวันที่มีจำนวนผู้คนเดินทางมามากที่สุดอาจสูงถึง 8,000 คน และทุกคนมีจุดประสงค์เดียวกันคือต้องการเข้าพิธีร่วมเพศกับคนแปลกหน้าเพื่อความโชคดีตามความเชื่อ ซึ่งในนั้นมีทั้งชายที่แต่งงานแล้ว แม่บ้าน เจ้าหน้าที่รัฐบาลและโสเภณี
       
        เล่าขานกันว่าเมื่อราวคริสต์ศตวรรษที่ 16 มีเจ้าชายชาวอินโดนีเซียรายหนึ่งเป็นชู้กับแม่เลี้ยงของตนเอง ทั้งคู่จึงพากันหนีมาที่ภูเขาดังกล่าว แต่แล้วก็ถูกสังหารเสียชีวิตขณะกำลังมีเพศสัมพันธ์กัน ศพของทั้งสองจึงถูกฝังและสร้างศาลาไว้บูชาที่นั่น ชาวบ้านเชื่อว่า เนื่องจากทั้งสองคนถูกฆ่าทั้งที่ยังไม่เสร็จกิจ หากผู้ใดไปมีเพศสัมพันธ์จนเสร็จกิจที่นั่น จะมีสุขภาพแข็งแรงและได้รับความโชคดี


ASTVผู้จัดการออนไลน์    19 พฤศจิกายน 2557

19
 “..ตั้งแต่ 30 ต.ค. 2557-31 ธ.ค. 2558 เจ้าหน้าที่ผู้หญิงทุกท่านให้กินยาคุมกำเนิด (ห้ามท้อง) ถ้าท้องให้ลาออกไปเลย..”!!!

กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์
ขึ้นมาทันที กับป้ายประกาศที่มีข้อความดังกล่าว ที่ในเวลาต่อมาได้รับการเปิดเผยว่าเป็นป้ายที่ติดในโรงพยาบาลรัฐชื่อดังย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ โดยที่มาที่ไปเกิดขึ้นที่แผนกหนึ่งของโรงพยาบาลแห่งนี้ ซึ่งมีพนักงานส่วนใหญ่เป็นหญิง และที่ผ่านมามักประสบปัญหาพนักงานตั้งครรภ์บ่อยครั้ง จนมีความกังวลว่าอาจกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่

แม้ล่าสุด ผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งนี้จะยืนยันว่านโยบายของโรงพยาบาลไม่เคยมีประกาศดังกล่าว และคาดว่าน่าจะเป็นเรื่องภายในที่แผนกงานนั้นทำกันเอง อีกทั้งยังสั่งการให้ยกเลิกประกาศนี้แล้ว เพราะไม่สามารถทำได้เนื่องจากเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่ในมุมของพนักงานและอดีตพนักงานในแผนกนี้ ยังรู้สึกกังวลใจ

เพราะ “ไม่ใช่ครั้งนี้เป็นครั้งแรก”!!!

คำบอกเล่าของอดีตพนักงานรายหนึ่ง เล่าถึงพฤติกรรมของหัวหน้าแผนก ที่มักจะพูดถึงหญิงตั้งครรภ์ในทางลบ เช่น “ไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน” ให้พนักงานได้ยินเสมอ นอกจากนี้ หากฝ่ายหญิงแผนกนี้ ตั้งครรภ์กับฝ่ายชายที่ทำงานในแผนกเดียวกัน ก็จะถูกกดดันให้ออกจากงานทั้งคู่ ขณะที่พนักงานรายหนึ่งที่ยังทำงานอยู่ ตั้งข้อสังเกตว่าเหตุที่พนักงานมีจำนวนไม่เพียงพอ เพราะรับกับพฤติกรรมของหัวหน้าแผนกรายนี้ไม่ได้หรือไม่? ทั้งที่มีผู้มาสมัครงานใหม่อย่างต่อเนื่อง แต่กลับไม่ค่อยมีใครอยู่ได้นาน

เฉลี่ยแล้ว “ไม่เกิน 1 ปี” เท่านั้น!!!

ประเด็นที่น่าสนใจ..ปัญหานี้มิได้เกิดขึ้นเฉพาะโรงพยาบาล หรือกิจการประเภทสถานบริการด้านสาธารณสุขเท่านั้น ที่ผ่านมา บนสื่อสังคมออนไลน์ มักจะมีผู้โพสต์เรื่องราวร้องทุกข์กรณีถูกเลิกจ้างเพราะตั้งครรภ์อยู่เสมอจากหลายภาคส่วน ทั้งพนักงานฝ่ายผลิตในโรงงานบ้าง พนักงานฝ่ายขาย (เซลส์) บ้าง หรือพนักงานประจำออฟฟิศบ้าง

ทุกรายมีจุดร่วมอย่างหนึ่ง..คือ “ถูกบีบให้เขียนใบลาออก”!!!

นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติและผู้พลัดถิ่น สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ ในฐานะนักกฎหมายด้านสิทธิมนุษยชน ที่ย้ำว่าการเลิกจ้างแรงงานด้วยเหตุตั้งครรภ์นั้นไม่สามารถทำได้ ซึ่งไม่ใช่แต่เป็นข้อห้ามตามกฎหมายแรงงานเท่านั้น แต่ยังเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงอีกด้วย

เพราะ “สิทธิในการสืบทอดเผ่าพันธุ์” เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ติดตัวมนุษย์ทุกคน!!!

นักกฎหมายจากสภาทนายความรายนี้ เล่าต่อไปว่า ที่ผ่านมาในส่วนของสภาทนายความ มีผู้ถูกเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรม ด้วยการกดดันให้เขียนใบลาออกจากสาเหตุต่างๆ รวมถึงการตั้งครรภ์ด้วย เข้ามาร้องเรียนอยู่พอสมควร ซึ่งก็ได้ให้การ
ช่วยเหลือไปแล้วหลายราย

“เป็นหน้าที่ของนายจ้างที่ต้องดูแลลูกจ้าง แม้กระทั่งการท้องยิ่งต้องดูแลเป็นพิเศษ ไม่ใช่เห็นว่าทำงานให้เราไม่มีประสิทธิภาพมากนัก ก็เลยไปให้เขาลาออก” นายสุรพงษ์ กล่าว และเสริมว่า ผู้ถูกเลิกจ้างด้วยเหตุไม่เป็นธรรม เช่น เพราะ
ตั้งครรภ์ สามารถร้องเรียนได้ที่สภาทนายความ ซึ่งก็มีหน่วยงานรับเรื่องร้องทุกข์อยู่ด้วย

เช่นเดียวกับ นายวรานนท์ ปีติวรรณ รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า กรณีลูกจ้างถูกนายจ้างหรือหัวหน้างาน กดดันให้ลาออกนั้น ที่ผ่านมาเคยมีกรณีทำนองนี้ แล้วพิสูจน์ได้ว่าลูกจ้างถูกกลั่นแกล้งจริง และศาลก็พิพากษาให้ลูกจ้างชนะคดีมาแล้ว

ถึงกระนั้น ก็ยอมรับว่าการสืบสวนข้อเท็จจริงลักษณะนี้ค่อนข้างทำได้ยาก เช่น หากเป็นการกดดันให้ลาออกเพราะเรื่องตั้งครรภ์ นายจ้างก็มักจะอ้างสาเหตุอื่น ดังนั้นจึงแนะนำกับลูกจ้างว่า “อย่าเขียนใบลาออกเด็ดขาด” แล้วให้มาร้องเรียนกับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน หรือสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทั่วประเทศ

“ไม่ต้องเซ็นใบลาออกหรอกครับ ลูกจ้างเองก็ต้องทราบสิทธิของตัวเองด้วย ไม่แนะนำให้เขียนใบลาออกใดๆ เพราะ
ตัวเองไม่ได้มีความผิดอะไร การท้องเป็นเรื่องธรรมชาติ แล้วถ้าบอกว่าโดนกลั่นแกล้ง ขอให้ไปร้องเรียนที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน หรือสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสำนักงานอีก 10 พื้นที่ทั่วกรุงเทพมหานคร

สะดวกตรงไหนไปตรงนั้น ไม่จำเป็นต้องอยู่ในพื้นที่ที่นายจ้างมีภูมิลำเนา เช่น ลูกจ้างทำงานอยู่กรุงเทพฯ ไปร้องที่ขอนแก่นก็ทำได้ครับ เราอำนวยความสะดวกให้” รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ฝากทิ้งท้าย

ตามพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มีบทบัญญัติว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานหญิงที่ตั้งครรภ์หลายประการ เช่น มาตรา 43 ห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้างซึ่งเป็นหญิงเพราะเหตุมีครรภ์, มาตรา 41 ให้ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์มีสิทธิลาเพื่อคลอดบุตรครรภ์หนึ่งไม่เกินเก้าสิบวัน และวันลาตามวรรคหนึ่ง ให้นับรวมวันหยุดที่มีในระหว่างวันลาด้วย,

มาตรา 42 ในกรณีที่ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์มีใบรับรองของแพทย์แผนปัจจุบันชั้นหนึ่งมาแสดงว่าไม่อาจทำงานในหน้าที่เดิมต่อไปได้ ให้ลูกจ้างนั้นมีสิทธิขอให้นายจ้างเปลี่ยนงานในหน้าที่เดิมเป็นการชั่วคราวก่อนหรือหลังคลอดได้ และให้นายจ้างพิจารณาเปลี่ยนงานที่เหมาะสมให้แก่ลูกจ้างนั้น

ซึ่งหาก นายจ้าง หรือ ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่แทนนายจ้าง (เช่น หัวหน้างาน) รายใดฝ่าฝืน จะมีความผิดตาม มาตรา 144 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากฝ่าฝืนมาตรา 42
จนทำให้ลูกจ้างได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ หรือถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ทว่าแม้กฎหมายจะเขียนบทบัญญัติไว้ชัดเจน แต่ในทางปฏิบัติกลับพบอุปสรรคไม่น้อย เช่น นายจ้างบางรายใช้วิธีให้
ออกจากงานด้วยปากเปล่า เมื่อลูกจ้างหลงเชื่อและไม่มาทำงานมากกว่า 3 วัน นายจ้างย่อมอ้างเหตุขาดงานโดยไม่บอกกล่าวเกิน 3 วัน เพื่อจะไม่จ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายได้

ดังนั้นจึงมีคำแนะนำจากอดีตพนักงานรายหนึ่งที่เคยพบกรณีทำนองนี้เพิ่มเติมว่า นอกจากไม่ควรยอมเขียนใบลาออกตามที่ถูกกดดันข่มขู่แล้ว ให้ไปแจ้งความลงบันทึกประจำวัน ที่สถานีตำรวจในพื้นที่ตั้งของสถานประกอบการนั้น ทันทีหลังได้รับการกดดันข่มขู่ด้วย เพื่อเป็นหลักฐานใช้ในการร้องทุกข์หรือฟ้องคดีต่อไป

อีกด้านหนึ่ง คงต้องยอมรับว่ากระบวนการสืบสวนและฟ้องร้องที่กินเวลายาวนาน และมีค่าใช้จ่ายมากพอสมควร ทำให้นายจ้างบางรายมองว่าลูกจ้างที่มีฐานะด้อยกว่าตน คงเลือกที่จะยอมจำนนด้วยการยอมเขียนใบลาออกมากกว่าจะไปฟ้องคดี

เป็นความเหลื่อมล้ำทางสังคมอีกประการ..ที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน!!!

หมายเหตุ : ล่าสุด 13 พ.ย. 2557 มีรายงานเพิ่มเติมว่า หัวหน้าแผนกเวชกรรมโรงพยาบาลดังกล่าว ที่ออกคำสั่งห้ามพนักงานตั้งครรภ์ ถูกย้ายออกจากแผนกไปแล้ว โดยให้ไปประจำฝ่ายวิชาการแทน

SCOOP@NAEWNA.COM
วันศุกร์ ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

20
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เกิดเหตุชวนอึ้ง เมื่อคู่รักชาวอิตาลีคู่หนึ่ง ต้องสุดอับอาย ภายหลังมีสัมพันธ์ทางเพศในทะเลแห่งหนึ่ง แต่ปรากฎว่าอวัยวะเพศของสองฝ่ายได้ดูดแน่น จนไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ร้อนถึงเจ้าหน้าที่ต้องนำตัวทั้งสองไปโรงพยาบาล และต้องรับการช่วยเหลือ เพื่อแยกร่างกายให้เป็นอิสระจากกัน

รายงานระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในทะเลแห่งหนึ่งของอิตาลี โดยเหตุการณ์เลิฟซีนอันดูดดื่มของทั้งสองฝ่ายกลายเป็นเรื่องเหตุชวนตะลึงและกลายเป็นฝันร้ายเนื่องจากทั้งสองไม่สามารถถอนเครื่องเพศออกจากกันได้ก่อนที่ความช่วยเหลือจะมาถึง

โดยทีมกู้ภัยได้ส่งเจ้าหน้าที่หญิงรายหนึ่ง ให้ยื่นผ้าเช็ดตัวให้ทั้งคู่ใช้คลุมร่างที่กลายเป็นแฝดตัวติดกันและขึ้นรถพยาบาล ก่อนจะได้รับช่วยเหลือให้ทั้งสองสามารถแยกตัวออกจากกันได้

โดยแพทย์ใช้ฉีดสารหล่อลื่นในช่องคลอดฝ่ายหญิงก่อนที่ร่างทั้งสองจะเป็นอิสระจากกัน ขณะที่สื่อท้องถิ่นอิตาลียังได้รายงานข่าวอุบัติเหตุประหลาดทางเพศนี้ด้วย

มติชนออนไลน์
18 ตุลาคม พ.ศ. 2557

21
ใน moment แห่งความสนุกสุขชนิดไม่ต้องการวิถีสงบระหว่างการร่วมรัก หลายท่านเลือกคุมกำเนิด และป้องกันโรคภัยทางเพศสัมพันธ์ด้วยวิธีสวมถุงยางอนามัย แต่เชื่อว่าส่วนหนึ่งคงสัมผัสได้ถึงความจำเจของรูปแบบถุงยางอนามัยตามท้องตลาด บนเคาท์เตอร์ร้านสะดวกซื้อที่มีให้เลือกไม่กี่ชนิด ซึ่งในโลกกว้างของเรายังมีถุงยางแปลกๆ ดีไซน์มาเพื่อเพิ่มความเสียวเติมความเร้าใจอีกมาก ลองมาดูกันว่ามีอะไรบ้างและคุณจะสนใจหรือไม่มาดูกัน


        1. Inspiral เมื่อความบางไม่เพียงพอต่อรสสัมผัส ผู้ผลิตจึงออกแบบให้ส่วนปลายถุงยางมีลักษณะบิดเกลียวคล้ายสปริงเพิ่มความยืดหยุ่นขณะเสียดสี ฝ่ายหญิงจะรู้สึกได้ถึงแรงกระตุ้นภายในแบบหยุ่นๆ


        2. Durex Mutual Pleasure ด้วยลักษณะดูน่ากลัวเหมือนกระบองเพชรอาจทำให้คุณผู้หญิงหวาดหวั่นอยู่บ้าง แต่เชื่อเถอะว่าความรู้สึกนี้ช่วยกระตุ้น adrenaline ได้ไม่น้อย กระทั่งเมื่อสอดใส่ จินตนาการความกลัวจะสูญสลาย กลายเป็นความกระสัน สั่นหัวใจให้ต้องครางเสียงสั่นเพราะเจ้าปุ่มที่เรียงรายคอยเติมเต็มความเสียวให้คุณร้อนผ่าว


        3. Durex Her Sensation นอกจากกลิ่นผลไม้ และสารหล่อลื่นพิเศษ เจ้าเกราะป้องกันตัวนี้ยังมีวงแหวนนูนถึง 30 วง เน้นเสียดสีเพื่อกระตุ้นส่วนช่วงแรกของทางเข้าอวัยวะเพศคุณผู้หญิง

        4. Lifestyles Double Play พื้นผิวส่วนปลายวงแวนนูนทั้งด้านนอกและด้านใน 5 วง ด้านล่างผิวนูนขึ้นมาเป็นจุด 10 แถว ช่วยกระตุ้นจุดกระสันทั้งสองฝ่าย เหมาะมากสำหรับนักเล่นท่าลีลาหลากหลาย เพราะสามารถใช้ท้างส่วนปลาย และส่วนโคนในการสร้างสัมผัส


        5. Lifestyle His n' Her Pleasure เห็นภาพแล้วยังงงตึ๊บ ไม่รู้ส่วนปลายถูกออกแบบมาให้พองขนาดนั้นเพื่ออะไร เพราะไม่ใช่ว่าลักษณะปลายองคชาติของทุกคนจะมีลักษณะบาน แต่เชื่อว่าพื้นผิววงแวนนูนขึ้นมาเล็กน้อยถึง 68 วง ทั้งด้านในและด้านนอกสามารถทำให้คู่รักถึงฝั่งฝันไปพร้อมๆ กัน

        6. Crown Studded ดูจะไม่ค่อยแตกต่างจากถุงยางอนามัยผิวคางคกตามท้องตลาด แต่ทางผู้ผลิตในญี่ปุ่นออกมาการันตีว่าผิวตะปุ่มตะป่ำนี้ให้ความรู้สึกไม่เหมือนใคร เพราะฝ่ายหญิงจะรู้สึกกระชับมากขึ้นช่วยเพิ่มความสุขขณะสอดใส่


        7. Twisted Pleasure เช่นเดียวกับถุงยางอนามัยแปลกตัวอื่น เพราะไม่แน่ชัดว่าลักษณะเช่นนี้ช่วยให้เกิดความสุขได้อย่างไร แต่ชื่อบอกอยู่แล้วว่ามีส่วนบิดซึ่งอาจมีผลให้เกิดการดึงรั้งที่มากขึ้นภายในอวัยวะของคุณผู้หญิงสร้างความเสียวอีกทาง


        8. Beyond Seven Studded ด้วยปุ่มถึง 46 แถว รวม 1350 จุด มาพร้อมกับสีฟ้าอ่อนสดใส ผนวกความบางเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นให้เจ้าคอนดอมตัวนี้ได้รับความนิยมพอสมควร


        9. Night Light ถึงจะมีมานานแล้วแต่ก็ยังเป็นหวานใจหลายๆ คู่ กับถุงยางอนามัยเรืองแสงที่ให้ผลทางจิตวิทยาด้านการกระตุ้นความรู้สึกตื่นตาตื่นใจ คล้ายเด็กเล่นไฟเย็นก็ไม่ปาน


        10. Pleasure Plus หน้าตาคล้ายเรือดำน้ำสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มากมาย และมันคงช่วยให้คุณผู้ชายดำดิ่งสู่ห้วงของความเสียวกับการสร้างสัมผัสสยิวแก่สาวๆ ด้วยส่วนปลายเป็นกระเปาะขนาดใหญ่สำหรับการเสียดสีกระตุ้นให้คนรักถึงจุดสุดยอดง่ายขึ้น

       
       ข้อมูลจาก sanook.com

Marsmag    8 พฤศจิกายน 2557

22
หยุดที่จะปฏิเสธว่าหนุ่ม mars ที่กำลังรับชมเรื่องนี้อยู่ไม่เคยได้ยลผลงานของพวกเธอเหล่านี้เลยแม้แต่นิดเดียว!!!
       จะด้วยภาพนิ่งหรือเคลื่อนไหวเชื่อได้เลยว่า คุณ คุณ คุณ และคุณทั้งหลายต้องผ่านหูผ่านตามาบ้างไม่มากก็น้อย เพราะอนงค์ทรงสะบึมทุกนางต่อไปนี้ จัดเป็นตัวท็อปของวงการ Porn Stars (ดาราภาพยนตร์เรต X) หรือเรียกภาษาบ้านๆ ว่า ‘ดาวโป๊’ ด้วยลีลาท่วงท่าตราตรึงจิตติดตรึงใจ จนไปโลดแล่นอยู่ในจินตนาการของหนุ่มๆ ทั่วโลก
       ในงานที่ต้องใช้เรือนร่างแลกกับค่าตอบแทน พวกเธอทั้งหลายผ่านทั้งประสบกามและประสบการณ์แย่ๆ มามากมาย ไต่เต้าและเต้าไต่ขึ้นมาจนอยู่ในจุดที่เรียกได้ว่าสูงสุดของอาชีพ และนี่คืออันดับ Porn Stars 15 นาง ที่รวยที่สุดในโลก


        อันดับที่ 1 Jenna Jameson
       30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 990,000,000 บาท)


        อันดับที่ 2 Tera Patrick
       15 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 495,000,000 บาท)


        อันดับที่ 3-4  Tori Black และ Jesse Jane
       8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (264,000,000 บาท)

        อันดับที่ 5 Traci Lords
       7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 231,000,000 บาท)


        อันดับที่ 6 Maria Takagi
       6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 198,000,000 บาท)


        อันดับที่ 7 Bree Olson
       5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 165,000,000 บาท)


        อันดับที่ 8 Katie Morgan
       4.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 148,500,000 บาท)


        อันดับที่ 9 Jenna Haze
       3.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 115,500,000 บาท)


        อันดับที่ 10 Sasha Grey
       2.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 82,500,000 บาท)


        อันดับที่ 11 Belladonna
       1.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 59,400,000 บาท)


        อันดับที่ 12 Jayden James
       1.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 56,100,000บาท)


        อันดับที่ 13 Audrey Bitoni
       1.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 52,800,000 บาท)


        อันดับที่ 14 Sunny Leone
       1.5 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 49,500,000 บาท)

        ข้อมูลจาก uniladmag

Marsmag    4 พฤศจิกายน 2557

23
  “กมล” เผยผลสำรวจการอ่าน - เขียน เด็ก ป.3 ทั่วประเทศ ประมาณ 6 แสนคน พบ 3.5 หมื่น อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ขณะที่อีกประมาณ 2 แสน อ่าน-เขียนไม่คล่อง จ่อตั้งกรรมการขึ้นมาวางระบบแก้ปัญหาจริงจัง เล็งคัดนวัตกรรมที่ช่วยพัฒนาเด็กที่เหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่ คาดเริ่มกระบวนการพัฒนาเด็กเดือน พ.ย. นี้ ก่อนทำเต็มรูปแบบปีหน้า
       
       นายกมล รอดคล้าย เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เปิดเผยว่า การทำงานของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในปีนี้นั้นจะมุ่งเน้นด้านพัฒนาการศึกษาและแก้ปัญหาการศึกษา ซึ่งที่ผ่านมามักจะมีการพูดถึงเรื่องที่มีผลกระทบวงกว้างทั้งเรื่องผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา ผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-Net) แต่อีกประเด็นที่สำคัญนั่นคือ การแก้ปัญหาเรื่องการอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ซึ่งตนได้มอบหมายให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) ไปทำการสำรวจการอ่านออกเขียนได้ของนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 3 ทั่วประเทศ จำนวนประมาณ 6 แสนคน พบว่า มีนักเรียนชั้น ป.3 มีปัญหาอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้เลย จำนวน 35,000 คน คิดเป็น 5% และอีกประมาณ 2 แสนคน หรือ 1 ใน 3 ของนักเรียนมีปัญหาอ่านไม่คล่อง เขียนไม่คล่อง ซึ่งตัวเลขดังกล่าวก็ถือเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูง ซึ่งที่ผ่านมาแต่ละเขตพื้นที่ฯ ได้พยายามจัดกิจกรรมและพัฒนาสื่อการเรียนการสอนในส่วนของ สพฐ. เองสมัย นายชินภัทร ภูมิรัตน อดีตเลขาธิการ กพฐ. ก็จัดสื่อการเรียนการสอนลงไปสนับสนุนเพื่อพัฒนาการอ่านและเขียนของเด็กด้วยเช่นกัน
       
       อย่างไรก็ตาม เพื่อแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังและยั่งยืน เร็วๆ นี้ ตนจะตั้งกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยมี นางวีณา อัครธรรม อดีตที่ปรึกษา สพฐ. ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ เป็นประธาน เบื้องต้นวางแนวทางทำงานใน 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนแรก ตนจะขอให้ สพป. ทุกเขตส่งข้อมูลการสำรวจการอ่านออก เขียนได้ของนักเรียนมายัง สพฐ. อีกครั้งหนึ่งเพื่อจะได้ข้อมูลที่แน่ชัดว่าในแต่ละเขตพื้นที่ฯ มีนักเรียนอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้เท่าไร หรืออ่านไม่คล่อง เขียนไม่คล่องเท่าไร ขั้นตอนที่ 2 จะเชิญนักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญและผลิตนวัตกรรมทางการศึกษาในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว และมีนวัตกรรมเด่นๆ มาประชุมร่วมกันเพื่อคัดเลือกเพื่อนำมาจัดระบบว่านวัตกรรมแบบใดเหมาะกับเด็ก ซึ่งในแต่ละเขตพื้นที่ฯ ก็จะมีปัญหาแตกต่างกันไป ขั้นตอนที่ 3 จัดอบรมให้แก่ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ศึกษานิเทศก์ และผู้เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้รับการอบรมการพัฒนาผู้เรียนที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ และขั้นตอนสุดท้าย จัดส่งสื่อการเรียนการสอนและพัฒนาการอ่านออกเขียนได้อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งนี้ ตั้งเป้าว่าจะเริ่มกระบวนการพัฒนาเด็กตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนนี้ และทำเต็มรูปแบบในปี 2558

ASTVผู้จัดการออนไลน์    29 ตุลาคม 2557

24
ก.ต. มีมติให้ออก 3 ผู้พิพากษาศาลจังหวัดมีนบุรีออกจากราชการ เหตุใช้ดุลยพินิจปล่อยชั่วคราวจำเลยในคดียาเสพติดขัดต่อระเบียบ ภายหลังจำเลยดังกล่าวหลบหนีไม่มาขึ้นศาล
       
       วันนี้ (18 ก.ย.) ที่สำนักงานศาลยุติธรรม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) ครั้งที่ 21/2557 เมื่อวันที่ 10 ก.ย. ที่ผ่านมา ได้มีมติให้ผู้พิพากษาออกจากราชการ จำนวน 3 ราย ประกอบด้วย นายเอกวิโรจน์ มณีธนวรรณ อดีตหัวหน้าศาลจังหวัดมีนบุรี, นายประโลม คเชนทร์ อดีตผู้พิพากษาศาลจังหวัดมีนบุรี และ นายชูวงศ์ ละอองศิริวงศ์ ผู้พิพากษาอาวุโสศาลจังหวัดมีนบุรี
       
       รายงานข่าวแจ้งว่า สาเหตุที่ที่ประชุม ก.ต. เห็นควรให้ผู้พิพากษาทั้งสามคนออกจากราชการนั้น เนื่องจากผู้พิพากษาทั้งสามคน ประกอบด้วย องค์คณะ 2 คน และผู้ไต่สวน 1 คน ได้ใช้ดุลพินิจในการปล่อยชั่วคราวจำเลยในคดียาเสพติดเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งในขณะนั้นได้ปรากฏพยานหลักฐานเชื่อได้ตามที่จำเลยคดียาเสพติดผู้นั้นอ้างว่าถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจทำร้ายร่างกาย เนื่องจากจำเลยมีบาดแผลและใบรับรองแพทย์มายืนยัน จึงใช้ดุลยพินิจสั่งปล่อยชั่วคราวและตีหลักทรัพย์ในวงเงินที่สูง ต่อมาทราบภายหลังว่าจำเลยคนดังกล่าวเป็นจำเลยรายสำคัญในคดียาเสพติด ซึ่งต่อมาจำเลยก็ได้หลบหนีศาล อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าวไม่ได้มีหลักฐานชี้ว่าเป็นการทุจริต แต่เป็นการขัดต่อระเบียบเกินกว่าที่กำหนดในการปล่อยชั่วคราวของศาลจังหวัดมีนบุรี ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน

โดย ทีมข่าวอาชญากรรม    
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9570000107534
18 กันยายน 2557

25
ชอย ฮุง แด คณะกรรมการจัดการแข่งขัน เอเชียนเกส์ ครั้งที่ 17 เผย สามวันที่ผ่านมาตั้งแต่เปิดหมู่บ้านให้นักกีฬาเข้าพัก มีการแจกถุงยางฟรีไปแล้วกว่า 5,000 ชิ้น ซึ่งถือว่าเร็วมาก อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องเป็นห่วง เนื่องจากในการแข่งขันครั้งนี้ทางเจ้าภาพได้เตรียมถุงยางฟรีไว้กว่าหนึ่งแสนชิ้น
       
        เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน 2557 มีรายงานข่าวจากทางเกาหลีใต้ ว่า ถุงยางฟรีที่เอาไว้แจกนักกีฬา เอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 17 ได้หายไปจากคลังจำนวนกว่า 1,000 อัน ทำให้ผู้สื่อข่าวของ “เอเอฟซี” ได้ไปสอบถามกับเจ้าหน้าที่จัดการแข่งขันเกี่ยวกับเรื่องนี้
       
        ซึ่ง ชอย ฮุง แด ตัวแทนคณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬา เอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 17 ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า เป็นเรื่องที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าหายไปไหน พร้อมกล่าวว่าตั้งแต่เปิดหมู่บ้านนักกีฬามาทั้งสิ้น 3 วัน ทางเจ้าภาพได้แจกถุงยางไปแล้วกว่า 5,000 ชิ้น
       
        “เราไม่สามารถควบคุมได้ว่ามันหายไปไหน ตลอดสามวันที่ผ่านมา เราแจกไปแล้วประมาณ 5,000 อัน ซึ่งเร็วมาก แต่นั่นไม่หมายความว่านักกีฬาจะเอาไปใช้เอง ตนคิดว่าพวกเขาน่าจะเอาไปเพื่อเป็นของฝากให้กับคนที่ประเทศมากกว่า ถุงยางที่นี่เป็นสีเหลือง ภายใต้การปิดแบบมิดชิด ซึ่งอาจจะทำให้หลายคนคิดว่ามันคือเข็มกลัดก็เป็นได้” ชอย ฮุง แด กล่าว
       
        อนึ่ง ถุงยางถือเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญในการจัดการแข่งขันกีฬาระดับชาติของเกาหลีใต้ ซึ่งเมื่อการแข่งขันโอลิมปิก 1988 ที่ผ่านมา ได้มีการเปิดเผยว่า นักกีฬาที่มาแข่งขันในแดนกิมจิ ได้รับถุงยางฟรีไปกว่า 8,500 ชิ้นเลยทีเดียว ซึ่งการแข่งขันครั้งนี้ได้มีการเตรียมไว้ทั้งสิ้น 100,000 อัน โดยเริ่มแจกไปแล้วเมื่อวันที่ 15 กันยายน ที่ผ่านมา และปิดวันที่ 3 ตุลาคม ก่อนพิธีปิด เอเชียนเกมส์ 1 วัน

ASTVผู้จัดการออนไลน์    18 กันยายน 2557

26
คุณเคยมีประสบการณ์ไหมว่า จู่ๆ ความจำเกิดล่องหนหายไปเสียเฉย ๆ ...อย่ากังวลใจไป ...มีกลวิธีอันชาญฉลาดในการกำจัดภาวะสมองตื้อ (brain fog) ออกจากตัวคุณ และทำให้สมองยังกระฉับกระเฉงอยู่เสมอด้วย
 
ภาวะสมองตื้อหรืออาการหลงลืม จำได้ในบางครั้ง แต่บางครั้งกลับหลงลืมนั้น ดูเหมือนจะเป็นมากขึ้นตามอายุ โดยเฉพาะอาการลืมชื่อที่เคยคุ้นเคย ความยุ่งยากใจเมื่อต้องจดจำคำศัพท์ยากๆ หรือแม้แต่ลืมไปว่าจอดรถไว้ที่ใด
 
อย่าตกใจไป Dr. Gary Small ผู้อำนวยการ Longevity Center แห่งมหาวิทยาลัย UCLA กล่าวว่า อาการเหล่านี้ไม่ถือเป็นสัญญาณของโรคสมองเสื่อมระยะเริ่มแรกแต่อย่างใด หากเป็นตัวชี้วัดว่า คุณจำเป็นต้องอัพเกรดสมองอย่างเร่งด่วน
 
Dr. Small ผู้เขียนหนังสือ The Memory Bible (สำนักพิมพ์ Penguin) และ The Alzheimer’s Prevention Program (สำนักพิมพ์ Workman Publishing) ยังอธิบายต่อไปว่า “ภาวะสมองตื้อเป็นประสบการณ์ความล้าของจิตใจจากการอยู่กับเทคโนโลยีมากเกินไป การมีสิ่งที่ต้องทำมากเกินไป การมีเรื่องที่ต้องคิดมากเกินไป และการเลือกดำเนินชีวิตด้วยวิถีบางอย่าง”
 
ถ้าคุณอายุมากกว่า 40 ปี อาการหลงลืมเป็นครั้งคราวที่เกิดขึ้น สามารถพัฒนาเป็นความหงุดหงิดรำคาญใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ Dr. Small ตั้งข้อสังเกตว่า “อายุเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่สุดเพียงปัจจัยเดียวสำหรับการพัฒนาภาวะความจำเสื่อม ส่วนใหญ่ของผู้มีอายุเกิน 40 ปีสังเกตตนเองว่า เริ่มมีอาการเชื่องช้าชั่วขณะและมีปัญหาเล็กน้อยในการนึกหาคำพูดที่ต้องการสื่อสาร รวมทั้งหลงลืมในสิ่งที่ตามปกติแล้วต้องนึกได้ในทันที เช่น วันเกิดของตนเอง”
 
อย่างไรก็ตาม การมีอายุระหว่าง 35-55 ปีไม่ได้หมายความว่า คุณต้องเผชิญสิ่งเลวร้ายไปเสียทั้งหมด แม้จะมีปัญหาความจำบ้าง แต่ในเวลาเดียวกัน สมองของคุณกลับแคล่วคล่องว่องไวในกระบวนการประมวลผลข้อมูลและการใช้ภาษา สาเหตุอาจเป็นเพราะการเพิ่มจำนวนของ “เนื้อเยื่อสมองส่วนสีขาว” (white matter) ที่หุ้มเซลล์ประสาทของสมอง ซึ่งทำหน้าที่เป็นฉนวนและทำให้เซลล์สมองเชื่อมโยงกันได้ดีขึ้น
 
กระนั้นก็ตาม Mark Hyman ผู้เขียนหนังสือ The UltraMind Solution (สำนักพิมพ์ Simon & Schuster) ย้ำว่า คุณสามารถกำจัดภาวะสมองตื้อไม่ให้มาแผ้วพานได้ด้วยกลยุทธ์การให้ความสำคัญกับโภชนาการ การบริหารความเครียด การออกกำลังกาย และการฝึกความจำ (mental gymnastics)
 
“ร่างกายมีอิทธิพลต่อสมองโดยตรงเป็นอย่างมาก ไม่ว่าด้านภาวะโภชนาการ ภาวะฮอร์โมนเสียสมดุล การแพ้อาหารและพิษจากอาหาร การเสียสมดุลด้านระบบย่อยอาหาร ระบบภูมิคุ้มกัน และระบบเผาผลาญ ซึ่งล้วนมีอิทธิพลอย่างมากต่ออารมณ์ พฤติกรรม สมาธิ และทัศนคติของเรา”
 
ต่อไปนี้เป็นกลยุทธ์การอัพเกรดสุขภาพสมองของคุณ
 
เลิกนั่งๆ นอนๆ
นอกเหนือจากการฝึกความจำและโภชนาการ เป็นที่พิสูจน์แล้วว่า การออกกำลังกายเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดเพียงอย่างเดียวในการเอาชนะภาวะสมองตื้อได้ ที่เป็นเช่นนี้เพราะระหว่างออกกำลังกาย ร่างกายผลิตสารเคมีในสมองซึ่งเป็นโปรตีนขนาดเล็กที่เรียกว่า BDNF (brain-derived neurotrophic factor) ซึ่ง Hyman อธิบายว่า BDNF “ทำหน้าที่เหมือนปุ๋ยหรืออาหารเลี้ยงสมองของคุณ จากการช่วยกระตุ้นให้สมองสร้างเซลล์ใหม่ และทำให้เซลล์สมองมีการเชื่อมโยงกันมากขึ้น”
 
Dr. Small แนะนำให้เลือกออกกำลังกายแบบแอโรบิกหรือแบบคาร์ดิโอ นอกจากนี้ การยกน้ำหนักก็ให้ประโยชน์มากเช่นกัน ที่สำคัญคุณต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอแทนการหักโหมเฉพาะช่วงวันสุดสัปดาห์ และถ้ามีกิจกรรมให้เลือกระหว่างการนั่งเล่นเกมปริศนาอักษรไขว้กับการออกไปเดินเล่น ให้เลือกออกไปเดินเล่นดีกว่า เพราะ “มีหลักฐานยืนยันอย่างแข็งขันว่า การออกกำลังด้านกายภาพช่วยปกป้องสมองได้มาก”
 
เขายังแนะนำอีกว่า โยคะ เต้นรำ ไท-ชิ และการออกกำลังกายที่เน้นการทรงตัวในลักษณะคล้ายคลึงกัน ช่วยกระตุ้นวงจรประสาท (neural circuits) ในสมองให้ส่งข้อมูลจากสมองไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ดี “การที่สุขภาพสมองของคุณได้รับประโยชน์จากการออกกำลังกายที่เน้นการทรงตัวและเสถียรภาพนั้น อาจเป็นผลจากรูปแบบการออกกำลังกายที่เน้นฝึกการออกกำลังจิตหรือฝึกความคิดของคุณนั่นเอง”
 
บริโภคผักผลไม้
อาการความจำเสื่อมมักเกิดควบคู่กับการที่ร่างกายมีสารต้านอนุมูลอิสระต่ำ ดังนั้น ให้เพิ่มการบริโภคผักผลไม้หลากสี โดยเฉพาะทับทิมที่อุดมไปด้วยโพลีฟีนอลส์ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระอันทรงพลัง
 
เมื่อเร็วๆ นี้ Dr. Small ทำการศึกษาที่มหาวิทยาลัย UCLA กับกลุ่มอาสาสมัครอายุระหว่าง 50-70 ปีผู้มีปัญหาความจำเสื่อมระยะเริ่มแรก โดยให้อาสาสมัครครึ่งหนึ่งดื่มน้ำทับทิมวันละหนึ่งแก้วทุกวัน อีกครึ่งหนึ่งดื่มน้ำทับทิมหลอก ผลคือ “หนึ่งเดือนหลังจากนั้น อาสาสมัครที่ดื่มน้ำทับทิมทุกวันทำแบบทดสอบด้านความจำได้คะแนนสูงกว่า เรายังพบว่า ขณะเล่นวิดีโอเกมที่ต้องใช้ความจำ พวกเขามีรูปแบบการทำงานของสมองที่แตกต่างออกไป โดยสมองส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมการมองเห็นและความจำมีการทำงานอยู่ในระดับสูงมาก”
 
ผักผลไม้อื่นๆ ที่เป็นแหล่งสร้างสารต้านอนุมูลอิสระในสมองได้ดีเยี่ยม ได้แก่ แครนเบอร์รี ลูกพรุน ลูกพลัม แบล็กเบอรี บลูเบอรี กระเทียม กะหล่ำปลีแดง และบีทรูท
 
นอนหลับให้เพียงพอ
ร้อยละ 30 ของผู้มีปัญหานอนไม่หลับต้องคิดว่า ประเด็นนอนหลับให้เพียงพอนั้นเป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำได้ยาก อย่างไรก็ตาม Dr. Small ย้ำความสำคัญของการนอนว่า เป็นช่วงเวลาที่ไม่เพียงเปิดโอกาสให้สมองและร่างกายส่งผ่านข้อมูลที่ได้รับในแต่ละวัน แต่ยังมีโอกาสได้ซ่อมแซมตัวเองด้วย นั่นคือ ภาวะที่สมองและร่างกายต่อต้านการอักเสบเพื่อต่อสู้กับภาวะเสื่อมของระบบประสาท (neural degeneration)
 
เขาแนะนำให้หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มมีกาเฟอีนในช่วงค่ำ รวมทั้งพยายามผ่อนคลายในช่วงเวลาดังกล่าว ด้วยการหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหรือความเครียด และฝึกสุขนิสัยด้านการนอนด้วยการเข้านอนให้เป็นเวลา
 
ฝึกสมาธิ
ผลการศึกษาของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดระบุว่า การฝึกหายใจลึกๆ วันละครึ่งชั่วโมงเพื่อเป็นเครื่องมือการทำสมาธินั้น ช่วยลดความเครียดและทำให้มีสมาธิเพิ่มขึ้นได้ โดยนักวิจัยทำเอ็มอาร์ไอสมองในช่วงเริ่มทำการศึกษาและหลังจากเสร็จสิ้นการศึกษา 8 สัปดาห์ พวกเขาพบว่า ผลเอ็มอาร์ไอครั้งสุดท้ายบ่งชี้ให้เห็นการเพิ่มปริมาณของเนื้อสมองส่วนฮิปโปแคมปัสซึ่งทำหน้าที่ควบคุมความจำ นอกจากนี้ อาสาสมัครสามารถสลัดความคิดวอกแวกออกไปได้ง่ายขึ้น ทำให้พวกเขามีสมาธิดีขึ้น
 
เน้นโปรตีนไม่ติดมันและปลา
โปรตีนจากปลา สัตว์ปีก ถั่ว ถั่วเปลือกแข็ง ไข่ ถั่วเหลือง เนยแข็ง หรือเมล็ดธัญพืช ล้วนจำเป็นต่อประสิทธิภาพสมอง เพราะให้กรดอะมิโนที่จำเป็นต่อการสร้างสารสื่อประสาทที่ทำให้อารมณ์ดี
 
ปลาจากธรรมชาติและน้ำมันปลา อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 ซึ่งนอกจากจะดีต่ออารมณ์ของคุณ ยังส่งผลต่อความจำด้วย สมองประกอบด้วยเซลล์หนึ่งแสนล้านเซลล์ ที่ต้องการออกซิเจนจากร่างกายคุณร้อยละ 20 และต้องใช้พลังงานที่คุณบริโภคเข้าไปอีกร้อยละ 20 แต่ละเซลล์ต้องการพลังงานเพื่อเชื่อมโยงกับเซลล์อื่นๆ ผ่านช่องว่างระหว่างเซลล์ประสาท 40,000 ซินแนพส์ (synapses)
 
อาหารสำคัญที่สุดของเซลล์คือกรดไขมันโอเมก้า-3 หากร่างกายได้รับไม่เพียงพอ ประสิทธิภาพสมองจะลดลง รวมทั้งความเร็วของการสื่อสารก็ลดลงด้วย “นำไปสู่ภาวะที่จิตใจทำงานแย่ลง มีปัญหาด้านความจำ และความผิดปกติทางอารมณ์” Hyman สรุป
 
ฝึกความจำ
พวกเราส่วนใหญ่มักมีปัญหาที่ Dr. Small เรียกว่า “constant partial attention” คือการที่เราต้องให้ความสนใจกับการทำอะไรหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน เช่น ต้องคุยโทรศัพท์ ต้องคุยกับคนรอบตัว ต้องทำงานที่อยู่ตรงหน้า และต้องเตรียมงานช่วงต่อไป ผลคือ เราทำทุกอย่างได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ถ้าได้ฝึกความจำแล้ว คุณย่อมทำอะไรได้ดีกว่าที่เป็นอยู่
 
Dr. Small แนะนำเทคนิค Look-Snap-Connect
 
Look คือ การตั้งสมาธิไปยังสิ่งที่คุณต้องการนึกให้ได้
 
Snap คือ การที่สมองของเรามีธรรมชาติในการจดจำภาพได้ดีที่สุด ดังนั้น ให้เก็บภาพสิ่งต่างๆ ไว้ในใจ
 
Connect คือการเชื่อมโยงกับสิ่งที่ง่ายต่อการจดจำในเวลาต่อมา “ให้เชื่อมโยงสองสิ่งเข้าด้วยกัน เช่น คุณรู้จักกับเพื่อนชื่อ ลิซา ให้เชื่อมโยงกับภาพวาดรอยยิ้มของโมนาลิซา ซึ่งการเชื่อมโยงไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ เพียงแต่นึกถึงอะไรก็ได้ที่เตือนความจำของคุณได้”
 
 
ที่มา: นิตยสาร GoodHealth
Column: Well – Being
เรียบเรียง: ดรุณี แซ่ลิ่ว

Submitted by Darunee Sae-liew on Wed, 08/13/2014 - 12:48
http://www.gotomanager.com/content/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1

27
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่กังวลใจกับพฤติกรรม “กินไม่หยุดปาก” ของตนเอง คุณอาจประหลาดใจยิ่งขึ้นเมื่อได้รู้ว่า มีสาเหตุหลากหลายที่ทำให้คุณมีพฤติกรรมทำลายตนเองอย่างนั้น อาทิ ฮอร์โมน ภาวะอดนอน หรือการบริโภคอาหารเช้าที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง (high–GI) นอกเหนือจากนี้ ยังมีอีก 9 สาเหตุหลักที่กระตุ้นให้คุณอยากอาหารจนกลายเป็นคน “กินไม่หยุดปาก” ดังนี้
 
1. ผงชูรส
เลปติน (leptin) เป็นฮอร์โมนที่ควบคุมความหิว เมื่อไรที่มีปัจจัยเข้าไปรบกวนการผลิตเลปตินของร่างกาย ย่อมส่งผลให้คุณอยากอาหารมากขึ้น ผลการศึกษาในสหรัฐฯ พบว่า ผงชูรส (MSG) อาจทำให้ร่างกายของคุณตอบสนองต่อการส่งสัญญาณของเลปตินได้น้อยลง
 
Rosie Mansfield นักโภชนาการกล่าวว่า สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องสำเหนียกคือ “ผงชูรสมีโซเดียมสูงมากถึงหนึ่งในสามของเกลือหนึ่งช้อนโต๊ะ หมายความว่า เมื่อบริโภคแล้วทำให้คุณกระหายน้ำ และมีคนจำนวนมากเข้าใจผิด คิดว่าอาการกระหายน้ำคือความหิว จึงยิ่งบริโภคมากขึ้น”
 
แม้ว่าร้านอาหารจำนวนมากเลิกใช้ผงชูรสไปแล้วในช่วงทศวรรษ 1990 แต่มันยังเป็นส่วนประกอบสำคัญในอาหารแปรรูปหลากชนิด เช่น ไส้กรอก ขนมปังกรอบ ขนมขบเคี้ยว ฯลฯ
 
2. การออกกำลังกาย
ขณะที่บางคนพบว่า การออกกำลังกายช่วยลดความอยากอาหารได้ดี  แต่บางคนกลับได้ผลตรงข้าม Bruce McCray เทรนเนอร์ส่วนตัวประจำสถาบัน LiveAlive กล่าวว่า “ที่เป็นอย่างนั้นเกี่ยวข้องกับชนิดของการออกกำลังกาย บางคนอาจรู้สึกหิวหลังออกกำลังกายเป็นเวลานาน (30 นาทีหรือกว่านั้น) เพราะพวกเขาต้องพยายามคงความสม่ำเสมอของจังหวะการออกแรง นั่นหมายความว่า ร่างกายของคุณเผาผลาญน้ำตาลกลูโคสมากขึ้นเพื่อนำพลังงานมาใช้ในการออกกำลังกาย”
 
อาจแก้ไขด้วยการบริโภคอาหารว่างเบาๆ ก่อนออกกำลังกายราว 30 นาที หรือแบ่งเวลาออกเป็นช่วงๆ ผลการทดลองที่ออสเตรเลียพบว่า กลุ่มตัวอย่างผู้ชายมีพฤติกรรมบริโภคน้อยลงหลังออกกำลังกายนาน 30 นาที ถ้าแบ่งออกเป็นเซตย่อยๆ โดยให้ออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงนาน 15 วินาที แล้วให้ปั่นจักรยานผ่อนคลายเบาๆ อีก 60 วินาทีสลับกัน
 
3. ดูทีวีรายการโปรด
คงไม่น่าประหลาดใจกับข้อเท็จจริงที่ว่า หากได้ดูรายการโชว์ที่เกี่ยวกับอาหารแล้วมักทำให้คุณรู้สึกหิว แต่ไม่น่าเชื่อที่การดูรายการทีวีที่นำเสนอเกี่ยวกับความตายและความรุนแรง กลับให้ผลอย่างเดียวกับการดูรายการอาหารเช่นกัน เพราะรายการเหล่านี้กระตุ้นให้จิตใต้สำนึกของเราหวนคิดถึงภาวะความตายของเราเอง
 
ศาสตราจารย์ Naomi Mandel แห่งมหาวิทยาลัยรัฐแอริโซนาอธิบายว่า “เมื่อเราคิดถึงข้อเท็จจริงที่ว่า เรากำลังจะตาย เราต้องถามตนเองว่า เรามีชีวิตตามมาตรฐานสังคมหรือไม่ คนที่มีความภาคภูมิใจในตนเองต่ำผู้ตอบว่า “ไม่” ย่อมพยายามสลัดความคิดนี้ออกไปจากหัวสมองด้วยการตั้งหน้าตั้งตากินหรือไม่ก็ดื่มอย่างหนัก”
 
ข่าวดีคือ คุณไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงรายการทีวีดังกล่าวไปทั้งชีวิต เพื่อต่อสู้กับพฤติกรรม “กินไม่หยุดปาก” เพียงหาทางเยียวยาด้วยวิธีที่น่าแปลกแต่ได้ผลชะงัดคือ “ก่อนเอื้อมมือไปหยิบขนมขบเคี้ยวเข้าปาก ให้ส่องกระจกดูตัวเอง แล้วจะช่วยลดพฤติกรรมการบริโภคมากเกินไปได้”
 
4. แบคทีเรียในลำไส้ไม่สมดุล
ศาสตราจารย์ Andrew Gewirtz แห่งมหาวิทยาลัยเอมอรี ผู้ค้นพบความเชื่อมโยงระหว่างความอยากอาหารกับแบคทีเรียในลำไส้กล่าวว่า “แบคทีเรียในลำไส้บางชนิดเป็นสาเหตุของการอักเสบเรื้อรังในระดับต่ำ ซึ่งสามารถรบกวนการส่งสัญญาณให้ร่างกายรู้สึกอิ่ม ซึ่งเป็นภาวะปกติของการตอบสนองต่อการบริโภคอาหาร”
 
อย่างไรก็ตาม เขาไม่แน่ใจว่า อะไรเป็นสาเหตุให้มีปริมาณแบคทีเรียกระตุ้นความอยากอาหารเพิ่มขึ้นในร่างกายของเรา “มีปัจจัยหลากหลายที่ทำให้เกิดภาวะแบคทีเรียในลำไส้ไม่สมดุล เช่น ภาวะติดเชื้อ การควบคุมอาหาร หรือปัญหาภูมิคุ้มกัน”
 
แต่เชื่อกันว่า การเน้นบริโภคอาหารไขมันต่ำ น้ำตาลต่ำ ช่วยให้แบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเจริญเติบโตได้ดี
 
5. น้ำมันปลา
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทน้ำมันปลาดีต่อสุขภาพผิวหนังและหัวใจของคุณมาก เพราะอาจช่วยให้การเผาผลาญไขมันในร่างกายเพิ่มขึ้นก็จริง แต่เพิ่มความอยากอาหารในคนบางคนได้เช่นกัน ผลการทดลองที่เดนมาร์กพบว่า หลังมื้ออาหารแล้ว ผู้หญิงที่บริโภคน้ำมันปลารู้สึกว่าอิ่มน้อยลงร้อยละ 20 และรู้สึกหิวเร็วขึ้นราวหนึ่งเท่าครึ่ง เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มตัวอย่างที่บริโภคน้ำมันถั่วเหลือง
 
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า การบริโภคน้ำมันปลาพร้อมอาหาร และเพิ่มอาหารประเภทเส้นใยอาจช่วยแก้ปัญหาได้
 
6. ยาฉีดคุมกำเนิด
ผลการศึกษาในสหรัฐฯ พบว่า หนึ่งในผลข้างเคียงจากการฉีดยาคุมกำเนิดคือ ทำให้อยากอาหารมากขึ้น ผู้หญิงที่คุมกำเนิดด้วยยาฉีดมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5 กิโลกรัมใน 3 ปี ซึ่งยังหาสาเหตุที่แน่ชัดไม่ได้ แต่เป็นที่รู้กันว่า ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนกระตุ้นความอยากอาหาร และการคุมกำเนิดด้วยยาฉีดทำให้ร่างกายได้รับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนในปริมาณสูงกว่าการคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น ๆ
 
อย่างไรก็ตาม ยาประเภทอื่นๆ อาจมีผลเพิ่มความอยากอาหารได้เช่นกัน John Bell แห่งสมาคมเภสัชกรรมออสเตรเลียกล่าวว่า “ยาต้านอาการซึมเศร้าโดยเฉพาะยากลุ่มไตรไซคลิกรุ่นเก่าก็ก่อให้เกิดผลอย่างเดียวกัน”
 
สิ่งเดียวที่ทำได้คือ ระมัดระวังเกี่ยวกับผลข้างเคียงจากยา และต้องใจแข็งไม่ยอมแพ้ต่อความหิว หรือไม่ก็ให้แพทย์เปลี่ยนยาให้
 
7. ดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาว
มีคนจำนวนไม่น้อยเริ่มวันใหม่ด้วยการดื่มน้ำอุ่นผสมน้ำมะนาว เพื่อให้รู้สึกสดชื่นเต็มไปด้วยพลัง Kathleen Murphy นักธรรมชาติบำบัดกลับเตือนว่า “การดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาวช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารก็จริง แต่นั่นหมายถึงการกระตุ้นความอยากอาหารด้วย”
 
การบริโภคอาหารเช้าช่วยระงับความหิวได้ก็จริง แต่ถ้าคุณรู้สึกว่า ความหิวทำให้ต้องบริโภคอาหารเช้ามากกว่าปกติแล้วล่ะก็ นักธรรมชาติบำบัดแนะนำให้เติมน้ำมันมะพร้าวเล็กน้อยลงในแก้วน้ำอุ่นที่บีบมะนาวลงไปแล้ว ซึ่งจะช่วยลดความรู้สึกหิวแสบท้องได้
 
8. ภาวะน้ำหนักตัวลด
นักวิจัยมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นระบุว่า ภาวะน้ำหนักตัวลดส่งผลให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนเกรลิน (ghrelin) มากขึ้น ทำให้คุณบริโภคมากขึ้นด้วย
 
Gabrielle Maston ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารจากสถาบัน Changing Shape กล่าวว่า “ร่างกายไม่ชอบให้เราน้ำหนักตัวลด และทำทุกวิถีทางเพื่อให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมา”
 
คุณอาจไม่สามารถหยุดยั้งน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นตามธรรมชาตินี้ได้ แต่คุณหยุดการซ้ำเติมได้ด้วยการ “นอนให้ได้วันละ 6 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย เพราะการนอนน้อยกว่านี้เชื่อมโยงกับการหลั่งฮอร์โมนเกรลินเพิ่มขึ้นในขณะที่ท้องว่าง นอกจากนี้ ให้เน้นอาหารประเภทโปรตีนและเส้นใยที่ทำให้รู้สึกอิ่มทน
 
9. กลิ่นสบู่อาบน้ำ
นักโภชนาการเตือนว่า ผลการวิจัยยืนยันว่า สบู่อาบน้ำกลิ่นผลไม้ หรือช็อกโกแลต หรือวานิลลา ที่คุณต้องสูดดมระหว่างอาบน้ำนั้น ทำให้คุณรู้สึกหิวอยากอาหารมากกว่าผู้ที่ใช้สบู่กลิ่นอื่นๆ
 
Jennifer Coelho นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย, แคนาดา ยอมรับว่า เธอไม่แน่ใจในเหตุผลว่าทำไม แต่คิดว่า การที่คุณอยู่ในภาวะ “ควบคุมอาหาร” อาจทำให้คุณทดแทนด้วยการเน้นไปที่กลิ่นอาหารแทน “ให้บริโภคอย่างระมัดระวัง เน้นอาหารจากธรรมชาติและออกกำลังกายเพื่อให้น้ำหนักตัวลด แทนการวางแผนควบคุมอาหารอย่างเข้มงวดและเคร่งครัด”
 
ที่มา: นิตยสาร GoodHealth
Column: Well–Being
เรียบเรียง: ดรุณี แซ่ลิ่ว

Submitted by Darunee Sae-liew on Wed, 08/20/2014 - 18:26

28
ณ บ้านพระอาทิตย์
       โดย...ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
       
       แม้ว่างานวิจัยบางชิ้นจะไม่สามารถหานัยยะสำคัญมากนักเกี่ยวกับสาเหตุของอัตราการเสียชีวิตระหว่างผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติกับไม่รับประทานอาหารมังสวิรัติ แต่เราก็อาจได้ข้อมูลบางโรคและบางอาการที่มีประโยชน์อยู่ไม่น้อย
       
        ในปีพ.ศ. 2545 ได้มีการศึกษาของ เดอะ เฮลธ์ ฟู้ด ชอปเปอร์ส และการศึกษาผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติโดยมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ พบว่า สำหรับ "โรคเกี่ยวกับจิตใจและระบบประสาท" นั้นการศึกษาของ เดอะ เฮลธ์ ฟู้ด ชอปเปอร์ส พบว่า "ไม่มีความแตกต่างกันมากนักระหว่างผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติ กับผู้ที่ไม่ได้รับประทานอาหารมังสวิรัติ"
       
        แต่ในขณะที่การศึกษาในผู้ที่รับประทานมังสวิรัติโดยมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด กลับพบว่าผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัตินั้นเสียชีวิตด้วยโรคระบบประสาทเป็น 2.5 เท่าตัว แต่เมื่อไม่นับการติดตาม 5 ปีแรก (ที่อาจเกิดความเบี่ยงเบน) ก็พบว่าอัตราความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตลดลงเหลือ 2.21 เท่าตัว (แต่ก็ยังมากอยู่ดี) แม้อาจจะมีคำอธิบายด้านหนึ่งว่ามันอาจเกิดความเบี่ยงเบนจากการสุ่มตัวอย่างของกลุ่มตัวอย่าง แต่ในอีกด้านหนึ่งก็มีคำอธิบายว่าอาจเป็นเพราะผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัตินั้นขาดวิตามิน บี 12 จึงทำให้ระบบประสาทผิดปกติ ส่วนที่เป็นไปได้น้อยกว่านั้นแต่ก็ไม่ควรตัดข้อสันนิษฐานนั้นไปเสียทีเดียวก็คือผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัตินั้นอาจเจ็บป่วยเพราะระดับกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่เรียกว่า DHA (Docosahexaenoic acid) ต่ำเกินไป
       
        การศึกษาและการวิเคราะห์ 2 ชิ้นที่สำคัญในการศึกษาสุขภาพของชาวแอดเวนติสท์เพื่อเปรียบเทียบ "โรคสมองเสื่อม" (Dementia) ระหว่างผู้รับประทานอาหารมังสวิรัติกับไม่ได้รับประทานอาหารมังสวิรัติโดยศึกษาผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติติดต่อกันอย่างน้อย 20 ปี โดยเริ่มต้นจากกลุ่มที่รับประทานอาหารมังสวิรัติแบบไม่ดื่มนมและไม่รับประทานไข่ (Vegan) 68 คน, ผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติที่ยังดื่มนมและรับประทานไข่ (Lacto-ovo vegetarians) จำนวน 68 คน และผู้ที่รับประทานทั้งพืชและสัตว์ (Omnivores) โดยทำการเปรียบเทียบทั้งอายุ เพศ และพื้นที่ตามรหัสไปรษณีย์ ปรากฏกว่า "คนที่ไม่รับประทานอาหารมังสวิรัติมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคสมองเสื่อมได้มากกว่าคนที่รับประทานอาหารมังสวิรัติประมาณ 2-3 เท่าตัว"
       
        อย่างไรก็ตามในปี พ.ศ. 2556 การศึกษาสุขภาพของชาวแอดเวนติสท์ครั้งที่ 2 กลับรายงานว่า"ไม่พบความแตกต่างการเสียชีวิตด้วยโรคระบบประสาทของผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติและผู้ที่ไม่ได้รับประทานอาหารมังสวิรัติ" แต่การศึกษานี้อาจมีข้อท้วงติงเพราะคำว่าผู้รับประทานอาหารมังสวิรัติได้รวมเอาผู้ที่ยังรับประทานปลาและผู้ที่รับประทานกึ่งมังสวิรัติมาผสมรวมมาเป็นกลุ่มผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติด้วย ด้วยเหตุผลนี้จึงจำเป็นต้องกล่าวถึงเพื่อให้แยกแยะในรายละเอียดต่อไป
       
        ในปี พ.ศ. 2556 การศึกษาสุขภาพของชาวแอดเวนติสท์ครั้งที่ 2 และวิเคราะห์อัตราการเสียชีวิตในรอบ 5.8 ปี โดยการศึกษาแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มดังนี้
       
        กลุ่มที่รับประทานอาหารมังสวิรัติแบบแทบไม่ดื่มนมและไม่รับประทานไข่ (Vegans) หมายถึงดื่มนม รับประทานไข่ และรับประทานปลาน้อยกว่า 1 ครั้ง/เดือน ได้จำนวน 5,548 คน
       
        กลุ่มที่รับประทานอาหารมังสวิรัติที่ยังดื่มนมและรับประทานไข่ (Lacto-Ovo) มากกว่า 1 ครั้งต่อเดือน แต่รับประทานปลาน้อยกว่า 1 ครั้ง/เดือน ได้จำนวน 21,177 คน
       
        กลุ่มที่รับประทานอาหารปลามากกว่า 1 ครั้งต่อเดือน (Pesco) และรับประทานเนื้ออย่างอื่นไม่เกิน 1 ครั้งต่อเดือน ได้จำนวน 7,194 คน
       
        กลุ่มที่รับประทานกึ่งมังสวิรัติ คือยังรับประทานเนื้อปลาและเนื้อชนิดอื่นๆมากกว่า 1 ครั้งต่อเดือนแต่ไม่เกิน 1 ครั้งต่อสัปดาห์ ได้จำนวน 4,031 คน
       
        กลุ่มที่เรียกว่ามังสวิรัติจะหมายถึงทุกกลุ่มข้างต้น และเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่รับประทานอาหารมังสวิรัติจำนวน 35,359 คน ซึ่งผลการศึกษาพบข้อมูลดังนี้
       
        ผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติโดยรวมมีอัตราการเสียชีวิตน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้รับประทานอาหารมังสวิรัติ 12% และมีน้ำหนักเทียบกับส่วนสูงน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้รับประทานอาหารมังสวิรัติ 10%
       
        ผู้ชายที่รับประทานอาหารมังสวิรัติมีอัตราการเสียชีวิตน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้รับประทานอาหารมังสิวรัติ 18% และมีน้ำหนักเทียบกับส่วนสูงน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้รับประทานอาหารมังสวิรัติ 17%
       
        ผู้ที่รับประทานอาหารมังสิวิรัติที่ไม่ดื่มนมและไม่รับประทานไข่ (Vegans) มีอัตราการเสียชีวิตน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้รับประทานอาหารมังสวิรัติ 15% และมีน้ำหนักเทียบกับส่วนสูงน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้รับประทานอาหารมังสวิรัติ 16%
       
        ผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติแต่ยังดื่มนมและยังรับประทานไข่อยู่ (Lacto-Ovo Vegetarians) มีอัตราการเสียชีวิตน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้รับประทานอาหารมังสวิรัติ 9% และมีน้ำหนักเทียบกับส่วนสูงน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้รับประทานอาหารมังสวิรัติ 8%
       
        ผู้ที่ยังรับประทานและปลาแต่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ (Pesco) มีอัตราการเสียชีวิตน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้รับประทานอาหารมังสวิรัติ 19% และมีน้ำหนักเทียบกับส่วนสูงไม่แตกต่างกับผู้ที่ไม่ได้รับประทานอาหารมังสวิรัติ
       
        ผู้ที่รับประทานกึ่งมังสวิรัติและมีการรับประทานเนื้อสัตว์อยู่บ้าง มีอัตราการเสียชีวิตน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้รับประทานอาหารมังสวิรัติ 8% และมีน้ำหนักเทียบกับส่วนสูงไม่แตกต่างกับผู้ที่ไม่ได้รับประทานอาหารมังสวิรัติ
       
        จากการศึกษาเดียวกันนี้ยังพบการบริโภคอาหารและอัตราความเสี่ยงการเสียชีวิตด้วย โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular Disease) ว่า คนที่รับประทานอาหารมังสิวิรัติมีความเสี่ยงเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้รับประทานอาหารมังสวิรัติ 13% โดยในส่วนนี้พบรายละเอียดเพิ่มเติมว่า "ผู้ชายที่รับประทานอาหารมังสวิรัติ" มีอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดและโรคหัวใจน้อยกว่าคนที่ไม่ได้รับประทานอาหารมังสวิรัติ 29% แต่มีตัวเลขสถิติที่มีนัยยะสำคัญพบว่าคนที่รับประทานอาหารมังสวิรัติแบบไม่ดื่มนมและไม่บริโภคไข่ (Vegans) มีอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดและโรคหัวใจน้อยกว่าคนที่ไม่ได้รับประทานอาหารมังสวิรัติถึง 42%
       
        การศึกษาครั้งนี้ยังพบรายละเอียดเพิ่มเติมด้วยว่าผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติมีอัตราการความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตด้วยโรคระบบประสาทน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้รับประทานอาหารมังสวิรัติ 7% (ซึ่งไม่แตกต่างกันมากนัก)
       
        จากการศึกษาเดียวกันนี้ยังพบว่าผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติจะมีอัตราความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตด้วยโรคไตน้อยกว่าผู้ที่ไม่รับประทานอาหารมังสวิรัติ 52%
       
        กลุ่มคนที่รับประทานอาหารมังสวิรัติจะมีอัตราความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตด้วยโรคเกี่ยวกับต่อมไร้ท่อ ซึ่งเป็นสาเหตุเบื้องต้นของโรคเบาหวานเบื้องต้นน้อยกว่าคนที่ไม่รับประทานมังสวิรัติ 49% แต่ในขณะเดียวกันพบว่าโรคนี้อาจมีความเกี่ยวพันกับน้ำหนักโดยกลุ่มคนที่รับประทานอาหารมังสวิรัติมีอัตราน้ำหนักเมื่อเทียบกับส่วนสูงน้อยกว่าผู้ที่ไม่รับประทานอาหารมังสวิรัติ 29%
       
        ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตโรคอื่นๆก็พบว่ากลุ่มที่ผู้ที่รับประทานอาหารมังสิวิรัติที่ไม่ดื่มนมและไม่รับประทานไข่ (Vegans) มีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่าผู้ที่ไม่รับประทานอาหารมังสวิรัติ 26%
       
        ในขณะที่ผู้ที่ยังรับประทานและปลาแต่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ (Pesco) มีอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคอื่นๆต่ำกว่าผู้ที่ไม่รับประทานอาหารมังสวิรัติ 29%
       
        การศึกษาเรื่องนี้ยังไม่จบ แต่เราจะแสวงหาความจริงกันต่อไปในตอนหน้า!!!

ASTVผู้จัดการรายวัน    12 กันยายน 2557

29
ณ บ้านพระอาทิตย์
       โดย...ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
       
        เป็นที่เชื่อกันว่าคนที่รับประทานอาหารมังสวิรัตินั้นโดยเฉลี่ยแล้วจะมีอายุยืนยาวกว่า เจ็บป่วยน้อยกว่า และมีสุขภาพที่ดีกว่าคนที่รับประทานเนื้อสัตว์ แต่ผลจากกงานวิจัยที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ จะทำให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้นว่าการรับประทานอาหารมังสวิรัตินั้นดีอย่างไร มีผลเสียและข้อควรระวังอย่างไร เมื่อเทียบกับคนที่รับประทานเนื้อสัตว์
       
        การศึกษาและวิจัยสำรวจประชากรที่รับประทานอาหารมังวิรัติในโลกนี้มีอยู่หลายชิ้น ได้แก่ การศึกษาการเสียชีวิตของชาว เซเว่น เดย์ แอดเวนติสต์ ประเทศสหรัฐอเมริการะหว่างปี พ.ศ. 2503 - พ.ศ. 2508, การศึกษาสุขภาพของชาว เซเว่น เดย์ แอดเวนติสต์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างปี พ.ศ.2527 - พ.ศ. 2540, การศึกษาของเฮลท์ ฟู้ด ชอปเปอร์ส ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างปี พ.ศ. 2519 - พ.ศ. 2531, การศึกษาผู้รับประทานอาหารมังสวิรัติของ อ๊อกซ์ฟอร์ด สหราชอาณาจักร ระหว่าง พ.ศ. 2524- พ.ศ. 2543, การศึกษาของ ไฮเดลเบิร์ก ประเทศเยอรมนี ระหว่าง พ.ศ. 2521, การสังเคราะห์งานวิจัยด้วยวิธีวิเคราะห์อภิมาน (META – ANALYSIS) บูรณาการการศึกษาที่กล่าวมาข้างต้นตั้งแต่ พ.ศ. 2503-2521 ในปี พ.ศ. 2542, รวมถึงการศึกษาของ EPIC จาก อ๊อกซ์ฟอร์ด สหราชอาณาจักร ระหว่าง พ.ศ. 2536 - ปัจจุบัน และ การศึกษาสุขภาพของชาว เซเว่น เดย์ แอดเวนติสต์ ประเทศสหรัฐอเมริการอบที่ 2 ระหว่างปี พ.ศ.2545 - ปัจจุบัน งานวิจัยเหล่านี้ทำให้เรามีความเข้าใจสุขภาพของคนที่รับประทานอาหารมังสวิรัติได้ดีขึ้น
       
        การศึกษาที่กล่าวมาข้างต้นนี้ได้เปรียบเทียบอัตราการเสียชีวิตของประชากรที่มีอายุต่ำกว่า 90 ปี ต่อประชากร 100,000 คน พบว่าในช่วงการสำรวจอัตราการเสียชีวิตของประชากรที่รับประทานอาหารมังวัรัตินั้นต่ำกว่าคนที่รับประทานอาหารโดยทั่วไปประมาณครึ่งหนึ่ง เช่น การศึกษาของ EPIC จาก อ๊อกซ์ฟอร์ด สหราชอาณาจักร พบว่าอัตราการเสียชีวิตของคนรับประทานอาหารมังสวิรัติต่ำกว่าประชากรทั่วไปถึง 52%, อัตราการเสียชีวิตของชาวมังสวิรัติ เซเว่น เดย์ แอดเวนติสต์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ต่ำกว่าประชากรทั่วไป 49%, การศึกษาของ ไฮเดลเบิร์ก ประเทศเยอรมนี พบว่าอัตราการเสียชีวิตของผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติต่ำกว่าประชากรทั่วไป 48%
       
        จากการสังเคราะห์งานวิจัยด้วยวิธีวิเคราะห์อภิมาน (META – ANALYSIS) บูรณาการงานวิจัยผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติที่กล่าวมาข้างต้นตั้งแต่ พ.ศ. 2503 -2521 ในปี พ.ศ. 2542 พบว่า คนที่รับประทานอาหารมังสวิรัติมีอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจขาดเลือด (Ischemic heart disease) น้อยกว่าคนทั่วไป 24% แต่กลับพบว่าอัตราการเสียชีวิตโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) และโรคอื่นๆนั้นมีความแตกต่างกันไม่มากนัก
       
        สำหรับผู้รับประทานอาหารมังสวิรัตินั้นยังสามารถแยกออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์แต่ยังดื่มนมและรับประทานไข่อยู่ (Lacto-ovo vegetarians) กับอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่รับประทานผลิตภัณฑ์จากสัตว์ทุกชนิดโดยที่ไม่ดื่มนมและไม่รับประทานไข่ด้วย (Vegan) จากการศึกษาของเฮลท์ ฟู้ด ชอปเปอร์ส ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างปี พ.ศ. 2519 - พ.ศ. 2531 โดยสำรวจ 11 ปีเพื่อเปรียบเทียบกับจำนวนประชากร 31,766 คน ที่รับประทานเนื้อสัตว์อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง พบผลการวิจัยในเชิงเปรียบเทียบดังนี้
       
        1. ผู้ที่รับประทานเนื้อสัตว์เป็นครั้งคราว จำนวน 8,135 คน ซึ่งเป็นผู้ที่รับประทานเนื้อสัตว์ "น้อยกว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์" พบว่ามีอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจเมื่อเทียบกับคนทั่วไปลดลง 20% และมีอัตราการเสียชีวิตด้วยสาเหตุการเสียชีวิตโดยรวมลดลงไป 10%
       
        2. ผู้ที่ "ไม่รับประทานเนื้อสัตว์" แต่ยังกินปลาอยู่ จำนวน 2,375 คน มีอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจลดลงไป 34% และอัตราการเสียชีวิตด้วยสาเหตุการเสียชีวิตโดยรวมลดลงไป 18%
       
        3. กลุ่มรับประทานอาหารมังสวิรัติแต่ยังดื่มนมและรับประทานไข่ (Lacto-ovo vegetarians) จำนวน 23,265 คน พบว่ามีอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดลดลงไปถึง 38% และมีอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจลดลงไป 34%, มีอัตราการเสียชีวิตโดยรวมลดลงไป 15%
       
        4. กลุ่มมังสวิรัติที่ไม่ดื่มนม ไม่กินผลิตภัณฑ์จากนม และไม่รับประทานไข่ (Vegan) จากจำนวน 753 คน พบว่าอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจลดลงไป 23% และอัตราการเสียชีวิตโดยรวมใกล้เคียงกับคนทั่วไป และจากการสำรวจไม่พบความแตกต่างทางสถิติอย่างมีนัยยะสำคัญในสาเหตุการเสียชีวิตระหว่างคนกลุ่มนี้กับคนที่รับประทานเนื้อสัตว์
       
        ในระหว่างการสำรวจจำนวนกลุ่มมังสวิรัติที่ไม่ดื่มนม ไม่รับประทานผลิตภัณฑ์จากนม และไม่รับประทานไข่ (Vegan) พบว่ามีการเสียชีวิตทั้งสิ้น 68 คน และสาเหตุการเสียชีวิตมากที่สุดเรียงลำดับจากมากไปน้อยดังนี้
       
        อันดับ 1 เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ 17 คน ( คิดเป็น 25% ของจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด 68 คน)
       
        อันดับ 2 เสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) 4 คน ( 5.88% ของจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด 68 คน)
       
        อันดับ 3 เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอด 2 คน ( 2.94% ของจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด 68 คน)
       
        อันดับ 4 เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร 2 คน ( 2.94% ของจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด 68 คน)
       
        อันดับ 5 เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งลำไส้ 2 คน ( 1.47% ของจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด 68 คน)
       
        อันดับ 6 เสียชีวิตด้วยสาเหตุอื่นๆที่แยกย่อยที่ไม่สามารถแยกเป็นรายโรคได้ 42 คน
       
        อย่างไรก็ตามจากการสำรวจชิ้นนี้ไม่พบการเสียชีวิตด้วยมะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมากแต่ประการใด
       
        งานวิจัย EPIC - อ๊อกซ์ฟอร์ด สหราชอาณาจักร ในปี พ.ศ. 2556 ได้มีการศึกษาเรื่องอัตราการเกิดโรคหัวใจของชาวมังสวิรัติเปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่รับประทานอาหารมังสวิรัติเลย โดยได้มีการติดตามผลและคำนวณระหว่างปี พ.ศ. 2536 ถึง พ.ศ. 2552 โดยกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นโรคหัวใจมาก่อนในการศึกษาเริ่มต้น ผลการศึกษาพบตัวเลขที่มีนัยยะสำคัญทางสถิติว่า
       
        คนที่รับประทานอาหารมังสวิรัติมีอัตราความเสี่ยงของโรคหัวใจลดลงประมาณ 30% โดยนักวิจัยเชื่อว่าความแตกต่างของอัตราความเสี่ยงของโรคหัวใจมีความแตกต่างกันนั้นขึ้นอยู่กับระดับ HDL (High Density Lipoprotein) หรือที่เรียกว่าไขมันตัวดีอยู่ในระดับต่ำ และระดับความดันเลือดของกลุ่มมังสวิรัติที่ต่ำกว่า
       
        งานวิจัย EPIC - อ๊อกซ์ฟอร์ด ในปี พ.ศ. 2554 จากการติดตามผลต่อเนื่องมา 11.6 ปี พบว่าคนที่รับประทานอาหารมังสวิรัติ มีความเสี่ยงโรคถุงผนังลำไส้ใหญ่ (Diverticular disease) ต่ำกว่าคนที่รับประทานเนื้อสัตว์ 31%
       
        งานวิจัย EPIC - อ๊อกซ์ฟอร์ด ในปี พ.ศ. 2554 พบว่าสำหรับประชากรที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป จากพบสถิติที่มีนัยยะสำคัญว่าคนที่รับประทานอาหารมังสวิรัติมีความเสี่ยงโรคต้อกระจกน้อยกว่าผู้ที่รับประทานเนื้อสัตว์อย่างมาก ดังนี้
       
        ผู้ที่รับประทานเนื้อสัตว์ระหว่าง 50-99 กรัมต่อวัน จะมีความเสี่ยงโรคต้อกระจกต่ำกว่าคนที่รับประทานเนื้อสัตว์ 100 กรัมต่อวัน 4%
       
        ผู้ที่รับประทานเนื้อสัตว์ต่ำกว่า 5 กรัมต่อวัน จะมีความเสี่ยงโรคต้อกระจกต่ำกว่าคนที่รับประทานเนื้อสัตว์ 100 กรัมต่อวัน 15 %
       
        ผู้ที่รับประทานปลาจะมีความเสี่ยงโรคต้อกระจกต่ำกว่าคนที่รับประทานเนื้อสัตว์ 100 กรัมต่อวัน 21 %
       
        กลุ่มมังสวิรัติ แต่ยังดื่มนม และรับประทานไข่ (Lacto-ovo Vegetarian) มีความเสี่ยงโรคต้อกระจกต่ำกว่าคนที่รับประทานเนื้อสัตว์ 100 กรัมต่อวันถึง 30%
       
        กลุ่มมังสวิรัติที่ไม่ดื่มนม ไม่กินผลิตภัณฑ์จากนม และไม่รับประทานไข่ (Vegan) มีความเสี่ยงโรคต้อกระจกต่ำกว่าคนที่รับประทานเนื้อสัตว์ 100 กรัมต่อวันถึง 40%
       
        งานวิจัย EPIC - อ๊อกซ์ฟอร์ด ในปี พ.ศ. 2550 พบปัญหาของผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติ Vegan (ที่ไม่ดื่มนมและรับประทานไข่) มีอัตราการเกิดโรคกระดูกเปราะสูงกว่าผู้ที่รับประทานเนื้อสัตว์ 37% แต่เมื่อปรับโดยให้ผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติรับประทานแคลเซียมเพิ่มมากขึ้นก็ไม่พบอัตราการเกิดโรคกระดูกแตกสูงอีกต่อไป โดยให้รับประทานเพิ่มแคลเซียม 525 มิลลิกรัมต่อวัน ก็จะมีอัตราการเกิดโรคกระดูกเปราะเหมือนกับคนกลุ่มอื่นๆ
       
        งานวิจัย EPIC - อ๊อกซ์ฟอร์ด ในปี พ.ศ. 2546 จากการศึกษาจากการเปรียบเทียบของสาเหตุการเสียชีวิตของประชากรกลุ่มตัวอย่าง 46,562 คน โดยในกลุ่มนี้มีผู้ที่เสียชีวิตที่เป็นคนรับประทานอาหารมังสวิรัติประมาณ 33% รายงานชิ้นนี้กลับไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยยะสำคัญระหว่างผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติกับผู้ที่รับประทานเนื้อสัตว์ รวมถึงโรคมะเร็ง โรคการไหลเวียนของโลหิต โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และโรคอื่นๆ
       
        จากงานวิจัยข้างต้นดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างที่ดูขัดแย้งกันเองอยู่พอสมควร แต่บางอย่างก็ดูเหมือนจะทำให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น แต่งานวิจัยที่กล่าวถึงข้างต้นนี้มีตัวแปรอีกหลายอย่างที่ไม่เหมือนกัน และยังมีงานวิจัยอีกหลายชิ้นที่สำคัญและจะต้องกล่าวถึงต่อไปในตอนหน้า
       
        เพื่อหาความจริงต่อไปว่าคนที่รับประทานอาหารมังสวิรัตินั้นดีจริงหรือไม่อย่างไร มีข้อดีอย่างไร และมีข้อเสียอย่างไร และสำคัญที่สุดคนที่รับประทานอาหารมังสวิรัติจะทำอย่างไรให้ห่างไกลโรคร้ายได้มากกว่าเดิม

ASTVผู้จัดการรายวัน    5 กันยายน 2557

30
ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -น่าสงสัยใครเป็นไอ้โม่งวางยาครม.พล.อ.ประยุทธ์จนทำให้ “หม่อมเหลน” ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ถูกพิษไมค์แพงเล่นงานกระทั่งไปไม่เป็น ไม่ว่าจะสวมวิญญาณนักแถระดับชาติ หรือปัดสวะ โยนขี้ ก็หนีไม่พ้น หนำซ้ำเรื่องนี้ยังอาจจะสะเทือนไปถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช. และนายกรัฐมนตรี ที่ประกาศตัวชัดเจนว่า ตั้งมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ทุจริต และใครก็ทุจริตไม่ได้
       
       หากสปอตไลต์ฉายจะจับไปเห็นแต่ “หม่อมเหลน” และข้าราชการกรมโยธาฯ กระทรวงมหาดไทย กับบริษัทเอกชน เพราะเป็นเจ้าของงาน ผู้ว่าจ้างและผู้รับงานแล้ว ต้องขอบอกว่ายังมีอีกคนที่มีส่วนนำเสนอเรื่องนี้ต่อ คสช.ซึ่งสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน และสปอร์ตไลท์สมควรส่องให้เห็นพร้อมกันด้วย ก็คือ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รองหัวหน้า คสช. และรมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่เป็นผู้ชงเรื่องให้ที่ประชุม คสช. เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2557 อนุมัติการปรับปรุงทำเนียบรัฐบาล วงเงิน 252 ล้านบาท
       
       แต่ถึงวันนี้ น่าแปลกใจที่ พล.ต.อ.อดุลย์ ผู้ซึ่งเคยได้ดิบได้ดีในตำแหน่ง ผบ.ตร. ด้วยการสนับสนุนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับลอยตัวไม่ต้องชี้แจง ไม่ต้องตอบคำถามอะไรเลย ทั้งๆ ที่เป็นผู้เสนอโครงการ และเป็นผู้จัดแจงในการปรับปรุงทำเนียบรัฐบาลเคียงคู่กับ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ซึ่งถ้าว่ากันตามความรับผิดชอบในเนื้องาน พล.ต.อ.อดุลย์ ต้องออกมาชี้แจงแถลงไขเรื่องราวความอื้อฉาวไม่โปร่งใสที่เกิดขึ้นด้วย
       
       ไม่ใช่ว่าทุกคำถามทุกความสงสัยต่างพุ่งเป้าไปที่ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล และบริษัทเอกชนเครือข่ายกลุ่มก๊วน “นกหวีด” ที่เชื่อมโยงผ่านหนึ่งในผู้ถือหุ้น บริษัท อัศวโสภณ จำกัด ผู้จัดจำหน่ายไมค์ดังกล่าว คือ นางมยุรี วศินานุกร ภรรยา ของ นพ.ประเสริฐ วศินานุกร แพทย์อาวุโสจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และกลุ่มผู้สนับสนุน กปปส. เท่านั้น
       
       แต่ไม่ว่าใครจะเป็นคนวางหมากอยู่เบื้องหลังการปล่อยข่าวดิสเครดิต ม.ล.ปนัดดา กระทบชิ่งรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ก็ชวนให้ตั้งข้อสังเกตว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเชื่อมโยงไปถึงการชี้นิ้วกล่าวหาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ของม.ล.ปนัดดา ทำนองว่ามีผู้นำอปท.บางคนนั่งเครื่องบินชั้นเฟิร์สคลาส ซดไวน์ขวดละแสน หยั่งเชิง จนมีการวิเคราะห์กันไปต่างๆ นาๆ ว่าอาจจะมีรายการยุบเลิก อปท.ตามมา ด้วยเหตุเพราะเป็นฐานเสียงกลุ่มอำนาจการเมืองเก่าที่เข้มแข็ง จนเป็นเรื่องให้ต้องเคลียร์ใจก่อนจะเลิกรากันไปหรือไม่ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นยุบเลิก อปท. แต่คำสั่งคสช.ที่ 85/2557 ลงวันที่ 15ก.ค.2557 ที่ให้หันมาใช้วิธีการสรรหาและแต่งตั้งผู้บริหารและสมาชิกสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแทนการเลือกตั้งก็ถือว่าคุมได้ระดับหนึ่ง
       
       กล่าวสำหรับงานปรับปรุงห้องประชุมทำเนียบรัฐบาล กรมโยธาธิการและผังเมือง ได้มีการเผยแพร่ประกาศราคากลางงานครุภัณฑ์จัดซื้อ งานติดตั้งระบบห้องประชุมทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2557 ผ่านเว็บไซต์ของกรมฯ ซึ่งนำไปสู่การตรวจสอบราคาเทียบกับท้องตลาดแล้วพบว่าผิดปกติ แพงเวอร์ หลายรายการ ที่หนักสุดคือ ไมค์พร้อมก้าน ราคาแสนห้า ตามมาด้วยจอภาพพลาสม่ารุ่นเก่า 5 แสน และโคมไฟเฉลี่ยชุดละแสน กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างต่อเนื่อง
       
        “ASTVผู้จัดการออนไลน์” ได้ตรวจสอบในเว็บไซต์ของกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบการปรับปรุงห้องประชุมทำเนียบฯ ครั้งนี้ พบว่า มีการประกาศราคากลางงานครุภัณฑ์จัดซื้อ งานติดตั้งระบบห้องประชุมทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2557 รายละเอียดตามลิงก์http://www.dpt.go.th/eprocurement_v3/special/dptauction_specialinfo.php?special_no=257
       
       การประกาศราคากลางดังกล่าว เป็นงานติดตั้งระบบเสียง ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง และระบบ video conferrence ห้องประชุม 501, 301 และ 302 ของตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล มีรายชื่อกรรมการราคากลาง ประกอบด้วย นายอธิราช กนกเวชยันต์ ผู้อำนวยการกองมาตรฐานกลาง นายวรสันต์ อิฐรัตน์ นายช่างโยธาอาวุโส นายอดิสัย ศิริถาพร นายช่างโยธาชำนาญงาน ประมาณราคาเมื่อวันที่ 30 ก.ค.  2557 แบ่งเป็นค่าวัสดุและค่าแรงงาน 63,540,450 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่ม 4,447,831.50 บาท รวมทั้งสิ้น 67,988,282 บาท
       
       เมื่อแยกเป็นแต่ละห้องพบว่า ห้อง 501 ประมาณราคาทั้งสิ้น 32,095,480 บาท แบ่งเป็นระบบเสียงประมาณ 1.2 ล้านบาท ระบบภาพ (vdo wall) 9.2 ล้านบาท ระบบไมโครโฟนชุดประชุม 19,234,450 บาท ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง 2.46 ล้านบาท, ห้อง 301 ประมาณราคาทั้งสิ้น 20,540,910 บาท แบ่งเป็นระบบเสียงประมาณ 4.9 แสนบาท ระบบภาพ (vdo wall) 6.9 ล้านบาท ระบบไมโครโฟนชุดประชุม 11,719,370 บาท ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง 1.397 ล้านบาท, ห้อง 302 ประมาณราคาทั้งสิ้น 8,534,080 บาท แบ่งเป็นระบบเสียงประมาณ 4.9 แสนบาท ระบบภาพ (vdo wall) 3.5 แสนบาท ระบบไมโครโฟนชุดประชุม 6,969,980 บาท ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง 7.2 แสนบาท และ ระบบ video conferrence รวม 3 ชุด 2,369,980 บาท
           
           สำหรับประมาณราคาระบบไมโครโฟนชุดประชุมที่กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อยู่ในขณะนี้ พบว่า เป็นไมโครโฟนยี่ห้อ BOSCH รุ่น DCNM-MMD ราคาประมาณชุดละ 139,690 บาท ก้านชุดละ 18,300 บาท รวมไมโครโฟนพร้อมก้านชุดละ 157,990 บาท ติดตั้งในห้องประชุม 501 จำนวน 100 ชุด ห้องประชุม 301 จำนวน 56 ชุด ห้องประชุม 302 จำนวน 25 ชุด รวมทั้งหมด 181 ชุด เป็นเงินทั้งสิ้น 28,596,190 บาท
       
       นอกจากนี้ ยังเป็นที่น่าสังเกตว่า ประมาณราคากลางระบบภาพ (vdo wall) ของแต่ละห้องประชุมนั้น เป็นจอพลาสมา C60PW120 ขนาด 60 นิ้ว ราคาจอละ 529,870 บาท ติดตั้งที่ห้องประชุม 501 จำนวน 16 จอ ห้องประชุม 301 จำนวน 12 จอ รวมทั้งหมด 28 จอ เมื่อรวมราคาจอพร้อมขาตั้งยึดผนังอันละ 19,270 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 15,375,920 บาท
       
       จากการตรวจสอบ พบว่า จอพลาสมา C60PW120 ขนาด 60 นิ้ว ดังกล่าว เป็นของยี่ห้อ LG และเป็นรุ่นที่ไม่ได้มีการทำตลาดแล้ว เนื่องจากเป็นจอที่ใช้เทคโนโลยีเก่า ให้ความละเอียดของภาพเพียง 1,365 x 768 พิกเซล ขณะที่ในปัจจุบัน LG มีการวางจำหน่ายจอภาพขนาด 60 นิ้วหลายรุ่น ซึ่งมีความละเอียดสูงกว่า แต่ราคาต่ำว่า เช่น รุ่น 60PA6500 ซึ่งเป็นจอพลาสมาเช่นเดียวกันแต่ให้ความละเอียดระดับ Full HD หรือ 1980x 1080 พิกเซล ราคาเพียง 49,900 บาท หรือ รุ่น 60LB582T ขนาด 60 นิ้ว เป็นจอแอลอีดี ความละเอียด Full HD หรือ 1980 x 1080 พิกเซล มีราคาเพียง 52,559 บาท หรือแม้กระทั่งรุ่นที่มีความละเอียดระดับ 4K ซึ่งเป็นความละเอียดสูงสุดของจอภาพที่มีวางจำหน่ายในท้องตลาดปัจจุบัน อาทิ รุ่น UHD 65LA9650 ขนาดจอ 65 นิ้ว ก็มีราคาเพียง 70,900 บาทเท่านั้น
       
       ในส่วนของประมาณราคาระบบไฟฟ้าแสงสว่าง ประกอบด้วย โคมไฟ ยี่ห้อDIMMABLE LED พร้อมไดร์ฟเวอร์ จำนวน 3 ขนาด ตั้งแต่ราคา 95,380 บาท 65,510 บาท และราคาสูงสุด 139,690 บาท รวมราคา 300,580 บาท นอกจากนี้ ยังมีราคาเครื่องควบคุมสวิตซ์เปิดปิด รวมถึงระบบวีดีโอ คอนเฟอร์เรนซ์ 3 ชุดมูลค่ารวม 2,080,950 บาท ก็ถูกมองว่าเป็นราคาที่สูงเกินไป
       
       การจัดซื้อไมโครโฟนห้องประชุมครม.ที่ทำเนียบรัฐบาลซึ่งถูกวิจารณ์ว่าโคตรแพงคราวนี้ มีคำอธิบายว่า นี่เป็นไมค์สุดยอดไฮเทคเพราะมีความพิเศษนอกจากเสียงจะชัดใส ป้องกันเสียงรบกวน จะมีทั้งไมค์แบบธรรมดาและแบบมีออฟชั่นพิเศษสามารถเชื่อมต่อกับเชิร์ฟเวอร์ ระบบบบันทึกข้อมูล มีระบบล็อคข้อมูลและการป้องกันการแฮ็กข้อมูล โดยมีซอฟแวร์พิเศษการควบคุม ส่วนหน้าจอมีขนาด 7 นิ้ว มีลำโพงในตัว เป็นระบบสัมผัสเหมือนกับแท็บเล็ต โดยจะเป็นระบบแอนดรอยด์พิเศษ ที่ผู้เข้าร่วมประชุมสามารถเข้าชมเว็บไซต์ หรือ ท่องอินเตอร์เน็ตได้ด้วย
       
       ราคาค่าวัสดุและอุปกรณ์ที่แพงเว่อร์ ทำให้นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ทำหนังสือร้องเรียนถึงผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้เข้ามาตรวจสอบกระบวนการจัดซื้อไมโครโฟนประจำทำเนียบรัฐบาล ในราคาตัวละกว่า 145,000 บาท ว่าแพงเกินเหตุหรือไม่ หลังจากมีการตรวจสอบพบว่าไมโครโฟนดังกล่าวมีราคาเพียง 1981.95 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือประมาณ 63,422 บาทเท่านั้น ซึ่งการจัดซื้อจัดหาไมโครโฟนในราคาแพง ถือเป็นสิ่งที่ขัดต่อหลักความประหยัดค่าใช้จ่ายที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้า คสช. พูดมาโดยตลอด
       
       หลังจากเรื่องราวลุกลามบานปลายใหญ่โต ม.ล.ปนัดดา ก็ปัดสวะพ้นตัวว่าเรื่องยังไม่ได้มีการส่งผ่านมาถึงตน และโยนไปยังอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง ที่ให้สัมภาษณ์ว่ายังไม่มีการลงนามทำสัญญาใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นปัญหาใดทั้งหลายจะเกิดขึ้นไม่ได้ ความโปร่งใสในช่วงนี้ต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีใครจะไปกล้าทุจริตคดโกง เพราะคนเกรงใจนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.
       
       ขณะที่ นางสาวศิระภา วาระเลิศ รองอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง รับผิดชอบงานกำกับดูแลบูรณะทำเนียบรัฐบาล ออกมาปฏิเสธว่า ไมโครโฟนตัวละ 145,000 บาท ไม่เป็นความจริง และไม่ใช่ราคาสุดท้าย ซึ่งกรมโยธาธิการฯ จะต่อรองให้ได้ราคาที่ต่ำที่สุดในราคาพิเศษของทำเนียบรัฐบาลและยืนยันว่ากรมโยธาธิการฯ ดำเนินการถูกต้องทุกขั้นตอนแล้ว       
       
       แต่ไม่ว่าจะปัดสวะ ปฏิเสธกันอย่างไรก็ไม่อาจทำให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์เงียบลงได้ กระทั่งเมื่อวันที่ 10 ก.ย.ที่ผ่านมา นายมณฑล สุดประเสริฐ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง พร้อมด้วยตัวแทนบริษัทนำเข้าอุปกรณ์ระบบโสตทัศนูปกรณ์ ร่วมแถลงชี้แจงว่า ราคาไมค์ 145,000 บาท เป็นเพียงราคาประมาณการที่ตั้งขึ้นเพื่อขออนุมัติงบ แต่เมื่อมีการต่อรองราคาแล้ว ได้ข้อสรุปจัดซื้อในราคา 94,250 บาท และยืนยันว่า ยังไม่มีการเบิกจ่ายเงินล่วงหน้าร้อยละ 15 ตามที่ปรากฏเป็นข่าว เพราะยังไม่มีการลงนามในสัญญากับเอกชน แต่ยอมรับว่าบริษัทเอกชนได้ดำเนินการติดตั้งแล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างการทดสอบใช้งาน พร้อมชี้แจงเหตุผลในการจัดซื้อไมโครโฟน รุ่น DCNM-MMD ของบริษัท Bosch Security Systems เนื่องจากเป็นรุ่นล่าสุดและมีคุณภาพดีที่สุดในโลก ซึ่งยังไม่มีหน่วยงานราชการใดในประเทศไทยติดตั้ง
       
       ส่วนการติดตั้งจอพลาสมา ในราคาสูง ขณะนี้ได้ปรับเปลี่ยนเป็นการติดตั้งระบบLED แทน เนื่องจากมีความคมชัดและมีราคาต่ำกว่า โดยมีราคาจัดซื้อประมาณ 300,000 บาท แต่ยังไม่มีการสรุปตัวเลข เพราะอยู่ระหว่างการเจรจาต่อรอง พร้อมกับยืนยันว่า การดำเนินการเป็นไปอย่างโปร่งใส และพร้อมรับการตรวจสอบทั้งทางอาญาและทางวินัยหากพบการทุจริตเกิดขึ้น
       
       อธิบดีกรมโยธาธิการฯ ประกาศชัดว่า “...พร้อมรับการตรวจสอบทั้งทางอาญาและทางวินัย...” นั่นอาจหมายความว่า เร็วๆ นี้คงมีรายการเชือดแพะสังเวย เพื่อให้คำมั่นสัญญาต่อประชาชนของ พล.อ.ประยุทธ์ คงความขลังและศักดิ์สิทธิ์
       
        “นับจากวันนี้ คสช.ขอยืนยันว่าจะไม่มีการทุจริต หรือเรียกร้องผลประโยชน์แม้แต่บาทเดียว หากใครพบหรือถูกเรียกรับใดๆ ให้แจ้งมา จะดำเนินการตรวจสอบและลงโทษทันที” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช. ประธานประชุมคณะกรรมการนโยบายและการบริหารจัดการข้าว หรือ นบข. ครั้งที่ 1/2557 วันที่ 1 ก.ค. 2557
       
       “...การทุจริตจะต้องไม่มี จะต้องหยุดให้ได้ในระยะเวลานี้และต่อไป...”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช. /  รายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ”  วันที่ 7มิ.ย. 2557
       
       “...ผมต้องใช้การตรวจสอบที่ดี ผมต้องวางแผนตรงนี้ไว้แล้ว ผมคงไม่ให้มีการอนุมัติโดยการที่เรียกว่ายัดไส้อะไรทำนองนี้ ไม่ได้หรอก ผมไม่ยอมอยู่แล้ว ตัวผมเองตั้งมั่นว่าเราไม่ทุจริต แต่ใครก็ทุจริตไม่ได้” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช.และนายกรัฐมนตรี / รายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ" 29 ส.ค. 2557
       
       จะว่าไปแล้ว การจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยราชการที่แพงเวอร์เกินเหตุ ทั้งการจัดซื้อจัดจ้างปกติหรือการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นซ้ำซากทุกยุคทุกสมัยไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล ใด ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใด แม้แต่หน่วยงานที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นเลยอย่างทำเนียบรัฐบาลหรือรัฐสภา ศูนย์กลางอำนาจก็ยังไม่เว้น
       
       คงจำกันได้เรื่องนาฬิกาโคตรแพงของรัฐสภา ที่ปูดขึ้นมาในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 วงเงิน 2.5 ล้านล้านบาท สมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งนายวัชระ เพชรทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ พูดถึงเรื่องการผลาญงบของสภาผู้แทนราษฎร อาทิ การปรับปรุงห้องสื่อมวลชน 5 ล้านบาท เปลี่ยนไมโครโฟนในห้องประชุมสภา 80 ล้านบาท ติดกล้องวงจรปิด 30 ล้านบาท ค่าเก็บขยะ 2.3 ล้านบาทต่อปี
       
       ที่สำคัญคือ การจัดซื้อนาฬิการะบบดิจิตอล ที่ติดผนัง 240 เรือน เรือนละ 7.5 หมื่นบาท รวมเป็นเงิน 15 ล้านบาท ทำให้เกิดคำถามว่ามันโคตรนาฬิกาหรือไรทำไมถึงแพงนัก และทำไมต้องซื้อถึง 240 เรือน จะเอาไปติดตั้งตรงไหนหนักหนา กระทั่งนายนุกูล สัณฐิติเสรี รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่โฆษกสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ออกมาชี้แจงถึงความอัจฉริยะของโคตรนาฬิกา รวมค่าใช้จ่ายสำหรับการควบคุมเวลาและการบริหารเวลาภายในรัฐสภาทั้งระบบซึ่งเป็นเรื่องเทคโนโลยีชั้นสูง
       
       คำอธิบายของนายนุกูล ถึงความไฮเทคโนโลยีของระบบนาฬิกาไม่ต่างกับการอธิบายความไฮเทคของไมค์ทำเนียบรัฐบาลว่าอุปกรณ์ที่เป็นตัวแสดงผลที่มีความเที่ยงตรงตลอดเวลา มีการเชื่อมต่อกับดาวเทียม และระบบอินเตอร์เน็ต เพื่อส่งสัญญาณเวลาให้กับนาฬิกาเครื่องลูกข่ายทั้งหมด รวมถึงมีการ Back Up ระบบเวลาให้กับชุดควบคุมนาฬิกาหลัก ให้สามารถรักษาเวลาต่อเนื่องในกรณีไฟฟ้าดับ ได้ไม่น้อยกว่า 8 ชั่วโมง และยังมีคอมพิวเตอร์ แอปพลิเคชั่น และระบบการเชื่อมต่อกับมาตรฐานเวลาในระบบของสำนักมาตรวิทยา กระทรวงวิทยาศาสตร์ อุปกรณ์ และระบบการเชื่อมต่อที่มีประสิทธิภาพ โดยใช้สายใยแก้วนำแสง Fiber Optic สำหรับเชื่อมโยงระหว่างอาคารที่มีความเสถียรสูง
       
       เวลานั้น นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย โพสต์ข้อความผ่าน เฟซบุ๊ก ชูวิทย์ I'm No.5 ว่า "นาฬิกาดังกล่าวติดอยู่ทั่วพื้นที่ของรัฐสภา มีทั้งติดอยู่เหนือประตูห้องสูบบุหรี่ของ ส.ส. ใกล้ห้องอาหาร นาฬิกานี้มีมูลค่า 75,000 บาทต่อเรือน แน่นอนว่าเป็นราคาที่ "สูงมาก" และผมก็ไม่เห็นเหตุผลใดที่จะต้องซื้อนาฬิกาเรือนละ 75,000 บาท เพื่อเอามาแขวนเหนือประตูห้อง ไม่ว่าจะเป็นห้องทำงาน ห้องสูบบุหรี่ หรือห้องน้ำ ผมไม่อยาก "โต้เถียง"  ถึงการสิ้นเปลืองเงินจากผู้เสียภาษี แต่นี่มันมากเกินไป นาฬิกาไซโก้ ราคา 1,500 บาท ก็ใช้แขวนได้ เดินตรงเวลาและทนทาน"
       
       หลังจากนั้น ไม่นาน นาฬิกาโคตรแพงก็เดี้ยง หยุดเดินไปเฉยๆ หลายเรือน สร้างตำนานอื้อฉาวให้เล่าขานต่อเนื่องมาถึงไมค์ไฮเทคแห่งทำเนียบรัฐบาล ณ เวลานี้
       
       หากจะปราบโกงคงต้องฟังข้อคิดจากคนๆ นี้ นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น “อยากฝาก คสช.เอาไว้ในคำพูดของลอร์ดแอคตันว่า อำนาจนำมาซึ่งการคอร์รัปชั่น อำนาจที่เบ็ดเสร็จยิ่งทำให้คอร์รัปชั่นได้อย่างไม่จำกัด อยากฝาก พล.อ.ประยุทธ์ ว่าถ้าจะแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นต้องใช้อำนาจเบ็ดเสร็จอย่างผู้นำจีน พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเอาตนเองเป็นต้นแบบ ไม่เช่นนั้นหาวิธีแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นไปอีกกี่ปีก็ไม่สำเร็จ...."

ASTVผู้จัดการรายวัน    13 กันยายน 2557

หน้า: 1 [2] 3 4 ... 28