แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - story

หน้า: [1] 2 3 ... 536
1
เกียว​โด​นิวส์​ (15​ พ.ค.)​ ข้อมูลที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติรวบรวมเมื่อวันอังคาร ระบุว่า มีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปในญี่ปุ่นประมาณ 68,000 คน​ เสียชีวิตตามลำพังที่บ้านโดยไม่มีใครสังเกตเห็น

ตัวเลขเบื้องต้นของตำรวจระบุว่า ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม​ มีผู้เสียชีวิต “อย่างโดดเดี่ยว” ทั่วประเทศ 21,716 ราย เกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนดังกล่าว หรือ 17,034 ราย มีอายุ 65 ปีขึ้นไป

หน่วยงานตำรวจคาดว่าจะรวบรวมข้อมูลต่อไป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหานี้ ในขณะที่ประเทศกำลังต่อสู้กับสังคมสูงอายุอย่างรวดเร็ว

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้เพิ่มความพยายามในการต่อสู้กับความโดดเดี่ยวทางสังคมและความเหงาในหมู่ผู้คนในญี่ปุ่น รวมถึงการผ่านกฎหมายที่เกี่ยวข้องในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2566​ ที่ผ่านมา

การตายอย่างโดดเดี่ยวหมายถึงการที่บุคคลหนึ่งเสียชีวิตโดยไม่มีใครเห็น โดยมีช่วงเวลาหนึ่งผ่านไปก่อนที่จะพบศพ

ข้อมูลระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม​ การเสียชีวิตในบ้านของกลุ่มคนที่อยู่ตามลำพัง รวมถึงกรณีการฆ่าตัวตาย พบว่ากลุ่มผู้ที่มีอายุ 85 ปีขึ้นไป​ มีจำนวนสูงสุดที่ 4,922 คน

ในบรรดาผู้ที่มีอายุ 75 ถึง 79 ปี มีรายงานผู้เสียชีวิต 3,480 ราย ขณะที่ผู้ที่มีอายุ 80 ถึง 84 ปีเสียชีวิตเพียงลำพัง 3,348 ราย ผู้ที่มีอายุระหว่าง 70 ถึง 74 ปี รวม 3,204 ราย รองลงมาคือ 2,080 รายในช่วงอายุ 65 ถึง 69 ปี


15 พ.ค. 2567  ผู้จัดการออนไลน์


2
โรงพยาบาลดังบึงกาฬ ประกาศผ่านเฟซบุ๊กเหลือแพทย์คนเดียว หลังหมอลาออก-ไปเรียนต่อ ต้องให้พยาบาลช่วยตรวจสั่งจ่ายยาแทน เร่งขอยืมหมอรพ.ใกล้เคียง

เมื่อวันที่ 15 พ.ค.2567 ผู้สื่อข่าวจังหวัดบึงกาฬ ได้เดินทางไปที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง หลังจากมีกรณีดราม่า เพจเฟซบุ๊กโรงพยาบาล โพสต์ประกาศประชาสัมพันธ์ เมื่อวันที่ 14 พ.ค.ผ่านมา ระบุข้อความว่า ตั้งแต่วันที่ 27-31 พ.ค. 2567 โรงพยาบาลจะมีแพทย์ประจำเหลือ 1 คน และต้องดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน

จึงได้กำหนดให้มีแนวทางแก้ปัญหาการให้บริการดังนี้
1.ประสานยืมแพทย์ช่วยตรวจจากโรงพยาบาลข้างเคียง
2.ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน, ความดันโลหิตสูง, สุขภาพจิต, ไทรอยด์ ที่มีนัดในช่วงดังกล่าว ผู้ป่วยสามารถมารับบริการได้ตามปกติ โดยหากผลตรวจปกติ หรืออาการป่วยคงที่ พยาบาลวิชาชีพจะสั่งยาเดิมให้ (ไม่ต้องพบแพทย์) และจะปรึกษาแพทย์ ในรายที่มีผลเลือดผิดปกติ หรืออาการผิดปกติเท่านั้น
3. ผู้ป่วยคลอดและอุบัติเหตุฉุกเฉินให้บริการ 24 ชั่วโมง โรงพยาบาลจึงขอแจ้งให้ผู้รับบริการทราบ และต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้ หากการบริการเป็นไปอย่างล่าช้ากว่าปกติ โรงพยาบาลจะให้บริการได้ตามปกติ ตั้งแต่เดือนมิ.ย.67 เป็นต้นไป

จากเหตุการณ์ดราม่าขาดแคลนแพทย์ดังกล่าว ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางเข้าพบ เพื่อสอบถามปัญหากับ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล โดยได้รับการชี้แจงถึงปัญหาที่เกิดขึ้นว่า เนื่องจากมีแพทย์ได้ลาออกช่วงปลายเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ประกอบกับแพทย์ที่มีอยู่ก็ไปศึกษาต่อ

ทำให้แพทย์ในโรงพยาบาลที่มีน้อยอยู่แล้วจึงขาดแคลน และอำนวยความสะดวกให้กับผู้มาใช้บริการไม่ทั่วถึง จึงได้แก้ปัญหา โดยให้พยาบาลช่วยตรวจ และประสานยืมแพทย์จากโรงพยาบาลข้างเคียงมาช่วย แต่ก็อาจช่วยได้ไม่เต็ม เพราะเรายืมมาเขาก็ขาด เหตุการณ์ก็จะวนอยู่อย่างนี้

อย่างไรก็ตามการขาดแคลนแพทย์ ก็มีหลายโรงพยาบาลเช่นเดียวกัน ทั้งนี้โรงพยาบาลจะให้บริการกลับมาปกติช่วงเดือนมิ.ย.67 เป็นต้นไป แต่ก็คงจะยังให้บริการไม่ได้เต็มที่

15 พ.ค.2567
ข่าวสด

3
เพจ “หมอแล็บแพนด้า” เผยภาพถุงกระดาษที่ใส่ขนมโตเกียวที่นำมาจากเอกสารของโรงพยาบาล และมีข้อมูลผู้ป่วยครบ ระบุอาการป่วยเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี

เมื่อวันที่ 12 พ.ค. เพจ “หมอแล็บแพนด้า” หรือ ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน นักเทคนิคการแพทย์ชื่อดัง ได้ออกมาโพสต์ภาพถุงกระดาษที่ใส่ขนมโตเกียว แต่เมื่อสังเกตดีๆ ถุงกระดาษดังกล่าวเป็นเอกสารของโรงพยาบาล และในถุงกระดาษระบุอาการของคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี

โดยทางเพจหมอแล็บฯ ระบุข้อความว่า "แฟนเพจแจ้งว่า เจอขนมโตเกียวใส่ถุงพับจากเอกสาร OPD รพ.หนึ่งใน จ.อุบลฯ รายละเอียดครบเลย เป็นเพศชายติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี จะกินต่อหรือพอแค่นี้"

อย่างไรก็ตาม โพสต์ดังกล่าวได้เผยแพร่สู่โลกออนไลน์ มีชาวเน็ตแห่คอมเมนต์วิพากษ์วิจารณ์เป็นจำนวนมาก เช่น โตเกียวที่อุดมไปด้วยข้อมูลทางการแพทย์, ทางนี้เจอกระดาษรองไข่ไก่ ข้อมูลผู้ต้องหาคดีค้ายาเสพติด เอาจริงๆ ข้อมูลพวกนี้ไม่สมควรที่จะหลุดออกมาภายนอกด้วยซ้ำ, เอาจริงๆ ถุงกระดาษสำเร็จรูปสำหรับใส่อาหารมีขายไม่ได้แพงมากนะ ร้านค้าควรใส่ใจกว่านี้, ไม่..คือทำไมไม่รักษาจรรยาบรรณ รพ.อะ ข้อมูลส่วนตัวผู้ป่วยเอาออกมาได้ด้วยเหรอ

13 พ.ค. 2567  ผู้จัดการออนไลน์

4
เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) เปิดเผยว่า หลังจากที่กระทรวง อว.มีนโยบายให้การสอบ TCAS ปี 2567 หรือการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยผ่านระบบการรับสมัครสอบกลาง ประจําปี 2567 ในรอบแอดมิชชันหรือรอบ 3 ที่ให้นักเรียนแต่ละคนสามารถสมัครเลือกคณะ 1 – 10 อันดับได้ฟรี โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อต้องการลดความเหลื่อมล้ำและกระจายโอกาสการเข้าถึงการศึกษาในระดับอุดมศึกษาผ่านระบบ TCAS เป็นครั้งแรกของประเทศ สอดคล้องกับนโยบายของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการกระจายอำนาจการศึกษาให้ผู้เรียนได้เข้าถึงการเรียนรู้อย่างทั่วถึง และนโยบายความเท่าเทียมทางการศึกษาของนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลกระทรวง อว. ซึ่งในการรับสมัครระหว่างวันที่ 6 – 12 พ.ค.2567 ที่ผ่านมา ปรากฎว่ามีผู้สมัครให้ความสนใจสมัคร TCAS รอบที่ 3 จำนวนมากถึง 132,004 คน ซึ่งมากกว่าปีที่ 2566 ที่มีคนสมัคร TCAS ในรอบที่ 3 จำนวน 124,815 คนถึง 7,189 คน ในขณะที่ ผู้สมัครมีการสมัครเลือกคณะมากกว่า 1.17 ล้านสาขาหรือผู้สมัครสอบเลือก 8.87 อันดับต่อคนโดยเฉลี่ย เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่อยู่ที่ 7.74 อันดับต่อคน โดยที่เพิ่มขึ้นมากคือการที่มีนักเรียน เลือกครบ 10 อันดับ เพิ่มขึ้น 35,475 คน

รมว.กระทรวง อว.กล่าวต่อว่า สำหรับจํานวนผู้สมัครแยกตามกลุ่มสาขา
อันดับ 1 คือ นิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์ อักษรศาสตร์ ศิลปศาสตร์ มนุษยศาสตร์ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ สังคมวิทยา สังคมสงเคราะห์ศาสตร์ 294,196 รายการ จำนวนคนที่เลือก 3,041 คน
อันดับ 2 สหเวชศาสตร์ สาธารณสุขศาสตร์ เทคนิคการแพทย์ พยาบาลศาสตร์ วิทยาศาสตร์การกีฬา 226,111 รายการ จำนวนคนที่เลือก 2,418 คน อันดับ 3 บริหารธุรกิจ พาณิชยศาสตร์ การบัญชี และเศรษฐศาสตร์ 193,668 รายการ จำนวนคนที่เลือก 2,937 คน
อันดับ 4 วิศวกรรมศาสตร์ 95,328 รายการ จำนวนคนที่เลือก 2,942 คน
อันดับ 5 วิทยาศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติ 90,699 รายการ จำนวนคนที่เลือก 3,746 คน
อันดับ 6 ครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ พลศึกษา สุขศึกษา 84,349 รายการ จำนวนคนที่เลือก 3,994 คน
อันดับ 7 การท่องเที่ยวและการโรงแรม 35,643 รายการ จำนวนคนที่เลือก 4,576 คน
อันดับ 8 เภสัชศาสตร์ 33,958 รายการ จำนวนคนที่เลือก 4,753 คน
อันดับ 9 เทคโนโลยีสารสนเทศ 31,337 รายการ จำนวนคนที่เลือก 5,917 คน
อันดับ 10 เกษตรศาสตร์ อุตสาหกรรมเกษตร วนศาสตร์ เทคโนโลยีการเกษตร 19,000 รายการ จำนวนคนที่เลือก 97,680 คน
อันดับ 11 แพทยศาสตร์ 16,863 รายการ
อันดับ 12 สัตวแพทยศาสตร์ 16,586 รายการ
อันดับ 13 วิจิตรศิลป์ ศิลปะประยุกต์ ดุริยางคศิลป์ นาฏศิลป์ ศิลปะการออกแบบ พัสตราภรณ์ และศิลปะการออกแบบหัตถอุตสาหกรรม 13,426 รายการ อันดับ 14 สถาปัตยกรรมศาสตร์ 10,873 รายการ
อันดับ 15 ทันตแพทยศาสตร์ 9,222 รายการ

น.ส.ศุภมาส กล่าวอีกว่า ส่วนสาขาที่มีจำนวนการสมัครมากที่สุด 10 อันดับแรก
อับดับ 1 ได้แก่ พยาบาลศาสตร์ 65,547 รายการ
อันดับ 2 บริหารธุรกิจ 44,354 รายการ
อันดับ 3 การบัญชี 43,941 รายการ
อันดับ 4 นิติศาสตร์ 42,069 รายการ
อันดับ 5 อังกฤษ 37,922 รายการ
อันดับ 6 เศรษฐศาสตร์ 34,667 รายการ
อันดับ 7 รัฐศาสตร์ 34,601 รายการ
อันดับ 8 การท่องเที่ยวและการโรงแรม 30,521 รายการ
อันดับ 9 สาธารณสุข 27,687 รายการ และ
อันดับ 10 เทคนิคการแพทย์ 26,032 รายการ

“มหาวิทยาลัยที่มีจำนวนเปิดรับสมัครมากที่สุด
อันดับ 1 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 7,126 รายการ
อันดับ 2 มหาวิทยาลัยศิลปากร 6,542 รายการ
อันดับ 3 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 6,322 รายการ
อันดับ 4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 6,112 รายการ
อันดับ 5 มหาวิทยาลัยขอนแก่น 5,153 รายการ
อันดับ 6 มหาวิทยาลัยแม่โจ้ 4,960 รายการ
อันดับ 7 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย 4,895 รายการ
อันดับ 8 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ 4,553 รายการ
อันดับ 9 สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 4,523 รายการ
อันดับ 10 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จำนวน 4,027 รายการ”

น.ส.ศุภมาส กล่าวและว่า นี่คือความพยายามและผลงานที่เป็นรูปธรรมที่กระทรวง อว.ต้องการให้เด็กไทยทุกคนต้องได้เรียน โดยช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการเข้าถึงการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ำและกระจายโอกาสการเข้าถึงการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ที่สำคัญจะเป็นการเพิ่มโอกาสให้กับเยาวชนไทยได้มีทางเลือกในการศึกษาในระดับอุดมศึกษามากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และขอขอบคุณนายกรัฐมนตรี ที่ให้การสนับสนุนและผลักดันนโยบายดังกล่าว จนนำมาสู่การให้สมัครสอบ TCAS67 รอบแอดมิชชันฟรีครั้งนี้


https://www.matichon.co.th
14 พฤษภาคม 2567

5
“นิวซีแลนด์” ดินแดนที่ขึ้นชื่อเรื่องทิวทัศน์อันงดงาม อากาศบริสุทธิ์ และการท่องเที่ยวแนวผจญภัยบนเกาะเหนือ และเกาะใต้ มักถูกยกย่องให้เป็น "สวรรค์บนดิน" ดึงดูดผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกให้มาสัมผัสธรรมชาติอันสมบูรณ์

ทว่าภายใต้ภาพลักษณ์ที่สวยงามก็เพิ่งมีรายงานข่าวที่ชวนให้ประหลาดใจ เมื่อสำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า นิวซีแลนด์กำลังประสบปัญหา ประชาชนแห่อพยพออกนอกประเทศ “มากที่สุดเป็นประวัติการณ์” ในปีนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจที่ซบเซา และโอกาสทางการงานมีจำกัด

สำนักงานสถิติแห่งชาตินิวซีแลนด์ รายงานวันนี้ (14 พ.ค.67) ว่า มีพลเมืองสัญชาตินิวซีแลนด์จำนวน 78,200 คน เดินทางออกนอกประเทศในช่วงปีสิ้นสุดเดือนมี.ค. ซึ่ง “เพิ่มขึ้น” จากจำนวน 74,900 คน ในช่วงปีสิ้นสุดเดือนก.พ.

เมื่อปรับกับจำนวนพลเมืองส่วนหนึ่งที่เดินทางกลับประเทศบ้านเกิดแล้ว ยอดผู้ย้ายออกสุทธิ ได้เพิ่มสูงขึ้นเป็นสถิติใหม่ที่ 52,500 คน ซึ่ง “เป็นครั้งแรก” ที่ตัวเลขนี้เกินกว่า 50,000 คน

- พลเมืองนิวซีแลนด์อพยพออกจากประเทศสูงขึ้นเรื่อยๆ หลังช่วงโควิด-19 (เครดิต: Statistics NZ/ Bloomberg) -
เหตุผลที่เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ เป็นเพราะว่าอัตราดอกเบี้ยของประเทศที่สูง จนกระทบการใช้จ่ายของผู้บริโภคและความเชื่อมั่นทางธุรกิจ โดยมีการสำรวจความคิดเห็นล่าสุดที่ชี้ว่า ความต้องการจ้างงานลดลง ชาวนิวซีแลนด์จึงหันไปหางานทำในออสเตรเลีย และตลาดต่างประเทศอื่นๆ แทน ซึ่งมีค่าจ้างที่น่าดึงดูดใจกว่า

อีกทั้งหน่วยงานสาธารณสุข และตำรวจของออสเตรเลียได้ฉวยโอกาสนี้ ดึงดูดบุคลากรฝีมือดีจากนิวซีแลนด์เข้าร่วมทีม โดยเสนอแพ็กเกจเงินเดือน และสวัสดิการที่น่าสนใจ

แม้ว่าจำนวนผู้ย้ายออกจากนิวซีแลนด์จะเพิ่มสูงขึ้น แต่จำนวนผู้อพยพจากต่างประเทศที่เข้ามาก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน  โดยยอดการย้ายเข้าสุทธิ ซึ่งเคยสูงสุดกว่า 139,000 คนในช่วงสิ้นสุดเดือนต.ค. เริ่มชะลอตัว และยอดการย้ายเข้าสุทธิได้ลดลงเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน เหลือ 111,145 คน ในช่วงปีสิ้นสุดเดือนมี.ค.

นอกจากนี้ จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ยังกระตุ้นให้ธนาคารกลางออกโรงเตือนว่า ความต้องการบ้านและการเช่าที่อยู่ที่เพิ่มขึ้นนี้ อาจส่งผลต่อภาวะเงินเฟ้อ อีกทั้งรัฐบาลประกาศว่า จำเป็นต้องมีการแก้ไขเพื่อลดแรงกดดันต่อบริการด้านโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ และให้แน่ใจว่าประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงบริการที่จำเป็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อ้างอิง: bloomberg

Bangkokbiznews
14 พ.ค. 2567

6
แม่เด็กชายวัย 14 แจ้งความ ‘หมอคนดัง’ ตบหน้าสั่งแก้ผ้าไล่พ้นรพ. หลังพบสูบบุหรี่ในห้องน้ำ ด้าน หมอเหรียญทอง แจงเดือด ใครว่าทำเกินกว่าเหตุ ไม่สมควรใช้บริการ

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม มารดา ของชายอายุ 14 ปีรายหนึ่ง ได้เดินทางไปแจ้งความว่า ลูกชายถูกทำร้ายร่างกายที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ย่านแจ้งวัฒนะ

โดยเธอเล่าว่า ระหว่างที่​ลูกชายได้เดินทางไปเฝ้าภรรยาที่รอคลอด ​ระหว่างนั้นได้เข้าไปสูบบุหรี่ในห้องน้ำชั้น 12 ของโรงพยาบาล เมื่อสูบบุหรี่เสร็จออกมาจากห้องน้ำ พบว่าเจ้าหน้าที่ของ รพ.ที่เป็นผู้ชาย ได้ยืนถ่ายภาพ และนำตัว ด.ช.วัย 14 ลงมาบริเวณหน้าห้องฉุกเฉิน และโทรหาให้ผู้ปกครองมาเสียค่าปรับ เป็นจำนวนเงิน 5,000 บาท

จากนั้นเมื่อ ด.ช.โทรหาผู้ปกครอง เจ้าหน้าที่ได้นำโทรศัพท์ไปคุยต่อโดยไม่ได้ส่งคืน และให้ ด.ช.นั่งรอหน้าห้องฉุกเฉิน เวลาต่อมาได้มีชายเดินมาทำร้ายร่างกาย ด.ช. ได้รับบาดเจ็บ จากนั้นบังคับให้ถอดเสื้อผ้าออกให้หมด และเดินออกจาก รพ.ไป เมื่อ ด.ช.เดินออกจาก รพ. จึงยืมโทรศัพท์บุคคลที่อยู่บริเวณนั้น โทรหาญาติให้มารับ และแจ้งความเพื่อดำเนินคดีต่อไป

ทั้งนี้ ผู้เสียหายได้ระบุว่า ชายไทยสูงวัย ใส่เสื้อยืดคอกลมสีขาว กางเกงขาสั้น เดินเข้ามาทางประตูหน้าตรงห้องฉุกเฉิน เดินตรงเข้ามาที่ ด.ช.วัย 14 จากนั้นชายคนดังกล่าวได้ถามว่า “มึงสูบบุหรี่ในนี้ได้ไง” หลังจากสิ้นคำถาม ชายคนดังกล่าวก็ตบมาที่บริเวณใบหน้า​ 1 ครั้ง

จากนั้นชายคนดังกล่าวก็ตบที่บริเวณใบหน้าอีก 3 ครั้ง แม้ว่าจะพยายามขอโทษ และร้องไห้ออกมา ก่อนที่จะถูกตะคอกใส่ว่า จะร้องทำไม ​โดยพบว่าได้รับบาดเจ็บบริเวณคิ้วข้างซ้ายเป็นรอยช้ำแดง

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ความตอนหนึ่งว่า ได้โปรดแชร์ให้ทราบข้อเท็จจริงทั่วกันว่า เมื่อดึกคืนวันที่ 13 พ.ค.67 มีไอ้วัยรุ่นกุ๊ยมาสูบบุหรี่ในห้องสุขา แผนกผู้ป่วยนอก ซึ่งเป็นอาคารใหม่ส่งกลิ่นควันบุหรี่เข้าสู่ระบบปรับอากาศคละคลุ้งทั่วพื้นที่พักคอยสำหรับผู้ป่วย โอพีดี ที่รอรับการตรวจ

ทั้งๆ ที่ รพ.มงกุฎวัฒนะก็ประกาศจัดการผู้ฝ่าฝืนสูบบุหรี่อย่างเด็ดขาดรุนแรง แต่ไอ้กุ๊ยตัวนี้ก็ยังท้าทายลองดี ดังนั้นผมจึงจัดการไอ้กุ๊ยรายนี้ด้วยตนเองด้วยการตบหน้าสั่งสอน ยึดโทรศัพท์มือถือ แล้วสั่งให้แก้ผ้าล่อนจ้อน ไล่ออกจากพื้นที่ รพ.มงกุฎวัฒนะ จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบข้อเท็จจริงทั่วกันครับ คนโลกสวยเห็นว่าเกินแก่เหตุไม่สมควรใช้บริการ รพ.มงกุฎวัฒนะครับ

14 พค 2567
มติชน

7
วันนี้ (11 มีนาคม 2567) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมผู้บริหารสำนักตรวจราชการ สธ. ครั้งที่ 1/2567 ว่า วันนี้เป็นการประชุมอย่างเป็นทางการครั้งแรก หลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบตามที่ สธ.เสนอแต่งตั้งผู้ตรวจราชการ สธ. และเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567



ปลัด สธ.กล่าวว่า โดยได้มอบนโยบายและสั่งการในประเด็นสำคัญ คือ การมอบหมายให้ผู้ตรวจราชการ สธ.เป็นประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อน 13 ประเด็นนโยบายเน้นหนัก ดังนี้

1.นพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ รับผิดชอบโครงการพระราชดำริฯ /เฉลิมพระเกียรติ/ ที่เกี่ยวเนื่องกับพระบรมวงศานุวงศ์

2.พญ.ปฐมพร ศิรประภาศิริ รับผิดชอบโรงพยาบาล กทม. 50 เขต 50 โรงพยาบาล และปริมณฑล

3.นพ.สวัสดิ์ อภิวัจนีวงศ์ รับผิดชอบสุขภาพจิต/ยาเสพติด

4.นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รับผิดชอบมะเร็งครบวงจร

5.นพ.ภูวเดช สุระโคตร รับผิดชอบสร้างขวัญและกำลังใจบุคลากร

6.นพ.ศักดา อัลภาชน์ รับผิดชอบการแพทย์ปฐมภูมิ

7.นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รับผิดชอบสาธารณสุขชายแดนและพื้นที่เฉพาะ

8.นพ.มณเฑียร คณาสวัสดิ์ รับผิดชอบสถานชีวาภิบาล

9.นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน รับผิดชอบพัฒนาโรงพยาบาลชุมชนแม่ข่าย

10.นพ.พงศธร พอกเพิ่มดี รองปลัด สธ. เป็นประธานดิจิทัลสุขภาพ นพ.เกษม ตั้งเกษมสำราญ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ และ นพ.จักรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ ปฏิบัติหน้าที่ด้านวิชาการในเขตสุขภาพที่ 13 กรุงเทพมหานคร เป็นรองประธาน

11.นพ.สราวุฒิ บุญสุข รับผิดชอบส่งเสริมการมีบุตร

12.นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รับผิดชอบเศรษฐกิจสุขภาพ

13.พญ.วิพรรณ สังคหะพงศ์ รับผิดชอบนักท่องเที่ยวปลอดภัย

“ทุกประเด็นให้มีการทบทวนเป้าหมาย ความสำเร็จรายไตรมาสของไตรมาสที่ 3 และ 4 รวมถึงมาตรการ/กิจกรรม (Action Plan) ต่างๆ ในทุกประเด็น ทั้งนี้ จะมีรองปลัด สธ.ทำหน้าที่ควบคุมกำกับการดำเนินงานตามนโยบายทั้ง 13 ประเด็น ประกอบด้วย นพ.ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล รับผิดชอบประเด็นที่ 1, 5, 8 นพ.กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ รับผิดชอบประเด็นที่ 3, 6, 13 นพ.พงศธร พอกเพิ่มดี รับผิดชอบประเด็นที่ 7, 10, 11 และ นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รับผิดชอบประเด็นที่ 2, 4, 9, 12″ นพ.โอภาสกล่าว.

11 มีนาคม 2567
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_4465866

8
HALTH TWO NINE
สำนักงานที่ปรึกษาสิทธิผู้ป่วย และความเสียหายทางการแพทย์

ความเสียหายทางการแพทย์
ผู้ป่วย/ญาติ/บุคลากรทางการแพทย์ ได้รับความเดือดร้อนและเสียหาย อันเนื่องมาจากความประมาท เลินเล่อ ในการรักษาพยาบาล ไม่เป็นไปตามมาตรฐานวิชาชีพ และระบบรับรองคุณภาพโรงพยาบาล/สถานพยาบาล

สิทธิผู้ป่วย
ผู้ป่วย/ทายาท ไม่ได้รับสิทธิ หรือมีสิทธิขั้นพื้นฐาน ในการเข้ารับบริการด้านสุขภาพและการรักษาพยาบาล ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และคำประกาศสิทธิของผู้ป่วย

บริการของเรา
ให้คำปรึกษา แนะนำ เรียกร้องสิทธิผู้ป่วย เจรจา ไกล่เกลี่ยค่าชดเชย เรียกร้องค่าชดเชยความเสียหายต่อหน่วยงานของรัฐ และศาลยุติธรรม

ให้คำปรึกษา ฟรี 24 ชม.
ให้คำปรึกษา....ด้านสิทธิผู้ป่วย ความเสียหายทางการแพทย์ การวิเคราะห์เหตุแห่งการละเมิด จากกระบวนการดูแลรักษาพยาบาล  การดำเนินการเรียกร้องสิทธิ การขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นจากภาครัฐ(สปสช./ปกส./ศาลปกครอง/ศาลแรงงาน) การเจรจาเรียกค่าชดเชยกับสถานพยาบาล และผู้ประกอบวิชาชีพ และการฟ้องดำเนินคดีเพื่อเรียกค่าเสียหายต่อศาลยุติธรรม ฯลฯ

เรียกร้องสิทธิผู้ป่วย
บริการ...รับมอบอำนาจ เพื่อบริหารจัดการ และดำเนินการเรียกร้องสิทธิ การขอเวชระเบียน (ประวัติการรักษาพยาบาล) การขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นจากภาครัฐ (สปสช./ปกส.) การอุทธรณ์คำสั่งเงินช่วยเหลือเบื้องต้น การยื่นฟ้องเพิกถอนคำสั่ง สปสช./ปกส.ต่อศาลปกครอง และศาลแรงงาน และการเรียกร้องสิทธิอื่นๆ กรณีการไม่ได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานจากการรับบริการด้านสุขภาพตามกฎหมาย

เจรจา เรียกร้องค่าชดเชย
บริการ..รับมอบอำนาจ เจราจา ไกล่เกลี่ย เรียกร้องค่าชดเชยความเสียหายทางการแพทย์ กับผู้ประกอบวิชาชีพ โรงพยาบาลรัฐ/ต้นสังกัด โรงพยาบาลเอกชน และสถานพยาบาลทั่วไป

ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย
บริการ...เป็นที่ปรึกษา เสมียน/ผู้ช่วยทนาย และผู้รับมอบอำนาจดำเนินการ การฟ้องร้องเรียกค่าชดเชยความเสียหาย การประสานงานบุคลากรทางการแพทย์  สหสาขาวิชาชีพ การตรวจวิเคราะห์เวชระเบียน การจัดเตรียมข้อมูล เอกสาร หลักฐานทางการแพทย์ Textbook/CPG/Handbook/ข้อกำหนดระบบรับรองคุณภาพโรงพยาบาล และสถานพยาบาล เพื่อใช้เป็นพยานเอกสารในการฟ้องร้องดำเนินคดีในชั้นศาล ฯลฯ

ค่านิยมหลัก
เรา...ตระหนักและให้ความสำคัญ ต่อบุคลากรทางการแพทย์ ที่ใส่ใจดูแลให้การรักษาพยาบาลผู้ป่วย ตามมาตรฐานวิชาชีพ และระบบรับรองคุณภาพมาตรฐาน สถานพยาบาล ไม่ให้ได้รับความเดือดร้อน และเสียกำลังใจ...เสมอมา

" อีกหนึ่งความหวังของเรา "
ถ้าคุณเป็นผู้เสียหายทางการแพทย์ที่แท้จริง การเรียกร้องสิทธิ์ความเสียหายของคุณ จะเป็นบทเรียนสำคัญ ให้ผู้ประกอบวิชาชีพและสถานพยาบาล ตระหนักถึงการพัฒนาระบบคุณภาพการรักษาพยาบาล ตามมาตรฐานวิชาชีพ เพื่อลดความสูญเสียอย่างต่อเนื่อง และจริงจังต่อไป

หนึ่งการเรียกร้องสิทธิ์ของคุณ คือ อีกหลายบทเรียนสำคัญของสถานพยาบาล และผู้ประกอบวิชาชีพ

อ.อริยวรรธท์
ผู้ชำนาญการงานบริหารโรงพยาบาล และสถานพยาบาล มากว่า 20 ปี ยินดีให้คำปรึกษา ฟรี 24 ชม.

HEALTH TWO NINE
บริษัท ทูไนน์ เฮลท์ เซอร์วิส จำกัด
http://www.ฟ้องแพทย์ฟ้องโรงพยาบาล.com
E:mail : healthtwonine@gmail.com
สำนักงานเลขที่ 29/29 ถนนรัชดา-รามอินทรา แขวงรามอินทรา เขตคันนายาว    กรุงเทพมหานคร 10230 Tel : 0-2014-1729 Hotline : 09-1515-2929             

9
'เลขาศาลยุติธรรม' ออกหนังสือด่วนที่สุด แนวทางสืนพยาน 'แพทย์' เบิกความออนไลน์ได้ ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางมาขึ้นศาลแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายธานี สิงหนาท เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม มีหนังสือด่วนที่สุด แจ้งเวียนแนวทางการสืบพยานที่เป็นแพทย์โดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ในคดีแพ่ง โดยมีหลักการสำคัญให้มีการ สืบพยานที่เป็นแพทย์ ผู้ไม่มีส่วนได้เสียในคดีผ่านแอปพลิเคชัน Google Meet แพทย์อาจเบิกความ ณ โรงพยาบาลที่สังกัดอยู่ได้ โดยไม่ต้องเดินทางไปที่ศาล

โดยแนวทางดังกล่าวเกิดจาก สำนักงานศาลยุติธรรม เล็งเห็นว่า แต่ละวันมีผู้ป่วยจำนวนมากที่รอเข้ารับบริการจากบุคลากรทางการแพทย์ ขณะเดียวกันแพทยฺ์อาจต้องเสียเวลาเดินทางมาเบิกความในฐานะพยานทำให้เสียโอกาสในการตรวจรักษาผู้ป่วย

ดังนั้นสำนักงานศาลยุติธรรม จึงได้มีหนังสือแจ้งแนวปฏิบัติดังกล่าวไปยังศาลทั่วประเทศด้วยวัตถุประสงค์ เพื่อคุ้มครองสิทธิของคู่ความที่จะได้รับการพิจารณาคดีโดยสะดวก รวดเร็ว เป็นธรรม ซึ่งคำนึงถึงประชาชนที่ต้องได้รับการบริการด้านสาธารณสุขในเวลาเดียวกัน ภายใต้นโยบายสร้างสรรค์ความยุติธรรมที่ยั่งยืน โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลางของนางอโนชา ชีวิตโสภณ ประธานศาลฎีกา

9 พ.ค. 2567
https://www.komchadluek.net/news/crime/574407

10
อร่อยเด็ดแซ่บนัว! "ส้มตำ" สร้างชื่อ คว้าอันดับ 11 สลัดที่ดีที่สุดในโลก เมนูอื่นก็ไม่น้อยหน้า "ส้มตำไข่เค็ม-พล่ากุ้ง-ยำวุ้นเส้น" ติดอันดับด้วย

เผยผลเป็นที่เรียบร้อย สำหรับการจัดอันดับ "สลัด" ที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2024 ของทาง TasteAtlas ซึ่งเป็นเว็บไซต์ด้านอาหารชื่อดัง บอกเลยว่าอาหารไทยอร่อยไม่เป็นสองรองใคร เพราะมีเมนูติดอันดับมากกว่า 4 เมนู ได้แก่ ส้มตำ ตำไข่เค็ม พล่ากุ้งและยำวุ้นเส้น

เมนูสลัดสร้างชื่อได้แก่ "ส้มตำ (Som tam)" สามารถคว้าอันดับที่ 11 โดยเว็บไซต์อธิบายว่า ส้มตำส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับภาคอีสานของไทย แม้จะมีการระบุว่าเคยปรากฏครั้งแรกในลาวก็ตาม ด้านรสชาติมีความหวานและเผ็ด ซึ่งร้านอาหารมักให้ลูกค้าปรับส่วนผสมได้ตามความต้องการ และเมนูนี้ได้รับความนิยมไปทั่วโลก

ถัดมา "ส้มตำไข่เค็ม (Papaya salad with salted egg)" คว้าอันดับที่ 20 มาครอง โดยเว็บไซต์อธิบายว่า ส้มตำไข่เค็มเป็นส้มตำที่มีต้นกำเนิดจากไทย มีความแตกต่างจากที่อื่นเพราะด้านบนโปะด้วยไข่เค็ม

ต่อมา "พล่ากุ้ง (Phla kung)"  ติดอันดับที่ 41 โดยทางเว็บไซต์ได้อธิบายว่า พล่ากุ้งประกอบด้วยกุ้งลวกรวมกับตะไคร้สับ หอมแดง ใบมะกรูด ผักชี และใบสะระแหน่ คลุกด้วยน้ำสลัดพริกมะนาว โดยทั่วไปแล้วจะมีรสเผ็ดและโรยหน้าด้วยสะระแหน่

เมนูนี้ค่อนข้างทำได้หลากหลาย อาจใช้อาหารทะเล หรือปลาแทนกุ้ง หรือจะใช้อาหารทะเลหลายชนิดมาผสมรวมกันเพื่อให้ได้สลัดที่น่าสนใจยิ่งขึ้น

และ "ยำวุ้นเส้น (Yum woon sen)" แซ่บจนคว้าอันดับที่ 48 มาครอง โดยทางเว็บไซต์ได้อธิบายว่า ยำวุ้นเส้นสลัดไทยรสเผ็ดที่ทำจากวุ้นเส้น หมูบด พริก และน้ำยำ โดยเส้นและหมูจะปรุงแยกจากกัน จากนั้นค่อยนำมายำรวมกับผัก ปรุงรสด้วยน้ำปลาและมะนาว พื้นฐานแล้วยำมีรสชาติค่อนข้างเผ็ด ผู้คนจึงมักรับประทานพร้อมกับข้าวสวยและผักกาดหอม

11 พค 2567
ข่าวสด

11
กระบะเสียหลักพุ่งชนรถส่งต่อผู้ป่วย รพ.พร้าว ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ เสียชีวิต 5 คน หนึ่งในนั้นเป็นหญิงตั้งครรภ์ บาดเจ็บอีก 6 คน ตำรวจเร่งหาสาเหตุ
ความคืบหน้าอุบัติเหตุรถกระบะชนกับรถส่งต่อผู้ป่วยของโรงพยาบาลพร้าว บนถนนทางหลวง หมายเลข 1001 เส้นเชียงใหม่-พร้าว บ้านหลวง หมู่ 6 ต.โหล่งขอด อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ เมื่อเวลา 17.24 น. เมื่อวานนี้ (9 พ.ค.2567) จนทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต

ล่าสุดมีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 5 คน ในจำนวนนี้เป็นหญิงอายุ 26 ปี ที่ตั้งครรภ์ และกำลังถูกส่งต่อไปโรงพยาบาลสันทราย จ.เชียงใหม่ เสียชีวิตพร้อมลูกในท้อง รวมถึงคนขับรถกระบะคู่กรณี ส่วนผู้บาดเจ็บทั้ง 6 คน ถูกส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลพร้าว โรงพยาบาลสันทราย และโรงพยาบาลนครพิงค์ จ.เชียงใหม่ ซึ่งแพทย์ให้การดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด


ตำรวจ ระบุว่า ก่อนเกิดเหตุโรงพยาบาลพร้าว ได้ส่งตัวผู้ป่วยห้องคลอดไปที่โรงพยาบาลสันทราย ขณะเดินทางมีฝนตก ทำให้รถกระบะที่ขับสวนมาเสียหลักพุ่งชน โดยอยู่ระหว่างเร่งสอบสวนสาเหตุที่ชัดเจน

10 พ.ค. 2567
https://www.thaipbs.or.th/news/content/339865

12
สาวนนทบุรี ร้อง ทนายนินู หลังสามีพนักงานเขตดุสิต ปวดหัวรุนแรง ขอหมอโรงพยาบาลดังสแกนสมองแต่ปฏิเสธก่อนให้ยากลับบ้าน 2 รอบ สุดท้ายชัก ปัสสาวะราด หมดสติ จับสแกนพบเลือดออกเยื่อหุ้มสมอง รักษา 3 วันเสียชีวิต สุดช้ำไม่ได้อำลากันสักคำ

เมื่อวันที่ 6 พ.ค. 67 นางชาดา วาทนเสรี อายุ 48 ปี เดินทางนำเอกสารเข้าขอความช่วยเหลือกับ น.ส.ธนิดา แจ้งจำรัส หรือทนายนินู กรณีนายปรีชา วาทนเสรี อายุ 46 ปี พนักงานฝ่ายรักษาความสะอาด สำนักงานเขตดุสิต กทม. สามีเสียชีวิต หลังมีอาการปวดหัวขั้นรุนแรงเดินไม่ได้เวียนหัวบ้านหมุน และอาเจียน เดินทางไปโรงพยาบาลชื่อดังแห่งหนึ่งใน จ.นนทบุรี ขอแพทย์สแกนสมองแต่ถูกปฏิเสธ ก่อนให้ยากลับบ้าน ผ่านไป 1 วัน เกิดอาการชักเกร็งหมดสติ ปัสสาวะราด ปลุกไม่ตื่น เจ้าหน้าที่กู้ภัยนำตัวส่งโรงพยาบาลดังกล่าวเข้ารักษาตัว แพทย์สแกนสมอง พบว่าเลือดออกในชั้นเยื่อหุ้มสอง ก่อนเสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 ม.ค.ที่ผ่านมา

นางชาดา กล่าวทั้งน้ำตาว่า เมื่อวันที่ 6 ม.ค. เวลาประมาณ 05.15 น. พาสามีมีอาการปวดศีรษะรุนแรงคล้ายหัวจะระเบิด และมีอาการไอ เดินทางเข้ารักษาตามสิทธิของสามีที่ห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลชื่อดัง พอไปถึงโรงพยาบาล แพทย์ได้ฉีดยาพร้อมให้ยาทานแล้วให้กลับบ้าน วันต่อมา 7 ม.ค. เวลาประมาณ 10.00 น. อาการสามีไม่ดีขึ้นมีอาการปวดศีรษะรุนแรงหนักกว่าเดิม เดินไม่ได้เวียนหัวบ้านหมุน และอาเจียน จึงกลับไปที่โรงพยาบาลที่ห้องฉุกเฉินเหมือนเดิม รอบนี้สามีขอแพทย์แอดมิตสแกนสมอง เนื่องจากมีสวัสดิการสามารถเบิกได้ตามสิทธิ แต่กลับถูกแพทย์ปฏิเสธการร้องขอ ก่อนจ่ายยาแล้วให้กลับบ้านอีก

นางชาดา กล่าวอีกว่า สามีจึงให้ตนที่รออยู่ด้านนอกไปคุยกับหมอซึ่งเป็นแพทย์หญิงที่ปฏิเสธสแกนสมองให้ ตนจึงเดินเข้าไปถามว่า “สามีเป็นอะไร” ทางแพทย์หญิงก็ชักสีหน้า แล้วไม่ตอบ จึงพาสามีกลับบ้าน ระหว่างที่กลับบ้านอาการแย่ลงเดินไม่ไหว จึงเรียกรถแท็กซี่ให้มารับหน้าห้องฉุกเฉินแล้วกลับบ้าน ระหว่างทางก็ถามสามีว่าหมอบอกว่าอะไร สาเหตุที่ไม่ให้สแกนสมอง สามีบอกว่า หมอบอกมาว่าไม่มีอะไรบ่งชี้ให้สแกนสมอง หลังกลับบ้านตนก็ดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดให้กินยาแล้วก็นอนพัก จากนั้นเวลาประมาณ 22.00 น. สามีมีอาการชักเกร็ง น้ำลายฟูมปาก ปัสสาวะราด ปลุกไม่ตื่น จึงโทรฯ หารถกู้ภัยมารับไปส่งโรงพยาบาล แอดมิตอยู่โรงพยาบาลประมาณ 3 วัน ก่อนจะเสียชีวิตในวันที่ 10 ม.ค.

นางชาดา กล่าวว่า ข้องใจว่าก่อนหน้านี้สามีเคยขอสแกนสมองแล้วแต่แพทย์ไม่ยอมสแกนสมองให้ กระทั่งสามีอาการหนักไม่รู้สึกตัว หมอจึงยอมสแกนสมองให้ และวินิจฉัยว่ามีเลือดออกในสมอง สมองบวม หากหมอสแกนสมอง และให้รักษาก่อนหน้านี้ สามีก็คงไม่เสียชีวิต หลังจากสามีเสียชีวิตตนมีความคาใจจึงเข้าไปสอบถามทางคุณหมอว่าทำไมไม่ยอมสแกนสมองตั้งแต่แรก แต่กลับไม่ได้คำตอบอะไรจากโรงพยาบาลหรือคุณหมอเลย ซึ่งย้อนกลับไประหว่างที่สามีตนแอดมิตอยู่โรงพยาบาล ตนไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับสามีเลยไม่มีโอกาสได้บอกลากันเพราะไม่รู้สึกตัวอะไรแล้ว

นางชาดา กล่าวว่า ตอนนั้นเสียใจมากเพราะสามีเป็นเสาหลักของครอบครัวเลี้ยงดูแลครอบครัวมาโดยตลอด ไม่น่ามาเกิดเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น หลังจากสามีจากไปทุกวันนี้ก็ลำบาก ถูกที่ทำงานจ้างออกช่วงยุคโควิดระบาด วันนี้จึงเดินทางนำเรื่องมาร้องเรียนกับทนายนินู เพื่อขอความเป็นธรรมให้กับสามี ซึ่งหลังจากเกิดเหตุไม่รู้ว่าจะดำเนินการยังไง ไม่รู้เรื่องกฎหมาย เคยโพสต์เรื่องราวบนเฟซบุ๊กมาแล้วหลายครั้งแต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า กระทั่งส่งข้อมูลเอกสารขอความช่วยเหลือกับทนายนินูให้คำปรึกษาและเข้าช่วยเหลือ ตอนนี้รู้สึกมีกำลังใจสู้ต่อทวงความยุติธรรมให้กับสามี และจะนำเรื่องราวเหตุการณ์ครั้งนี้มาเป็นอุทาหรณ์ให้กับประชาชน หรือทางโรงพยาบาลได้รับรู้ควรจะปรับปรุงแก้ไข และช่วยเหลือเยียวยาทางครอบครัวผู้เสียชีวิตอย่างไร หากย้อนเวลากลับไปได้จะไม่พาสามีมารักษาที่โรงพยาบาลนี้เด็ดขาด ส่วนหลังจากนี้จะให้ทางทนายนินูดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายให้ถึงที่สุด เพื่อที่จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้กับครอบครัวไหนอีก

ทนายนินู กล่าวว่า เรื่องนี้ได้รับการร้องเรียนมาซักระยะหนึ่งแล้ว ระหว่างนั้นได้รวบรวมเอกสารหลักฐานทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเข้าใจว่าหมอทุกคนอยากจะรักษาคนไข้ทุกคนอยู่แล้ว แต่ก็จะมีบางครั้งที่อาจประมาทเลินเล่อไปทำให้ผู้เสียหายต้องเกิดความสูญเสียเกิดขึ้น ซึ่งที่ดูจากเอกสารก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าผู้ป่วยมีอาการปวดหัวขั้นรุนแรง วันแรกไม่หายวันที่สองก็ยังไม่หายหมอควรจะเอะใจได้แล้ว ว่าอาการหนักขึ้นควรจะมีการรักษาที่ถี่ถ้วนและละเอียดรอบคอบ ในจรรยาบรรณของคนเป็นแพทย์บุคคลที่ป่วยไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าตัวเองนั้นเป็นโรคอะไร ก็ต้องควรจะอธิบายให้ญาติผู้ป่วยหรือผู้ป่วยนั้นรับทราบว่ากำลังป่วยเป็นโรคอะไรและจะมีแนวทางการรักษาอย่างไรต่อ ไม่ใช่ชักสีหน้าเพื่อให้จบไปที แล้วเคสนี้เป็นเคสที่เกิดการสูญเสีย เบื้องต้นตนได้ทำเอกสารเพื่อร้องเรียนให้ทางแพทยสภาได้ตรวจสอบจรรยาบรรณของแพทย์ผู้ให้การรักษาในครั้งนี้

หลังจากได้ทำการร้องเรียนและตรวจสอบจรรยาบรรณของแพทย์แล้ว จรรยาบรรณของแพทย์ควรที่จะคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ป่วยโดยเฉพาะในเรื่องของให้การสื่อสารกับญาติเพื่อให้ญาติได้รับรู้รับทราบว่าผู้ป่วยนั้นกำลังป่วยเป็นอะไรอยู่ ในเคสนี้เป็นเคสที่เรียกว่าประมาทได้เลยเพราะว่าแพทย์ได้ทำการปล่อยผู้ป่วยกลับบ้านมาถึงสองครั้ง จนผู้ป่วยได้เสียชีวิต อาจจะเข้าข้อกฎหมายประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย แล้วทางนี้ทางแพทย์จะสามารถชดเชยค่าเสียหายในทางละเมิดให้กับญาติผู้ตายอย่างไรได้บ้าง หลังจากนี้ตนก็จะดำเนินการไปตามลำดับของกฎหมายต่อไป

7 พฤษภาคม 2567
https://www.dailynews.co.th/news/3408283/

13
หลุดมาจากไหน สาวข้องใจ หลังซื้อขนมโตเกียว เจอซองทำจากเอกสารโรงพยาบาล มีข้อมูลเจ้าหน้าที่ ระบุปี 2556

วันที่ 6 พฤษภาคม 2567 มีรายงานว่า โลกออนไลน์ได้แชร์เรื่องราวจากผู้ใช้เฟซบุ๊ก TaAn 's BsBs ที่ได้โพสต์ถุงใส่ขนมโตเกียวลงในกลุ่ม พวกเราคือผู้บริโภค โดยระบุว่า "เอกสารโรงพยาบาล…. มาเป็นซองขนมโตเกียวที่นครปฐม มีข้อมูลชื่อนามสกุลพนักงานครบ"

ทั้งนี้ พบว่าเอกสารที่นำมาทำเป็นซองขนมนั้นมีข้อความเขียนว่า รายชื่อพนักงานประจำโรงพยาบาล... มาสายประจำเดือนตุลาคม 2556 พร้อมกับมีรายชื่อพนักงาน ซึ่งหลังจากโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ได้มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่ตั้งคำถามว่า หากเป็นเอกสารของโรงพยาบาลจริง เหตุใดจึงหลุดออกมาได้ นอกจากนี้ยังกังวลถึงความปลอดภัยทั้งเรื่องสารเคมีต่างๆ ที่นำมาเป็นซองใส่ของกิน
จากการสอบถามเจ้าของโพสต์ เปิดเผยกับทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ว่า ตนเองได้ซื้อขนมโตเกียวดังกล่าวเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 13.48 น. โดยร้านขายอยู่ในปั๊มแห่งหนึ่งใน จ.นครปฐม จากที่สังเกตพบว่าลูกค้าส่วนใหญ่น่าจะขายขาจรแบบตน.

Thairath Online
6 พฤษภาคม 2567

14
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 มีพระราชดำริที่จะพัฒนากรุงสยามให้มีความเจริญทางกายภาพให้เท่าเทียมกับนานาอารยประเทศตั้งแต่เมื่อครั้งเสด็จประพาสอินเดียแล้ว ดังที่พันตรีเลเดนได้บันทึกไว้เมื่อเสด็จไปยังทัชมาอาลว่า

“พระเจ้าแผ่นดินขณะที่ทรงชื่นชมกับความสมดุลของส่วนสัดและการตกแต่งที่วิจิตร มีผู้ได้ยินพระองค์ทรงรับสั่งว่างบประมาณในการก่อสร้างนั้นน่าจะเอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์กับการสร้างถนน สะพาน และขุดคลองมากกว่า” (สหาย 2546, 503) พระราชดำรินี้ได้เกิดขึ้นประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง ดังที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงศ์ทรงนิพนธ์ลงในหนังสือพิมพ์ไทย เมื่อวันที่  26 ตุลาคม พ.ศ. 2453 (ค.ศ. 1910) หลังจากเสด็จสวรรคตว่า

สร้างถนนสถลสถานโอฬารตา

มีรถม้ารถรางรถยางยนตร์

มีรถไฟเรือไฟโคมโคมไฟฟ้า

อุดหนุนพาณิชย์เปรื่องประเทืองผล
โรงเลื่อยโรงสีไฟใช้จักร์กล

ห้างร้านกล่นสินค้าหาประชัน

โทรเลขโทรศัพท์ไปรษณีย์

สดวกดีพูดจาเพลาสั้น

(คำกลอนสรรเสริญพระบารมี 2468, 1)

ความสำเร็จทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะได้ความร่วมมือฝรั่งจากประเทศต่างๆ ในยุโรปดังที่นายและนาง Jottrand ได้จำแนกไว้ว่า

แต่ละกรมกองของการปกครองของสยามอยู่ภายในมือของชาวต่างประเทศกลุ่มหนึ่งซึ่งมักจะคิดว่าตนเองเป็นรัฐย่อยๆ ภายในรัฐใหญ่ กองสารวัตรทหารเป็นชาวเดนนิชตำรวจและการคลังชาวอังกฤษ ยุติธรรมชาวเบลเยี่ยม ทหารเรือชาวเดนนิช รถไฟชาวเยอรมัน (Jottrand  1996, 415)

นายและนาง Jottrand ลืมกล่าวถึงงานโยธา ซึ่งชาวอิตาเลียนเป็นผู้ดูแล

อย่างไรก็ตามกรุงสยามยังขาดคนไทยที่จะมาควบคุมฝรั่งเหล่านี้ พระองค์จึงทรงส่งพระราชโอรสและนักเรียนไทยไปศึกษาในต่างประเทศ เพื่อนำความรู้ที่ได้เล่าเรียนมาสร้างความเจริญให้แก่ประเทศ พระราชดำรัสและพระราชหัตถเลขาถึงพระราชโอรสจึงมีคุณค่าอย่างยิ่งในการแสดงให้เห็นว่า พระองค์มิได้ทรงนึกถึงอย่างอื่นเลยนอกจากพระราชประสงค์ที่จะให้กรุงสยามเจริญรุ่งเรือง และยังแสดงให้เห็นพระปรีชาสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์และหาหนทางที่จะแก้ปัญหาได้อย่างสุขุมและแยบคาย เช่น พระราชดำรัสที่พระราชทานสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมขุนนครราชศรีมา ว่า

“ความเจริญรุ่งเรืองทั้งหลายนี้ ได้เกิดขึ้นเพราะความสังเกตแล้วคิดการประกอบแลเล่าเรียนต่อๆ กันมา อาไศรยความอุส่าห์แลความเพียรเปนที่ตั้งเท่านั้น เขาหาได้เปนอย่างอื่นนอกจากเปนมนุษย์เหมือนเราไม่เราควรจะมีมานะว่าเราก็เปนมนุษย์เช่นเขา ไม่ได้เลวกว่าเขาในการที่เกิดมานั้นเลย แต่เพราะว่าเรามีความรู้น้อยกว่าเขาเท่านั้น จึงได้เห็นเปนผิดกันบ้าง แต่เปนการดีหนักหนาที่เขาไม่ได้ซ่อนเร้นความรู้เขาเลย เราอยากรู้อันใดเราเรียนรู้ได้เหมือนเขาทั้งสิ้น ต้องการอย่างเดียวแต่การอุส่าห์ความเพียรเท่านั้นที่จะให้วิเศษเสมอเขา” (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 2458, 106-107)

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงดำเนินตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเกี่ยวกับฝรั่งที่ว่า “การงานสิ่งใดของเขาที่คิดควรจะเรียนเอาไว้ก็ให้เอาอย่างเขา” โดยมีพระราชดำรัสว่า “เราทั้งหลายต้องพยายามที่จะเอาเยี่ยงอย่างความดีมาแต่ที่อื่นๆ” (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 2454, 132) ความดีของฝรั่งนั้นพระราชทานไว้ว่า “เปนฝักฝ่ายข้างความเจริญของยุโรป คือความรู้แลความคิดทั้งความเพียรซึ่งประกอบโลกธาตุให้เป็นผลดีขึ้น… ความรู้ในประเทศยุโรปไม่ใช่แต่เวลากำลังที่เดินขึ้นสู่ความจำเริญ มันกำลังเดินโดดโลดโผนซึ่งจะเดินตามยาก นี่เปนส่วนข้างฝ่ายดีของประเทศยุโรป” (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.ศ. 126, 4 : 643-644)

ในขณะเดียวกันเราจะต้องไม่ลืมว่าเราเป็นคนไทยด้วยดังที่มีพระราชดำรัสว่า “เราทั้งหลายไม่พึงควรเฉภาะแต่ที่จะรักษา ยังควรทำให้เจริญขึ้นในสิ่งอันดี แลสิ่งที่เคารพนับถือว่าเป็นอาการกิริยาแลธรรมเนียมแห่งประเทศเราด้วย” (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 2458, 132)

ทรงตักเตือนนักเรียนไทยในต่างประเทศว่า “ให้พึงนึกในใจไว้ว่าเราไม่ได้มาเรียนจะเปนฝรั่ง เราเรียนเพื่อจะเปนคนไทยที่มีความรู้เสมอด้วยฝรั่ง” (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว2458, 138)

การ “เปนคนไทยที่มีความรู้เสมอด้วยฝรั่ง” จึงเป็นสิ่งที่ชาวไทยทุกคนควรใส่ใจเพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานแก่ประชาชนชาวไทยทั้งปวง

หมายเหตุ : คัดเนื้อหาส่วนหนึ่งจากบทความ “ปกิณกะในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องความเปลี่ยนแปลงทางด้านศิลปะและวัฒนธรรม” โดย รศ.ดร.พิริยะ ไกรฤกษ์ เผยแพร่ในนิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพฤศจิกายน 2547

เผยแพร่ครั้งแรกในระบบออนไลน์ เมื่อ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2561
เว็บไซต์ศิลปวัฒนธรรม

15
เนื้อหาสำคัญ

ข้อ ๒ ...เพื่อให้บรรลุเป้าหมายและเกิดผลสัมฤทธิ์ตามภารกิจของกระทรวง โดยมีหน้าที่และอํานาจ ดังต่อไปนี้
กําหนดนโยบาย เป้าหมาย และผลสัมฤทธิ์ของกระทรวง เพื่อให้สอดคล้องตามแนวทาง พระราชดําริ นโยบายรัฐบาล สภาพปัญหาของพื้นที่ และสถานการณ์ของประเทศ ตลอดจนขับเคลื่อน นโยบายตามแนวทางและแผนปฏิบัติราชการ

(๑) กำหนดนโยบาย เป้าหมาย และผลสัมฤทธิ์ของกระทรวง เพื่อให้สอดคล้องตามแนวทางพระราชดำริ นโยบายรัฐบาล สภาพปัญหาของพื้นที่ และสถานการณ์ของประเทศตลอดจนขับเคลื่อนนโยบายตามแนวทางและแผนปฏิบัติร่าชการ
(๒)พัฒนายุทธศาสตร์การบริหารของกระทรวงและการบูรณาการด้านสุขภาพระหว่างองค์กร ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการจัดการสาธารณสุขในภาวะปกติ ภาวะฉุกเฉิน หรือวิกฤติ การคุ้มครองผู้บริโภค และการมีส่วนร่วมของภาครัฐและภาคเอกชน
(๓) จัดสรรและพัฒนาระบบบริหารทรัพยากรของกระทรวง เพื่อให้เกิดการประหยัด คุ้มค่า และสมประโยชน์
(๔) กํากับ เร่งรัด ติดตาม และประเมินผล รวมทั้งประสานการปฏิบัติราชการด้านการแพทย์ และการสาธารณสุข
(๕) ดําเนินการและให้บริการด้านการแพทย์และการสาธารณสุข
(๖) พัฒนาระบบการเงินการคลังและระบบบริการด้านสุขภาพให้เหมาะสมและได้มาตรฐาน
(๗) พัฒนาระบบฐานข้อมูล ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ สารนิเทศและการสื่อสารและ การประชาสัมพันธ์ เพื่อใช้ในการบริหารงานและการบริการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวง
(๘) ส่งเสริม สนับสนุน และประสานการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ
(๙) ดำเนินการและพัฒนาความร่วมมือด้านสุขภาพระหว่างประเทศ
(๑๐) ดําเนินการเกี่ยวกับกฎหมายและพัฒนากฎหมายที่เกี่ยวกับการแพทย์และการสาธารณสุข ให้ทันสมัยและเหมาะสมยิ่งขึ้น
(๑๑) ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการผลิตและพัฒนาบุคลากรด้านสุขภาพ รวมทั้งศึกษา วิเคราะห์ วิจัย พัฒนา และถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านระบบบริการสุขภาพและ ด้านการพยาบาลแก่องค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(๑๒) ปฏิบัติการอื่นใดตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นหน้าที่ และอำนาจของสำนักงานปลัดกระทรวง หรือตามที่รัฐมนตรีมอบหมาย


ข้อ ๓ ให้แบ่งส่วนราชการสํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ดังต่อไปนี้

ก. ราชการบริหารส่วนกลาง
   1. กองกลาง
   2. กองกฎหมาย
   3. กองการต่างประเทศ
   4. กองการพยาบาล
   5. กองตรวจราชการ
   6. กองบริหารการคลัง
   7. กองบริหารการสาธารณสุข
   8. กองบริหารทรัพยากรบุคคล
   9. กองยุทธศาสตร์และแผนงาน
   10. กองเศรษฐกิจสุขภาพและหลักประกันสุขภาพ
   11. กองสนับสนุนระบบสุขภาพปฐมภูมิ
   12. กองสาธารณสุขฉุกเฉิน
   13. ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

ข. ราชการบริหารส่วนภูมิภาค
   1. สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด
   2. สํานักงานสาธารณสุขอําเภอ
.......................

ให้ไว้ ณ วันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๗
     ชลน่าน ศรีแก้ว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข




หน้า: [1] 2 3 ... 536