กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ โดยศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านชีววิทยาศาสตร์ (TCELS) ร่วมรณรงค์ พ่อแม่ผู้ปกครองใส่ใจการเจริญเติบโตของเด็ก อย่างมีคุณภาพ โดยมอบหมายศูนย์เวชศาสตร์ อายุรวัฒน์ นานาชาติ ให้ความรู้ประชาชน เพื่อความเข้าใจ ที่ถูกต้องในการเลือกบริโภคอาหารและยาอย่างมีคุณภาพ
นายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการ ศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า พ่อแม่หลายคนเป็นกังวลที่บุตรหลานโตเร็วเกินไป หลายคนคิดว่าเป็นเพราะอาหารที่ รับประทานเข้าไป ซึ่งความจริงไม่เพียงแต่อาหารเท่านั้นที่ส่งผลโดยตรง ยาเองก็มีส่วน สำคัญเช่นเดียวกัน น่าแปลกที่เด็กยุคใหม่ถูกจับให้กินยาประจำหลายขนานราวกับผู้ใหญ่ โดยเฉพาะเด็กที่เป็นภูมิแพ้ที่จะต้อง กินยาหลังอาหารทุกมื้อ
โดยส่วนตัวแล้วมองว่า เด็กไทยเป็นเด็กที่น่าสงสาร ถ้ามีการเก็บสถิติคงติดอันดับต้นในเรื่องการกินยา เพราะความกลัวที่เด็กจะไม่หาย โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งจึงใช้นโยบายทางลัด นำยาที่แรงที่สุดเสี่ยงที่สุด มาใช้ก่อนแทนที่จะใช้ตามหลักวิชาการแพทย์ อัตราการใช้ยาที่ไม่เหมาะสมจึงเยอะขึ้นมากในปัจจุบัน ถึงขนาดว่าเด็กยังไม่มีอาการติดเชื้อ แต่ก็ให้ยาฆ่าเชื้อขั้นแรงสุดไว้ก่อนแล้วด้วยเหตุผลง่ายๆ คือสะดวก ทั้งที่ความจริงการให้ยายิ่งเยอะยิ่งกดภูมิคุ้มกันเด็ก ทำให้โรคที่เป็นจะดีขึ้นในตอนแรก แต่หลังจากนั้นจะ พบกับสภาพที่หนักกว่าเดิม โดยเฉพาะเด็กน้อย ที่กำลังโต ทำให้เด็กตกอยู่ในสภาวะป่วยด้วยยา
นายแพทย์กฤษดากล่าวว่า พ่อแม่ ไม่ควรตื่นเต้นกับโฆษณาชวนเชื่อสวยงามของโรงพยาบาลเอกชนต่างๆ แท้จริงแล้วโรงพยาบาลที่ดีที่สุดของลูกคือโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย ที่มีทั้งเครื่องมือและหมอที่เชี่ยวชาญประจำอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง การจ่ายยาจะให้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น
อย่างไรก็ตามตนมีวิธีตรวจสอบเบื้องต้น ง่ายๆ ด้วยตัวเองว่าลูกเรากำลังจะอยู่ในกลุ่มป่วยด้วยยาหรือไม่ดังนี้คือ
1.ยาภูมิแพ้และยาฆ่าเชื้อ แก้แพ้ ทำให้เด็กเรียนหนังสือไม่รู้เรื่องได้ ยิ่งหลายขนาน ยิ่งมีโอกาสตีกันกับยาชนิดอื่น ความน่ากลัว ของมันอยู่ที่การต้องกินต่อเนื่องนานๆ ถ้าไม่จำเป็นเมื่อแพ้หายแล้วควรหยุดใช้ ในเด็กที่ได้ยาฆ่าเชื้อนานๆ ภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอจน ป่วยง่าย และยาฆ่าเชื้อบางชนิดเป็นตัวกระตุ้นไข้ได้เองถ้าใช้ติดต่อกันนาน(Drug fever)
2.ยาสเตียรอยด์ ตัวร้ายสุดมีทั้งแบบ พ่นจมูก พ่นคอ ยากิน และ ยาทา สเตียรอยด์ ที่ว่าเป็นยายอดนิยมที่ถูกจ่ายให้คนไข้ภูมิแพ้ มากโดยฤทธิ์ของมันจะไปปิดกระดูกให้หยุดโต เด็กจะตัวแกร็นและอ้วนฉุ ที่สำคัญคือจะไปทำให้กระดูกผุ ปิดกั้นความสูงของเด็กจน เสียโอกาสไปในเด็กวัยกำลังโต
3.ยาขยายหลอดลม ยากลุ่มนี้มีที่ใช้มาก แต่หากได้มากก็จะทำให้เด็ก กระวนกระวาย คล้ายไฮเปอร์ลามไปถึงใจสั่น ทรมานถึงขนาด เรียนไม่รู้เรื่อง หงุดหงิดง่าย นอนไม่หลับ ทั้งคืนได้ ก็ขนาดในผู้ใหญ่ตัวโตๆ ยังทำให้ใจ สั่นตาค้างได้ ถ้าในเด็กยิ่งน่าห่วง
4.ยาลดน้ำมูกแบบเมาๆ ยาน้ำลดน้ำมูก ที่นิยมกันมีการใส่ แอลกอฮอล์ เข้าไปมาก ทำให้ รสอร่อย เช่น รสองุ่น รสส้ม จิบไปแล้วเด็กจะ ไม่ตื่นมาโยเยเพราะเมาจากยาที่ผสมแอลกอฮอล์ เป็นเด็กขี้เมาไป 5.ยาแก้ปวด อย่าเห็น พาราเซตามอลเป็นเรื่องเล่นๆ ดูเป็นยาปลอดภัยแต่อันตราย เพราะถ้าใช้ผิดขนาดเช่นเอาของผู้ใหญ่มาแบ่งครึ่งให้เด็กก็อาจทำอันตรายต่อตับ ของเด็กได้ ในเด็กควรเลือกยาที่เฉพาะกับเด็กโดยตรงจะดีกว่าครับ
6.ยาลดไข้ ไม่ธรรมดาเหมือนกัน โดยเฉพาะยาลดไข้กลุ่ม เอ็นเสด (NSAIDs) อย่างไอบูโพรเฟ่น ที่เด็กป่วยไข้เลือดออกกินแล้วอาจชักได้ ในเด็กที่มีไข้ยังไม่ทราบสาเหตุไม่ควรให้ยาลดไข้กลุ่มเร็วสั่งได้นี้เพราะ มีสิทธิ์ที่จะทำให้ช็อกได้มาก
7.ยาธาตุ เด็กน้อยปวดท้องบ่อยมักถูกป้อนด้วยยาธาตุ เอามหาหิงคุทาพุงจนกลิ่นตลบ ในเด็กโรคกระเพาะถ้าได้ยาธาตุน้ำขาวพวกอะลั่มมิลค์บ่อยเกินไปยาจะไปยับยั้งการดูดซึมแร่ธาตุ,วิตามินรวมถึงยาอื่น การได้ธาตุอะลูมิเนียมจากยาน้ำขาวพวกนี้มาก ไปก็อาจมีผลต่อสมองได้
8.ยาระบาย ไม่ว่าแบบน้ำ เม็ด หรือยาสวนก้น ต้องดูสุขภาพเด็กให้ดี ถ้ามีอาการ เพลีย ซึมขาดน้ำอยู่แล้วยาถ่ายที่ทำให้ท้องเสียอันตรายถึงช็อกได้ ในเด็กท้องผูกต้องดูแผล ปากทวาร(Anal fissure)ให้ดีก่อนสวน
9.ยาช่วยนอน ในเด็กแทบไม่มีที่ใช้ ถ้าเด็กน้อยนอนไม่หลับจริงให้หาสาเหตุให้เจอก่อน รวมไปถึงยาที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท เด็กด้วย อย่างยาแก้โรคสมาธิสั้น ที่กินแล้วเด็ก จะนิ่งจริงแต่เป็นแบบหุ่นยนต์ ดูเนือยๆ ทำตามคำสั่งได้ การรักษาที่ดีต้องใช้พฤติกรรมบำบัดและกิจกรรมบำบัดควบคู่ไปด้วยจะดีที่สุด
10.วิตามินสังเคราะห์ ในเด็กที่กินอาหารไม่ครบ วิตามินเสริมเป็นพระเอกช่วยที่ดี แต่ต้องระวังวิตามินประเภทสังเคราะห์อย่างกรดวิตามินเอ วิตามินอีหรือว่าน้ำมัน ตับปลาที่มากเกินไปเพราะอันตรายต่อตับได้
ทั้งนี้เมื่อเช็คยาลูกแล้วว่ามียาดังกล่าว อยู่ก็ใช่ว่าจะให้ทิ้งทันที เนื่องจากยาพวกนี้สะสมอยู่ในตัวเด็กนานนับเดือนนับปี ถ้าหยุดปุบปับเลยเด็กอาจมีอาการทรุดลงได้ อย่างยาสเตียรอยด์ที่เด็กภูมิแพ้ได้นานๆ การหยุดแบบหักดิบจะทำให้ต่อมหมวกไตไม่ทันตั้งตัว ทำงานไม่ทันกลายเป็นโรคป่วยด้วยต่อมหมวกไตได้
แนวหน้า 4 มีนาคม 2555